หรือโรงเรียนจะเป็นแหล่งทำลายความคิดสร้างสรรค์
-
0:00 - 0:07สวัสดีครับ เป็นอย่างไรกันบ้าง? เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยครับ?
(มีสัมมนาก่อนหน้านี้ -- ผู้แปล) -
0:07 - 0:11ผมน่ะ ประทับใจมากเลย
-
0:11 - 0:15ผมก็เลยจะกลับแล้วล่ะ (เสียงหัวเราะ)
-
0:15 - 0:19เห็นด้วยไหมครับว่ามีแนวคิดอยู่ 3 รูปแบบ
-
0:19 - 0:23ในการสัมนาครั้งนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
-
0:23 - 0:25สิ่งที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไป
-
0:25 - 0:29เรื่องแรกคือ หลักฐานที่มหัศจรรย์เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์
-
0:29 - 0:32ในการนำเสนอทั้งหมดที่เราได้รับทราบมา
-
0:32 - 0:35และในตัวของทุกๆ ท่าน ที่อยู่ ณ ที่นี้ มันช่างหลากหลาย
-
0:35 - 0:38และกว้างไกลเหลือเกินครับ และเรื่องที่สองก็คือ
-
0:38 - 0:41ความคิดสร้างสรรค์ได้นำพวกเราไปสู่ที่แห่งหนึ่ง ที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
-
0:41 - 0:43ในอนาคต ไม่รู้เลยจริงๆ
-
0:43 - 0:45ว่ามันจะเป็นอย่างไร
-
0:45 - 0:48ผมมีความสนใจในเรื่องการศึกษา
-
0:48 - 0:51ที่จริงแล้ว ผมพบว่า ทุกๆ คน มีความสนใจในเรื่องของการศึกษา
-
0:51 - 0:53จริงไหมครับ น่าสนใจนะครับ
-
0:53 - 0:56สมมติว่าคุณอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ แล้วคุณพูดว่า
-
0:56 - 0:59คุณทำงานด้านการศึกษา
-
0:59 - 1:06ทั้งที่จริง ถ้าคุณทำงานในแวดวงการศึกษา คุณจะไม่ค่อยได้อยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำบ่อยนักหรอก
-
1:06 - 1:09(หัวเราะ) คือว่าคุณจะไม่ได้รับเชิญตั้งแต่แรกน่ะ
-
1:09 - 1:14ประหลาดนะครับ คุณไม่แย้งผมด้วย
-
1:14 - 1:16เอาเป็นว่าถ้าคุณได้รับเชิญไปงาน
แล้วคุยกับคนอื่นๆ ในงาน -
1:16 - 1:18เกิดมีคนถามคุณว่า "คุณทำงานอะไร"
-
1:18 - 1:20แล้วคุณตอบว่า ผมทำงานด้านการศึกษา
-
1:20 - 1:24คุณจะเห็นว่า หน้าพวกเขาจะซีดลงทันที พวกเค้าจะคิดในใจว่า
-
1:24 - 1:30โธ่ ซวยจริง ๆ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย
ค่ำคืนแห่งอิสระภาพของฉันในอาทิตย์นี้ (หัวเราะ) -
1:30 - 1:32แต่ถ้าคุณถามเกี่ยวกับการศึกษาของพวกเขา
-
1:32 - 1:34เค้าจะตอบมาเป็นฉากๆ เลยครับ เพราะว่าการศึกษา
-
1:34 - 1:37เป็นเรื่องที่คนยึดถืออย่างลึกซึ้ง จริงไหมครับ?
-
1:37 - 1:40เหมือนกับเรื่องของศาสนา ความร่ำรวย และอีกหลายๆ เรื่อง
-
1:40 - 1:44ผมมีความสนใจอย่างมากในเรื่องของการศึกษา
และผมคิดว่าทุกคนก็คงเหมือนกัน -
1:44 - 1:46พวกเราสนใจมัน
-
1:46 - 1:49ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า
การศึกษาคือสิ่งที่ -
1:49 - 1:52จะนำเราไปสู่อนาคตที่เราคาดไม่ถึง
-
1:52 - 1:55ลองคิดดูซิครับ เด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียนในปีนี้ (2006)
-
1:55 - 2:01จะเกษียณอายุในปี 2065 ไม่มีใครรู้เลยครับ
-
2:01 - 2:04แม้แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย
ที่มาร่วมในการสัมนาช่วง 4 วันที่ผ่านมา -
2:04 - 2:06ไม่รู้เลยครับว่าโลกจะเป็นอย่างไร
-
2:06 - 2:08แม้แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า และพวกเรานั่นแหละที่จะต้อง
-
2:08 - 2:11สอนเด็กๆ ให้รับมือกับสิ่งที่จะมาถึง
ดังนั้น ผมคิดว่าความยากที่จะคาดเดานั้น -
2:11 - 2:13มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน
-
2:13 - 2:15และแนวคิดสุดท้าย แนวคิดที่สามก็คือ
-
2:15 - 2:20พวกเราทุกคนเห็นด้วย ใช่ไหมครับว่า
-
2:20 - 2:23เด็กๆ มีความสามารถที่วิเศษ
-
2:23 - 2:25ความสามารถของพวกเขาในเรื่องของนวัตกรรม
ดูจากเด็กหญิงซิรีนาเมื่อคืนนี้ซิครับ เธอเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์จริงๆ -
2:25 - 2:28ใช่มั้ยครับ ในสิ่งที่เธอสามารถทำได้
-
2:28 - 2:33เธอทำได้เยี่ยมไปเลยครับ แต่ผมก็ยังคิดว่าเธอคงไม่ได้
-
2:33 - 2:36เก่งไปทั้งหมดในเรื่องของวัยเด็ก
-
2:36 - 2:39แต่สิ่งที่พวกเราได้เห็นคือ คนที่มีความมุ่งมั่นเป็นเลิศ
-
2:39 - 2:41คือคนที่หาความสามารถเฉพาะตัวของตนเองเจอ
ข้อโต้แย้งของผมก็คือ -
2:41 - 2:43ผมคิดว่า เด็กทุกคน มีความสามารถเฉพาะตัว
-
2:43 - 2:45แต่พวกเรากลับทำลายมันอย่างน่าเสียดาย
-
2:45 - 2:48ดังนั้น วันนี้ ผมอยากจะพูดถึง การศึกษา และ
-
2:48 - 2:51ความคิดสร้างสรรค์
ความคิดที่ผมต้องการนำเสนอคือ -
2:51 - 2:54ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีความสำคัญ
ในด้านการศึกษาพอๆ กับการรู้หนังสือ -
2:54 - 2:58และเราควรที่จะให้ความสำคัญ
กับมันอย่างเท่าเทียมกัน -
2:58 - 3:06(เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ
อันที่จริงก็เท่านั้นล่ะครับ -
3:06 - 3:10ขอบคุณมากครับ (หัวเราะ)
เอาล่ะ เหลืออีก 15 นาที -
3:10 - 3:17อืม ตอนที่ผมเกิด....ไ่ม่ล่ะ (หัวเราะ)
-
3:17 - 3:21เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ยินเรื่องๆ หนึ่ง
ที่ผมชอบที่จะเล่าต่อให้กับคนอื่นๆ ฟัง -
3:21 - 3:25มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็ก
ผู้หญิงอายุ 6 ขวบคนหนึ่งในชั่วโมงศิลปะ -
3:25 - 3:27เธอนั่งวาดรูปอยู่หลังห้อง
-
3:27 - 3:29คุณครูของเธอบอกว่า
-
3:29 - 3:33เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่เคยให้ความสนใจในสิ่งใดๆ เลย
นอกจากในชั่วโมงศิลปะของวันนี้ -
3:33 - 3:35คุณครูรู้สึกประหลาดใจมาก
จึงเดินเข้าไปหาเด็กน้อย -
3:35 - 3:38แล้วถามเธอว่า "หนูกำลังวาดอะไรอยู่จ๊ะ"
-
3:38 - 3:41เด็กน้อยตอบว่า "หนูกำลังวาดรูปพระเจ้าค่ะ"
-
3:41 - 3:44แล้วคุณครูก็ถามต่อว่า
"แต่ว่าไม่มีใครรู้นะจ๊ะว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นยังไง" -
3:44 - 3:51เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า
"อีกแป๊บนึงพวกเค้าก็จะรู้แล้วล่ะค่ะ" -
3:51 - 3:52(หัวเราะ)
-
3:52 - 3:57ตอนที่ลูกชายของผมอายุ 4 ขวบ ในอังกฤษ
-
3:57 - 4:00อืม อันที่จริงแล้วเขาก็อายุ 4 ขวบ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแหละครับ (หัวเราะ) -
4:00 - 4:06ถ้าจะพูดให้ถูกต้องแล้ว
ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนในปีนั้นเขาก็อายุ 4 ขวบ -
4:06 - 4:08เขาได้ร่วมแสดงในการแสดง
เกี่ยวกับวันประสูติของพระเยซู -
4:08 - 4:11คุณจำเรื่องราวได้ไหมครับ
มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากนะครับ -
4:11 - 4:14เมล กิ๊บสัน ถึงขั้นทำภาคต่อเลยทีเดียว
-
4:14 - 4:19คุณคงเคยได้ชมแล้ว "กำเนิดพระเยซู ภาค 2"
เจมส์ ลูกชายของผม ได้เล่นเป็น โจเซฟ -
4:19 - 4:22ซึ่งพวกเราตื่นเต้นกันมาก
-
4:22 - 4:24เราถือว่านี่เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงนำเลยทีเดียว
-
4:24 - 4:26ตอนไปดูเรายกทีมกันใส่เสื้อยืดที่สกรีนว่า
-
4:26 - 4:29"เจมส์ โรบินสัน เป็น โจเซฟ" (หัวเราะ)
-
4:29 - 4:31เขาไม่มีบทพูดเลยครับ
แต่คุณก็คงรู้ว่าเค้าบทเป็นอย่างไร -
4:31 - 4:34ตอนที่กษัตริย์ 3 พระองค์เดินทางมาถึง
พวกเขานำของขวัญมาด้วย -
4:34 - 4:36ซึ่งได้แก่ ทอง ยางสนที่มีกลิ่นหอม
และ น้ำมันหอม -
4:36 - 4:38เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงครับ
พวกเรานั่งดูอยู่ที่นั่น -
4:38 - 4:40ผมคิดว่าเกิดการผิดคิวกันเกิดขึ้น
-
4:40 - 4:42เพราะว่าเราคุยกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
หลังจากที่ตัวละครเดินเข้ามาบนเวที เราถามเขาว่า -
4:42 - 4:44"หนูว่านี่โอเคมั๊ย" เด็กน้อยตอบว่า
"ครับ ทำไมเหรอครับ?" "มีอะไรผิดปกติเหรอครับ" -
4:44 - 4:46พวกเขาแค่ยืนสลับที่กัน
-
4:46 - 4:47อย่างไรก็ตาม เด็กชายสามคนเดินเข้ามาบนเวที
-
4:47 - 4:49เด็กอายุ 4 ขวบ ที่มีผ้าเช็ดจานวางอยู่บนศีรษะ
-
4:49 - 4:52แล้วพวกเขาก็วางกล่องของขวัญลง
-
4:52 - 4:54เด็กชายคนแรกพูดว่า "ข้านำทองมาให้เจ้า"
-
4:54 - 4:57เด็กชายคนที่สองพูดว่า "ข้านำน้ำมันหอม มาให้เจ้า"
-
4:57 - 5:11แล้วเด็กชายคนสุดท้ายก็พูดว่า "อันนี้แฟรงค์ส่งมา"
(หัวเราะ เพราะศัพท์ที่ควรพูดคือ Frankincense) -
5:11 - 5:13ทั้งสองเรื่องที่ผมเล่ามา
มีสิ่งที่เหมือนกันคือ เด็กทุกคนกล้าที่จะลอง -
5:13 - 5:16ถึงพวกเขาจะไม่รู้ พวกเขาก็จะลองดู
-
5:16 - 5:19จริงไหมครับ? เด็กไม่กลัวที่จะทำผิดพลาด
-
5:19 - 5:24เอาล่ะ แต่นี่ผมไม่ได้หมายความว่าการทำผิดพลาด
เป็นสิ่งเดียวกันกับการมีความคิดสร้างสรรค์นะครับ -
5:24 - 5:25แต่เราทุกคนทราบว่า
-
5:25 - 5:28ถ้าหากเราไม่พร้อมยอมรับกับการกระทำที่ผิดพลาด
-
5:28 - 5:31เราจะไม่มีวันสร้างสรรค์สิ่งที่แปลกใหม่ขึ้นมาได้
-
5:31 - 5:34ถ้าเราไม่พร้อมยอมรับกับการทำผิดพลาด
และรู้ไหมครับว่าเมื่อเวลาที่เด็กๆ โตเป็นผู้ใหญ่ -
5:34 - 5:36เด็กส่วนใหญ่สูญเสียความสามารถ
ในการยอมรับความผิดพลาด -
5:36 - 5:39พวกเขาจะกลายเป็นคน
ที่กลัวต่อการทำผิดพลาด -
5:39 - 5:41คิดดูซิ พวกเราบริหารบริษัทแบบนี้
-
5:41 - 5:44แบบที่เราทำให้การทำผิดพลาด
เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และตอนนี้ -
5:44 - 5:47เราก็บริหารระบบการศึกษา
แบบที่ยอมรับความผิดพลาดไม่ได้ด้วย -
5:47 - 5:50การทำผิด กลายเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด
ที่คุณจะสามารถทำได้ -
5:50 - 5:53ดังนั้น ผลของมันก็คือ
เรากำลังให้การศึกษาแก่คน เพื่อให้ละทิ้ง -
5:53 - 5:56ความสามารถในด้านความคิดสร้างสรรค์
-
5:56 - 5:59ครั้งหนึ่ง ปิกัสโซ่ (ศิลปินด้านการวาดภาพ)
เคยกล่าวไว้ว่า เด็กทุกคนเกิดมาเป็นศิลปิน -
5:59 - 6:03ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรให้ความเป็นศิลปินนั้น
ยังคงอยู่เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ -
6:03 - 6:05ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์
มากขึ้นตามการเจริญเติบโต -
6:05 - 6:08แต่พวกเรากลับมีลดน้อยลง ตามอายุที่มากขึ้น
หรืออาจจะพูดได้ว่า พวกเราได้รับการศึกษาให้มีความถดถอยด้านความคิดสร้างสรรค์ -
6:08 - 6:10มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรล่ะ?
-
6:10 - 6:14ผมอาศัยอยู่ที่เมือง Stratford-on-Avon เมื่อ 5 ปีก่อน
-
6:14 - 6:16หลังจากนั้น ครอบครัวเราก็ได้ย้ายย้ายจาก
Stratford มาที่ Los Angeles -
6:16 - 6:20ลองจินตนาการดูซิครับว่า มันเป็นการเปลี่ยนแปลง
จากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดไหน -
6:20 - 6:22(หัวเราะ) จริงๆ แล้ว
-
6:22 - 6:24พวกเราอยู่ในเมืองที่เรียกว่า Snitterfield
-
6:24 - 6:26ซึ่งอยู่ในรอบนอกของ Stratford
มันเป็นสถานที่ที่ -
6:26 - 6:31เป็นบ้านเกิดของคุณพ่อของ Shakespeare
คุณได้ยินอย่างนี้เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นรึเปล่า? ผมเป็นนะ -
6:31 - 6:33คุณไม่เคยคิดว่า Shakespeare มีพ่อใช่ไหมครับ
-
6:33 - 6:35จริงไหม คุณคงไม่เคยคิดถึง
-
6:35 - 6:37Shakespeare ตอนเป็นเด็กใช่ไหมครับ?
-
6:37 - 6:40Shakespeare อายุ 7 ขวบเหรอ?
ผมไม่เคยคิดถึงหรอก แต่จริงๆ แล้ว -
6:40 - 6:42ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เขาเคยอายุ 7 ขวบ
-
6:42 - 6:51เขาเคยเรียนอยู่ในวิชาภาษาอังกฤษของครูสักคนหนึ่ง ใชไหมครับ?
มันจะน่ารำคาญสักแค่ไหนนะ? -
6:51 - 7:05(หัวเราะ) ครูของเขาคงจะเขียนรายงานผลการเรียนว่า
"ต้องพยายามมากกว่านี้" หรืออย่างตอนที่พ่อของ Shakespeare ส่งเขาเข้านอน -
7:05 - 7:08"ไปนอนได้แล้ว"
-
7:08 - 7:10"วางดินสอลง
-
7:10 - 7:18แล้วก็หยุดพูดแบบนี้ซะที มันทำให้คนอื่นเค้าสับสนกันไปหมด"
-
7:18 - 7:23(หัวเราะ)
-
7:23 - 7:26เอาล่ะครับ กลับมาเข้าเรื่อง ก็คือครอบครัวของผม
ย้ายจากเมือง Stratford มาที่ Los Angeles -
7:26 - 7:30ที่ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ
-
7:30 - 7:33ลูกชายของผมไม่อยากย้ายมาเลย
-
7:33 - 7:36ผมมีลูกสองคนครับ
ลูกชายตอนนี้อายุ 21 ส่วนลูกสาวอายุ 16 -
7:36 - 7:38เจ้าลูกชายผมเค้าไม่อยากย้ายไป Los Angeles
จริงๆ เขาชอบเมืองนี้นะครับ -
7:38 - 7:43แต่ว่า ณ ตอนนั้น เขามีแฟนอยู่ในอังกฤษ
ชื่อ ซาร่าห์ รักเดียวของเขาเลยล่ะครับ -
7:43 - 7:45เขารู้จักเธอมาได้ประมาณเดือนนึง
-
7:45 - 7:48แต่จะว่าไป อาจจะเรียกได้ว่า
พวกเขาเหมือนแต่งงานกันมาแล้วครบ 4 ปี -
7:48 - 7:52เพราะว่าการคบกับใครได้ 1 เดือนสำหรับเด็กอายุ 16 แล้ว
มันเหมือนเป็นระยะเวลายาวนาน -
7:52 - 7:54ดังนั้น ลูกชายผมจึงเสียใจมาก
ตอนที่อยู่บนเครื่อง -
7:54 - 7:56เขาบอกว่า "ผมคงไ่ม่มีทางเจอผู้หญิงอย่างซาร่าห์อีกแล้ว"
-
7:56 - 7:58จริงๆ แล้ว ผมกับภรรยา ดีใจครับที่เป็นแบบนั้น
-
7:58 - 8:10เพราะว่า ซาร่าห์ คือเหตุผลหลัก
ที่เราตัดสินใจย้ายออกจากอังกฤษ -
8:10 - 8:13(หัวเราะ)
-
8:13 - 8:16แต่การย้ายมาอเมริกาทำให้เราฉุกคิดครับ
-
8:16 - 8:18เมื่อคุณได้ท่องเที่ยวมาแล้วทั่วโลก
-
8:18 - 8:22คุณจะพบว่า ระบบการศึกษา ทุกที่บนโลกนี้
มีการจัดระดับของวิชาต่าง ๆ แบบเดียวกัน -
8:22 - 8:24ทุกที่เลยครับ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน
-
8:24 - 8:26คุณอาจคิดว่ามันน่าจะต่างกัน
แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ -
8:26 - 8:29ระดับบนสุดก็คือ คณิตศาสตร์ และ ภาษา
-
8:29 - 8:31จากนั้นก็มนุษยศาสตร์ และล่างสุดคือศิลปะ
-
8:31 - 8:33เป็นแบบนี้ทั้งโลกเลยครับ
-
8:33 - 8:36และเป็นแบบนี้ในทุกระบบด้วยครับ
-
8:36 - 8:38นอกจากนี้ข้างในสาขาศิลปะเอง
ก็ยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ -
8:38 - 8:40ในสถานศึกษา จิตรกรรม และ ดนตรี
จะมีสถานะที่สูงกว่า -
8:40 - 8:43การแสดง และการเต้นรำ
ไม่มีระบบการศึกษาใดเลยในโลกนี้ -
8:43 - 8:45ที่เราสอนให้เด็กๆ เต้นรำ ทุกวัน
-
8:45 - 8:48เหมือนกับที่เราสอนคณิตศาสตร์ ทำไมล่ะครับ
-
8:48 - 8:50ทำไมเราถึงไม่ทำอย่างนั้น
ผมว่าเรื่องนี้สำคัญมากทีเดียว -
8:50 - 8:53ใช่ครับ ผมยอมรับว่าความรู้ด้านคณิตศาสตร์นั้นสำคัญ
แต่ผมว่าการเต้นก็สำคัญเหมือนกัน -
8:53 - 8:56เด็กๆ เต้นตลอดเวลา ถ้าพวกเขาได้รับอนุญาต
-
8:56 - 8:59พวกเราก็มีร่างกายด้วยกันทั้งนั้นใช่ไหมครับ
ผมไม่ได้พลาดอะไรไปใช่ไหม -
8:59 - 9:03(หัวเราะ) จริงๆ นะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
-
9:03 - 9:05เมื่อเด็กๆ โตขึ้น
พวกเราก็ค่อยๆ สอนเด็กเหล่านั้น -
9:05 - 9:08ให้ใช้ความสามารถตั้งแต่เอวขึ้นไป
แล้วเราก็เน้นเฉพาะการใช้สมอง -
9:08 - 9:10และค่อนข้างจะไปทางซีกหนึ่งของสมองด้วย
-
9:10 - 9:14ถ้าหากคุณเป็นมนุษย์ต่างดาว
แล้วได้เข้าไปเยี่ยมชมงานด้านการศึกษา -
9:14 - 9:17เพื่อตอบคำถามว่า "การศึกษา มีไว้เพื่ออะไร?"
-
9:17 - 9:19คุณคงจะได้ข้อสรุป
จากการพิจารณาจากผลผลิตที่ออกมา -
9:19 - 9:21จากคนที่ได้รับผลประโยชน์จากมัน
-
9:21 - 9:23คนที่ทำในสิ่งที่คิดว่าสมควรทำ
-
9:23 - 9:26คนที่ประสบความสำเร็จ
-
9:26 - 9:29คุณน่าจะได้ข้อสรุปว่า
วัตถุประสงค์ของการศึกษา -
9:29 - 9:30ของทั้งโลกใบนี้ คือ
-
9:30 - 9:34การผลิตอาจารย์มหาวิทยาลัย ว่ามั้ยครับ
-
9:34 - 9:36พวกเขาเหล่านั้นคือ
คนที่อยู่อันดับต้นๆ ของการจัดอันดับครับ -
9:37 - 9:40ผมก็เคยอยู่ในคนกลุ่มนั้นครับ เป็นยังไงล่ะ (หัวเราะ)
-
9:40 - 9:44ผมชอบอาจารย์มหาวิทยาลัยนะครับ แต่ผมว่า
-
9:44 - 9:48เราไม่ควรยกย่องพวกเขา
ว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุด -
9:48 - 9:50พวกเขาก็แค่สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งเท่านั้นครับ
-
9:50 - 9:52ที่ค่อนข้างจะมีความช่างคิด ช่างสงสัย
-
9:52 - 9:54และผมพูดอย่างนี้โดยไม่คิดถึงความชื่นชม
ที่มีต่อพวกเขานะครับ -
9:54 - 9:57จากประสบการณ์ที่ผมมี
มีบางอย่างน่าสนใจเกี่ยวกับบรรดาศาสตราจารย์เหล่านี้ครับ -
9:57 - 10:00ไม่ใ่ช่ทุกคนนะครับ แค่บางคน
ที่มีชีวิตอยู่แต่กับความคิดในหัวของตัวเอง -
10:00 - 10:02อยู่อย่างนั้นเลยครับ
แล้วค่อนข้างไปทางสมองซีกหนึ่ง -
10:02 - 10:06พวกเขาไม่สนใจร่างกายของพวกเขาหรอกครับ
-
10:06 - 10:08พวกเขามองว่าร่างกายนั้น
-
10:08 - 10:17ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้ศีรษะของพวกเขา
เคลื่อนที่ไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ -
10:17 - 10:24(หัวเราะ) ร่างกายก็เป็นแค่สิ่งที่
พาศีรษะของเขาไปประชุม -
10:24 - 10:27ถ้าคุณอยากเห็นหลักฐาน
เกี่ยวกับประสบการณ์การละทิ้งร่างกาย -
10:27 - 10:30ลองไปเข้าร่วมงานสัมนา
ของอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยซิครับ -
10:30 - 10:32บรรดาผู้มีคุณวุฒิทางการศึกษา
-
10:32 - 10:35ไปงานเต้นรำในคืนสุดท้ายของการสัมนานะครับ
-
10:35 - 10:39(หัวเราะ) ณ ที่นั่น คุณจะได้เห็น
ชาย หญิง ที่โตแล้ว -
10:39 - 10:43ขยับแข้ง ขยับขา
แบบไม่เข้าจังหวะเอาเสียเลยครับ -
10:43 - 10:47อยู่จนงานเลิก
แล้วไปเขียนบนความเกี่ยวกับเรื่องนั้นนะครับ -
10:47 - 10:53ทีนี้ ระบบการศึกษาของเรา
เกิดจากความคิดเกี่ยวกับความสามารถทางวิชาการ -
10:53 - 10:56แ่ต่มันก็มีเหตุผลจากว่า
-
10:56 - 10:58ระบบนี้ในทั่วโลก ถูกสร้างขึ้นในช่วง
-
10:58 - 11:00ก่อนศตวรรษที่ 19 ซึ่งตอนนั้น
ยังไม่มีระบบการศึกษาสาธารณะเกิดขึ้นเลยครับ -
11:00 - 11:03มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ
-
11:03 - 11:04ตอบสนองความต้องการในยุค
ปฏิวัติอุตสาหกรรม -
11:04 - 11:07ดังนั้น อันดับความสำคัญของวิชาต่างๆ
ถูกจัดโดยพิจารณาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ -
11:07 - 11:11ปัจจัยแรก วิชาที่มีประโยชน์
กับลักษณะงานที่มีอยู่ในยุคนั้นมากที่สุด -
11:11 - 11:13จะถูกจัดไว้สูงสุด
ดังนั้นคุณจะได้รับการชี้นำให้ออกห่าง -
11:13 - 11:15จากสิ่งที่คุณชอบ ณ ตอนที่คุณเป็นเด็ก
-
11:15 - 11:17ด้วยเหตุผลที่ว่า
-
11:17 - 11:20คุณไม่มีทางทำมาหากินได้
จากวิชาความรู้ที่คุณชอบ จริงรึเปล่าครับ -
11:20 - 11:22ไม่ต้องเรียนดนตรีหรอก
โตขึ้นจะเป็นนักดนตรีไม่ได้นะ -
11:22 - 11:24ไม่ต้องเีรียนศิลปะหรอก
โตขึ้นไม่ได้จะเป็นศิลปินเสียหน่อย -
11:25 - 11:29คำแนะนำเหล่านี้ ณ ตอนนี้เราพบแล้วว่า
เป็นความคิดที่ผิด -
11:29 - 11:30โลกเราตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติ
-
11:30 - 11:33ถัดมาคือความสามารถในด้านวิชาการ
ที่มีผลเป็นอย่างมาก -
11:33 - 11:34กับมุมมองของพวกเราในเรื่องของสติปัญญา
-
11:34 - 11:37นั่นเป็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยได้ออกแบบ
ระบบการศึกษาจากภาพลักษณ์ของตัวมันเอง -
11:37 - 11:39ลองนึกดูซิครับว่า
-
11:39 - 11:41ระบบการศึกษาสาธารณะทุกที่ในโลกนี้
ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ -
11:41 - 11:43ในการเข้าสู่มหาวิทยาลัย
-
11:43 - 11:46และผลก็คือ มีหลายคนที่มีพรสวรรค์
มีความสามารถเฉพาะตัว -
11:46 - 11:48เก่ง และมีความสร้างสรรค์
กลับคิดว่าพวกเขาไม่มีความสามารถอะไรเลย -
11:48 - 11:50เพียงเพราะว่า พวกเขาเรียนไม่เก่ง
-
11:50 - 11:54ไม่มีใครมองเห็นคุณค่า
แล้วกลับถูกมองว่าผิดปกติ -
11:54 - 11:56ผมว่า เราไม่ควรปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปนะครับ
-
11:56 - 11:58ด้วยข้อมูลจากองค์กรยูเนสโก
ภายใน 30 ปี จากนี้ -
11:58 - 12:01ทั่วโลกจะมีคนจบการศึกษา
-
12:01 - 12:03มากกว่าจำนวนคนทั้งหมด
ณ จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ -
12:03 - 12:05จะมีคนจำนวนมากขึ้น
-
12:05 - 12:07แล้วก็มีสิ่งต่างๆ ที่เราได้พูดถึงก่อนหน้านี้
-
12:07 - 12:10ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี และการเปลี่ยนรูปร่างของมัน
ที่มีผลต่องาน และลักษณะโครงสร้างของประชากร -
12:10 - 12:12และจำนวนของประชากรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
-
12:12 - 12:15ถึงตอนนั้น การมีปริญญาจะไ่ม่มีความหมายอีกต่อไป
จริงไหมครับ -
12:15 - 12:19ตอนที่ผมเป็นนักศึกษา
ตอนนั้นถ้าคุณมีปริญญา คุณก็จะมีงานทำ -
12:19 - 12:22แล้วถ้าหากคุณไม่มีงานทำ
นั่นเป็นเพราะว่าคุณไม่ต้องการมัน -
12:22 - 12:25แล้วจริงๆ แล้วผมก็ไม่อยากได้มันหรอกครับ (หัวเราะ)
-
12:25 - 12:30แต่คนรุ่นใหม่ที่มีปริญญาตอนนี้
-
12:30 - 12:31หลายคนกลับไปอยู่บ้าน
แล้วยังคงเล่นวีดีโอเกมส์ -
12:31 - 12:34เพราะคุณต้องมีปริญญาโท
เพื่อขยับจากงานเก่าที่ต้องการคนจบปริญญาตรี -
12:34 - 12:37แล้วตอนนี้คุณก็ต้องมีปริญญาเอก
เพื่อให้ได้อีกงานหนึ่ง -
12:37 - 12:39มันเป็นกระบวนการเฟ้อของการศึกษา
-
12:39 - 12:41และมันชี้ให้เป็นว่าโครงสร้างของการศึกษา
-
12:41 - 12:43ได้มีการเปลี่ยนแปลงแล้วในช่วงชีวิตของพวกเรา
เราจึงจำเป็นต้องคิดใหม่ -
12:43 - 12:44เกี่ยวกับมุมมองของเรา
ในเรื่องของสติปัญญา -
12:44 - 12:46เรารู้อยู่ 3 อย่างเกี่ยวกับสติปัญญา
-
12:46 - 12:49สิ่งแรกคือมันหลากหลาย
เรามองโลกในมุมมองที่หลากหลาย -
12:49 - 12:51จากสิ่งที่เราได้ประสบ เราคิดจากสิ่งที่เห็น
-
12:51 - 12:54จากสิ่งที่ได้ยิน จากการลงมือทำ
-
12:54 - 12:57เราคิดในแบบที่เป็นนามธรรม
เราคิดในการเคลื่อนไหว -
12:57 - 12:59สิ่งที่สองคือ สติปัญญานั้น
มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา -
12:59 - 13:02ถ้าคุณมองการปฏิสัมพันธ์
ในเซลล์ต่างๆ ของสมอง -
13:02 - 13:05จากที่เราได้ฟังจากหลายการนำเสนอเมื่อวานนี้
-
13:05 - 13:07สติปัญญาเป็นการปฏิสัมพันธ์ที่มหัศจรรย์
-
13:07 - 13:10สมองของเราไม่ได้ถูกแบ่งออก
เป็นชิ้นส่วนต่างๆ -
13:10 - 13:13ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ที่ผมนิยามไว้ว่าเป็นกระบวนการ -
13:13 - 13:15ในการสร้างให้เกิดแนวความคิด
ที่เป็นต้นฉบับ ที่มีคุณค่า -
13:15 - 13:18หลายครั้งมันไม่ได้มาจากการปฏิสัมพันธ์
-
13:18 - 13:21ของการมองสิ่งต่างๆ ในรูปแบบที่ต่างกันไป
-
13:21 - 13:23สมองนั้นถูกออกแบบ
-
13:23 - 13:26ให้มีการประสานกันของเส้นประสาท
ที่ได้หลอมรวมสมองทั้งสองส่วน -
13:26 - 13:28เรียกว่า Corpus Collosum
ซึ่งในผู้หญิงนั้นพบว่าจะมีความหนากว่าผู้ชาย -
13:28 - 13:30ซึ่งก็เป็นไปตามที่ เฮเลน ได้พูดไว้เมื่อวานนี้
-
13:30 - 13:34ผมคิดว่า มันคือเหตุผลว่าทำไมผู้หญิง
จึงสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กันได้ดีกว่าผู้ชาย -
13:34 - 13:36เพราะว่าพวกคุณเก่งกว่าจริงๆ ใช่มั้ย
-
13:36 - 13:39มีงานวิจัยสนับสนุนความคิดนี้มากมายเลยครับ
แต่ผมรู้ได้จากชีวิตของผมเอง -
13:39 - 13:41ถ้าหากภรรยาของผมทำอาหารที่บ้าน
-
13:41 - 13:45โชคดีครับที่เธอไม่ได้ทำมันบ่อยนัก (หัวเราะ)
-
13:45 - 13:48เธอทำอาหารบางจานอร่อยนะครับ
-
13:48 - 13:50เอาเป็นว่า ถ้าภรรยาผมทำอาหาร
-
13:50 - 13:52เธอสามารถคุยโทรศัพท์
-
13:52 - 13:55คุยกับลูกๆ พร้อมกับทาสีผนังไปด้วย
-
13:55 - 13:58ให้ผ่าตัดหัวใจไปด้วยก็ยังได้
-
13:58 - 14:01แต่ถ้าตอนผมทำอาหาร
ประตูครัวจะถูกปิด เด็กๆ จะต้องออกไปข้างนอก -
14:01 - 14:04หูโทรศัพท์ต้องยกออก
ถ้าภรรยาผมเข้ามาในครัว ผมจะรำคาญมาก -
14:04 - 14:17ผมจะบอกว่า เทอรี่ ได้โปรดเถอะ
ขอเวลาส่วนตัวหน่อยได้ไหม ผมกำลังทอดไข่ดาวอยู่นะ -
14:17 - 14:19คุณเคยได้ยินคำพูดนี้รึเปล่า
-
14:19 - 14:22ถ้าต้นไม้ต้นหนึ่งในป่าล้มลง แล้วไม่มีใครได้ยิน
-
14:22 - 14:25เรายังคิดว่ามันเกิดขึ้นจริงรึเปล่า
จำเรื่องต้น Chestnut ต้นนั้นได้ไหมครับ -
14:25 - 14:28เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเห็นเสื้อยืดตัวหนึ่งสกรีนคำว่า
"ถ้าชายคนหนึ่งบอกความในใจของเขาในป่า -
14:28 - 14:31และไม่มีผู้หญิงคนไหนได้ยิน
-
14:31 - 14:40เขาจะยังผิดรึเปล่า?" (หัวเราะ)
-
14:40 - 14:42เอาล่ะครับ มาถึงลักษณะที่ 3 ของความฉลาด ซึ่งก็คือ
-
14:43 - 14:45มันมีความเป็นแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ตอนนี้ผมกำลังเขียนหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง -
14:45 - 14:47ชื่อว่า Epiphany ซึ่งเนื้อหานำมาจาก
-
14:47 - 14:49บทสัมภาษณ์บุคคลหลายๆ ท่าน เกี่ยวกับการค้นพบ
-
14:49 - 14:51ความสามารถพิเศษของพวกเขา
ผมหลงไหลกับวิธีการที่คนเหล่านั้นก้าวมาถึงจุดที่พวกเขายืนอยู่ -
14:51 - 14:54แนวคิดของหนังสือนี้ มาจากการที่ผมได้พูดคุย
-
14:54 - 14:56กับผู้หญิงที่วิเศษคนหนึ่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่
-
14:56 - 14:58อาจจะไม่รู้จัก เธอคนนั้นชื่อ จิลเลี่ยน ลินน์ ครับ
-
14:58 - 15:00คุณเคยได้ยินชื่อเธอมาบ้างรึเปล่า?
บางคน ณ ที่นี้รู้จักนะครับ เธอเป็นนักออกแบบท่าเต้นครับ -
15:00 - 15:02ทุกคนจะต้องรู้จักผลงานของเธอ
-
15:02 - 15:04เธอทำละครเวทีเรื่อง Cats
และ Phantom of the Opera ครับ -
15:04 - 15:08เธอเยี่ยมมากเลย ผมเคยเป็นกรรมการบริหาร
ของ Royal Ballet ในประเทศอังกฤษ -
15:08 - 15:10พอจะเดาออกไหมครับ
-
15:10 - 15:12เอาล่ะ วันหนึ่งผมกับจิลเลี่ยน
ทานอาหารกลางวันด้วยกัน -
15:12 - 15:14ผมถามเธอว่า
"จิลเลี่ยน คุณมาเป็นนักเต้นได้อย่างไร" -
15:14 - 15:16เธอตอบว่า ตอนที่เธอเป็นนักเรียน
-
15:16 - 15:19การเรียนของเธอย่ำแย่มาก
ตอนนั้นก็ยุค 30s ครับ โรงเรียนของเธอ -
15:19 - 15:21ส่งจดหมายถึงพ่อแม่ของเธอ
ในนั้นเขียนว่า -
15:21 - 15:23"เราคิดว่าจิลเลี่ยนมีปัญหาในการเรียนรู้"
เธอไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดได้ -
15:23 - 15:25ผมคิดว่าถ้าเป็นสมัยนี้ เราเรียกอาการนี้ว่า
-
15:25 - 15:29เธอเป็นโรคสมาธิสั้น ว่าไหมครับ แต่ในยุค 1930s
-
15:29 - 15:32โรคสมาธิสั้นยังไม่ถูกค้นพบ
-
15:32 - 15:35มันก็เลยไม่ได้เป็นอาการ
ที่คนจะเลือกเป็นกันได้ (หัวเราะ) -
15:35 - 15:39คนก็เลยไม่ทราบว่า
พวกเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องนี้ -
15:39 - 15:43จิลเลี่ยนก็ได้ไปพบผู้เชี่ยวชาญ
-
15:43 - 15:46กับคุณแม่ของเธอ
-
15:46 - 15:49เธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านหนึ่ง
-
15:49 - 15:51เธอนั่งทับมือเธอไว้ 20 นาที
-
15:51 - 15:53ในระหว่างที่ผู้เชี่ยวชาญคนนี้คุยกับคุณแม่ของเธอ
-
15:53 - 15:57เกี่ยวกับปัญหาของจิลเลี่ยนที่โรงเรียนว่า
-
15:57 - 15:59เธอรบกวนเด็กคนอื่นๆ
-
15:59 - 16:01เธอส่งการบ้านสายเสมอ
-
16:01 - 16:04เด็กอายุ 8 ขวบ เท่านั้นครับ
ในตอนสุดท้าย คุณหมอท่านนี้ก็เดินมานั่งข้างๆ จิลเลี่ยน -
16:04 - 16:06แล้วเขาก็บอกกับจิลเลี่ยนว่า
-
16:06 - 16:08หมอได้ฟังเรื่องต่างๆ ของหนู
จากคุณแม่แล้วนะจ๊ะ -
16:08 - 16:10หมอต้องขอคุยกับคุณแม่
เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย -
16:10 - 16:13รอพวกเราอยู่ในห้องนี้สักพักนะจ๊ะ
เราจะไปไม่นานหรอก -
16:13 - 16:15แล้วคุณหมอกับคุณแม่ของเธอ
ก็เดินออกไปจากห้อง -
16:15 - 16:17ก่อนที่คุณหมอจะออกไปจากห้อง เขาก็เปิดวิทยุ
-
16:17 - 16:19ที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา
-
16:19 - 16:21เมื่อพวกเขาอยู่ข้างนอก คุณหมอก็พูดกับคุณแม่ของจิลเลี่ยนว่า
-
16:21 - 16:24คอยยืนดูจิลเลี่ยนอยู่ตรงนี้นะครับ
และตั้งแต่เมื่อคุณหมอและคุณแม่ของเธอออกจากห้องไป -
16:24 - 16:28จิลเลี่ยนบอกว่าเธอก็ลุกขึ้นยืน
แล้วก็เต้นไปตามเสียงเพลง -
16:28 - 16:30คุณหมอกับคุณแม่
มองเธออยู่จากด้านนอกประมาณ 2-3 นาที -
16:30 - 16:33คุณหมอก็หันไปบอกกับคุณแม่ของเธอว่า
-
16:33 - 16:37คุณนายลินน์ครับ จิลเลี่ยนไม่ได้ป่วยหรอกครับ
เธอเป็นนักเต้นต่างหาก -
16:37 - 16:39ส่งเธอไป โรงเรียนสอนเต้นรำเถอะ
-
16:39 - 16:41ผมถามจิลเลี่ยนว่า แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้น
-
16:41 - 16:44จิลเลี่ยนบอกว่า แม่ส่งฉันไปค่ะ
ฉันบรรยายไม่ถูกเลยว่ามันมหัศจรรย์ขนาดไหน -
16:44 - 16:46เราเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วย
-
16:46 - 16:49คนที่เหมือนๆ กับฉัน
คนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ -
16:49 - 16:52คนที่ต้องขยับตัวตลอดเวลาเพื่อคิด
-
16:52 - 16:54ที่นั่นสอนเต้นบัลเล่ต์ แท๊บ แจ๊ส
-
16:54 - 16:56การเต้นสมัยใหม่ และแบบร่วมสมัย
-
16:56 - 16:59เธอได้ไปคัดเลือกตัวที่ Royal Ballet School
-
16:59 - 17:01แล้วเธอก็ได้เป็นนักเต้นเดี่ยว มีอาชีพวิเศษ
-
17:01 - 17:03ที่คณะ Royal Ballet แล้วเธอก็เรียนจบ
-
17:03 - 17:05จาก The Royal Ballet School จากนั้น
-
17:05 - 17:08เธอก็เปิดบริษัทสอนเต้นรำของตัวเอง
ชื่อ The Gillian Lynne Dance Company -
17:08 - 17:11เธอได้เจอกับ แอนดรู ลอยด์ เว๊บเบอร์ (ผู้สร้าง Phantom of the Opera)
เธอได้ร่วมงานกับเขา และมีส่วนร่วม -
17:11 - 17:13กับละครเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
-
17:13 - 17:18ในประประวัติศาสตร์
เธอได้ให้ความสุขกับคนนับล้าน -
17:18 - 17:21เธอกลายเป็นมหาเศรษฐี
-
17:21 - 17:25ถ้าเธอไม่ได้เจอคุณหมอคนนั้น
เธออาจได้รับยา -
17:25 - 17:27แล้วก็บอกให้เธออยู่นิ่งๆ
สงบสติอารมณ์ -
17:27 - 17:30เอาล่ะ ทีนี้ผมคิดว่า (เสียงปรบมือ)
มาถึงเรื่องที่ -
17:30 - 17:32อัล กอร์ พูดเมื่อคืนก่อน
-
17:32 - 17:35เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และที่ Rachel Carson
กล่าวถึงเรื่องของวิวัฒนาการ -
17:35 - 17:39ผมเชื่อว่า สิ่งเดียวที่เราสามารถฝากอนาคตของเราไว้ได้คือ
-
17:39 - 17:42แนวความคิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของมนุษย์
-
17:42 - 17:46เราจะต้องเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนวิธีการคิด
-
17:46 - 17:48เกี่ยวกับสามารถอันมหาศาล
ของความสามารถของมนุษย์ -
17:48 - 17:52ระบบการศึกษาของเรา
ได้ปลูกฝังความคิดของเราในรูปแบบที่ -
17:52 - 17:54เราใช้ทรัพยากรของเรา
เพื่อให้ได้มาเพียงผลผลิตบางอย่าง -
17:54 - 17:57ที่ในอนาคตจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้
-
17:57 - 18:00เราจะต้องคิดใหม่ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานหลัก
-
18:00 - 18:02ในการให้การศึกษาแก่ลูกหลานของเรา
-
18:02 - 18:06ผมขอยกคำพูดหนึ่งของ Jonas Salk ที่ว่า
-
18:06 - 18:09ถ้าพวกแมลงทั้งหมดหายไปจากโลกนี้
-
18:09 - 18:12ภายใน 50 ปี ทุกชีวิตบนโลกก็จะสิ้นไป
-
18:12 - 18:15แต่หากมนุษย์หายไปจากโลกนี้
-
18:15 - 18:19ภายใน 50 ปี สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็จะขยายเผ่าพันธุ์ได้สมบูรณ์
-
18:19 - 18:21เขาพูดถูกนะครับ
-
18:21 - 18:24สิ่งที่ TED ส่งเสริม คือของขวัญจากจินตนาการของมนุษย์
-
18:24 - 18:28เราจะต้องระวังว่า เราได้ใช้ของขวัญนี้
-
18:28 - 18:31อย่างรู้ค่า และเราได้ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องราวอย่างที่
-
18:31 - 18:34เราได้พูดถึงกันในวันนี้ และมีเพียงวิธีการเดียว
-
18:35 - 18:38ที่เราจะทำอย่างนั้นได้
คือการที่เรามองความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ -
18:38 - 18:40ว่ามันมีมากมายมหาศาล
-
18:40 - 18:43และมองลูกหลานของเราว่าพวกเขามีสิ่งเหล่านั้น
-
18:43 - 18:46และหน้าที่ของเราก็คือสอนพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ
เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเผชิญกับอนาคตได้ -
18:46 - 18:49พวกเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นอนาคตนั้น
-
18:49 - 18:52แต่ลูกหลานของเราจะได้เห็น
ดังนั้น มันเป็นหน้าที่ของพวกเรา -
18:52 - 18:54ที่จะช่วยให้ลูกหลานของเรา
อยู่กับอนาคตนั้นได้ ขอบคุณมากครับ
- Title:
- หรือโรงเรียนจะเป็นแหล่งทำลายความคิดสร้างสรรค์
- Speaker:
- เคน โรบินสัน
- Description:
-
เซอร์ เคน โรบินสัน แสดงความเห็นที่ให้ทั้งความบันเทิงและกระตุ้นความคิด เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่หล่อเลี้ยงความคิดสร้างสรรค์ (แทนที่จะเป็นการทำลาย)
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 19:00
Sakunphat Jirawuthitanant edited Thai subtitles for Do schools kill creativity? | ||
Angsumalin Fordham added a translation |