-
รู้สึกตัวไว้ จิตไปข้างนอก
-
เราจะทำกรรมฐานอยากให้พัฒนาเร็วๆ
-
ก็ต้องดูสภาวธรรมให้ออก
-
ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมตามยถากรรม
-
ได้ยินว่าคนอื่นเขาหายใจ ก็หายใจ
-
ได้ยินว่าเขาพุทโธ เราก็พุทโธ
-
เห็นคนอื่นเขาดูพองยุบ ก็เอากับเขาด้วย
-
หรือทำจังหวะ ขยับไม้ขยับมือ
-
อันนั้นมันแค่เปลือก
-
รูปแบบของการปฏิบัติ
-
อย่างเราท่องพุทโธๆ
-
พุทโธเป็นอารมณ์บัญญัติ
-
เป็นเรื่องที่เราคิดขึ้นเอง
-
ไปท่องอย่างอื่นก็ได้
-
ก. เอ๋ย ก. ไก่ อะไรก็ได้
-
ฉะนั้นลำพังทำกรรมฐาน
-
ถ้าเราไม่เห็นตัวสภาวธรรมจริงๆ
-
มันจะพัฒนายาก
-
อย่างมากก็ได้แค่ความสงบ
-
อารมณ์กรรมฐานมีทั้งหมด
-
อารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์กรรมฐาน
-
อารมณ์ทั้งหมดมันมี 4 ชนิด
-
อารมณ์แปลว่าสิ่งที่ถูกรู้
-
อันที่หนึ่ง เรียกอารมณ์บัญญัติ
-
คือเรื่องราวที่เราปรุง เราคิดขึ้นเอง
-
เราคิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้น
-
คือความคิดทั้งหลาย
-
ตัวความคิดทั้งหลายมันไม่ใช่ของจริง
-
เราเป็นผู้หญิง เราคิดว่าเราจะเป็นชายงาม
-
หรือว่าเป็นผู้ชายอยากเป็นนางงามจักรวาล
-
คิดได้ไหม คิดได้
-
แต่มันไม่ใช่ความจริง
-
เพราะฉะนั้นเวลาเราจะภาวนา
-
ในขั้นของการเจริญปัญญา
-
เราต้องพ้นออกจากโลกของความคิดความฝัน
-
พ้นจากการจินตนาการ
-
มารู้อารมณ์ที่เป็นสภาวะจริงๆ
-
อารมณ์บัญญัติไม่มี ไม่เป็นสภาวธรรม
-
ไม่มีไตรลักษณ์
-
อย่างร่างกายจิตใจเราเป็นไตรลักษณ์
-
เป็นอนัตตา เราสั่งไม่ได้
-
สั่งว่าอย่าแก่ อย่าเจ็บ อย่าตาย สั่งไม่ได้
-
สั่งจิตใจว่าจงมีแต่ความสุขอะไรอย่างนี้
-
สั่งไม่ได้
-
แต่อารมณ์บัญญัติ
-
นึกว่าเรามีความสุขอย่างไรก็นึกได้
-
มันไม่ใช่ของจริง
-
การเจริญปัญญา เราต้องเห็น
-
อารมณ์ที่เป็นของจริง คือเป็นสภาวะจริงๆ
-
อารมณ์ที่เป็นสภาวะ
-
ที่จะใช้เจริญปัญญามี 2 อย่าง
-
คือรูปธรรมกับนามธรรม
-
รูปธรรมเป็นสภาวะที่มีอยู่
-
ไม่ใช่เรื่องที่คิดฝัน
-
นามธรรมก็เป็นของที่มีอยู่
-
เช่น ความรู้สึกสุขทุกข์
-
ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์
-
ความจำได้หมายรู้
-
ความปรุงดีปรุงชั่วอะไรนี่
-
นี่เป็นสภาวะที่เป็นนามธรรม
-
การเจริญปัญญาต้องใช้อารมณ์ที่ถูกต้อง
-
คือรูปธรรมนามธรรม
-
อารมณ์ชนิดที่สี่คืออารมณ์นิพพาน
-
เอามาทำวิปัสสนาไม่ได้
-
นิพพานเที่ยง นิพพานเป็นบรมสุข
-
แต่นิพพานมีลักษณะสำคัญคือเป็นอนัตตา
-
ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
-
พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว
-
นิพพานก็ยังอยู่ ไม่หาย
-
ฉะนั้นเวลาเราจะภาวนา เราต้องดูสภาวะจริงๆ
-
นิพพานเราไม่เคยเห็น
-
ปุถุชนไม่เคยเห็นนิพพาน
-
คนที่เห็นพระนิพพานครั้งแรก
-
ตอนที่ได้โสดาปัตติมรรค
-
เป็นชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นเอง
-
ฉะนั้นเราไม่เคยเห็นนิพพาน
-
เราไม่เอานิพพานมาเป็นเครื่องมือ
-
เป็นเครื่องถูกรู้
-
ในการทำวิปัสสนากรรมฐาน ในการเจริญปัญญา
-
คนจำนวนมากไม่รู้หลักตัวนี้
-
ว่าเราเจริญปัญญาต้องใช้
รูปธรรมนามธรรมเป็นอารมณ์
-
ของถูกรู้ถูกดู
-
ก็ไปนั่งบังคับจิตให้
นิ่งๆ ว่างๆ อะไรอย่างนี้
-
ไปแต่งจิต
-
คิดว่าทำความสงบมากๆ แล้วจะเกิดปัญญา
-
ทำความสงบมันก็ได้ความสงบ
-
เจริญปัญญามันถึงจะได้ปัญญา
-
มันคนละเรื่องกัน
-
แต่การเจริญปัญญา
-
ถ้าจิตไม่สงบ ไม่มีเรี่ยวมีแรง ก็ทำไม่ได้
-
เพราะฉะนั้นความสงบของจิต
-
เป็นตัวสนับสนุนการเจริญปัญญา
-
การที่จะฝึกจิตให้สงบ มีเรี่ยวมีแรง
-
ตั้งมั่น เด่นดวง
-
เรียกว่าการทำสมถกรรมฐาน
-
เป็นงานสนับสนุน
-
การทำวิปัสสนากรรมฐาน คือการเจริญปัญญา
-
เป็นตัวเนื้องานที่แท้จริง
-
จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ต้องทำวิปัสสนา
-
พระพุทธเจ้าบอก
-
“บุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา”
-
ปัญญาตัวนี้เป็นวิปัสสนาปัญญา
-
ฉะนั้นถ้าไม่ได้เจริญวิปัสสนา
-
ไม่ได้เจริญปัญญา
-
เห็นความจริงของรูปธรรมนามธรรม
-
จะไม่มีวันบรรลุมรรคผลนิพพานหรอก
-
ไปนั่งสมาธิ นั่งปุ๊บจิตสงบปั๊บ
-
ก็สงบอยู่อย่างนั้นล่ะ ไปไหนไม่ได้
-
มีคนปฏิบัติจำนวนมาก
-
ที่ไม่รู้หลักตัวนี้
-
ก็ไปทำความสงบและก็ไปอยู่กับความสงบ
-
อยู่ไปกี่ปีๆ มันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ
-
หลวงพ่อเคยเจอคุณยายคนหนึ่ง
-
อยู่กับความสงบมาตั้งเกือบ 70 ปี
-
แล้วก็สงบอยู่อย่างนั้น
-
เวลากระทบอารมณ์อะไรที่ไม่ถูกใจ
-
ไม่สบายใจ
-
กำหนดจิตปุ๊บ
-
โลกธาตุหายไปเลย ร่างกายก็หายไป
-
เหลือจิตดวงเดียวสงบนิ่ง สว่างไสว
-
มีแต่ความสุขอยู่อย่างนั้น
-
คนนี้แกมาขอให้หลวงพ่อแก้ให้
-
แกรู้ว่าไม่ใช่ทาง
-
มาขอให้หลวงพ่อแก้ให้ หลวงพ่อแก้ไม่ไหวคนนี้
-
เพราะว่าติดสงบมาเกือบ 70 ปี
-
ถ้าหลุดออกจากตรงนี้มันจะฟุ้ง
-
ไม่รู้จะฟุ้งขนาดไหนเลย
-
แล้วอายุมากแก้ไขไม่ทันแล้ว
-
ถ้าตายไปด้วยจิตที่ฟุ้งซ่านก็จะไปอบาย
-
ที่ภาวนามาหลายสิบปี เกือบ 70 ปีเลย
-
ก็ล้มเหลวแล้ว
-
กลายเป็นภาวนาแล้วก็ตกนรกไปได้
-
นี่โทษของการปฏิบัติที่ไม่รู้หลัก
-
ไปทำแต่ความสงบอย่างเดียว
-
เมื่อ 2 - 3 วันนี้ก็มี
-
โยมผู้ชายคนหนึ่งมาวัด
-
ไปฝึกกรรมฐานอะไรมาก็ไม่รู้
-
เพ่งแน่นๆ อึดอัด รุนแรง
-
เหมือนหน้าอกจะแตก
-
มาตอนที่พระกำลังฉันข้าว
-
จะมาพบหลวงพ่อ
-
พระที่ข้างนอกนี้ท่านก็บอก
-
หลวงพ่อฉันข้าวอยู่ ไม่ว่างหรอก
-
ไม่ใช่เวลาที่จะพบ
-
เขาเครียดจัด สุดท้ายร้องกรี๊ดขึ้นมา
-
ผู้ชาย แต่ร้องกรี๊ด
-
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเลย
-
พอร้องกรี๊ด โล่งแล้ว สบายใจแล้ว
-
กลับบ้านได้
-
ภาวนา กดตัวเอง ข่มๆ ข่มๆ
-
ข่มจนทนไม่ไหว
-
นี่ยังฉลาดไปร้องกรี๊ดๆ
-
ถ้าไม่มีทางออกมันจะเป็นบ้าไป
-
เพราะฉะนั้นภาวนา
-
ถ้าไม่รู้หลักว่าเราจะต้องเรียนรู้สภาวะ
-
ดูสภาวะอย่างที่สภาวะมันเป็น
-
นี่คืองานหลัก
-
ก็ไปทำสมาธิที่ไม่ถูก
-
ถ้าสมาธิที่ถูกดี
-
คือจิตจะสงบ จิตจะตั้งมั่น
-
มีความสุข มีความสงบ
-
มีเรี่ยวมีแรง สดชื่น
-
ทำสมาธิก็ยังทำไม่เป็น
-
ไปกดไปข่มจิตเอาไว้
-
ไม่บ้าก็บุญแล้วล่ะ ยังบุญรักษา
-
เพราะฉะนั้นเราจะปฏิบัติ
ธรรมเราต้องรู้หลักให้ดี
-
งานที่เราจะทำ งานหลัก
-
คือการทำวิปัสสนากรรมฐาน
-
อารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐานคือรูปธรรมนามธรรม
-
อย่างร่างกายเราเป็นรูปธรรม
-
ความรู้สึกนึกคิด
-
ความรับรู้ทั้งหลายเป็นนามธรรม
-
ร่างกายเป็นตัวรูปธรรม
-
เจริญปัญญานี้ก็ต้องรู้รูปธรรมรู้นามธรรม
-
ทีแรกรู้ถึงความมีอยู่ของรูปธรรม
-
ถัดจากนั้น
-
รู้ถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของรูปธรรม
-
หรือเบื้องต้นรู้ความมีอยู่ของนามธรรม
-
ถัดจากนั้นก็รู้ความเคลื่อนไหว
เปลี่ยนแปลงของนามธรรม
-
ทีแรกรู้ถึงความมีอยู่ของกายของใจ
-
แล้วต่อไปก็เห็น
-
ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกายของใจ
-
ร่างกายนี้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป
-
ถูกความทุกข์บีบคั้น
-
เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อยๆ
-
จิตใจมีแต่ความไม่เที่ยง แปรปรวนตลอดเวลา
-
แล้วก็บังคับไม่ได้ ควบคุมไม่ได้
-
เห็นความจริงของร่างกาย
-
เห็นความจริงของจิตใจไป
-
อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าการเจริญปัญญา
-
ส่วนการทำสมถกรรมฐาน
-
จะให้จิตสงบ ตั้งมั่น เด่นดวงขึ้นมา
-
ก็ต้องรู้หลัก
-
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้
-
ในชมพูทวีป
-
คนทำสมาธิเยอะแยะเลย
-
ฤๅษีชีไพรเยอะแยะ มีฤทธิ์มีเดช
-
ทำอะไรได้แปลกๆ
-
ก็นั่งสมาธิเข้าฌานกัน
-
พระพุทธเจ้า
-
เจ้าชายสิทธัตถะออกจากวัง
-
ก็ไปเรียนกรรมฐานกับฤๅษี
-
มันเป็นธรรมชาติ
-
อย่างพวกเราเวลาคิดถึงการปฏิบัติ
-
เราคิดถึงการนั่งสมาธิก่อนล่ะ
-
เจ้าชายสิทธัตถะก็คิดอย่างนั้นล่ะ
-
ออกจากวังมา อยากปฏิบัติธรรม
-
ก็ต้องไปเรียนนั่งสมาธิ
-
นั่งสมาธิแบบฤๅษี สงบ
-
สงบอยู่เฉยๆ
-
ออกจากความสงบมากิเลสเหมือนเดิม
-
ความทุกข์เหมือนเดิม
-
ถ้าไปอยู่ในความสงบนานๆ
-
กิเลสจะแรงกว่าเก่าอีก
-
ทุกข์รุนแรง
-
กระทบโลกปุ๊บ โลกเป็นฟืนเป็นไฟ ทนไม่ไหวเลย
-
เจ้าชายสิทธัตถะบุญบารมีท่านมาก
-
ท่านรู้ว่าสมาธิอย่างนี้ไม่มีประโยชน์อะไร
-
เหมือนปวดหัวก็กินพาราเซตตามอล
-
หายปวดไป เดี๋ยวก็ปวดอีก กินอีก
-
วนเวียนอยู่แค่นั้นล่ะ
-
จิตใจไม่มีความสุขก็ไปเข้าสมาธิ
-
ออกจากสมาธิก็กลับมาไม่มีความสุข
-
ไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหนเลย
-
มันหนี ทุกข์ไปวันๆ หนึ่ง
-
ท่านก็เลยปฏิบัติสมาธิอีกแบบหนึ่ง
-
เป็นสมาธิที่มีสติกำกับ
-
ไม่ได้มุ่งไปที่สงบแล้ว
-
ทำไปเพื่อมีความมีสติ
-
สมาธิอันนี้เคยเกิดกับท่านตอนท่านเด็กเล็กๆ
-
เป็นบุญบารมีที่ท่านเคยสะสมมา
-
จิตได้สมาธิตัวนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครสอน
-
เป็นเอง
-
ไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ตามลำพัง
-
ท่านทำอานาปานสติ
-
หายใจออกยาว รู้ว่าหายใจออกยาว
-
รู้
-
หายใจเข้ายาว รู้ว่าหายใจเข้ายาว
-
ไม่ใช่หายใจออกยาวก็น้อมใจให้เพลินๆ
-
หายใจเข้ายาว น้อมใจให้เพลินๆ
-
จุดสำคัญที่สมาธิของท่านต่างกับสมาธิฤๅษี
-
มีคำว่า รู้ อยู่ด้วย
-
หายใจออกยาว รู้ว่าหายใจออกยาว
-
หายใจเข้ายาว รู้ว่าหายใจเข้ายาว
-
หายใจไปจนลมหายใจสงบลงไป
-
จิตมีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่งขึ้นมา
-
ตอนเด็กๆ ท่านมาถึงตรงนี้
-
มีสติรู้ตลอดสาย
-
ตอนที่ท่านออกภาวนาเอง
-
ท่านก็ทำสมาธิอีก ที่ถูกมีตัวรู้อยู่
-
พอมีวิตกวิจารท่านก็วางวิตกวิจาร
-
เข้าสู่ฌานที่สอง
-
วางปีติ เข้าสู่ฌานที่สาม
-
วางความสุข เข้าสู่ฌานที่สี่
-
จิตเป็นอุเบกขา ตั้งมั่นเป็นอุเบกขา มีสติ
-
สมาธิของพระพุทธเจ้า
-
จิตมันเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
-
หลุดออกจากโลกของความคิด ความเห็น
-
ถ้าสมาธิอย่างเป็นมิจฉา
-
นั่งแล้วก็เคลิ้ม ฝันๆ ไปเรื่อยๆ
-
ก็เห็นโน่นเห็นนี่ นึกว่ามีฤทธิ์มีเดชมากมาย
-
เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นผี เห็นเทวดา
-
เห็นชาติก่อน เห็นชาติหน้า
-
รู้ว่าคนนี้คิดอะไร
-
รู้สารพัดจะรู้เลย ไม่รู้ตัว
-
สิ่งเดียวที่ไม่รู้คือไม่รู้ตัวเอง
-
ฉะนั้นสมาธิของพระพุทธเจ้า
-
เป็นสมาธิที่ฝึกแล้วมีความรู้สึกตัวเอง
-
ไม่หลง ไม่ลืม ไม่เผลอไป
-
เพราะฉะนั้นเราจะฝึกให้จิตสงบ จิตตั้งมั่น
-
อย่าทิ้งรู้
-
หายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้
-
ไม่ใช่หายใจออกก็เพ่งลมหายใจ
-
หายใจเข้าก็เพ่งลมหายใจ
-
แค่รู้
-
รู้อะไร
-
รู้ว่าร่างกายหายใจออก
-
รู้ว่าร่างกายหายใจเข้า
-
หรือถ้าใช้อิริยาบถก็รู้ว่าร่างกายยืน
-
รู้ว่าร่างกายเดิน นั่ง นอน รู้เอา
-
พอจิตสงบ จิตรวมลงไป มันจะมีรู้อยู่
-
ไม่เคลิ้ม ลืมเนื้อลืมตัว
-
มันสงบได้ถึงอรูปฌานเลย
-
ดับโลกธาตุหมดเลย
-
ตัวรู้ยังอยู่
-
ถ้าถึงฌานที่แปด ตัวรู้เหลือนิดเดียว
-
เหลือแผ่วๆ นิดเดียว
-
เพราะสัญญานี้มันเกือบจะดับ
-
ถ้าสัญญาดับเมื่อไรจิตก็ดับเมื่อนั้น
-
ถ้าจิตดับก็เป็นพรหมลูกฟักทันทีเลย
-
ฉะนั้นต้องมีสติ
-
มีความรับรู้อยู่ตลอดเวลา
-
ค่อยฝึก
-
พอจิตเราตั้งมั่น มีเรี่ยวมีแรง
-
ก็มาถึงเวลาที่เจริญปัญญา
-
เจริญปัญญาทำอย่างไร
-
เจริญปัญญาขั้นที่หนึ่ง ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา
-
เป็นปัญญาขั้นต้น
-
แยกรูปแยกนามให้ได้
-
อย่างเวลาพวกเราฟังหลวงพ่อเทศน์
-
พวกเราจะเกิดสมาธิอัตโนมัติ
-
เพราะเวลาเข้าใกล้หลวงพ่อ
-
จิตมันจะตั้งมั่นเองล่ะ
-
มันกลัวหลวงพ่อ ไม่กล้าซ่า ใจมันก็ตั้ง
-
ตอนนี้ใจของเราตั้งมั่นอยู่
-
รู้สักไหมร่างกายมันนั่งอยู่
-
เห็นไหม ร่างกายมันนั่งอยู่
-
ร่างกายที่นั่งอยู่เป็นแค่
ของที่ถูกรู้ถูกดูเท่านั้นเอง
-
นี่เราใช้รูปธรรมเป็นอารมณ์กรรมฐาน
-
ทีแรกเรารู้ถึงความมีอยู่ของร่างกาย
-
ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา
-
เรารู้ว่ามีร่างกาย เราไม่ลืม ไม่หลง
-
ไม่ให้มันหายไป
-
แล้วก็เห็นร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู
-
ตรงนี้มันจะเห็น เออ ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
-
เป็นแค่ของที่ถูกรู้
-
ตรงนี้เป็นการเห็นที่ยังเจือด้วยการคิดอยู่
-
ยังไม่ขึ้นวิปัสสนาจริง
-
ถ้าเราเห็นร่างกายเรื่อยๆ แล้วเราจะเห็น
-
ร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
-
นั่งสบายๆ เดี๋ยวเดียวก็ปวดก็เมื่อย
-
หรือนั่งอยู่เดี๋ยวก็คัน
-
ร่างกายมันถูกความทุกข์เบียดเบียน
-
พอมันเมื่อยมากๆ เราก็ต้องขยับตัว
-
ทำไมต้องขยับตัว หนีทุกข์
-
เราจะเห็นร่างกายมันมีแต่ตัวทุกข์
-
ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
-
เราเริ่มมีวิปัสสนาปัญญาแล้ว
-
เราเห็นเอา ไม่ใช่คิดเอา
-
ฉะนั้นเวลาจะนั่งดูกาย
-
นั่งใจเย็นๆ ไม่ต้องดูอะไรมาก
-
คอยดูร่างกายมันถูกความทุกข์บีบคั้นไป
-
สังเกตไปเรื่อยๆ สั่งได้ไหม
-
นั่งแล้วจงสบายอย่างเดียว อย่าทุกข์
-
ดูของจริง จะพบว่าทำไม่ได้
-
ร่างกายถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอด
-
ถ้าสติสมาธิเราดีพอ
-
ไม่ต้องรอดูร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอนหรอก
-
ช้าไป
-
เราดูร่างกายที่หายใจเข้า
-
ลองหายใจเข้ายาวๆ ยาวที่สุดเลยสิ
-
สุขหรือทุกข์ ทุกข์
-
หายใจเข้าก็ทุกข์ใช่ไหม ก็ต้องหายใจออก
-
ตอนที่หายใจออกทีแรกก็รู้สึกสบาย
-
แก้ทุกข์จากการที่เราหายใจเข้า
-
หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตายเลย
-
มันทุกข์ขนาดนั้น
-
พอหายใจเข้าแล้วทุกข์
-
เราก็หายใจออก
-
เพื่อแก้ทุกข์ของการหายใจเข้า
-
หายใจออกนานๆ ทุกข์อีกแล้ว
-
ต้องหายใจเข้าเพื่อแก้ทุกข์ของการหายใจออก
-
คอยสังเกตไป
-
เราจะรู้เลยร่างกายนี้
-
มีความทุกข์บีบคั้นอยู่ทุกลมหายใจ
-
อันนี้ใจต้องมีกำลังสมาธิมากพอ
-
ถ้ากำลังไม่พอก็นั่งดูอิริยาบถไป
-
นั่งนานๆ ก็ทุกข์ ยืนนานๆ ก็ทุกข์
-
เดินนานๆ ก็ทุกข์ นอนนานๆ ก็ทุกข์
-
อย่างตอนเราตื่นนอน
-
ตื่นนอนปุ๊บ อย่าเพิ่งบิดขี้เกียจ
-
รู้สึกร่างกายก่อน
-
โอ้ มันทุกข์ มันปวดมันเมื่อย
-
ทั้งๆ ที่นอนมาหลายชั่วโมง
-
พอเห็นมันทุกข์เราก็บิดขี้เกียจ
-
เพื่ออะไร เพื่อแก้ทุกข์
-
พอลุกขึ้นมา ไปอาบน้ำ ไปล้างหน้า
-
ทำไมต้องอาบน้ำ ต้องล้างหน้า
-
ร่างกายนี้มีแต่ปฏิกูลอสุภะ
-
ไม่คอยบำบัดเยียวยาก็สกปรกโสโครก
-
ตัวเองยังทนตัวเองไม่ได้เลย
-
เหม็นสาบตัวเอง
-
พอถึงเวลาต้องไปอึอีกแล้ว
-
อาหารที่กินเข้าไปก็ดีๆ
-
อึออกมาไม่เห็นจะดีเลย
-
ร่างกายนี้เหมือนโรงงานชั้นเลว
-
เอาวัตถุดิบที่ดีใส่เข้าไป
-
ผลผลิตที่ออกมาเลวเลย
-
ทนดูไม่ได้
-
แค่กลิ่นก็ไม่ไหวแล้ว
-
ร่างกายนี้ไม่ใช่ของดีของวิเศษ
-
คอยรู้ไปอย่างนี้
-
เราเห็นร่างกาย
-
ตรงนี้ยังไม่เป็นวิปัสสนา
-
ตรงนี้จะทำให้จิตสงบ
-
ตรงที่เราเห็นร่างกายเป็นปฏิกูลอสุภะ
-
จิตจะสงบ ได้สมาธิอีกแบบหนึ่ง
-
แล้วถ้าจิตมันตั้งมั่นอยู่ ใช้ได้เลย
-
ดูร่างกายไปเรื่อยๆ
-
เราจะเห็นร่างกายถูก
ความทุกข์บีบคั้นตลอดเวลา
-
หรือบางคนก็เห็นร่างกายเป็นธาตุ
-
มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออก
-
กินอาหารเข้าไปแล้วก็ขับถ่ายออก
-
มีธาตุเข้าไปแล้วก็มีธาตุไหลออกไป
-
ดื่มน้ำแล้วก็ขับถ่ายออกไป
-
ธาตุมันหมุนเวียน
-
หายใจเข้าแล้วก็หายใจออก
-
ธาตุมันหมุนเวียนอยู่
-
ร่างกายนี้ไม่ใช่อะไรเลย
-
ร่างกายเป็นที่ประชุมของธาตุ
-
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
-
มารวมกันอยู่ด้วยกำลังของกรรม
-
กรรมที่ทำให้ตัวนี้มารวมกันเรียกว่าชนกกรรม
-
ทำให้เราเกิดมามีร่างกายอย่างนี้
-
พอมีร่างกายอย่างนี้
-
ก็คิดว่าเป็นตัวเป็นตนที่แท้จริง
-
แต่พอมาทำวิปัสสนาเราจะเห็น
-
ร่างกายมันเป็นแค่ก้อนธาตุ
-
มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออก
-
เฝ้ารู้เฝ้าดูไป
-
สุดท้ายมันก็ถอดถอนความเห็นผิด
-
ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
-
เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ
-
แล้วตัวของร่างกายเองก็เป็นตัวทุกข์
-
มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
-
ไม่ใช่ของดีของวิเศษ
-
ที่ควรรักควรหวงแหนอีกต่อไป
-
พอเราเห็นความจริงของร่างกาย
-
ไม่ใช่ของดีแล้วล่ะ
-
จิตก็เบื่อหน่าย คลายความยึดถือ
-
ถึงจุดหนึ่งจิตจะปล่อยวางร่างกาย
-
ตรงที่จิตปล่อยวางร่างกายได้จริงๆ
-
เป็นภูมิจิตภูมิธรรมระดับพระอนาคามี
-
เราก็ภาวนาต่อไป
-
เรียนรู้กายจบแล้ว เรียนรู้จิตใจไป
-
ถ้าเรียนไปตามลำดับ
-
เรียนจากกายแล้วมาเห็นเวทนา
-
ร่างกายนี้มันเจ็บปวด
-
ถัดจากนั้นก็เรียนรู้เข้ามาถึงจิต
-
นี่เรียนลำดับ กาย เวทนา จิต ธรรม
-
แต่ลีลาการปฏิบัติจริงไม่เป็นอย่างนี้หรอก
-
จะเริ่มต้นจากกายเลยก็ได้
-
จะเริ่มจากเวทนาก็ได้
-
จะเริ่มจากจิตเลยก็ได้
-
จะเริ่มจากธัมมานุปัสสนาเลยก็ยังได้
-
ถ้าปัญญาแก่กล้าพอ
-
แต่ถ้าจะพูดให้เต็มรูปแบบ รู้สึกกายไป
-
เห็นความจริงของกาย
-
ในกายมีอะไรอยู่
-
ในกายมีเวทนาอยู่
-
ร่างกายก็ไม่ใช่เรา
-
เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ
-
มีเวทนาคือความทุกข์บีบคั้นอยู่ทุกข์ขณะ
-
ความทุกข์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
-
ไม่เที่ยงหรอก
-
เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ไม่ทุกข์ในร่างกายนี้
-
เดี๋ยวทุกข์ตรงนั้น เดี๋ยวทุกข์ตรงนี้
-
เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
-
แต่ว่าเราบังคับไม่ได้
-
สั่งว่าอย่าทุกข์ อย่าปวด อย่าเมื่อย
-
อย่าหิว อย่าหนาว อย่าร้อน อย่ากระหายน้ำ
-
อย่าปวดอึปวดฉี่ สั่งไม่ได้ เป็นอนัตตา
-
เราดูตัวเวทนา
-
เราก็จะเห็นกายนี้เราก็สั่งไม่ได้
-
เวทนาเราก็สั่งไม่ได้
-
อย่าปวดอย่าเมื่อย สั่งไม่ได้
-
อย่าคัน สั่งไม่ได้
-
แล้วถัดจากนั้นถ้าดูไปตามลำดับ
-
เราจะเห็นว่าเวลาเวทนาเกิดขึ้น
-
พอมีความสุขเกิดขึ้น
-
ใจมันจะยินดีพอใจ
-
เราดูเข้ามาที่จิตตานุปัสสนาแล้ว
-
เราเห็นราคะเกิดขึ้น
-
เรายินดีพอใจ
-
เวลาความทุกข์เกิดขึ้น
-
โทสะก็แทรกเข้ามา
-
ตรงที่เราเห็นโทสะ
-
เป็นการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
-
กายานุปัสสนามีกายเป็นอารมณ์
-
เวทนานุปัสสนาดูเวทนา
-
ความรู้สึกสุขทุกข์ทางกาย
-
ความรู้สึกสุขทุกข์ ความเฉยๆ
-
ไม่สุขไม่ทุกข์ทางใจ
-
พอก้าวมาสู่จิตตานุปัสสนา
-
เราจะเห็นเวลามีความสุขเกิดขึ้น
-
จิตก็มักจะปรุงราคะขึ้นมา
-
ยินดีพอใจ
-
เวลามีความทุกข์เกิดขึ้น
-
จิตก็ปรุงโทสะ ไม่พอใจ หงุดหงิด
-
เวลาไม่สุขไม่ทุกข์
-
อุเบกขาเวทนา
-
จิตมักจะเผลอๆ เพลินๆ
-
โมหะเอาไปกินเสียส่วนใหญ่
-
เราสังเกต เราดูเข้ามาได้ถึงกิเลสตัวเองแล้ว
-
ร่างกายเป็นของที่นอกที่สุด
-
เวทนาก็ลึกเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง
-
พอถึงจิตตานุปัสสนา
-
รู้ทันจิตที่เป็นกุศลอกุศล
-
เป็นปฏิกิริยาต่อเวทนา
-
ตัวนี้เข้าใกล้จิตมากขึ้นแล้ว
-
เรียกว่าจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
-
ถ้าเราเห็นถึง เช่น
-
กระทบอารมณ์ไม่ดี โทสะเกิด
-
เราเห็นโทสะ
-
โทสะเป็นของถูกรู้ถูกดูเหมือนกัน
-
โทสะยังไม่ใช่จิตหรอก
-
เราจะสามารถแยกโทสะกับจิตออกจากกันได้
-
จิตจะตั้งมั่นเป็นคนดู
-
โทสะเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา
-
แล้วก็ผ่านไป
-
ราคะเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
-
เฉยๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
-
จิตเป็นแค่คนเห็น เป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็น
-
แล้วเราจะรู้เลยว่า
-
ความปรุงดีปรุงชั่วทั้งหลาย
-
เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปทั้งสิ้น
-
จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องเลว
-
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสมอกัน
-
ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร
-
ถึงตรงนี้เรารู้แล้วว่า
-
สังขาร หรือความปรุงดีปรุงชั่ว
-
กับจิตนี้คนละอันกัน
-
เราจะเข้ามาเห็นตัวจิต
-
ตัวจิตที่แท้จริง
-
แล้วคราวนี้เราก็จะเห็นการทำงานของจิต
-
จิตมันก็ออกไปกระทบอารมณ์
-
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
-
พอมันกระทบอารมณ์แล้ว
-
มันก็เกิดกุศลบ้างเกิดอกุศลบ้าง
-
สั่งไม่ได้ ควบคุมอะไรไม่ได้
-
เฝ้ารู้เฝ้าดูไป
-
พอดูเราเห็นกิเลสที่ละเอียดขึ้น
-
จะเห็นกิเลสที่ละเอียด
-
ไม่ใช่แค่โลภ โกรธ หลงเกิดแล้วผ่านหรอก
-
เราเห็นกิเลสชั้นที่ละเอียดขึ้น
-
คือกิเลสชนิดที่เรียกว่านิวรณ์
-
นิวรณ์เป็นกิเลสที่ทำ
หน้าที่ขวางกั้นคุณงามความดี
-
เช่น เวลาเราตั้งอกตั้งใจภาวนา
-
กามฉันทะนิวรณ์แทรกเข้ามาแล้ว
-
นั่งนานแล้ว นอนดีกว่า
-
ฝืนใจนั่งต่อไปเดี๋ยวเป็นอัตตกิลมถานุโยค
-
แหนะ มันสอนเก่งเว้ย
-
สอนฟังแล้วเป็นธรรมะ
-
จะเดินจงกรมไป
-
เดินไปๆ
-
ตัวขี้เกียจนี้แทรกเข้ามาแล้ว
-
ตัวพยาบาท
-
ใจโหยหาถึงเตียงนอน
-
เป็นกามฉันทะแทรกเข้ามา
-
บางทีมันฉลาดกิเลสนี่ โอ้โห
-
ใครที่คิดจะหลอกกิเลส ไม่ได้กินหรอก
-
นี่พูดแบบตรงไปตรงมาเลย
-
ไม่มีใครหลอกกิเลสได้หรอก
-
มีแต่ถูกกิเลสหลอก
-
บางทีกิเลสมันหลอกเราสาหัสสากรรจ์
-
เรานั่งสมาธิ
-
กะจะนั่ง 2 ชั่วโมง
-
พอนั่งไปชั่วโมงหนึ่ง เมื่อยเต็มทีแล้ว
-
ถ้านั่งต่อไปเดี๋ยวมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค
-
ทรมานตนเอง
-
ไม่ใช่ทางสายกลาง นอนดีกว่าอะไรอย่างนี้
-
นี่มันหลอกๆ
-
หรือบางทีภาวนา
-
บางท่านภาวนาจะแตกหักข้ามภพข้ามชาติอยู่แล้ว
-
มันเห็นจิตนี้ใกล้จะระเบิดแล้ว
-
มันทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว
-
จะแตกสลายแล้ว
-
ใจก็ห้าวหาญ ตายเป็นตาย ไม่กลัว
-
กิเลสก็หลอก เฮ้ย
-
ถ้าระเบิดแล้วตายไม่เป็นไร
-
คนอื่นไม่เดือดร้อน
-
แต่ว่าถ้าระเบิดแล้วบ้า เดือดร้อน
-
ใจสะเทือนเลย ใจอยากถอยเลย
-
เพราะฉะนั้นมันจะคอยหลอกเรา
-
เวลาที่เราจะสร้างคุณงามความดี
-
กิเลสมารพวกนี้มันจะหลอกเรา
-
อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ
-
กำลังจะตรัสรู้แล้ว
-
มารก็มาไล่ที่
-
ท่านก็คิดถึงบุญบารมีที่สร้าง
-
ความตั้งใจ ความปรารถนา
-
ที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า
เพื่อจะช่วยสัตว์โลก
-
ถ้าจะตายก็ตาย ยอมตาย
-
พอท่านยอมตาย มารก็แพ้ไปเลย
-
ใจต้องเข้มแข็ง
-
ไม่อย่างนั้นใจสู้กิเลสไม่ได้
-
จิตตานุปัสสนากับธัมมานุปัสสนามันจะต่างกัน
-
จิตตานุปัสสนา เราเห็นตัวกิเลสตรงๆ
-
เห็นราคะ โทสะ โมหะอะไรเกิดดับๆ ไป
-
หรือกุศลเกิดแล้วดับไป
-
ในธัมมานุปัสสนาเราจะรู้
ลงไปถึงเหตุถึงผลของมัน
-
ทำไมนิวรณ์เกิด
-
ทำไมกามฉันทะเกิด ทำไมพยาบาทเกิด
-
ทำไมอุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจเกิด
-
ทำไมความลังเลสงสัยเกิด
-
ทำไมความเซื่องซึมเกิด
-
จะรู้เหตุรู้ผลแล้วจิตก็ชนะ
-
หรือกุศลที่เกิด
-
ไม่ใช่อโลภะ อโทสะ อโมหะธรรมดา
-
กุศลในธัมมานุปัสสนาสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
-
เป็นกุศลเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น
-
คือตัวโพชฌงค์ 7
-
เป็นองค์ธรรมที่จะตรัสรู้แล้ว
-
สติสัมโพชฌงค์
-
เป็นสติที่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้
-
ไม่ใช่มีสติเพื่อจะให้เกิด
ปัญญาอย่างที่เราทำกัน
-
คนละแบบกัน
-
แต่ละองค์ธรรมมันจะประณีตลึกซึ้งขึ้นไป
-
ฉะนั้นธัมมานุปัสสนาเล่นยาก
-
หรือถัดจากนั้นเราก็ดูเข้าไปเห็นขันธ์ๆ
-
เวลารู้กายนี่ 1 ขันธ์
-
รู้เวทนาอีกขันธ์หนึ่ง
-
จิตตานุปัสสนาอีกขันธ์หนึ่ง
-
มาถึงธัมมานุปัสสนารู้มัน 5 ขันธ์เลย
-
เห็นขันธ์ 5 ทำงาน
-
เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยง
-
การทำงานเป็นแท็คทีมของขันธ์
-
แล้วก็รู้มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
-
หรือเห็นธาตุ
-
เรียนรู้ประณีตลึกซึ้งมาก
-
อย่างเราเรียนกาย เรียนเวทนาอย่างนี้
-
เรียนจิตตานุปัสสนา
-
มันลงมาที่ธาตุ
-
ธาตุตั้ง 18 ธาตุ
-
คืออายตนะภายใน 6 อายตนะภายนอก 6
-
วิญญาณธาตุ
-
มีความรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอีก 6
-
การทำงานของธาตุ 18 ตัว ทำงานอย่างไร
-
ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรามีเขาเลยตรงนี้
-
มีแต่ธาตุ
-
ธาตุตัวนี้ไม่ใช่ธาตุแบบโลกๆ
-
คนละธาตุคนละชนิดกัน
-
ชื่อมันเหมือนกัน
-
สูงสุดในธัมมานุปัสสนา คือปฏิจจสมุปบาท
-
คืออริยสัจ
-
เจ้าชายสิทธัตถะบารมีท่านเต็ม
-
สูงกว่าพวกเราเทียบกันไม่ได้
-
ท่านทำความสงบของจิตด้วยอานาปานสติ
-
แล้วท่านเจริญวิปัสสนา
-
โดยใช้ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานอันสุดท้ายเลย
-
สัจจบรรพ
-
ท่านเรียนรู้อริยสัจ 4
-
แจกแจงรายละเอียดของ
อริยสัจ 4 ลงไปในปฏิจจสมุปบาท
-
ทุกข์มีอยู่เพราะอะไรมีอยู่ เพราะชาติมีอยู่
-
ชาติมี 2 ชนิด
-
ชาติโดยการเกิดอย่างพวกเราอย่างนี้
-
เกิดมา แล้วมันมีชาติอีกชนิด ชาติตัวจริงๆ
-
คือการที่จิตเข้าไปหยิบฉวย
-
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมาใช้งาน
-
นั่นล่ะคือตัวชาติที่แท้จริง
-
แต่ตัวนี้มันประณีต
-
พวกเรายังเรียนไม่ถึง
-
หลวงพ่อพูดคร่าวๆ ให้ฟังไว้
-
ชาตินี้มันมาจากภพ
-
ภพก็คือความปรุงแต่งของจิต
-
ความปรุงแต่งของจิต
เป็นไปด้วยอำนาจของอุปาทาน
-
ความยึดมั่นถือมั่น
-
อุปาทานเป็นตัณหาที่มีกำลังแรงกล้า
-
ตัณหามันเกิดขึ้นมาเพราะกิเลส
-
กิเลสมันแทรกอยู่กับเวทนา
-
เวทนาคือความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ
-
เวทนาเกิดขึ้นจากผัสสะ
-
อยู่ๆ เวทนาไม่เกิด
-
ต้องมีการกระทบอารมณ์ทางตา หู
จมูก ลิ้น กาย ใจก่อน เวทนาถึงจะเกิด
-
การกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
-
เรียกว่าผัสสะ
-
มีผัสสะได้เพราะอะไร
-
เพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอายตนะ
-
อายตนะมีได้เพราะมีรูปนามนี้ล่ะ
-
ตาเราเป็นรูปธรรม มีตาอย่างเดียว
-
ไม่มีนามธรรมไม่มีจิตไปรับรู้
-
ก็ทำให้เกิดผัสสะไม่ได้
-
ต้องมีตา มีรูป มีความรับรู้ทางตา
-
3 อันนี้รวมกัน
-
ทำงานร่วมกันถึงจะเกิดคำว่าผัสสะ
-
การกระทบอารมณ์
-
มีตาเฉยๆ แต่ใจไปคิดเรื่องอื่น
-
ลืมตาอยู่ คนเดินผ่านมา เราไม่รู้ว่าใครมา
-
เพราะใจเราไปทำงานอยู่ที่อื่น
-
มันต้องประชุมกัน
-
มีตา มีรูป มีจิตที่ไปรับรู้อารมณ์ทางตา
-
เห็นไหมตัวนี้
-
อายตนะมันจะทำงานได้ มีจิตอยู่ข้างหลัง
-
แล้วจิตตัวนี้อาศัยความปรุงแต่งเกิดขึ้นๆ
-
ตรงนี้ต้องค่อยเรียนค่อยภาวนา
-
เรียนไปฟังไปเล่นๆ
-
ยังไม่เห็นจริง ไม่มีทางเข้าใจหรอก
-
ความปรุงแต่งของจิตตัวนั้น
-
มันปรุงดีบ้างปรุงชั่วบ้าง
-
พยายามจะไม่ปรุงบ้าง มี 3 แบบ
-
ทั้งหมดนี้เกิดจากอวิชชา
-
ไม่รู้แจ้งเห็นจริงว่าขันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์
-
มันก็เลยไปปรุงแต่ง
-
บางคนก็ปรุงบุญไป บางคนก็ปรุงบาปไป
-
บางคนพยายามไม่ปรุง
-
อวิชชาคือไม่รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ 4
-
ไม่รู้ว่าขันธ์ 5 คือตัวทุกข์
-
ก็เลยละสมุทัยไม่ได้
-
ก็เลยไม่แจ้งนิโรธ
-
ว่ามีตัณหาอยู่ มีสมุทัยอยู่
-
ก็จะไม่เห็นพระนิพพาน
-
ถ้าใจเราสิ้นตัณหาเมื่อไร
-
เราก็จะเห็นนิพพานเมื่อนั้นเลย
-
แล้วอะไรทำให้อวิชชาเกิด อาสวะ
-
อันนี้กิเลสละเอียดเลย
-
กิเลสที่หมักดอง
-
หมักหมมอยู่ในจิตสันดานของเรา
-
แต่มันไม่ใช่จิตหรอก
-
มันก็แค่สิ่งแปลกปลอมอีกอันหนึ่ง
-
เพียงแต่ว่ามันมีธรรมชาติที่ย้อมจิตอยู่
-
คล้ายๆ เราเป็นทาส
-
โดยที่ไม่รู้ว่าเรามีนายทาส
-
เราก็เลยไม่คิดจะปลดแอก
-
ถ้าสติปัญญาแก่กล้าพอ
-
เราจะพ้นจากอาสวะได้
-
ที่พ้นจากอาสวะได้
-
เพราะว่าเรารู้แจ้งอริยสัจ 4
-
ฉะนั้นเราไม่ต้องรู้อะไรมากหรอก
-
รู้เรื่องอริยสัจ 4
-
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
-
อริยสัจ 4 เอาอันเดียวก็พอ
-
อันใดอันหนึ่งก็ได้
-
แต่โดยภูมิจิตภูมิธรรมของสาวก รู้ทุกข์ไป
-
อยู่ๆ จะไปรู้นิโรธ ทำไม่ได้
-
แล้วทันทีที่รู้นิโรธ ขณะนั้นรู้ทุกข์แล้ว
-
เข้าถึงนิโรธก็รู้ทุกข์แล้ว
-
ละสมุทัยเรียบร้อยแล้ว
-
เกิดอริยมรรคเรียบร้อยแล้ว
-
ให้รู้ทุกข์ อะไรคือทุกข์ ก็ขันธ์ 5 นั่นล่ะ
-
รูป นาม กาย ใจของเราคือตัวทุกข์
-
เพราะฉะนั้นรู้สึกกายรู้สึกใจไว้
-
ทีแรกรู้สึกถึงความมีอยู่ของกายของใจ
-
ถัดจากนั้นก็เห็นกายใจเป็นไตรลักษณ์
-
ถึงจุดหนึ่งจิตจะปล่อยวาง
-
ความยึดถือในกายในใจได้
-
อาสวกิเลสจะเข้ามาอีกไม่ได้
-
เพราะไม่มีอวิชชา
-
อาสวะมีอวิชชา
-
เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มันเกิดขึ้น
-
อวิชชาก็มีอาสวะเป็น
เหตุเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น
-
ถ้าจิตไม่มีอวิชชา อาสวะเข้ามาย้อมไม่ได้
-
ฉะนั้นเราค่อยภาวนา
-
ตัวสำคัญที่เราต้องทำก็คือรู้ทุกข์
-
มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
-
แต่จะรู้ได้ต้องมีกำลังสมาธิหนุนหลัง
-
จิตที่มีกำลังสมาธิหนุนหลัง
-
มันจะตั้งมั่นและก็เป็นกลาง
-
ฉะนั้นเราต้องฝึก
-
ทีแรกก็ฝึกให้มีเครื่องมือในการปฏิบัติ
-
เครื่องมือสำคัญ 2 ตัวคือสติกับสัมมาสมาธิ
-
สติเกิดจากการที่เรา
หัดรู้สภาวะเนืองๆ หัดรู้บ่อยๆ
-
จิตจำสภาวะได้แล้วสติเกิดเอง
-
สมาธิคือความตั้งมั่นของจิต
-
อาศัยสติทำกรรมฐานไป
-
อาศัยสติรู้เท่าทันจิตตัวเองไป
-
เรียกว่าจิตตสิกขา
-
แล้วจิตจะตั้งมั่นขึ้น โดยที่ไม่ได้เจตนา
-
พอจิตตั้งมั่นแล้วสติระลึกรู้อารมณ์
-
จิตก็ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง ให้รู้ทัน
-
จิตก็จะเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยสติ
-
คราวนี้เราจะสามารถ
-
มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางได้
-
ไม่มีอคติ ไม่มี bias
-
ก็จะเห็นความจริงของรูป นาม กาย ใจ
-
มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
-
พอเห็นความเป็นจริงก็เบื่อหน่าย
-
คลายความยึดถือแล้วก็หลุดพ้น
-
ตรงที่หลุดพ้นจากรูป นาม กาย ใจ สิ้นตัณหา
-
ตรงนั้นเป็นวิมุตติ
-
เป็นวิราคะ สิ้นความปรุงแต่ง
-
เป็นวิสังขาร ตรงนั้นเป็นพระนิพพาน
-
จะสัมผัสพระนิพพาน
-
สรุป ไปทำอย่างที่บอกนั่นล่ะ สรุปแล้ว
-
ส่งการบ้าน
-
เบอร์ 1
-
สวดมนต์ ภาวนาพุทโธ
-
สลับกับดูลมหายใจ
-
เห็นสิ่งต่างๆ ช้าลงและชัดเจนขึ้น
-
เมื่อเผลอเพ่งจะอึดอัด
-
หากใจลอยไปคิด
-
ใจไม่ชอบ จะรู้สึกเสียดที่ใจ
-
โดยรวมเห็นความเปลี่ยนแปลงและบีบคั้น
-
เห็นทุกข์มาก
-
แต่ใจไม่เป็นกลาง ไม่วาง
-
มีปกปิดแก้ไข
-
ขอหลวงปู่เมตตาชี้แนะด้วยค่ะ
-
ไม่ต้องพยายามวาง
-
การละการวางเป็นหน้าที่ของปัญญา
-
ไม่ใช่หน้าที่ของเรา
-
เรามีหน้าที่อบรมจิต
-
พาจิตเรียนรู้ความจริงของรูป นาม กาย ใจไป
-
พอปัญญาเกิดมันวางของมันเองล่ะ
-
ที่ภาวนาอยู่ดี ใช้ได้ ไปทำอีก
-
อย่าถลำลงไป ถอยขึ้นมา
-
เออ ถอยขึ้นมาอย่าจมลงไป
-
เวลาจิตมันจมแล้วก็หลง
ไปในภพอันหนึ่งเท่านั้นล่ะ
-
เป็นภพของนักปฏิบัติ
-
ถอยออกมา เออ ดีแล้ว
-
แล้วคราวนี้ รู้กายอย่างที่กายเป็น
-
รู้ใจอย่างที่ใจเป็นด้วยจิตที่ตั้งมั่น
-
ไม่ถลำลงไป
-
จิตที่ถลำมันไม่ตั้งมั่นหรอก
-
เห็นไหมจิตมันจะไหลไปไหลมา
-
ก็เห็น ไหลก็รู้ กลับมาก็รู้ ไหลไปก็รู้
-
ดูเรื่อยๆ
-
ไปทำอีก ใช้ได้ ดี ขยันดี
-
เบอร์ 2 ดีมากๆ แล้ว จะส่งไหม
-
เบอร์ 2 ไม่ต้องทำ ไม่ต้องเก๊กท่า
-
มันดีอยู่แล้ว
-
ไม่ต้องไปดัดแปลง ดูสิ
เลยไม่ดีแล้ว แข็งทื่อๆ ไปแล้ว
-
ถอยออกมา เออ อยู่ตรงนี้
-
เบอร์ 2
-
ยังมีโลภ โกรธ หลง
-
แต่ไม่หลงนานเหมือนก่อน
-
ดี
-
ชอบเทียบเขาเทียบเรา
-
เห็นกูเก่งได้อยู่บ่อยๆ
-
เออ นั่นล่ะดี
-
ยังติดเพ่งแต่เริ่มน้อยลง หลงอยู่บ่อยๆ
-
เริ่มทุกข์น้อยลงสั้นลง
-
เปลี่ยนเครื่องอยู่ไปเรื่อย
เพราะยังบังคับอยู่
-
ภาวนาโดยนอนกับนั่งดูลมหายใจ
-
และพุทโธ แล้วรู้สึก
-
มันเข้าสมาธิดีขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกว่าบังคับ
-
ขอคำแนะนำครับ
-
แรกๆ มันก็บังคับนิดหน่อย ไม่เป็นไร
-
แรกๆ จะให้พอดีเป๊ะมันจะหย่อน
-
ที่ทำอยู่ถูกแล้ว
-
อันนี้บังคับแรงไปแล้ว
-
อย่าบังคับแรงมากไป น่าเกลียด
-
บังคับพอดีๆ นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร
-
เบอร์ 2 ภาวนาได้ดี ภาวนาเก่งมากๆ เลย
-
ใช้ได้เลย ไปทำต่อไป
-
เบอร์ 2 ตรงนี้ไม่ถูก ไปรวบจิตเข้ามาแล้ว
-
เบอร์ 3
-
หลวงพ่อให้มาดูสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ
-
เห็นชัดว่าจิตเป็นอนัตตา
-
เกิดขึ้นเองและก็ดับไป ทำงานของมันเอง
-
รู้สึกโลกห่างออกไปไม่มีสาระ
-
ร่างกายจะมีอาการป่วย
-
ปวดอักเสบโดยไม่มีสาเหตุ
-
ทำให้จิตเป็นทุกข์มาก
-
ใจดิ้นเพราะมีความอยากให้เป็นปกติ
-
ทั้งๆ ที่ก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่เรา
-
แต่มันก็ยังยึดและทุกข์อยู่
-
ขอหลวงพ่อชี้แนะด้วยครับ
-
ก็ถูกแล้วล่ะ
-
เราเห็นว่ามันไม่ใช่เรา แต่มันยังยึดอยู่
-
ตอนที่เลิกยึดกายได้ ต้องพระอนาคามี
-
ฉะนั้นเรายึดอยู่นี่เรื่องปกติ
-
แล้วเวลาใจมันเศร้าหมอง
-
สังเกตไหมบางทีเจ็บป่วย
-
ใจมันเศร้าหมอง ไม่ต้องแก้
-
ใจเศร้าหมองเราก็เห็น
-
ความเศร้าหมองแปลกปลอมเข้ามาใจเป็นคนเห็น
-
ค่อยๆ ดูอย่างนี้ แยกๆ ไปเรื่อย
-
ดี ไปทำอีก ดีกว่าเก่าเยอะเลย
-
เบอร์ 4
-
5 เดือนก่อนเพิ่งรู้ตัวว่าเพ่ง
-
จิตแข็งและถลำไปดูความไหวกลางอก
-
เปลี่ยนกรรมฐานเป็นเดินจงกรม
-
จิตเพ่งน้อยลง
-
ปัจจุบันยังเห็นจิตเพ่งแข็งเกือบทั้งวัน
-
ในรูปแบบเพ่งมากกว่าชีวิตประจำวัน
-
ฝึกรู้สึกว่า
-
จิตมีความปรุงแต่งแข็งอยู่เนืองๆ
-
เห็นว่าจิตเพ่งเอง บังคับให้คลายไม่ได้
-
เห็นความคิด กิเลสความไหวอยู่เนืองๆ
-
ควรฝึกต่ออย่างไรครับ
-
ตรงแน่น มันก็มีเหตุคือการเพ่ง
-
การเพ่งก็มีเหตุคือโลภ
-
อยากดีอยากปฏิบัติ
-
ถ้ารู้ลงมาถึง ต้นตอของมัน
-
รู้ที่ตัวกิเลส ตัวโลภ
-
จิตไม่โลภก็ไม่มีการกระทำกรรมคือการเพ่ง
-
ก็ไม่มีวิบากคือทุกข์ คือแน่น
-
เพราะฉะนั้นเวลามันแน่นๆ ไม่ต้องแก้
-
แก้ไม่ได้ มันเป็นวิบาก
-
วิบากนี้เกิดจากการกระทำกรรมคือการเพ่ง
-
ตัวที่อยู่หลังการกระทำกรรมคือกิเลส ตัวโลภ
-
ดูเข้ามาให้เห็นตัวนี้
-
แล้วต่อไปมันเลิกเพ่งเองล่ะ
-
แล้วมาตัดต้นตอไป
-
ที่ฝึกอยู่ดี ไปทำอีก
-
เบอร์ 5 จุดอ่อนของเบอร์ 5 อย่างร้ายแรง
-
คิดมากเกินไป ฟุ้งซ่านในการคิด
-
ธรรมะเรียนไม่ได้ด้วยการคิดเอา
-
เบอร์ 5
-
เวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน
-
เห็นร่างกายเคลื่อนไหวช่วยตัวเองได้
-
อีก 2 ครั้งเห็นกายแล้วรู้สึกถึงความมืด
-
ก่อนกลับมารู้กายอีกครั้ง
-
เวลามีอะไรมากระทบอารมณ์
-
บางทีก็รู้สึก
-
บางทีจิตก็วิ่งไปควานหาว่ารู้สึกอะไร
-
เห็นความคิดเกิดเยอะ
-
ไม่แน่ใจว่าฟุ้งซ่านหรือกำลังเดินปัญญา
-
คอยรู้กายรู้ใจ
-
ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ ไม่เห็นเกิดดับ
-
ควรปรับอย่างไรคะ
-
ยังฟุ้งซ่านอยู่ มันยังคิดไม่เลิก
-
หาทางทำอย่างไรจะดี ทำอย่างไรจะถูก
-
ทำกรรมฐานแล้วคอยรู้ทันจิตของตัวเองไป
-
จะหายใจเข้าพุทออกโธหรืออะไรก็ได้
-
จิตหนีแล้วรู้ จิตไปเพ่งแล้วรู้
-
ฝึกอย่างนี้บ่อยๆ
-
ปัญญายังไม่ต้องรีบเดิน ใจยังฟุ้งอยู่
-
เดินปัญญาไม่ได้จริง จะไปคิดเอา
-
ที่หลวงพ่อบอกว่าปัญหา
ใหญ่คือเรื่องมันคิดเอา
-
มันยังเจือคิดอยู่
-
ฉะนั้นทำกรรมฐานอย่ารีบร้อน
-
ทำกรรมฐานไป จิตเราหลงไป รู้ทัน
-
จิตถลำลงไปนอนนิ่งๆ อยู่ รู้ทัน
-
ฝึกอย่างนี้บ่อยๆ
-
จิตจะตั้งมั่น มีกำลัง
-
คราวนี้ไม่เจตนาเจริญปัญญา
-
มันจะเจริญได้เองแล้ว
-
เพราะจิตมันชอบเจริญปัญญาอยู่แล้ว
-
มิฉะนั้นมันจะคิดเอา
-
ไม่ต้องเสียใจ
-
เสียใจ ความรู้สึกเสียใจ
ก็เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา
-
เป็นของถูกรู้ถูกดู ดูอย่างนี้
-
ดีล่ะที่ขยันภาวนา
-
แต่ใจมันอยากได้ อยากได้ผล ใจมันเร่าร้อน
-
แล้วมันยังเคยชิน ที่จะคิดเอา
-
มันเจือการคิดเยอะ
-
เปลี่ยนจากการเรียนรู้ด้วยการคิด
-
มารู้สึกเอา
-
เห็นไหมร่างกายหายใจอยู่
-
รู้สึกด้วยใจปกติ
-
ร่างกายหายใจออก รู้สึกด้วยใจปกติ
-
ร่างกายหายใจเข้า รู้สึกด้วยใจปกติ
-
สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง
-
หายใจไป รู้การหายใจไปด้วยจิตใจปกติ
-
จำตัวนี้ไว้ที่หลวงพ่อบอก แล้วทำตัวนี้บ่อยๆ
-
มีเวลาเมื่อไร ทำเมื่อนั้นเลย
-
เดี๋ยวจิตจะได้มีแรงขึ้นมา
-
หลุดออกจากความคิดได้
-
เบอร์ 6
-
ระหว่างวันฝึกร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู
-
เห็นความคิดเกิดดับได้เองทั้งวัน
-
เห็นความชอบ ไม่ชอบ
-
จากการปรุงแต่งความคิดนั้น
-
นั่งสมาธิเห็นร่างกายหายใจ
-
เห็นเวทนาเกิดดับเอง ไม่เที่ยง
-
สงบบ้าง ไม่สงบบ้าง
-
พยายามตามรู้อย่างที่มันเป็น
-
อยู่กับความรู้สึกของร่างกาย
-
และจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไป
-
ขอหลวงพ่อชี้แนะการปฏิบัติค่ะ
-
ใจมันยังดิ้นรนอยู่
-
มันยังอยากดีอยากอะไร ดูออกไหมตัวนี้
-
เราเลยไม่ยอม รู้ธรรมดาๆ มันมีลุ้นด้วย
-
รู้ไปเรื่อยๆ
-
ไม่ต้องลุ้นว่าจะได้อะไรอย่างไร เมื่อไร
-
จะดี ไม่ดี
-
เราไม่ได้ฝึกเอาดี เอาสุข เอาสงบอะไรหรอก
-
เราฝึกให้เห็นความจริง
ของร่างกายของจิตใจตัวเอง
-
ดูไปธรรมดาๆ
-
ใจมันยัง alert อยู่
-
กระตืนรือร้น อยากปฏิบัติ
-
ให้รู้ทันตัวนี้ เดี๋ยวมันเกิน
-
เบอร์ 7
-
ใช้การเจริญปัญญาในฌาน
-
เข้าไปในอรูปฌาน
-
จากฌานลำดับล่างขึ้นบน
-
ถอยจากบนลงล่าง
-
วันละครึ่งชั่วโมง
-
ไม่กล้าทำนาน กลัวจิตจะทื่อและถลำ
-
เดินจงกรมในชีวิตประจำวัน
-
หมั่นรู้ทันการได้ยิน การเห็น การคิด
-
ชอบไม่ชอบ และความอยาก
-
บางครั้งม้างกาย เผากาย ดูธาตุ 6
-
พอทำมากๆ จะเหลือตัวรู้เด่นอยู่ตัวเดียว
-
มีความคิดอยากปลีกวิเวก
-
ขอหลวงพ่อแนะนำครับ
-
ทำฌานให้หลวงพ่อดูสิ เข้าฌาน
-
ดูสิได้วสีหรือยัง
-
เก่ง ถอยออกมา
-
มีโมหะติดมานิดหนึ่ง เห็นไหม
-
ฉะนั้นเวลาเข้าฌานอย่าทิ้งสติ
-
ทิ้งสติแล้วก็มันเคลิ้มๆ ไป
-
แล้วบางทีจิตมันถอยออกมานิดหนึ่ง
-
นิมิตมันเกิดได้
-
มีสติ สติสำคัญ
-
ที่ทำอยู่ใช้ได้แต่ว่ามีสติเอาไว้
-
อย่าให้มันเคลิ้ม ลืมตัวเอง
-
มันเคลิ้มอยู่นิดเดียวล่ะ
-
มันเลยมีโมหะนิดๆ
-
รู้สึกไหม ตอนที่เราออกจากสมาธิมา
-
มันมีโมหะแทรกอยู่หน่อย
-
ค่อยๆ ฝึก ที่ทำอยู่ดีแล้ว
-
ม้างกายได้เก่ง
-
ม้างกายออกไปหมดแยกออกไปหมด
-
ก็เหลือตัวรู้ตัวเดียว
-
แล้วดูต่อไป
-
รู้ก็ไม่เที่ยง รู้ก็ไม่ใช่ตัวเรา
-
ดูให้เห็นตัวนี้
-
รู้ก็ไม่เที่ยง รู้ก็ไม่ใช่ตัวเรา
-
เบอร์ 8
-
เดินจงกรมเป็นหลัก
-
เพิ่งจะเห็นตัวรู้
-
แยกออกมาดูสภาวะชัดครั้งแรก
-
หลังๆ พอหายใจจะรู้สึกโหวงๆ กลางอก
-
เหมือนเข้าสมาธิได้ไวขึ้น
-
ชอบอุทาน “อุ๊ย”
-
เวลาเกิดสภาวะใหม่ๆ
-
ยังรู้สภาวะไม่ค่อยทัน
-
เห็นตัวไม่ได้ดั่งใจบ่อย
-
การรู้ว่ากายใจไม่ใช่เรา
-
ยังอยู่ในระดับความคิด
-
กราบขอคำแนะนำค่ะ
-
ไปทำอีกไป ทำสม่ำเสมอ ก็จะดีขึ้นๆ ล่ะ
-
วันนี้เทศน์เท่านี้ เชิญกลับบ้าน
-
พระอาคันตุกะนิมนต์ว่องไวหน่อย
-
วันนี้หลวงพ่อมีธุระ