< Return to Video

4 เสาหลักของความสำเร็จในวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัย

  • 0:01 - 0:05
    ครับ ผมกำลังจะพูดเรื่อง
    ความสำเร็จของมหาวิทยาลัยของผม
  • 0:05 - 0:07
    มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ เขตบัลติมอร์ หรือ UMBC
  • 0:07 - 0:11
    ในการให้การศึกษาแก่นักศึกษาทุกรูปแบบ
  • 0:11 - 0:15
    ตั้งแต่สาขาศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์
    รวมถึงสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
  • 0:15 - 0:19
    สิ่งที่ทำให้เรื่องของเราสำคัญเป็นพิเศษ
  • 0:19 - 0:24
    ก็คือ เราได้เรียนรู้อย่างมากจากนักศึกษากลุ่มหนึ่ง
  • 0:24 - 0:27
    ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว
    ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงของด้านงานวิชาการ
  • 0:27 - 0:31
    ได้แก่ นักศึกษาที่ไม่ใช่พวกผิวขาว นักศึกษาที่มีโอกาสน้อย
    ในบางสาขาวิชา
  • 0:31 - 0:34
    และสิ่งที่ทำให้เรื่องของเราต่างออกไปเป็นพิเศษ
  • 0:34 - 0:39
    ก็คือ เราได้เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไร จึงจะช่วยนักศึกษาผิวดำ
    นักศึกษาเชื้อสายลาตินอเมริกา
  • 0:39 - 0:41
    นักศึกษาที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน
  • 0:41 - 0:44
    ให้มาเป็นบางส่วนของกลุ่มคนที่เก่งที่สุดในโลก
    ด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์บ้าง
  • 0:44 - 0:48
    และผมก็จะเริ่มต้นจากเรื่องราวในวัยเด็กของผม
  • 0:48 - 0:51
    เราทุกคนเป็นผลผลิต
    จากประสบการณ์ในวัยเด็กของเรา
  • 0:51 - 0:55
    ยากที่ผมจะเชื่อว่าเป็นเวลานานถึง 50 ปีแล้ว
  • 0:55 - 1:01
    ตั้งแต่ผมมีประสบการณ์เป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่สาม
    ในเมืองเบอร์มิงแฮม รัฐอลาบามา
  • 1:01 - 1:03
    เป็นเด็กที่ชอบเรียนให้ได้เกรดเอ
  • 1:03 - 1:06
    เป็นเด็กที่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์
    และชอบอ่านหนังสือ
  • 1:06 - 1:08
    เป็นเด็กที่จะขอครู
  • 1:08 - 1:12
    เมื่อครูพูดว่า "เอานี่ไป โจทย์ 10 ข้อ" กับนักเรียนทั้งห้อง
  • 1:12 - 1:16
    เด็กอ้วนตัวน้อยคนนี้ก็จะพูดกับครูว่า "ขอให้เราอีก 10 ข้อครับ"
  • 1:16 - 1:19
    และนักเรียนทั้งห้องก็จะบอกว่า "ฟรีแมน หุบปากไปเลย"
  • 1:19 - 1:23
    และทุกวันจะมีการเปลี่ยนแปลง จากที่กำหนดไว้แต่เดิม
  • 1:23 - 1:25
    ดังนั้นผมจึงถามคำถามนี้อยู่เสมอๆ
  • 1:25 - 1:31
    "เราจะให้มีเด็กจำนวนมากกว่านี้
    หันมารักการเรียนอย่างแท้จริงได้อย่างไร"
  • 1:31 - 1:34
    และที่น่าตื่นเต้นจริงๆก็คือวันหนึ่งในโบสถ์
  • 1:34 - 1:36
    ซึ่งจริงๆแล้ว ผมไม่ได้อยากไป
  • 1:36 - 1:41
    ผมอยู่ด้านหลังห้อง กำลังทำโจทย์เลขอย่างเงียบๆ
  • 1:41 - 1:43
    ผมก็ได้ยินผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
  • 1:43 - 1:46
    "ถ้าเราสามารถทำให้เด็กๆ
  • 1:46 - 1:52
    มาเข้าร่วมในการเดินขบวนอย่างสงบนี้
    ในเมืองเบอร์มิงแฮมได้
  • 1:52 - 1:57
    เราก็จะแสดงให้อเมริกาเห็นได้ว่า แม้แต่เด็กๆ
    ก็ยังรู้ความแตกต่างระหว่างถูกกับผิด
  • 1:57 - 2:02
    และเด็กๆน้้น จริงๆแล้วต้องการ
    การศึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"
  • 2:02 - 2:04
    ผมจึงเงยหน้าขึ้นและถามว่า "คนนั้นคือใครครับ"
  • 2:04 - 2:07
    ผู้ชายคนนั้นก็บอกผมว่า
    เขาชื่อ ด๊อกเตอร์ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง
  • 2:07 - 2:09
    ผมจึงบอกพ่อแม่ของผมว่า
    "ผมต้องไปให้ได้
  • 2:09 - 2:10
    ผมต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนี้"
  • 2:10 - 2:12
    พ่อแม่บอกว่า "ไปไม่ได้เด็ดขาด"
  • 2:12 - 2:13
    (เสียงหัวเราะ)
  • 2:13 - 2:15
    และเราก็ต้องมีเรื่องกัน
  • 2:15 - 2:19
    ในสมัยนั้น ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว
    เราจะไม่เถียงพ่อแม่
  • 2:19 - 2:21
    ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ผมจึงพูดว่า
    "รู้ไหม พ่อกับแม่เป็นคนเสแสร้งหลอกลวง
  • 2:21 - 2:23
    พ่อแม่ให้ผมมาที่นี่ ให้ผมมาฟังเทศน์
  • 2:23 - 2:25
    แล้วเมื่อเขาต้องการให้ผมไป
    พ่อกับแม่ก็ไม่ให้ผมไป"
  • 2:25 - 2:27
    และทั้งพ่อและแม่ผมก็นอนคิดเรื่องนี้ทั้งคืน
  • 2:27 - 2:29
    และตอนเช้าพวกเขาก็เข้ามาในห้องผม
  • 2:29 - 2:31
    โดยที่ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
  • 2:31 - 2:33
    พวกเขาร้องไห้ สวดมนต์ และครุ่นคิด
  • 2:33 - 2:37
    "เราจะให้ลูกของเราที่อายุแค่ 12 ขวบ
  • 2:37 - 2:41
    เข้าร่วมเดินขบวนครั้งนี้ และอาจต้องถูกจำคุกหรือ"
  • 2:41 - 2:43
    แต่พวกเขาก็ตัดสินใจอนุญาต
  • 2:43 - 2:44
    เมื่อพวกเขาเข้ามาในห้องเพื่อบอกผม
  • 2:44 - 2:46
    ในตอนแรกผมดีใจมาก
  • 2:46 - 2:50
    และแล้วทันใดนั้นเอง ผมก็คิดถึงสุนัขทั้งหลาย
    และหัวฉีดดับเพลิง
  • 2:50 - 2:52
    และผมก็เกิดกลัวขึ้นมาจริงๆ กลัวมากด้วย
  • 2:52 - 2:55
    และประเด็นหนึ่ง ที่ผมพูดกับผู้คนมาตลอด
  • 2:55 - 2:58
    ก็คือว่า บางครั้งเมื่อคนเราทำสิ่งที่กล้าหาญ
  • 2:58 - 3:00
    ก็ไม่ได้หมายความว่า
    พวกเขากล้าหาญจริงๆ
  • 3:00 - 3:03
    มันหมายความเพียงแค่ว่า
    พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขานั้นเป็นสิ่งสำคัญ
  • 3:03 - 3:05
    ผมต้องการการศึกษาที่ดีขึ้น
  • 3:05 - 3:08
    ผมไม่ต้องการที่จะต้องใช้แต่หนังสือมือสอง
  • 3:08 - 3:10
    ผมต้องการจะเห็นว่า โรงเรียนที่ผมเข้าไปเรียนนั้น
  • 3:10 - 3:13
    ไม่เพียงแต่มีครูดีๆเท่านั้น
    แต่ต้องมีทรัพยากรครบถ้วนที่เราต้องการด้วย
  • 3:13 - 3:15
    และผลลัพธ์ของประสบการณ์นั้น
  • 3:15 - 3:17
    ในตอนกลางสัปดาห์ ระหว่างที่ผมติดคุกอยู่
  • 3:17 - 3:19
    ด๊อกเตอร์คิงก็มาหา และพูดกับพ่อแม่ผมว่า
  • 3:19 - 3:22
    "สิ่งที่ลูกๆของคุณทำในวันนี้
  • 3:22 - 3:27
    จะมีผลกระทบต่อเด็กๆที่ยังไม่ได้เกิด"
  • 3:27 - 3:32
    เมื่อไม่นานมานี้ ผมเพิ่งมาตระหนักว่า
    สองในสามของคนอเมริกันทุกวันนี้
  • 3:32 - 3:35
    ไม่ได้เกิดมาในช่วงปี 1963
  • 3:35 - 3:38
    ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว เมื่อได้ยินเรื่องเรื่องโหดร้าย
    ของเด็กๆในเมืองเบอร์มิงแฮม
  • 3:38 - 3:41
    ซึ่งก็อาจจะเหมือนกับ หากพวกเขารับชมเรื่องนี้ในโทรทัศน์
  • 3:41 - 3:44
    เหมือนกับการที่เราดูภาพยนต์เรื่อง "ลินคอล์น"
    ที่เกิดขึ้นในปี 1863
  • 3:44 - 3:46
    มันเป็นประวัติศาสตร์
  • 3:46 - 3:48
    แต่คำถามที่แท้จริงก็คือ
    บทเรียนอะไรบ้างที่เราได้เรียนรู้
  • 3:48 - 3:51
    น่าประหลาดใจนะครับ ที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือสิ่งนี้ครับ
  • 3:51 - 3:57
    เด็กๆสามารถถูกมอบหมายให้เป็นเจ้าของ
    การศึกษาของพวกเขาเองได้
  • 3:57 - 3:59
    พวกเขาสามารถถูกสอนให้กระตือรือร้น
  • 3:59 - 4:04
    เรื่องต้องการจะเรียน และรักความคิดที่จะถามคำถาม
  • 4:04 - 4:06
    ดังนั้นจึงสำคัญเป็นพิเศษ
  • 4:06 - 4:08
    ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งในปัจจุบันผมเป็นหัวหน้า
  • 4:08 - 4:11
    คือ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ เขตบัลติมอร์ หรือ UMBC
  • 4:11 - 4:17
    ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกับผมไปเข้าคุก
    พร้อมกับด็อกเตอร์คิงในปี 1963
  • 4:17 - 4:21
    และสิ่งที่ทำให้การก่อตั้งสถาบันนั้น สำคัญเป็นพิเศษ
  • 4:21 - 4:26
    ก็คือ แมรี่แลนด์เป็นฝ่ายใต้ (the South)
    ตามที่คุณก็ทราบ
  • 4:26 - 4:30
    และ พูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว
    เป็นมหาวิทยาลัยแรกในรัฐของเรา
  • 4:30 - 4:34
    ที่ถูกก่อตั้งขึ้น ในเวลาที่นักศึกษาจากทุกๆเชื้อชาติ
    เข้าไปเรียนได้
  • 4:34 - 4:38
    เราจึงมีนักศึกษาผิวดำและผิวขาว และอื่นๆ
    ที่เริ่มเข้ามาเรียน
  • 4:38 - 4:42
    และมันก็เป็นการทดลองที่นานถึง 50 ปี
  • 4:42 - 4:44
    การทดลองนี้คือ
  • 4:44 - 4:48
    เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีสถาบันในประเทศของเรา
    หรือมหาวิทยาลัยของเรา
  • 4:48 - 4:51
    ที่คนจากทุกๆพื้นเพ สามารถมาเข้าเรียนได้
  • 4:51 - 4:54
    และเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน และเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำ
  • 4:54 - 4:58
    และสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันในประสบการณ์นั้นๆ
  • 4:58 - 5:03
    สิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ว่านั้น
    สำหรับผมแล้วก็คือสิ่งต่อไปนี้
  • 5:03 - 5:07
    เราค้นพบว่า เราสามารถทำอะไรได้มากในเรื่องของ
    ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และ สังคมศาสตร์
  • 5:07 - 5:10
    เราจึงเริ่มทำงานในสิ่งนั้น
    เป็นเวลาหลายปี ในช่วงทศวรรตที่ 60
  • 5:10 - 5:14
    และเราก็ได้ผลิตคนเป็นจำนวนมากด้านกฎหมาย
    ไปจนถึงมนุษยศาสตร์
  • 5:14 - 5:16
    เราผลิตศิลปินที่ยิ่งใหญ่ เบ็กเก็ต (Beckett)
    เป็นมิวส์ (muse) ของเรา
  • 5:16 - 5:18
    นักศึกษาของเราจำนวนมาก
    ไปทำงานด้านการละคร
  • 5:18 - 5:19
    เป็นงานที่ยิ่งใหญ่
  • 5:19 - 5:23
    ปัญหาที่เราได้เผชิญไปแล้ว เป็นปัญหาเดียวกับที่
    อเมริกายังคงเผชิญอยู่อย่างต่อเนื่อง--
  • 5:23 - 5:25
    ก็คือ นักศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
  • 5:25 - 5:27
    นักศึกษาผิวดำไม่ประสบความสำเร็จ
  • 5:27 - 5:29
    แต่เมื่อผมดูข้อมูล
  • 5:29 - 5:32
    สิ่งที่ผมพบก็คือ พูดกันตรงๆ นักศึกษาทั่วๆไป
  • 5:32 - 5:34
    เป็นจำนวนมากศึกษาไม่สำเร็จ
  • 5:34 - 5:36
    และผลจากสิ่งนี้ก็คือ
  • 5:36 - 5:39
    เราได้ตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะช่วยได้
    ลำดับแรกก็คือ
  • 5:39 - 5:43
    กลุ่มที่อยู่ตํ่าสุด คือ นักศึกษาแอฟริกันอเมริกัน
    แล้วก็นักศึกษาเชื้อสายเสปญ
  • 5:43 - 5:48
    โรเบิร์ด และเจน เมเยอร์ฮอฟ (Robert and Jane Meyerhoff) ผู้ใจบุญ บอกว่า "เราอยากจะช่วย"
  • 5:48 - 5:51
    โรเบิร์ด เมเยอร์ฮอฟ พูดว่า "ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างที่เราเห็นในทีวี เกี่ยวกับหนุ่มผิวดำ
  • 5:51 - 5:54
    ถ้าไม่ใช่เกี่ยวกับบาสเก็ตบอลล์แล้วละก็
    จะไม่เป็นเรื่องในทางบวก
  • 5:54 - 5:56
    ผมอยากจะทำที่ต่างออกไป
    นั่นคือทำบางอย่างที่เป็นบวก
  • 5:56 - 6:00
    เราจึงรวมแนวคิดนั้นเข้าด้วยกัน
    และสร้างโครงการทุนเรียนดีเมเยอร์ฮอฟขึ้น
  • 6:00 - 6:02
    และสิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับโครงการนี้
  • 6:02 - 6:05
    ก็คือ เราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง
  • 6:05 - 6:06
    และคำถามก็คือ
  • 6:06 - 6:10
    ทำได้อย่างไร ขณะนี้เราเป็นผู้นำในประเทศ
    ในการผลิตนักศึกษาแอฟริกัน-อเมริกัน
  • 6:10 - 6:15
    ซึ่งจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์
    วิศวกรรมศาสตร์ และแพทยศาสตร์/ปริญญาเอก
  • 6:15 - 6:18
    มันเป็นเรื่องใหญ่ ปรบมือให้ผมเรื่องนี้หน่อยนะครับ
    มันเป็นเรื่องใหญ่
  • 6:18 - 6:20
    มันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
  • 6:20 - 6:23
    (เสียงปรบมือ)
  • 6:23 - 6:25
    คุณคงเข้าใจนะ คนส่วนมากไม่ตระหนักในเรื่องนี้
  • 6:25 - 6:29
    ว่าไม่เพียงแต่คนกลุ่มน้อยเท่านั้น ที่เรียนไม่เก่ง
    ด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
  • 6:29 - 6:32
    พูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว
    คุณกำลังพูดถึงคนอเมริกัน
  • 6:32 - 6:36
    ถ้าคุณไม่ทราบเรื่องนี้ ขณะที่ร้อยละ 20
    ของคนผิวดำและคนเชื้อสายเสปญ
  • 6:36 - 6:38
    ซึ่งเริ่มเข้าเรียนวิชาเอกวิทยาศาสตร์
    และวิศวกรรมศาสตร์
  • 6:38 - 6:40
    จะสำเร็จการศึกษาสายวิทยาศาสตร์
    และวิศวกรรมศาสตร์ได้จริง
  • 6:40 - 6:44
    แต่มีเพียงร้อยละ 32 ของคนผิวขาว
    ที่เริ่มเข้าเรียนวิชาเอกในสาขาวิชาเหล่านี้
  • 6:44 - 6:46
    ที่สำเร็จและจบการศึกษาในสาขาวิชาเหล่านั้นได้จริง
  • 6:46 - 6:49
    และคนเอเซียอเมริกันจะสำเร็จเพียงร้อยละ 42
  • 6:49 - 6:51
    ดังนั้น คำถามที่แท้จริงก็คือ
    อะไรคือสิ่งที่ท้าทาย
  • 6:51 - 6:54
    ส่วนหนึ่งของมัน แน่นอนที่สุด ก็คือการศึกษาระดับประถม
    และมัธยมศึกษา (K-12)
  • 6:54 - 6:56
    เราจำเป็นต้องทำให้การศึกษาระดับ K-12 เข้มข้นขึ้น
  • 6:56 - 6:58
    แต่อีกส่วนหนึ่ง ก็ต้องเกี่ยวกับประเพณีการปฏิบัติ
  • 6:58 - 7:00
    ของวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
    ในมหาวิทยาลัยของเรา
  • 7:00 - 7:04
    คุณทราบหรือไม่ว่า นักศึกษาจำนวนมากที่มีคะแนนสอบมาตรฐานเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (SAT) สูง
  • 7:04 - 7:06
    และนักศึกษาจำนวนมากที่ได้รับการยกเว้นการเข้าเรียนบางวิชา จากคะแนนการสอบเทียบระดับ (A.P)
  • 7:06 - 7:09
    ที่ได้ไปเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุด
    ในประเทศของเรา
  • 7:09 - 7:13
    เริ่มเข้าเรียนเตรียมแพทย์และวิศวกรรมศาสตร์
    และในที่สุดพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนวิชาเอกไป
  • 7:13 - 7:16
    และเหตุผลข้อแรกที่เราพบ พูดกันอย่างตรงไปตรงมา
  • 7:16 - 7:19
    ก็คือ พวกเขาเรียนไม่ได้ดี วิชาวิทยาศาสตร์ของปีแรก
  • 7:19 - 7:23
    ตามจริงแล้ว เราเรียกวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมของปีแรก
    แบบฉบับทั่วไปในอเมริกา
  • 7:23 - 7:25
    ว่าเป็นวิชาที่กำจัดออกไป หรือวิชาที่เป็นอุปสรรค
  • 7:25 - 7:26
    มีใครกี่คนในที่ประชุมนี้ที่รู้จักคน
  • 7:26 - 7:28
    ที่เริ่มเข้าเรียนในหลักสูตรเตรียมแพทย์
    หรือวิศวกรรม
  • 7:28 - 7:30
    และเปลี่ยนวิชาเอกของเขาภายในหนึ่งหรือสองปี
  • 7:30 - 7:32
    มันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของคนอเมริกัน
    ครึ่งหนึ่งของท่านทั้งหลายในห้องนี้
  • 7:32 - 7:33
    ผมทราบ ผมทราบ ผมทราบครับ
  • 7:33 - 7:35
    สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
  • 7:35 - 7:38
    คือ นักศึกษาจำนวนมากเป็นคนฉลาด
    และสามารถเรียนได้
  • 7:38 - 7:40
    เราจำเป็นต้องหาวิธี ที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้
  • 7:40 - 7:43
    ดังนั้น เพื่อช่วยนักศึกษาชนกลุ่มน้อย
    สิ่งที่เราได้ทำไปแล้วสีประการ มีอะไรบ้าง
  • 7:43 - 7:44
    ซึ่งตอนนี้กำลังช่วยนักศึกษาทั่วๆไปอยู่
  • 7:44 - 7:46
    ประการแรก คาดหวังอย่างสูงไว้
  • 7:46 - 7:51
    ต้องมีความเข้าใจ
    เกี่ยวกับการเตรียมตัวทางวิชาการของนักศึกษา ได้แก่
  • 7:51 - 7:53
    ระดับคะแนนของเขา, ความเอาใจใส่ในการเข้าเรียน,
  • 7:53 - 7:56
    ทักษะในการสอบ, ทัศนคติ,
  • 7:56 - 7:58
    พลังและความมุ่งมั่น, รุ่มร้อนที่จะทำงาน,
    เพื่อที่จะเรียนให้ได้
  • 7:58 - 8:03
    ดังนั้นการกระทำสิ่งต่างๆ
    เพื่อช่วยให้นักศึกษาพร้อมที่จะเข้าไปเรียน จึงสำคัญมาก
  • 8:03 - 8:08
    แต่ที่สำคัญเท่าเทียมกันก็คือ ต้องมีความเข้าใจว่า
    งานหนักนั้นทำให้เกิดความแตกต่างขึ้นได้
  • 8:08 - 8:10
    ผมไม่สนใจว่าคุณจะฉลาดแค่ไหน หรือ
    คุณคิดว่าคุณฉลาดแค่ไหน
  • 8:10 - 8:13
    ฉลาด แค่หมายถึง คุณพร้อมที่จะเรียน
  • 8:13 - 8:16
    คุณตื่นเต้นเรื่องการเรียน
    และคุณต้องการถามคำถามที่ดีๆ
  • 8:16 - 8:20
    ไอ ไอ ราบี (I. I. Rabi) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล กล่าวว่า
    ขณะที่เขากำลังเติบโตขึ้นในกรุงนิวยอร์คนั้น
  • 8:20 - 8:23
    พ่อแม่ของเพื่อนๆของเขาทุกคน
    จะถามพวกเพื่อนๆ
  • 8:23 - 8:25
    ตอนเลิกเรียนในแต่ละวันว่า "เรียนอะไรกันบ้างที่โรงเรียน"
  • 8:25 - 8:29
    ตรงกันข้าม เขาบอกว่า แม่ชาวยิวของเขา
    จะพูดว่า
  • 8:29 - 8:32
    "อิซซี่ วันนี้เธอถามคำถามที่ดีๆ บ้างหรือเปล่า"
  • 8:32 - 8:35
    ดังนั้นการตั้งความคาดหมายไว้สูงมาก
    คงต้องเกี่ยวกับ ความอยากรู้อยากเห็น
  • 8:35 - 8:37
    และการส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวอยากรู้อยากเห็น
  • 8:37 - 8:39
    และผลของการคาดหมายสูงๆนั้น
  • 8:39 - 8:41
    เราจึงเริ่มพบนักศึกษาที่เราต้องการจะทำงานด้วย
  • 8:41 - 8:43
    เพื่อดูว่า เราจะสามารถช่วยอะไรเขาได้บ้าง
  • 8:43 - 8:45
    ไม่ใช่เพียงแค่ให้อยู่รอด
    ในวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
  • 8:45 - 8:48
    แต่ให้กลายเป็นคนที่ดีที่สุด ให้ยอดเยี่ยม
  • 8:48 - 8:50
    น่าสนใจพอสมควรนะครับ ตัวอย่างเช่น
  • 8:50 - 8:55
    เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งได้ C ในวิชาแรก
    และต้องการจะเข้าโรงเรียนแพทย์
  • 8:55 - 8:57
    เราบอกว่า "เราจำเป็นต้องให้คุณเข้าเรียนวิชานี้อีกครั้ง
  • 8:57 - 9:01
    เพราะว่า คุณจำเป็นต้องมีพื้นฐานที่แข็งแรง
    ถ้าคุณจะย้ายขึ้นไปอยู่ในระดับถัดไป"
  • 9:01 - 9:04
    ทุกๆพื้นฐาน ทำให้เกิดผลที่แตกต่างกันในระดับถัดไป
  • 9:04 - 9:05
    เขาจึงเรียนวิชานั้นอีกครั้ง
  • 9:05 - 9:08
    ชายหนุ่มคนนั้นเรียนต่อไปจนสำเร็จการศึกษาจาก UMBC
  • 9:08 - 9:12
    เป็นคนผิวดำคนแรกที่ได้ปริญญาแพทย์ศาสตร์และ
    ปริญญาเอก(M.D/Ph.D)จากมหาวิทยาลัยเพ็นน์ซิลวาเนีย
  • 9:12 - 9:13
    ปัจจุบันนี้เขาทำงานที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
  • 9:13 - 9:15
    เรื่องดีนะครับ ช่วยปรบมือให้เขาในเรื่องนี้ด้วยครับ
  • 9:15 - 9:18
    (เสียงปรบมือ)
  • 9:18 - 9:20
    ประการที่สอง มันไม่ได้เกี่ยวกับแค่คะแนนสอบเท่านั้น
  • 9:20 - 9:22
    คะแนนสอบสำคัญ แต่มันไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
  • 9:22 - 9:25
    หญิงสาวคนหนึ่งได้ระดับคะแนนเป็นเยี่ยม
    แต่คะแนนสอบไม่สูงเท่าที่ควร
  • 9:25 - 9:27
    แต่เธอมีปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก
  • 9:27 - 9:31
    เธอไม่เคยขาดเรียนเลยสักวันเดียว
    ในระดับประถมและมัธยม
  • 9:31 - 9:32
    เธอมีพลังและความมุ่งมั่นที่จะเรียน
  • 9:32 - 9:36
    เธอเรียนต่อไปได้ และตอนนี้ได้ M.D./Ph.D.
    จากมหาวิทยาลัยฮอพกินส์
  • 9:36 - 9:40
    เธอเป็นอาจารย์ที่อาจได้ตำแหน่งที่ฐาวรในมหาวิทยาลัย สาขาจิตเวชศาสตร์ ปริญญาเอกด้านประสาทวิทยาศาสตร์
  • 9:40 - 9:45
    เธอและอาจารย์ที่ปรึกษาได้สิทธิบัตรในเรื่องการใช้ไวอากร้า (Viagra) เป็นยาอันดับสองกับผู้ป่วยเบาหวาน
  • 9:45 - 9:48
    ปรบมือให้เธอดังๆ ปรบมือให้เธอดังๆครับ
  • 9:48 - 9:49
    (เสียงปรบมือ)
  • 9:49 - 9:52
    การคาดหวังที่สูงมากๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก
  • 9:52 - 9:55
    ประการที่สอง แนวคิดในการสร้างกลุ่มขึ้นในหมู่นักศึกษา
  • 9:55 - 9:57
    ทุกท่านทราบว่า ในสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
    บ่อยครั้งมากที่
  • 9:57 - 9:59
    พวกเรามีแนวโน้มที่จะคิดก้าวร้าว
  • 9:59 - 10:01
    นักศึกษาไม่ได้ถูกสอนมา ให้ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม
  • 10:01 - 10:03
    และนั่นคือ สิ่งที่เราทำงานกับนักศึกษากลุ่มนั้น
  • 10:03 - 10:05
    เพื่อให้พวกเขาเข้าใจซึ่งกันและกัน
  • 10:05 - 10:07
    เพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน
    เพื่อส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน
  • 10:07 - 10:09
    เพื่อเรียนรู้วิธีการตั้งคำถามที่ดี
  • 10:09 - 10:13
    แต่เพื่อเรียนรู้ วิธีการอธิบายความคิดรวบยอด (concept) อย่างกระจ่างชัดด้วย
  • 10:13 - 10:15
    ตามที่คุณก็ทราบ มันเป็นเรื่องหนึ่ง
    ในการที่จะทำให้ตัวเองได้ A
  • 10:15 - 10:17
    มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในการที่จะช่วยให้คนอื่นเรียนดี
  • 10:17 - 10:21
    ดังนั้น การรู้สึกถึงความรับผิดชอบในเรืองนี้
    ทำให้เกิดความแตกต่างทั้งหมดขึ้นได้ในโลกนี้
  • 10:21 - 10:24
    ดังนั้น การสร้างกลุ่มขึ้นในหมู่นักศึกษาเหล่านั้น
    จึงสำคัญมาก
  • 10:24 - 10:29
    ประการที่สาม แนวคิดที่ว่า ต้องใช้นักวิจัย
    เพื่อผลิตนักวิจัยขึ้นมา
  • 10:29 - 10:31
    ไม่ว่าคุณจะพูดถึงศิลปิน ทำการผลิตศิลปินขึ้นมา
  • 10:31 - 10:34
    หรือคุณจะพูดถึง คนที่กำลังเข้าไปสู่วิชาสังคมศาสตร์
  • 10:34 - 10:39
    ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใดก็ตาม-- โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ก็เช่นเดียวกับศิลป ยกตัวอย่าง--
  • 10:39 - 10:42
    เราต้องการนักวิทยาศาสตร์ ที่จะดึงนักศึกษาเหล่านั้น
    เข้าสู่งานวิทยาศาสตร์
  • 10:42 - 10:44
    ดังนั้น นักศึกษาของเราจึงทำงาน
    อยู่ในห้องทดลองอย่างสมํ่าเสมอ
  • 10:44 - 10:47
    ตัวอย่างที่ดีเยี่ยมที่คุณจะประทับใจ ได้แก่
  • 10:47 - 10:50
    ในช่วงพายุหิมะที่เมืองบัลติมอร์ เมื่อหลายปีมาแล้ว
  • 10:50 - 10:53
    ชายที่พักอยู่ที่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก Howard Hughes Medical Institute
  • 10:53 - 10:58
    ว่ากันตามจริง กลับเข้ามาทำงานที่ห้องทดลองของเขา
    หลังจากที่ไม่ได้มาเสียหลายวัน
  • 10:58 - 11:01
    และพบนักศึกษาเหล่านี้ทั้งหมด
    ได้ปฎิเสธไม่ยอมออกจากห้องทดลอง
  • 11:01 - 11:03
    พวกเขามีอาหาร ที่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว
  • 11:03 - 11:05
    พวกเขาอยู่ในห้องทดลอง กำลังทำงานอยู่
  • 11:05 - 11:09
    และพวกเขาเห็นว่างานนั้น ไม่ใช่เป็นการบ้าน
    แต่เป็นชีวิตของพวกเขา
  • 11:09 - 11:10
    พวกเขารู้ว่า กำลังทำงานเรื่องการวิจัยโรคเอดส์
  • 11:10 - 11:14
    พวกเขากำลังดูการออกแบบโปรตีนที่น่าอัศจรรย์นี้
  • 11:14 - 11:18
    และสิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ นักศึกษาแต่ละคน
    มุ่งจดจ่อไปที่งานนั้น
  • 11:18 - 11:20
    และเขากล่าวว่า "มันไม่ดีไปกว่านั้นแล้ว"
  • 11:20 - 11:22
    แล้วในที่สุด ถ้าคุณมีกลุ่ม
  • 11:22 - 11:26
    และคุณก็มีความคาดหมายที่สูงๆนั้น
    และคุณก็มีนักวิจัยทำการผลิตนักวิจัยขึ้นมา
  • 11:26 - 11:29
    คุณต้องมีคนที่เต็มใจมาเป็นคณะอาจารย์
  • 11:29 - 11:32
    ที่จะเข้ามาเอาใจใส่กับนักศึกษาเหล่านั้น
    แม้ในห้องเรียนก็ตาม
  • 11:32 - 11:34
    ผมจะไม่ลืมอาจารย์คนหนึ่ง
    ที่โทรศัพท์ไปหาคณะอาจารย์ และบอกว่า
  • 11:34 - 11:37
    "ผมมีชายหนุ่มคนหนึ่งในชั้นเรียน เป็นหนุ่มผิวดำ
  • 11:37 - 11:40
    และดูเหมือนว่า เขาไม่ตื่นเต้นเลยกับงาน
  • 11:40 - 11:42
    เขาไม่จดบันทึก เราจำเป็นต้องคุยกับเขาแล้วละ"
  • 11:42 - 11:46
    แต่สิ่งที่สำคัญคือ
    อาจารย์คนนั้นสังเกตดูนักศึกษาทุกคน
  • 11:46 - 11:49
    เพื่อเข้าใจว่าใครบ้างที่เอาใจใส่
    และใครบ้างที่ไม่เอาใจใส่
  • 11:49 - 11:51
    และก็บอกว่า "ขอผมดูก่อนว่า
    ผมจะสามารถทำอย่างไรกับพวกเขาดี
  • 11:51 - 11:52
    ให้ผมได้คณะอาจารย์มาช่วยผมด้วยนะ"
  • 11:52 - 11:54
    มันคือ การเชื่อมโยงกันแบบนั้น
  • 11:54 - 11:58
    หนุ่มคนนั้น จริงๆปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่มีปริญญา M.D/Ph.D สาขาวิชา neuroengineering ที่ดุก (Duke)
  • 11:58 - 12:00
    ปรบมือดังๆให้เขาด้วยครับ
  • 12:00 - 12:02
    (เสียงปรบมือ)
  • 12:02 - 12:07
    ดังนั้น สิ่งสำคัญก็คือ
    ปัจจุบันเราได้พัฒนาแบบจำลองนี้ขึ้นมา
  • 12:07 - 12:11
    ซึ่งจะช่วยเรา ไม่เพียงแค่ประเมินผลสุดท้าย
    แต่ยังวัดได้ว่าอะไรใช้การได้
  • 12:11 - 12:14
    และสิ่งที่เราได้เรียนรู้แล้วก็คือ เราจำเป็นต้องคิดถึง
    เรื่องการออกแบบรายวิชาต่างๆเสียใหม่
  • 12:14 - 12:17
    และเราได้ออกแบบวิชาเคมีขึ้นมาใหม่
    เราออกแบบวิชาฟิสิกส์ขึ้นมาใหม่
  • 12:17 - 12:20
    แต่ปัจจุบัน เรากำลังพิจารณาเรื่องการออกแบบ วิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ขึ้นมาใหม่
  • 12:20 - 12:23
    เพราะว่านักศึกษาจำนวนมากรู้สึกเบื่อ
    เมื่ออยู่ในชั้นเรียน
  • 12:23 - 12:24
    คุณทราบเรื่องนั้นหรือไม่ครับ
  • 12:24 - 12:26
    นักศึกษาจำนวนมาก ในระดับประถมและมัธยม
    และในมหาวิทยาลัย
  • 12:26 - 12:28
    ไม่ต้องการแค่เพียงนั่งอยู่ในห้อง และฟังคนพูด
  • 12:28 - 12:30
    พวกเขาต้องการมีส่วนร่วม
  • 12:30 - 12:33
    ดังนั้น เราจึงทำมันขึ้นมาแล้ว--ถ้าคุณดูที่เว็บไซท์ของเราที่ Chemistry Discovery Center
  • 12:33 - 12:35
    คุณจะเห็นว่าผู้คนซึ่งมาจากทั่วประเทศ
  • 12:35 - 12:38
    เพื่อดูว่าเราออกแบบวิชาต่างๆขึ้นมาใหม่อย่างไร
  • 12:38 - 12:41
    โดยเน้นการร่วมมือกัน, การใช้เทคโนโลยี่,
  • 12:41 - 12:45
    โดยใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากกลุ่มเทคโนโลยี่ชีวภาพของเรา
    ในมหาวิทยาลัย
  • 12:45 - 12:47
    และโดยไม่ให้นักศึกษาแค่เพียงทฤษฎี
  • 12:47 - 12:49
    แต่โดยให้พวกเขาพยายามดิ้นรนกับทฤษฎีเหล่านั้น
  • 12:49 - 12:53
    และมันก็ทำงานได้อย่างดี
    ตลอดทั่วระบบมหาวิทยาลัยของเราในแมรี่แลนด์
  • 12:53 - 12:55
    จนกระทั่งวิชาต่างๆกำลังถูกออกแบบใหม่
    เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
  • 12:55 - 12:56
    เรียกมันว่า นวัตกรรมด้านวิชาการ (academic innovation)
  • 12:56 - 12:58
    และทั้งหมดนั้นหมายความว่าอะไร
  • 12:58 - 13:00
    หมายความว่า ปัจจุบันนี้ ไม่เพียงแค่ด้านวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์
  • 13:00 - 13:05
    ปัจจุบันนี้เรามีโปรแกรมในวิชาศิลปศาสตร์, มนุษยศาสตร์, สังคมศาสตร์
  • 13:05 - 13:09
    ในสาขาการศึกษาของครู, แม้กระทั่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง ในด้านเทคโนโลยี่สารสนเทศ (I.T.)
  • 13:09 - 13:13
    ถ้าคุณไม่ทราบแล้วละก็ มีการลดลงร้อยละ 79
  • 13:13 - 13:17
    ของจำนวนผู้หญิงที่เรียนวิชาเอกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
    ตั้งแต่ปี 2000
  • 13:17 - 13:21
    สิ่งที่ผมพูดก็คือ สิ่งที่จะทำให้เกิดความแตกต่าง
  • 13:21 - 13:23
    ก็จะเป็น การสร้างกลุ่มขึ้นมาในหมู่นักศึกษา
  • 13:23 - 13:26
    เพื่อบอกให้หญิงสาว นักศึกษาที่เป็นชนกลุ่มน้อย
    และนักศึกษาทั่วๆไปว่า
  • 13:26 - 13:27
    คุณสามารถเรียนวิชาพวกนี้ได้
  • 13:27 - 13:31
    และสำคัญที่สุดคือ การให้โอกาสพวกเขา
    สร้างกลุ่มนั้นขึ้นมา
  • 13:31 - 13:33
    พร้อมด้วยคณะอาจารย์ ที่จะดึงพวกเขาเข้ามาทำงาน
  • 13:33 - 13:35
    และการวัดผลของเรา ที่ใช้การได้ดีและทีใช้ไม่ได้
  • 13:35 - 13:39
    สำคัญที่สุด ถ้านักศึกษา
    มีความรู้สึกถึงศักยภาพของตัวเองแล้ว
  • 13:39 - 13:42
    น่าอัศจรรย์ใจที่ความฝันและค่านิยม
  • 13:42 - 13:44
    จะสามารถทำให้เกิดความแตกต่างทั้งมวล
    ขึ้นได้ในโลก
  • 13:44 - 13:48
    เมื่อผมเป็นเด็กอายุ 12 ขวบ อยู่ในคุกที่เมืองเบอร์มิ่งแฮม
  • 13:48 - 13:51
    ผมก็เฝ้าแต่คิดว่า "ผมสงสัยว่าอนาคตของผมจะเป็นอย่างไร"
  • 13:51 - 13:57
    ผมไม่ได้คิดเลยว่า จะเป็นไปได้ที่เด็กชายผิวดำตัวเล็กๆ
    ในเมืองเบอร์มิ่งแฮมนี้
  • 13:57 - 14:02
    วันหนึ่ง จะได้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัย
    ที่มีนักศึกษามาจาก 150 ประเทศ
  • 14:02 - 14:04
    มหาวิทยาลัยที่ซึ่งนักศึกษาไม่เพียงแค่ให้อยู่รอดเท่านั้น
  • 14:04 - 14:08
    ที่ซึ่งพวกเขารักการเรียนรู้
    ที่ซึ่งพวกเขาสนุกกับการเป็นคนที่เก่งที่สุด
  • 14:08 - 14:11
    ที่ซึ่งพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงโลกได้ในวันหนึ่งข้างหน้า
  • 14:11 - 14:14
    อริสโตเติ้ล กล่าวว่า "ความเป็นเยี่ยมไม่เคยเป็นความบังเอิญ
  • 14:14 - 14:20
    แต่มันเป็นผลมาจากความตั้งใจอย่างสูง, ความมานะอุตสาหะอย่างจริงใจ และการใช้เชาวน์ปัญญา
  • 14:20 - 14:24
    มันคือ ตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด ท่ามกลางตัวเลือกทั้งหลาย"
  • 14:24 - 14:26
    แล้วเขาก็พูดบางอย่างที่ทำให้ผมขนลุก
  • 14:26 - 14:32
    เขากล่าวว่า "สิ่งที่คุณเลือกต่างหาก ไม่ใช่โอกาส
    ที่กำหนดชะตาชีวิตของคุณ"
  • 14:32 - 14:40
    สิ่งที่คุณเลือกต่างหาก ไม่ใช่โอกาส
    ที่กำหนดชะตากรรมของคุณ, ความฝัน, และค่านิยมของคุณ
  • 14:40 - 14:41
    ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ
  • 14:41 - 14:52
    (เสียงปรบมือ)
Title:
4 เสาหลักของความสำเร็จในวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัย
Speaker:
ฟรีแมน ฮ์รบอสกี
Description:

ตอนอายุ 12 ฟรีแมน ฮ์รบอสกี เดินขบวนไปกับมาร์ตินลูเธอร์คิง ตอนนี้เขาเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์เมืองบัลติมอร์ (UMBC) ที่ซึ่งเขาทำงานเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้นักศึกษาที่มีโอกาสน้อยในการเข้าเรียนวิชาที่เป็นที่ต้องการ - โดยเฉพาะผู้เรียนที่เป็นแอฟริกันอเมริกัน, ลาตินและมีรายได้ต่ำ - ให้ได้รับปริญญาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เขาแบ่งปันแนวคิดกับผู้ฟังในเรื่อง สี่เสาหลักของวิธีการ UMBC

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
15:10
  • Students of color don't always mean Black students. In typical American culture, Students of color or people of color can mean and do mean Hispanics and Asians as well. The speaker also mentions Hispanic students and not only Black students even though the main focus of the talk is toward Black students.Therefore, I believe that using นักศึกษาชนกลุ่มน้อย is appropriate in this sense as there is no exact way to translate "Students of color". We can possibly use "นักศึกษาผิวสี" but that is not as smooth.

    Please be careful when translating "some of the best" as it does not mean "ผู้ที่เก่งที่สุด" because "some" means more than one so I adjusted it to "บางส่วนของกลุ่มคน" instead

    "One week in church" might not exactly mean a "week" in church, it means one "day" in church. But Americans use a "week" in church because people go to church only once a week and that's how they refer to their church experience
    ................................................
    Note from reviewer-yamela areesamarn

    Your note is interesting. I sort of remember I have translated or reviewed this talk once long time ago. But I found it as an available task for anyone to review . I am sort of surprised. Why not look over it again?

    And now I am reviewing it, and find it very easy to do because, you know, the words, phrases and sentences are very familiar to me.

    As for your comments:
    "students of color" should mean the same as "นักศึกษาที่ไม่ใช่พวกผิวขาว"
    "ให้มาเป็นบางส่วนของกลุ่มคน..." sounds rather formal but it is acceptable to me"

    นักศึกษาชนกลุ่มน้อย (minority students) does not mean the same as "students underrepresented in selected areas". I think it is better to use the same words that the author intends to say.

    People go to church on Sunday everyweek. I think what the author intends to say is on one Sunday of the week. "วันหนึ่งในโบสถ์" can also mean anyday.

Thai subtitles

Revisions