ทำไมวิทยาศาสร์แนวนวัตกรรมจริงๆ จึงต้องกระโจนเข้าสู่ความไม่รู้
-
0:00 - 0:02ตอนที่ผมเรียนปริญญาเอกนั้น
-
0:02 - 0:06ผมติดแหงกเลยครับ
-
0:06 - 0:08ทุกหนทางการวิจัยที่ผมได้ลอง
-
0:08 - 0:09นำไปสู่ทางตัน
-
0:09 - 0:11มันเหมือนกับว่าความเชื่อพื้นฐานของผม
-
0:11 - 0:13หยุดทำงาน
-
0:13 - 0:16ผมรู้สึกเหมือนนักบินที่บินผ่านหมอก
-
0:16 - 0:19แล้วหลงทิศทาง
-
0:19 - 0:20ผมเลิกโกนหนวด
-
0:20 - 0:23ผมไม่ยอมลุกออกจากเตียงในตอนเช้า
-
0:23 - 0:25ผมรู้สึกไม่คู่ควร
-
0:25 - 0:28กับการเดินเข้าประตูมหาวิทยาลัย
-
0:28 - 0:30เพราะผมไม่ใช่ไอสไตน์ หรือนิวตัน
-
0:30 - 0:32หรือนักวิทยาศาสตร์ท่านใด
-
0:32 - 0:34ที่ผมได้เรียนรู้ผลงานของพวกท่าน
เพราะในวิทยาศาสตร์ -
0:34 - 0:37เราเรียนเกี่ยวกับผลลัพธ์เท่านั้น
ไม่ใช่กระบวนการ -
0:37 - 0:42และเห็นชัดๆ เลยว่า
ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ -
0:42 - 0:44แต่ผมมีแรงสนับสนุนมากพอ
-
0:44 - 0:45และผมก็ผ่านมันไปได้
-
0:45 - 0:47และค้นพบความรู้ใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติ
-
0:47 - 0:50มันเป็นความรู้สึกสงบอันน่าทึ่ง
-
0:50 - 0:51ที่เป็นบุคคลเดียวในโลก
-
0:51 - 0:53ที่รู้ถึงกฎใหม่แห่งธรรมชาติ
-
0:53 - 0:57และผมเริ่มโครงงานที่สอง
ในการเรียนปริญญาเอก -
0:57 - 0:58และมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
-
0:58 - 1:00ผมเจออุปสรรค์ แล้วก็ผ่านมันไปได้
-
1:00 - 1:02และผมก็เริ่มคิด
-
1:02 - 1:03บางที มันอาจมีรูปแบบอยู่ก็เป็นได้
-
1:03 - 1:05ผมถามบัณฑิตทั้งหลาย แล้วพวกเขาก็บอกว่า
-
1:05 - 1:07"ใช่เลย เกิดอย่างนั้นกับพวกเขาเป๊ะๆ เลย
-
1:07 - 1:09เว้นแต่ว่าไม่มีใครบอกเรา"
-
1:09 - 1:11พวกเราอาจเรียนวิทยาศาสตร์อย่างกับว่า
-
1:11 - 1:14มันเป็นชุดขั้นตอนเชิงตรรกะ
ระหว่างคำถามและคำตอบ -
1:14 - 1:17แต่การทำวิจัยไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น
-
1:17 - 1:20ในเวลาเดียวกัน ผมยังได้เรียน
-
1:20 - 1:22การแสดงละครเวทีแบบด้นสด
-
1:22 - 1:23ฉะนั้น กลางวันเรียนฟิสิกส์
-
1:23 - 1:25และกลางคืน หัวเราะ กระโดด ร้องเพลง
-
1:25 - 1:26เล่นกีต้าร์ของผม
-
1:26 - 1:28ละครเวทีแบบด้นสด
-
1:28 - 1:31ก็เหมือนกับวิทยาศาสตร์
คือ การเข้าหาสิ่งที่ไม่รู้ -
1:31 - 1:32เพราะคุณต้องเล่นกันบนเวที
-
1:32 - 1:34โดยปราศจากผู้กำกับ ปราศจากบทละคร
-
1:34 - 1:36ไม่รู้เลยว่า คุณจะเล่นเป็นอะไร
-
1:36 - 1:39หรือตัวละครอื่นจะทำอะไร
-
1:39 - 1:41แต่ไม่เหมือนวิทยาศาสตร์
-
1:41 - 1:44ในละครเวทีด้นสด
พวกเขาบอกคุณแต่วันแรกว่า -
1:44 - 1:46อะไรจะเกิดขึ้นกับคุณเมื่อคุณอยู่บนเวที
-
1:46 - 1:49คุณจะทำพลาดไม่เป็นท่า
-
1:49 - 1:50คุณจะเจออุปสรรค
-
1:50 - 1:52และเราก็จะฝึกฝนให้มีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ
-
1:52 - 1:53ในสถานการณ์ที่เจออุปสรรค
-
1:53 - 1:55ตัวอย่างเช่น เรามีแบบฝึกหัด
-
1:55 - 1:56ที่เราทุกคนยืนเป็นวงกลม
-
1:56 - 1:59และแต่ละคนต้องเต้นแท๊ปให้แย่สุดๆ
-
1:59 - 2:01และคนอื่นๆ ปรบมือ
-
2:01 - 2:02และเชียร์คุณ
-
2:02 - 2:05ให้กำลังใจคุณบนเวที
-
2:05 - 2:07เมื่อผมเป็นศาสตราจารย์
-
2:07 - 2:08และต้องแนะแนวนักเรียนของผม
-
2:08 - 2:10ผ่านโครงงานวิจัยของพวกเขา
-
2:10 - 2:11ผมตระหนักอีกครั้งว่า
-
2:11 - 2:13ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
-
2:13 - 2:15ผมอาจเรียนฟิสิกส์ ชีววิทยา เคมี
-
2:15 - 2:17มาหลายพันชั่วโมง
-
2:17 - 2:19แต่ไม่มีสักชั่วโมง ไม่มีสักแนวคิดเดียว
ที่จะสอนผมว่า -
2:19 - 2:22จะให้คำปรึกษาอย่างไร แนะแนวใครสักคนอย่างไร
-
2:22 - 2:23เพื่อให้เดินไปด้วยกันสู่สิ่งที่ไม่รู้
-
2:23 - 2:25เพื่อสร้างแรงผลักดัน
-
2:25 - 2:27ผมจึงหันไปพึ่งละครเวทีด้นสด
-
2:27 - 2:29และผมบอกนักเรียนตั้งแต่วันแรกว่า
-
2:29 - 2:32อะไรกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มทำงานวิจัย
-
2:32 - 2:34เรื่องนี้เกี่ยวกับมโนภาพที่เราคาดหวัง (schema)
-
2:34 - 2:36ว่างานวิจัยจะเป็นเช่นไร
-
2:36 - 2:38เพราะว่า เมื่อคนเราทำอะไรก็ตามแต่
-
2:38 - 2:41ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมต้องการจะจับกระดานดำนี้
-
2:41 - 2:43สมองของผมจะคาดมโนภาพขึ้นก่อน
-
2:43 - 2:44ทำนายว่ากล้ามเนื้อของผมจะทำอะไร
-
2:44 - 2:47ก่อนที่ผมจะเริ่มขยับมือเสียอีก
-
2:47 - 2:48และถ้าผมถูกขัดขวาง
-
2:48 - 2:50ถ้ามโนภาพของผมไม่เข้ากับความเป็นจริง
-
2:50 - 2:53จะเกิดความเครียดขึ้น เรียกว่า
การรับรู้ไม่ลงรอยกัน (cognitive dissonance) -
2:53 - 2:55จึงเป็นการดีกว่า
ถ้ามโนภาพของคุณ ตรงกับความเป็นจริง -
2:55 - 2:59แต่ถ้าคุณเชื่อในวิทยาศาสตร์แบบที่ถูกสอนกันมา
-
2:59 - 3:01และถ้าคุณเชื่อตามตำรา ก็มีแนวโน้ม
-
3:01 - 3:07ว่าคุณน่าจะมีมโนภาพของงานวิจัย ตามนี้ครับ
-
3:07 - 3:10ถ้า เอ เป็นคำถาม
-
3:10 - 3:14และ บี เป็นคำตอบ
-
3:14 - 3:18ดังนั้นแล้ว งานวิจัยก็เป็นทางตรง
-
3:18 - 3:21ปัญหาคือว่า ถ้าการทดลองไม่สำเร็จ
-
3:21 - 3:25หรือนักเรียนเกิดความเครียด
-
3:25 - 3:27เรื่องแบบนี้ จะถูกมองว่าผิดปกติอย่างยิ่ง
-
3:27 - 3:30และทำให้เกิดความเครียดอย่างมาก
-
3:30 - 3:32ด้วยเหตุนี้ ผมจึงสอนให้นักเรียนของผม
-
3:32 - 3:36สร้างมโนภาพที่ยึดความเป็นจริงมากกว่า
-
3:39 - 3:40นี่คือตัวอย่าง
-
3:40 - 3:44เวลาที่อะไรๆ ไม่เป็นไปตามมโนภาพของคุณครับ
-
3:46 - 3:50(เสียงหัวเราะ)
-
3:50 - 3:53(เสียงปรบมือ)
-
4:02 - 4:05ผมจึงสอนมโนภาพแบบใหม่ ให้นักเรียนของผม
-
4:05 - 4:07ถ้า เอ เป็นคำถาม
-
4:07 - 4:09บี เป็นคำตอบ
-
4:13 - 4:15คิดสร้างสรรค์ฝันฟุ้งในเมฆไปเรื่อยๆ
-
4:15 - 4:17และคุณก็เริ่มลงมือ
-
4:17 - 4:19และการทดลองมันไม่ได้ผล และก็ไม่ได้ผล
-
4:19 - 4:22และก็ไม่ได้ผล และก็ไม่ได้ผล
-
4:22 - 4:24จนคุณไปถึงดินแดนที่เชื่อมกับอารมณ์ด้านลบ
-
4:24 - 4:27ที่ซึ่งกระทั่ง ความเชื่อพื้นฐานของคุณ
-
4:27 - 4:28ยังดูไม่เป็นเหตุเป็นผล
-
4:28 - 4:31เหมือนมีใครมากระชากพรมใต้เท้าคุณ
-
4:31 - 4:34และผมเรียกที่นั่นว่า เมฆ
-
4:48 - 4:50คุณอาจหลงอยู่ในเมฆนี้
-
4:50 - 4:53สักวัน สัปดาห์ เดือน ปี
-
4:53 - 4:54หรือชั่วชีวิตทำงานของคุณ
-
4:54 - 4:57แต่บางที ถ้าคุณโชคดีพอ
-
4:57 - 4:58และคุณได้แรงสนับสนุนพอ
-
4:58 - 5:00คุณจะเห็นได้ เมื่อดูสิ่งที่อยู่ในมือ
-
5:00 - 5:04หรือ ตั้งสติศึกษารูปร่างของเมฆ
-
5:04 - 5:06ถึงคำตอบแบบใหม่
-
5:07 - 5:11นั่นคือ ซี แล้วตกลงใจลองทางใหม่ดู
-
5:11 - 5:13และการทดลองก็ไม่ได้ผล การทดลองไม่ได้ผล
-
5:13 - 5:15แต่คุณก็ถึงในที่สุด
-
5:15 - 5:16จากนั้น คุณก็บอกเรื่องนี้กับทุกคน
-
5:16 - 5:20โดยตีพิมพ์ผลงานที่บอกว่า เอ ไปยัง ซี
-
5:20 - 5:21ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสาร
-
5:21 - 5:24ตราบใดที่คุณยังไม่ลืมหนทาง
-
5:24 - 5:26ที่นำคุณไปตรงนั้น
-
5:26 - 5:28ทีนี้ เมฆที่ว่านี้มีอยู่ตามปกติวิสัย
-
5:28 - 5:30ของการวิจัย ตามปกติวิสัยของงานประดิษฐ์
-
5:30 - 5:33เพราะว่า เมฆจะลอยขวาง ตรงพรมแดน
-
5:38 - 5:40มันจะอยู่ตรงพรมแดน
-
5:40 - 5:43ระหว่าง ความรู้
-
5:46 - 5:49และความไม่รู้
-
5:53 - 5:55เพราะถ้าอยากค้นพบบางอย่างที่ใหม่จริงๆ นั้น
-
5:55 - 5:59อย่างน้อย ความเชื่อพื้นฐานสักอย่างของคุณ
จะต้องเปลี่ยนไป -
5:59 - 6:00ฉะนั้น การศึกษาวิทยาศาสตร์
-
6:00 - 6:02จึงเป็นเรื่องกล้าหาญชาญชัยทีเดียว
-
6:02 - 6:04ทุกๆ วัน เราพยายามเดินทาง
-
6:04 - 6:06สู่พรมแดนระหว่างความรู้ และความไม่รู้
-
6:06 - 6:08และเผชิญหน้ากับเมฆ
-
6:08 - 6:09ทีนี้ สังเกตว่าผมเขียน บี
-
6:09 - 6:10ไว้ในดินแดนของความรู้
-
6:10 - 6:12เพราะเรารู้จักมันตั้งแต่แรกแล้ว
-
6:12 - 6:16แต่ ซี นั้น น่าสนใจยิ่งกว่า
-
6:16 - 6:18และสำคัญเสียยิ่งกว่า บี
-
6:18 - 6:20บี ก็สำคัญสำหรับการดำเนินงานวิจัย
-
6:20 - 6:22แต่ ซี เป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่า
-
6:22 - 6:27และนั่นคือสิ่งมหัศจรรย์เกี่ยวกับงานวิจัย
-
6:27 - 6:29ทีนี้ แค่รู้จักคำนั้น 'เมฆ'
-
6:29 - 6:32มันทำให้กลุ่มวิจัยของผมเปลี่ยนไปเลย
-
6:32 - 6:33เพราะนักเรียนเข้ามาหาผม แล้วบอกว่า
-
6:33 - 6:35"ยูริ ผมติดอยู่ในเมฆ"
-
6:35 - 6:38และผมก็บอกว่า
"ยอดเลย รู้สึกเศร้าระทมเลยล่ะสิตอนนี้" -
6:38 - 6:40(เสียงหัวเราะ)
-
6:40 - 6:42แต่ผมมีความสุขนะครับ
-
6:42 - 6:44เพราะเราอาจใกล้ถึงพรมแดน
-
6:44 - 6:46ระหว่างความรู้และความไม่รู้
-
6:46 - 6:47และเรายังมีโอกาสในการค้นพบ
-
6:47 - 6:49อะไรบางอย่างที่ใหม่จริงๆ
-
6:49 - 6:51เพราะวิธีที่สมองของเราทำงานนั้น
-
6:51 - 6:54พอสมองรู้แล้วว่า เมฆนั้น
-
6:54 - 6:58เป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งจำเป็น
-
6:58 - 6:59และอันที่จริงสวยงาม
-
6:59 - 7:03เราก็จะได้เข้าร่วมชมรมคนรักมวลเมฆ
-
7:03 - 7:05และบำบัดความรู้สึกที่ว่า
-
7:05 - 7:07ฉันมีอะไรที่ผิดปกติมากๆ
-
7:07 - 7:10และในฐานะผู้เป็นอาจารย์ ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไร
-
7:10 - 7:12นั่นคือ เพิ่มกำลังใจให้นักเรียนของผม
-
7:12 - 7:14เพราะการวิจัยทางจิตวิทยาแสดงว่า
-
7:14 - 7:17ถ้าคุณรู้สึกกลัว หรือหมดหวัง
-
7:17 - 7:18จิตใจคุณจะตีกรอบ
-
7:18 - 7:21กลับไปใช้วิธีคิดแบบปลอดภัย และระมัดระวัง
-
7:21 - 7:23ถ้าคุณอยากสำรวจหนทางที่เสี่ยงกว่า
-
7:23 - 7:24ถ้าจะหนีออกจากเมฆ
-
7:24 - 7:26คุณต้องพึ่งอารมณ์แบบอื่นด้วย
-
7:26 - 7:28ความสามัคคี กำลังใจ ความหวัง
-
7:28 - 7:30ซึ่งได้จากความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ
-
7:30 - 7:31มันก็เหมือนกับละครเวทีด้นสด
-
7:31 - 7:33ในวิทยาศาสตร์
มันดีที่สุดที่จะเดินทางสู่ความไม่รู้ -
7:33 - 7:35ไปด้วยกัน
-
7:35 - 7:38การที่รู้ถึงเรื่องเมฆ
-
7:38 - 7:41คุณยังได้เรียนรู้จากละครเวทีด้นสด
-
7:41 - 7:44ถึงวิธีการสนทนาอย่างมีประสิทธิภาพ
-
7:44 - 7:46เมื่ออยู่ในเมฆ
-
7:46 - 7:48มันตั้งอยู่บนหลักการสำคัญ
-
7:48 - 7:49ของละครเวทีด้นสด
-
7:49 - 7:50ตรงนี้ ละครเวทีด้นสด
-
7:50 - 7:52ได้ช่วยผมไว้อีกครั้ง
-
7:52 - 7:54เป็นการตอบว่า "ใช่ แล้วก็"
-
7:54 - 7:57กับสิ่งที่นักแสดงคนอื่นเสนอมาให้
-
8:04 - 8:07ความหมายของมันคือ การรับคำเสนอ
-
8:07 - 8:10และต่อยอดจากนั้น โดยบอกว่า "ใช่ แล้วก็"
-
8:10 - 8:11ตัวอย่างเช่น ถ้านักแสดงคนหนึ่งบอกว่า
-
8:11 - 8:12"นี่คือสระนำ้"
-
8:12 - 8:13และอีกคนบอกว่า
-
8:13 - 8:15"ไม่หนิ นี่มันเวที"
-
8:15 - 8:17การด้นสดก็จบ
-
8:17 - 8:21มันตายสนิท และทุกคนก็จะสับสนหงุดหงิด
-
8:21 - 8:22มันเรียกว่า ติดทางตัน
-
8:22 - 8:23ถ้าคุณไม่ใส่ใจเรื่องวิธีสนทนาแล้ว
-
8:23 - 8:26การสนทนาทางวิทยาศาสตร์
ก็จะติดทางตันได้ง่ายมากครับ -
8:26 - 8:29การตอบ "ใช่ แล้วก็" เป็นแบบนี้ครับ
-
8:29 - 8:31"นี่คือบ่อน้ำ"
"ช่าย โดดลงไปกันเหอะ" -
8:31 - 8:34"ดูสิ มีปลาวาฬด้วย จับหางมันเลย
-
8:34 - 8:36มันดึงเราไปดวงจันทร์แล้ว"
-
8:36 - 8:39การบอกว่า "ใช่ แล้วก็"
จึงข้ามผ่านการวิพากษ์ในใจเรา -
8:39 - 8:41เราทุกคนมีข้อวิพากษ์ในใจ
-
8:41 - 8:42ซึ่งคอยจับผิด ว่าเราจะพูดอะไร
-
8:42 - 8:44คนอื่นจะได้ไม่คิดว่า เราน่ารังเกียจ
-
8:44 - 8:45หรือบ้า หรือซ้ำซาก
-
8:45 - 8:47และในวิทยาศาสตร์ ใครๆ ก็กลัว
-
8:47 - 8:48ว่าตัวเองจะดูซ้ำซาก
-
8:48 - 8:50การบอกว่า "ใช่ แล้วก็"
ก้าวผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ -
8:50 - 8:53และปลดปล่อยความสร้างสรรค์แอบแฝง
-
8:53 - 8:54ที่คุณไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่าคุณมี
-
8:54 - 8:56และพวกมันมักให้คำตอบ
-
8:56 - 8:59เกี่ยวกับเมฆด้วย
-
8:59 - 9:01ครับ การรู้เกี่ยวกับเมฆ
-
9:01 - 9:03และการพูดว่า "ใช่ แล้วก็"
-
9:03 - 9:06ทำให้ห้องทดลองของผมมีความคิดสร้างสรรค์มาก
-
9:06 - 9:08นักเรียนเริ่มเล่นกับความคิดของคนอื่นๆ
-
9:08 - 9:10จนค้นพบความรู้ใหม่อันน่าประหลาดใจ
-
9:10 - 9:13ในส่วนเชื่อมต่อระหว่างฟิสิกส์กับชีววิทยา
-
9:13 - 9:16ตัวอย่างเช่น เราง่วนอยู่เป็นปี
-
9:16 - 9:17ในการทำความเข้าใจ
-
9:17 - 9:20เครือข่ายชีวเคมีอันซับซ้อนในเซลล์ของเรา
-
9:20 - 9:22และพวกเราบอกว่า "เราอยู่ในกลุ่มเมฆทึบ"
-
9:22 - 9:24แล้วก็คุยกันสนุกๆ ไปเรื่อย
-
9:24 - 9:26จนนักเรียนของผม
ไช เชน ออร์ (Shai Shen Orr) พูดขึ้นว่า -
9:26 - 9:29"มาวาดเครือข่ายที่ว่าบนกระดาษกันเหอะ"
-
9:29 - 9:31และแทนที่จะบอกว่า
-
9:31 - 9:33"แต่เราทำอย่างนั้นมาตั้งหลายครั้งแล้ว
-
9:33 - 9:34และมันก็ไม่เห็นจะได้อะไรเลย"
-
9:34 - 9:37ผมกลับบอกว่า "เอาสิ แล้วก็
-
9:37 - 9:39ใช้กระดาษใหญ่ๆ นะ"
-
9:39 - 9:40จากนั้น รอน ไมโล (Ron Milo) ก็บอกว่า
-
9:40 - 9:42"เอากระดาษใหญ่ๆ
-
9:42 - 9:44แบบที่นักออกแบบใช้ทำพิมพ์เขียวดีกว่า
ผมรู้ว่าจะเอาไปพิมพ์ได้ที่ไหน" -
9:44 - 9:46และพวกเราก็พิมพ์เครือข่าย และมองดูมัน
-
9:46 - 9:49ตอนนั้นเอง ที่เราค้นพบความรู้ข้อสำคัญที่สุด
-
9:49 - 9:51ซึ่งก็คือ เครือข่ายอันซับซ้อนนี้มันก็แค่
-
9:51 - 9:54เครือข่ายรูปแบบง่ายๆ จำนวนมากซ้ำๆ กัน
-
9:54 - 9:58เหมือนกับแม่ลายของกระจกสี (motif)
-
9:58 - 10:00พวกเราเรียกมันว่า เครือข่ายแม่ลาย (network motifs)
-
10:00 - 10:02และพวกมันเป็นวงจรพื้นฐาน
-
10:02 - 10:03ที่ช่วยให้เราเข้าใจ
-
10:03 - 10:06ตรรกะของการตัดสินใจของเซลล์
-
10:06 - 10:09ในทุกสิ่งมีชีวิต รวมถึงร่างกายของคุณ
-
10:09 - 10:11ไม่นาน หลังจากนั้น
-
10:11 - 10:12ผมเริ่มได้รับเชิญไปบรรยาย
-
10:12 - 10:15ให้กับนักวิทยาศาสตร์หลายพันทั่วโลก
-
10:15 - 10:17แต่ความรู้เกี่ยวกับเมฆ
-
10:17 - 10:18และการพูดว่า "ใช่ แล้วก็"
-
10:18 - 10:20ยังคงอยู่แต่ในห้องทดลองของผม
-
10:20 - 10:22เพราะว่า ในวิทยาศาสตร์
เราไม่พูดกันถึงกระบวนการ -
10:22 - 10:25สิ่งที่เกี่ยวกับความรู้สึก หรืออารมณ์
-
10:25 - 10:27เราพูดถึงผลลัพธ์
-
10:27 - 10:29จึงไม่มีทางจะได้พูดถึงมันในงานสัมมนา
-
10:29 - 10:31นึกภาพไม่ออกเลยครับ
-
10:31 - 10:33และผมเห็นนักวิทยาศาสตร์กลุ่มอื่นๆ
ติดอยู่ที่ทางตัน -
10:33 - 10:34หาคำมาบรรยายไม่ได้ด้วยซ้ำ
-
10:34 - 10:36ถึงสิ่งที่พวกเขาเผชิญ
-
10:36 - 10:37และวิธีการที่พวกเขาคิด
-
10:37 - 10:39ก็บีบแคบลงมาที่ทางปลอดภัย
-
10:39 - 10:40วิทยาศาสตร์ของพวกเขาไม่อาจไปถึงศักยภาพสูงสุด
-
10:40 - 10:42จนพวกเขาดูซึมกันมากๆ
-
10:42 - 10:44ผมคิดว่า มันก็ธรรมดาอย่างนี้แหละ
-
10:44 - 10:46ผมจะพยายามทำให้ห้องทดลองของผม
มีความสร้างสรรค์มากเท่าที่จะทำได้ -
10:46 - 10:48และถ้าคนอื่นๆ ทำอย่างนี้เช่นกัน
-
10:48 - 10:50ถึงวันหนึ่ง วิทยาศาสตร์
-
10:50 - 10:52ก็จะดีขึ้นกว่าเดิมในที่สุด
-
10:52 - 10:55แต่ความคิดนั้น เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
-
10:55 - 10:57เมื่อผมได้ฟัง เอวลิน ฟ๊อกส์ เคลเลอร์
(Evelyn Fox Keller) โดยบังเอิญ -
10:57 - 10:59ตอนเธอพูดถึงประสบการณ์ของเธอ
-
10:59 - 11:00ในฐานะผู้หญิงในวงการวิทยาศาสตร์
-
11:00 - 11:02และเธอถามคำถามว่า
-
11:02 - 11:04"ทำไมเราไม่พูดถึงการทำงานทางวิทยาศาตร์
-
11:04 - 11:06ในแง่มุมเชิงความรู้สึก และอารมณ์กันบ้าง?"
-
11:06 - 11:10ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย นี่เป็นเรื่องของค่านิยม"
-
11:10 - 11:12คืออย่างนี้ครับ วิทยาศาสตร์ค้นหาความรู้
-
11:12 - 11:14ซึ่งมีรากฐานจากหลักเหตุผล และข้อเท็จจริง
-
11:14 - 11:16นั่นคือความงดงามของวิทยาศาสตร์
-
11:16 - 11:18แต่เรายังมีมายาคติอีกด้วยว่า
-
11:18 - 11:20การทำงานทางวิทยาศาสตร์
-
11:20 - 11:22สิ่งที่เราทำกันทุกวัน เพื่อเสาะหาความรู้
-
11:22 - 11:24ก็ใช้แค่หลักเหตุผล และข้อเท็จจริงเช่นกัน
-
11:24 - 11:27เหมือน มิสเตอร์ สป๊อค (Mr. Spock)
-
11:27 - 11:28พอคุณตีตราอะไรก็ตาม
-
11:28 - 11:30ว่ามีแค่ข้อเท็จจริง และหลักเหตุผล
-
11:30 - 11:32โดยอัตโนมัติ ขั้วตรงข้าม
-
11:32 - 11:33คือความรู้สึก และอารมณ์
-
11:33 - 11:35ย่อมถูกตีตราว่า 'ไม่เป็นวิทยาศาสตร์'
-
11:35 - 11:37หรือต่อต้านวิทยาศาสตร์
หรือเป็นภัยต่อวิทยาศาสตร์ -
11:37 - 11:39เราก็เลยไม่พูดถึงมันกัน
-
11:39 - 11:41และเมื่อผมได้ยินอย่างนั้น
-
11:41 - 11:43ว่าวิทยาศาสตร์มีวัฒนธรรม
-
11:43 - 11:45ทุกอย่างเข้าล๊อคสำหรับผม
-
11:45 - 11:46เพราะว่า ถ้าวิทยาศาสตร์มีวัฒนธรรมแล้ว
-
11:46 - 11:48วัฒนธรรมก็สามารถเปลี่ยนได้
-
11:48 - 11:49โดยมีผมเป็นตัวกระตุ้น
-
11:49 - 11:52ให้วัฒนธรรมของวิทยาศาสตร์เปลี่ยนไป
ในที่ๆ ผมทำได้ -
11:52 - 11:55พอถึงการบรรยายถัดไปที่งานสัมมนา
-
11:55 - 11:57ผมจึงพูดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของผม
-
11:57 - 11:58และเมื่อผมพูดถึงความสำคัญ
-
11:58 - 12:00ของแง่มุมด้านอารมณ์ และความรู้สึกของวิทยาศาสตร์
-
12:00 - 12:01และวิธีการที่เราควรพูดถึงมัน
-
12:01 - 12:03และผมก็มองไปยังผู้ชม
-
12:03 - 12:05พวกเขาดูด้านชา
-
12:05 - 12:08พวกเขาไม่ได้ยินว่าผมกำลังพูดอะไร
-
12:08 - 12:10ในบริบทของ การบรรยายผ่านเพาเวอร์พอยท์
-
12:10 - 12:1110 สไลด์ต่อกัน
-
12:11 - 12:14และผมลองอีกครั้ง และอีกครั้ง
สัมมนาครั้งแล้วครั้งเล่า -
12:14 - 12:16แต่ผมก็ยังคงติดชะงัก
-
12:16 - 12:19ผมติดอยู่ในเมฆ
-
12:19 - 12:23แต่ในที่สุด ผมก็หลุดออกมาจากเมฆได้
-
12:23 - 12:26โดยใช้การด้นสดและดนตรี
-
12:26 - 12:28ตั้งแต่นั้น ทุกงานสัมมนาที่ผมไป
-
12:28 - 12:31ผมจะบรรยายทางวิทยาศาสตร์
และแถมด้วยการบรรยายพิเศษ -
12:31 - 12:33ชื่อว่า "ความรักและความกลัวในห้องทดลอง"
-
12:33 - 12:35ผมจะเริ่มต้นด้วยเพลง
-
12:35 - 12:38เกี่ยวกับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กลัวที่สุด
-
12:38 - 12:41ซึ่งคือ การที่เราทำงานอย่างหนัก
-
12:41 - 12:43เราค้นพบสิ่งใหม่บางอย่าง
-
12:43 - 12:47แต่ดันมีคนอื่น ชิงตีพิมพ์มันไปก่อนเราเสีย
-
12:47 - 12:49เราเรียกมันว่า โดนงาบไปรับประทาน
-
12:49 - 12:52และการโดนงาบไปรับประทานนั้น รู้สึกแย่มากๆ
-
12:52 - 12:55ทำให้เราไม่กล้าคุยกัน
-
12:55 - 12:55ซึ่งไม่สนุกเลย
-
12:55 - 12:58เพราะเราเข้าวงการวิทยาศาสตร์มา
เพื่อแบ่งปันความคิด -
12:58 - 12:59และเรียนรู้จากกันและกัน
-
12:59 - 13:03และผมก็เลยเล่นเพลงบลู
-
13:05 - 13:11ซึ่งมันก็ - (เสียงปรบมือ) -
-
13:11 - 13:14เรียกว่า "โดนงาบไปอีกแล้ว"
-
13:14 - 13:16และผมก็ขอผู้ชมเป็นนักร้องลูกคู่ให้ผม
-
13:16 - 13:20และผมพวกบอกพวกเขาว่า
"เนื้อร้องคือ 'งาบ งาบ'" -
13:20 - 13:23ทำนองประมาณนี้ครับ
"งาบ งาบ" -
13:23 - 13:24มันออกมาแบบนี้ครับ
-
13:24 - 13:26♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪
-
13:26 - 13:28♪ งาบ งาบ ♪
-
13:28 - 13:29และเมื่อผมร้อง
-
13:29 - 13:31♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪
-
13:31 - 13:33♪ งาบ งาบ ♪
-
13:33 - 13:34♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪
-
13:34 - 13:36♪ งาบ งาบ ♪
-
13:36 - 13:38♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪
-
13:38 - 13:39♪ งาบ งาบ ♪
-
13:39 - 13:41♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪
-
13:41 - 13:43♪ งาบ งาบ ♪
-
13:43 - 13:46♪ โอ้แม่จ๋า รู้ไหมว่ามันเจ็บ ♪
-
13:46 - 13:50♪ สวรรค์ช่วยลูกด้วย โดนงาบอีกแล้ว ♪
-
13:51 - 13:57(เสียงปรบมือ)
-
13:58 - 13:59ขอบคุณครับ
-
13:59 - 14:00ขอบคุณที่ช่วยเป็นนักร้องลูกคู่นะครับ
-
14:00 - 14:03ทุกคนก็เริ่มหัวเราะ และหายใจ
-
14:03 - 14:05รู้สึกตัวกันว่า ยังมีนักวิทยาศาสตร์คนอื่นรอบๆ ตัว
-
14:05 - 14:06ที่เจอเรื่องอย่างเดียวกันมา
-
14:06 - 14:08และเราก็เริ่มพูดถึงเรื่องอารมณ์
-
14:08 - 14:10และความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในงานวิจัย
-
14:10 - 14:12มันรู้สึกเหมือนกับเรื่องแน่นอกถูกยกออก
-
14:12 - 14:15แล้วเราก็พูดถึงเรื่องนี้
ในงานสัมมนาวิทยาศาสตร์ได้เสียที -
14:15 - 14:17และนักวิทยาศาสตร์ก็ดำเนินการต่อ
เพื่อก่อตั้งกลุ่มเพื่อนวิจัย -
14:17 - 14:18ที่พวกเขามาพบปะกันเป็นประจำ
-
14:18 - 14:20และได้มีพื้นที่มาพูดคุยกันเรื่องอารมณ์
-
14:20 - 14:22และความรู้สึกที่เกิดขึ้น ตอนที่พวกเขาได้สอน
-
14:22 - 14:24ตอนที่พวกเขาเดินทางสู่ความไม่รู้
-
14:24 - 14:25และแม้กระทั่งเปิดหลักสูตร
-
14:25 - 14:27เกี่ยวกับกระบวนการในการทำงานทางวิทยาศาสตร์
-
14:27 - 14:29เกี่ยวกับการเดินทางสู่ความไม่รู้ไปด้วยกัน
-
14:29 - 14:30และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย
-
14:30 - 14:31วิสัยทัศน์ของผมก็คือ
-
14:31 - 14:35ก็เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนรู้จักคำว่า
"อะตอม" -
14:35 - 14:37รู้ว่าสสารประกอบด้วยอะตอม
-
14:37 - 14:38นักวิทยาศาสตร์ทุกคนจะรู้จักคำศัพท์อย่าง
-
14:38 - 14:41"เมฆ"
การพูดว่า "ใช่ แล้วก็" -
14:41 - 14:44และวิทยาศาสตร์จะสร้างสรรค์ขึ้นกว่านี้มาก
-
14:44 - 14:47จะมีการค้นพบที่ไม่คาดฝันอีกมากมาย
-
14:47 - 14:49เพื่อประโยชน์สำหรับเราทุกคน
-
14:49 - 14:52และมันจะมีความสนุกขึ้นอีกมากด้วย
-
14:52 - 14:54และที่ผมจะขอจากพวกคุณให้จำไปจากการบรรยายนี้
-
14:54 - 14:57ก็คือ ครั้งหน้าที่คุณได้เผชิญ
-
14:57 - 14:59กับปัญหาที่คุณไม่สามารถแก้ได้
-
14:59 - 15:01ในการงาน หรือในชีวิต
-
15:01 - 15:03คุณใช้คำนี้ เรียกสิ่งที่คุณจะเจอได้:
-
15:03 - 15:04เมฆ
-
15:04 - 15:06และคุณสามารถผ่านเข้าไปในเมฆ
-
15:06 - 15:07ไม่ใช่ตัวคนเดียว แต่ไปด้วยกัน
-
15:07 - 15:09กับใครสักคนที่คอยสนับสนุน
-
15:09 - 15:11และพูดว่า "ใช่ แล้วก็" ต่อความคิดของคุณ
-
15:11 - 15:14และช่วยคุณพูดว่า "ใช่ แล้วก็"
ต่อความคิดของคุณเอง -
15:14 - 15:15เพื่อที่จะเพิ่มโอกาส
-
15:15 - 15:17เมื่อผ่านก้อนปุยเมฆแล้ว
-
15:17 - 15:19คุณจะพบกับวินาทีแห่งความสงบ
-
15:19 - 15:20ที่ซึ่งคุณได้เห็นแสงแวบแรก
-
15:20 - 15:24จากการค้นพบเหนือความคาดฝัน
-
15:24 - 15:26ซี ของคุณ
-
15:26 - 15:29ขอบคุณครับ
-
15:29 - 15:33(เสียงปรบมือ)
- Title:
- ทำไมวิทยาศาสร์แนวนวัตกรรมจริงๆ จึงต้องกระโจนเข้าสู่ความไม่รู้
- Speaker:
- ยูริ เอลอน (Uri Alon)
- Description:
-
ระหว่างการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ ยูริ เอลอน คิดว่าเขาเป็นผู้ล้มเหลว เพราะทุกงานวิจัยของเขานำไปสู่ทางตัน แต่ด้วยความช่วยเหลือจากละครเวทีแบบด้นสด เขาก็ได้ตระหนักว่า เรายังหาความสุขใจได้อยู่ แม้ในยามหลงทาง การเรียกร้องต่อนักวิทยาศาสตร์เพื่อให้หยุดคิดถึงการวิจัยว่าเป็นแค่ทางตรง จากคำถามสู่คำตอบ แต่เป็นอะไรที่สร้างสรรค์กว่านั้น มันเป็นข้อความที่เสนาะกังวาน ไม่ว่าคุณจะทำงานอยู่ในสายวิชาใด
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 15:52
Teerachart Prasert commented on Thai subtitles for Why science demands a leap into the unknown | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for Why science demands a leap into the unknown | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for Why science demands a leap into the unknown | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why science demands a leap into the unknown | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why science demands a leap into the unknown | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why science demands a leap into the unknown | ||
Teerachart Prasert accepted Thai subtitles for Why science demands a leap into the unknown | ||
Teerachart Prasert edited Thai subtitles for Why science demands a leap into the unknown |
Kelwalin Dhanasarnsombut
Thanks for reviewing :)
Teerachart Prasert
With pleasure krub ^^