ห้าศาสนาหลักของโลก - จอห์น เบลไลมีย์ (John Bellaimey)
-
0:07 - 0:09ไม่ว่าในยุคสมัยใดหรือที่ไหน
-
0:09 - 0:11มนุษย์เราต่างสงสัย
-
0:11 - 0:12"ว่าเรามาจากที่ใด
-
0:12 - 0:14มาเพื่อทำสิ่งใดในโลก
-
0:14 - 0:17เมื่อตายไปแล้วเราจะเป็นอย่างไร"
-
0:17 - 0:19ศาสนาคือระบบความเชื่อ
-
0:19 - 0:21ที่เจริญและมีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ
-
0:21 - 0:22เพื่อตอบสนองต่อปริศนาเหล่านี้
-
0:22 - 0:24และอื่น ๆ
-
0:24 - 0:26ที่เรารู้สึกว่าบางคำถาม
-
0:26 - 0:28จะได้รับการคลี่คลายได้
ก็ด้วยเพียงศรัทธาเท่านั้น -
0:28 - 0:29และจากการตระหนักรู้ด้วยตนเอง
-
0:29 - 0:31ว่ามีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ว่าตัวของเรา
-
0:31 - 0:34มีอำนาจที่อยู่เหนือกว่าเรา
ที่เราจะต้องขานรับ -
0:34 - 0:36หรือมีแหล่งที่เป็นต้นกำเนิดของเราทุกคน
-
0:36 - 0:38และที่ซึ่งเราต้องย้อนกลับไป
-
0:39 - 0:42ฮินดูหมายถึงศาสนาของอินเดีย
-
0:42 - 0:43มันไม่ใช่ศาสนาเพียงศาสนาเดียว
-
0:43 - 0:45แต่เป็นการรวมกลุ่มความเชื่อที่คล้ายกัน
-
0:45 - 0:47และพิธีกรรมทางจิตวิญญาณต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน
-
0:47 - 0:49ย้อนกับไปเมื่อห้าพันปีก่อน
-
0:49 - 0:50ตั้งแต่ยุคของพระกฤษณะ
-
0:50 - 0:52ผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม
-
0:52 - 0:54จนเป็นที่ถือกันว่า
ท่านเป็นร่างอวตารของพระวิษณุ -
0:54 - 0:57เทพที่กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์
-
0:57 - 1:00ท่านทรงสอนว่าทุกชีวิตเป็นไปตามกรรม
-
1:00 - 1:01ซึ่งก็คือคือกฎแห่งเหตุและผล
-
1:01 - 1:05และเรานั้นต้องทำหน้าที่ของเรา
ซึ่งก็คือการปฏิบัติธรรม -
1:05 - 1:06ตามฐานะของตนในสังคม
-
1:06 - 1:09โดยไม่ต้องกังวลถึงผลลัพธ์
-
1:09 - 1:12เมื่อตาย เราจะไปถือเกิดในร่างใหม่
-
1:12 - 1:14หากเราทำตามธรรมของตน
-
1:14 - 1:16และทำหน้าที่ในชาติก่อนได้อย่างเหมาะสม
-
1:16 - 1:17เราจะได้รับกรรมดี
-
1:17 - 1:20ซึ่งจะส่งให้วิญญาณของเรา
อยู่ในระดับสังคมที่สูงขึ้น -
1:20 - 1:22ชีวิตในชาติหน้าของเรา
-
1:22 - 1:25จึงขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำในชาตินี้
-
1:25 - 1:28วัฎจักรการเกิดใหม่นี้เรียกว่า สังสาระ
-
1:28 - 1:30มันเป็นไปได้สำหรับผู้ที่เคร่งศาสนามาก ๆ
-
1:30 - 1:33ที่ตลอดชีวิตได้ทำกรรมดีเอาไว้มากพอ
-
1:33 - 1:34ที่จะสามารถหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้
-
1:34 - 1:37การหลุดพ้นที่ว่านี้เรียกว่า โมกษะ
-
1:37 - 1:40ฮินดูสอนว่าทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว
-
1:40 - 1:41ทั้งจักรวาล
-
1:41 - 1:44คือสัจธรรมเดียวที่อยู่เหนืออื่นใด
ที่เรียกว่า พรหม -
1:44 - 1:46และพรหมมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว
-
1:46 - 1:47แต่มีเทพอยู่ในพรหมมากมาย
-
1:47 - 1:50แต่ละองค์มีบทบาท รูปลักษณะ
และคุณสมบัติที่แตกต่างกัน -
1:50 - 1:52ตามธรรมเนียมต่าง ๆ
-
1:52 - 1:54พระพรหมคือผู้สร้าง
-
1:54 - 1:56พระวิษณุคือผู้รักษา
-
1:56 - 1:59ซึ่งบางครั้งทรงร่างมนุษย์
-
1:59 - 2:01และพระศิวะคือผู้ทำลาย
-
2:01 - 2:03หรือนาฏราช
-
2:03 - 2:06ทุรคาคือพระมารดาผู้ปกป้องที่ดุดัน
-
2:06 - 2:08พระคเณศมีเศียรเป็นช้าง
-
2:08 - 2:11เป็นองค์อุปถัมภ์ความสำเร็จ
-
2:11 - 2:15ฮินดูเป็นศาสนาที่ใหญ่เป็นลำดับสามของโลก
-
2:15 - 2:17และถึงแม้ว่าชาวฮินดูส่วนมาก
จะอยู่ในประเทศอินเดีย -
2:17 - 2:19แต่พวกเขาก็อาศัยอยู่ในทุกทวีป
-
2:19 - 2:21ถึงหนึ่งพันล้านคน
-
2:22 - 2:23เอาล่ะ ไปทางตะวันตกกันบ้าง
-
2:23 - 2:25ข้ามทะเลทรายและภูเขา
-
2:25 - 2:28ไปยังอู่ข้าวอู่น้ำเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน
-
2:28 - 2:30ศาสนายูดาห์เกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงเรียก
-
2:30 - 2:33อับราฮัมและซาราห์
ให้อพยพจากเมโสโปเตเมีย -
2:33 - 2:35ไปยังดินแดนแห่งคานาอัน
-
2:35 - 2:38เพื่อตอบแทนศรัทธาของพวกเขา
ที่มีต่อพระเจ้าองค์เดียวนั้น -
2:38 - 2:40ซึ่งนั่นเป็นแนวคิดใหม่
-
2:40 - 2:42ในยุคพหุเทวนิยมในตอนนั้น
-
2:42 - 2:46พระเจ้าสัญญาจะให้แผ่นดิน
และทายาทกับพวกเขามากมาย -
2:46 - 2:48ด้วยพันธสัญญานี้
จึงกำเนิดประเทศอิสราเอล -
2:48 - 2:49และผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก
-
2:49 - 2:51แต่การอาศัยในดินแดนนั้น
-
2:51 - 2:52และการรวมให้ทุกคนอยู่ร่วมกัน
-
2:52 - 2:54เป็นเรื่องยากมาก
-
2:54 - 2:57ชาวอิสราเอลตกเป็นทาสในอียิปต์
-
2:57 - 2:59แต่พระเจ้าทรงปลดปล่อยพวกเขา
-
2:59 - 3:00ด้วยความช่วยเหลือ
จากศาสดาโมเสส -
3:00 - 3:02ผู้ได้รับบัญญัติสิบประการ
-
3:02 - 3:05และบัญญัติอีกหลายร้อยประการ
ในเวลาต่อมา -
3:05 - 3:06พวกเขาพิชิตดินแดนแห่งพันธสัญญา
-
3:06 - 3:09แต่รักษามันเอาไว้ได้เพียงไม่กี่ร้อยปี
-
3:09 - 3:11อิสราเอลอยู่ในจุดตัดผ่าน
-
3:11 - 3:13ของกองทัพมากมาย
-
3:13 - 3:14ตลอดหลายศตวรรษ
-
3:14 - 3:16ในปี ค.ศ. 70
-
3:16 - 3:17พวกโรมันทำลายโบสถ์
-
3:17 - 3:19ในนครเยรูซาเลม
เมืองหลวงของพวกเขา -
3:19 - 3:21ฉะนั้น ศาสนาจึงเปลี่ยนแปลงไป
-
3:21 - 3:22จากศาสนาที่มีโบสถ์
-
3:22 - 3:24มีการบูชายัญและนักบวช
-
3:24 - 3:26ไปเป็นศาสนายึดถือคัมภีร์แทน
-
3:26 - 3:28ด้วยเหตุนี้ยูดาห์จึงเป็นศาสนา
-
3:28 - 3:31แห่งสัญลักษณ์ ความยำเกรง
และความหมายอันล้ำซึ้ง -
3:31 - 3:34ที่ผูกพันกับวรรณกรรม
ที่เกี่ยวกับประวัติของมัน -
3:34 - 3:35คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์หลายเล่มคัมภีร์
ประกอบรวมกัน -
3:35 - 3:37เป็นทานัคหรือไบเบิ้ลของฮีบรู
-
3:37 - 3:40และบันทึกถึงการอภิปราย
และการตีความมากมาย -
3:40 - 3:42ถูกรวบรวมเอาไว้เป็นประมวลบันทึก
-
3:42 - 3:43แห่งความหมายเชิงลึก
-
3:43 - 3:45ที่เรียกว่า ทัลมุด
-
3:45 - 3:48ชาวยิวเสาะหาความหมายมากมาย
ที่เปี่ยมไปด้วยสัญลักษณ์ในชีวิตประจำวัน -
3:48 - 3:49ณ มื้ออาหารในวันปัสกา
-
3:49 - 3:51ทุกสิ่งทุกอย่างในรายการอาหาร
เป็นสัญลักษณ์ของ -
3:51 - 3:54มุมมองของการหลุดพ้น
จากความเป็นทาส -
3:54 - 3:55ความสำคัญต่อการเติบโต
-
3:55 - 3:57ถูกเน้นย้ำให้เมื่อเด็ก
-
3:57 - 3:59มีอายุถึงบาร์และบัทมิซวาห์
-
3:59 - 4:01ซึ่งคือการฉลองแห่งเจริญสู่วัย
ที่ได้มาซึ่งความรับผิดชอบ -
4:01 - 4:02ต่อการกระทำของตน
-
4:02 - 4:04และการฉลองการร้อยเรียง
-
4:04 - 4:05ชีวิตของตน
-
4:05 - 4:07ให้เข้าสู่ศรัทธา ประวัติศาสตร์
และบันทึกอักษร -
4:07 - 4:08ของคัมภีร์ของชาวยิว
-
4:08 - 4:11มีชาวยิว 14 ล้านคนทั่วโลกในปัจจุบัน
-
4:11 - 4:136 ล้านคนอยู่ในอิสราเอล
-
4:13 - 4:14ซึ่งได้รับอิสระ
-
4:14 - 4:17หลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ในสงครามโลกครั้งที่สอง -
4:17 - 4:20และอีก 5 ล้านคนอยู่ในสหรัฐฯ
-
4:20 - 4:24แต่ตอนนี้ มาย้อนเวลากลับไป
2,500 ปีก่อน และกลับไปที่อินเดีย -
4:24 - 4:25ที่ซึ่งศาสนาพุทธถือกำเนิดขึ้น
-
4:25 - 4:28จากเจ้าชายหนุ่มนามว่า สิทธัตถะ
-
4:28 - 4:29ในคืนที่ทรงมาจุติในครรภ์
ของพระมารดา -
4:29 - 4:31พระนางมายา
-
4:31 - 4:33พระมารดาของพระองค์ทรงพระสุบิน
-
4:33 - 4:36ว่ามีช้างเผือกมาหาที่ข้างพระองค์
-
4:36 - 4:38สิบเดือนต่อมา
เจ้าชายสิทธัตถะก็ประสูติ -
4:38 - 4:40ท่ามกลางทรัพย์สมบัติมากมาย
-
4:40 - 4:42เมื่อได้ทรงออกไปจากราชฐาน
-
4:42 - 4:43ที่ทรงอาศัยอยู่เมื่อครั้งเป็นมาณพ
-
4:43 - 4:45ก็ได้เสด็จไปเห็น
ความทุกข์ทรมานของมนุษย์ -
4:45 - 4:46ที่พระองค์ไม่เคยได้พบมาก่อน
-
4:46 - 4:49จึงทรงออกไปค้นหา
ต้นตอแห่งทุกข์ทันที -
4:49 - 4:52เหตุใดมนุษย์ต้องเผชิญทุกข์
-
4:52 - 4:55เราต้องเวียนว่ายตายเกิด
เป็นร้อยครั้งพันครั้งด้วยหรือ -
4:55 - 4:56แรกเริ่มทรงคิดว่าปัญหานั้น
-
4:56 - 4:58เกิดจากการยึดติดวัตถุ
-
4:58 - 5:00พระองค์จึงทรงสละสมบัติ
-
5:00 - 5:02ทรงไปเป็นภิกขาจาร
-
5:02 - 5:05ทว่า นั่นก็ไม่ได้ทำให้ทรงมีความสุข
มากขึ้นแต่อย่างใด -
5:05 - 5:08จนเมื่อทรงได้ยินครูสอนดนตรี
ที่บอกกับศิษย์ว่า -
5:08 - 5:10"อย่าขึ้นสายให้ตึงนัก มันจะขาดเอาได้
-
5:10 - 5:12แต่ก็อย่าให้หย่อนยานจนเกินไป
-
5:12 - 5:14เพราะเสียงจะไม่ดัง"
-
5:14 - 5:15ทันใดนั้นเอง
พระองค์ทรงตระหนักว่า -
5:15 - 5:17การทุ่มเทสุดโต่งเพื่อหาคำตอบนั้น
-
5:17 - 5:18ไม่ถูกต้อง
-
5:18 - 5:21"ทางสายกลางระหว่าง
ความฟุ่มเฟือยกับความข้นแค้น" -
5:21 - 5:22น่าจะเหมาะสมที่สุด
-
5:22 - 5:24และเมื่อทรงนั่งสมาธิที่ใต้ต้นโพธิ์
-
5:24 - 5:27คำตอบอื่น ๆ ก็พรั่งพรูเข้ามา
-
5:27 - 5:29ทุกชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์
-
5:29 - 5:31ซึ่งเกิดจากความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้
-
5:31 - 5:35เพื่อตนเองโดยการเบียดเบียนผู้อื่น
-
5:35 - 5:36การปฏิบัติตามหลักแปดประการ
-
5:36 - 5:38จะสอนให้เราลดกิเลส
-
5:38 - 5:41และจึงเป็นการลดความทุกข์ลงได้
-
5:41 - 5:44วันนั้น เจ้าชายสิทธัตถะ
ได้กลายเป็นพระพุทธเจ้า -
5:44 - 5:45ซึ่งหมายถึง ผู้รู้แจ้ง
-
5:45 - 5:48ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว
แต่ทรงเป็นองค์แรก -
5:48 - 5:49แนวทางของพระพุทธเจ้าเรียกว่า
-
5:49 - 5:50อริยมรรค
-
5:50 - 5:52และถึงแม้ว่าการปฏิบัติตามนั้น
อาจไม่ได้ทำได้โดยง่าย -
5:52 - 5:53แต่มันก็ได้ชี้ทาง
-
5:53 - 5:55ให้ผู้คนหลายล้านได้รู้แจ้ง
-
5:55 - 5:57ซึ่งนั่นก็คือความหมายของศาสนาพุทธ
-
5:57 - 5:58นั่นคือมีความกรุณา
-
5:58 - 5:59รู้ตน
-
5:59 - 6:00สงบ
-
6:00 - 6:02และแน่วแน่
-
6:02 - 6:04นับแต่พระองค์ตรัสรู้ใต้พระศรีมหาโพธิ์
-
6:04 - 6:06จวบจนปรินิพพานเมื่อชรา
-
6:06 - 6:08พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนวิธีสู่ความรู้แจ้ง
-
6:08 - 6:09มีวาจาชอบ
-
6:09 - 6:10มีเป้าหมายชอบ
-
6:10 - 6:12จิตตั้งมั่นแต่ในความเป็นจริง
-
6:12 - 6:15และมีใจมุ่งรักผู้อื่น
-
6:15 - 6:17ชาวพุทธจำนวนมากเชื่อว่า
มีพระเจ้าหรือเทพ -
6:17 - 6:20แต่การกระทำนั้นสำคัญกว่าความเชื่อ
-
6:20 - 6:22มีชาวพุทธเกือบหนึ่งพันล้านคน
-
6:22 - 6:23ในโลกของเราทุกวันนี้
-
6:23 - 6:27ส่วนมากอยู่ในเอเชียตะวันออก
ตะวันออกเฉียงใต้และใต้ -
6:28 - 6:31เมื่อ 2,000 ปีก่อน
ศาสนาคริสต์ถือกำเนิดขึ้น -
6:31 - 6:33ในดินแดนแห่งพันธสัญญาของยิว
-
6:33 - 6:36เช่นเดียวกับที่ชาวฮินดูเชื่อว่า
พระกฤษณะคือเทพในร่างมนุษย์ -
6:36 - 6:39ชาวคริสต์ก็กล่าวถึงพระเยซูลักษณะนั้น
-
6:39 - 6:40ศาสนาคริสต์แยกตัวออกมา
จากศาสนายูดาห์ -
6:40 - 6:43เช่นเดียวกับที่ศาสนาพุทธ
แยกตัวออกมาจากศาสนาฮินดู -
6:43 - 6:46พระเจ้าของอับราฮัม
ส่งเทวทูตกาเบรียล -
6:46 - 6:48ลงมาเพื่อมาขอให้หญิงสาวชื่อ แมรี
-
6:48 - 6:50เป็นมารดาของพระบุตรของพระองค์
-
6:50 - 6:52พระบุตรนั้นคือ พระเยซู
-
6:52 - 6:53ผู้ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวของช่างไม้
-
6:53 - 6:55โดยมีแมรีและโจเซฟผู้สามีเป็นพ่อแม่
-
6:55 - 6:57จนกระทั่งอายุ 30 ปี
-
6:57 - 6:59จึงทรงเริ่มรับใช้ประชาชน
-
6:59 - 7:01ในฐานะผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า
-
7:01 - 7:03ด้วยความที่ทรงให้ความสำคัญ
ในเรื่องศาสนา -
7:03 - 7:04น้อยกว่าความยุติธรรมและเมตตา
-
7:04 - 7:07พระเยซูทรงรักษาผู้ป่วยเพื่อดึงผู้คนเข้ามา
-
7:07 - 7:10แล้วจึงสอนให้พวกเขารู้จักพระบิดาบนสวรรค์
-
7:10 - 7:13ความรัก, การให้อภัย และการเอาใจใส่
-
7:13 - 7:15จากนั้น พระองค์ทรงเชิญทุกคนนั่งร่วมโต๊ะกัน
-
7:15 - 7:17เพื่อบรรยายถึงอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า
-
7:17 - 7:22คนจรจัด คนบาป และนักบุญ
ต่างกินร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกัน -
7:22 - 7:23พระองค์มีเวลาเพียงสามปีเท่านั้น
-
7:23 - 7:24ก่อนที่แนวคิดปรัชญาของพระองค์
ที่ต่างจากคนทั่วไป -
7:24 - 7:26จะส่งผลร้ายต่อพระองค์
-
7:26 - 7:27พระองค์ทรงถูกจับโดยศัตรู
-
7:27 - 7:29และถูกตัดสินประหารชีวิตโดยกรุงโรม
-
7:29 - 7:30ด้วยวิธีการตามโทษฐานความผิด
-
7:30 - 7:33ข้อผู้ที่ปลุกปั่นประชาชน
-
7:33 - 7:34ซึ่งก็คือการตรึงไม้กางเขน
จนถึงแก่ความตาย -
7:34 - 7:36แต่ไม่นานหลังจากที่พระศพถูกฝัง
-
7:36 - 7:38บรรดาหญิงกลุ่มหนึ่งก็พบว่า
หลุมศพของพระองค์นั้นว่างเปล่า -
7:38 - 7:40และบอกต่อข่าวนั้นไปอย่างรวดเร็ว
-
7:40 - 7:43ว่าพระองค์นั้นทรงฟื้นจากความตาย
-
7:43 - 7:44ชาวคริสต์กลุ่มแรกบรรยายว่า
-
7:44 - 7:46ทรงฟื้นคืนชีพของพระองค์
-
7:46 - 7:49บันดาลใจคนให้เชื่อมั่นว่า
ว่าสาส์นจากพระองค์นั้นเป็นความจริง -
7:49 - 7:53สาส์นนั้นคือ จงรักกันและกัน
เหมือนดังที่เรารักท่าน -
7:53 - 7:55ชาวคริสต์ฉลองการประสูติของพระองค์
-
7:55 - 7:57ในเดือนธันวาคม ในวันคริสต์มาส
-
7:57 - 8:00ฉลองการทนทุกข์ ความตาย และคืนชีพ
ของพระองค์ -
8:00 - 8:02ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
-
8:02 - 8:03ในพิธีศีลล้างบาป
-
8:03 - 8:05ซึ่งคือการชำระล้างขจัดบาป
-
8:05 - 8:07และการต้อนรับเข้าสู่สังคมชาวคริสต์
-
8:07 - 8:09ระลึกถึงการล้างบาปของพระเยซูเอง
-
8:09 - 8:11เมื่อพระองค์สละชีวิตช่างไม้
-
8:11 - 8:12ในพิธีศีลมหาสนิท
-
8:12 - 8:14ชาวคริสต์กินขนมปังและดื่มไวน์
-
8:14 - 8:17ซึ่งถือเสมือนร่างกายและพระโลหิต
ของพระเยซู -
8:17 - 8:20ระลึกถึงอาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์
-
8:20 - 8:22ทั่วโลกมีชาวคริสต์อยู่สองพันล้านคน
-
8:22 - 8:26เท่ากับเกือบหนึ่งในสามของประชากรโลก
-
8:27 - 8:30ศาสนาอิสลามถือกำเนิดขึ้น
เมื่อ 1,400 ปีที่แล้ว -
8:30 - 8:31เมื่อบุรุษผู้เปี่ยมคุณธรรม
-
8:31 - 8:33ทำสมาธิอยู่ในถ้ำ
-
8:33 - 8:35กลางทะเลทรายอาหรับ
-
8:35 - 8:37พระองค์คือพระมูฮัมหมัด
-
8:37 - 8:39ผู้ส่งสาส์นศักดิ์สิทธิ์ได้มาหาพระองค์
-
8:39 - 8:41เช่นเดียวกันกับเทวทูตกาเบรียล
-
8:41 - 8:43หรือที่เรียกในในภาษาอาหรับ ญิบรีล
-
8:43 - 8:46เพื่อนำพระวจนะของพระอัลลอฮ์
-
8:46 - 8:48หรือพระเจ้าองค์เดียวของอับราฮัม
มาให้กับพระองค์ -
8:48 - 8:49ในช่วงไม่กี่ปีต่อมา
-
8:49 - 8:51สาสน์จากพระเจ้าก็ถูกส่งมาเรื่อย ๆ
-
8:51 - 8:53และพระองค์ก็ทรงจดจำเอาไว้และสอนผู้คน
-
8:53 - 8:56โคลงที่ทรงใช้สวดนั้น
เต็มไปด้วยคำคม -
8:56 - 8:57คำคล้องจองที่สละสลวย
-
8:57 - 8:59และอุปมาปริศนา
-
8:59 - 9:02แต่พระมูฮัมหมัดเป็นพ่อค้า ไม่ใช่นักกวี
-
9:02 - 9:03หลายคนจึงเชื่อว่าโคลงเหล่านั้น
-
9:03 - 9:05เป็นพระวจนะจากพระเจ้าจริง ๆ
-
9:05 - 9:08ผู้ที่มีความเชื่อเหล่านี้
กลายเป็นชาวมุสลิมกลุ่มแรก -
9:08 - 9:11คำว่ามุสลิมแปลว่าผู้ภักดี
-
9:11 - 9:14หมายถึงผู้ที่เชื่อฟังพระประสงค์
ของพระผู้เป็นเจ้า -
9:14 - 9:16ฐานบัญญัติห้าประการ
-
9:16 - 9:19หรือหน้าที่สำคัญของชาวมุสลิมได้แก่
-
9:19 - 9:22ชาฮาดา
คือการปฏิญาณตนของชาวมุสลิมที่ว่า -
9:22 - 9:25ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระอัลลอฮ์
-
9:25 - 9:28และพระมูฮัมหมัด
คือศาสดาองค์สุดท้ายของพระองค์ -
9:28 - 9:31ซาลัต คือทำละหมาดวันละห้าครั้ง
โดยหันหน้าไปทางกรุงเมกกะ -
9:31 - 9:34ซะกาต คือชาวมุสลิมทุกคน
-
9:34 - 9:38ต้องบริจาครายได้สุทธิ
ร้อยละ 2 ถึง 3 ให้กับผู้ยากไร้ -
9:38 - 9:41เซาว์ คือพวกเขาต้องอดอาหาร
ระหว่างช่วงเวลาที่ตะวันยังไม่ตกดิน -
9:41 - 9:43ในเดือนรอมฎอนตามปฏิทินจันทรคติ
-
9:43 - 9:45เพื่อฝึกความยึดมั่นศรัทธา
-
9:45 - 9:47และความไว้วางใจในพระเจ้า
-
9:47 - 9:50และฮัจญ์ ซึ่งคือในชั่วชีวิตหนึ่ง
ของชาวมุสลิม -
9:50 - 9:52หากเป็นไปได้
พวกเขาต้องไปแสวงบุญ -
9:52 - 9:53ที่นครเมกกะอันศักดิ์สิทธิ
-
9:53 - 9:54ฝึกตนให้พร้อมไว้
-
9:54 - 9:56เมื่อถึงเวลาที่พวกเขา
จะต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า -
9:56 - 9:58เพื่อรับการพิพากษาว่าควรหรือไม่
-
9:58 - 10:00ที่พวกเขาจะมีชีวิตนิรันดร์
อยู่กับพระองค์ -
10:00 - 10:02พระวจนะของพระเจ้า
-
10:02 - 10:04ที่ได้ถูกเผยแผ่ต่อพระศาสดา
มาตลอด 23 ปี -
10:04 - 10:06ถูกรวบรวมเอาไว้ในพระคัมภีร์กุรอาน
-
10:06 - 10:10ซึ่งแปลตามตรงได้ว่าว่า "การสวด"
-
10:10 - 10:12ชาวมุสลิมเชื่อว่า
นี่คือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เพียงเล่มเดียว -
10:12 - 10:14ที่ไร้ซึ่งทุจริตจากมนุษย์
-
10:14 - 10:16หลายคนยังยกย่องอีกว่า
-
10:16 - 10:17มันเป็นวรรณกรรมที่งดงามที่สุด
-
10:17 - 10:19ในภาษาอาหรับ
-
10:19 - 10:22ศาสนาอิสลามเป็นศาสนา
ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก -
10:22 - 10:26นับถือโดยชาวมุสชิมทั่วโลก
มากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยล้านคน -
10:27 - 10:29ศาสนาได้ทำหน้าที่
เป็นมุมมองหนึ่งของวัฒนธรรม -
10:29 - 10:31มานับตั้งแต่มันถือกำเนิดขึ้น
-
10:31 - 10:34และมีรูปแบบต่าง ๆ มากมาย
-
10:34 - 10:36แต่สิ่งที่ทุกศาสนามีร่วมกัน
-
10:36 - 10:38ก็คือการแสวงหาความหมาย
-
10:38 - 10:39ที่อยู่เหนือความทะนงตนอันว่างเปล่า
-
10:39 - 10:42และการมีชีวิตอยู่
โดยมิได้รู้ซึ้งถึงความเป็นจริง -
10:42 - 10:43เหนือกว่าบาป
-
10:43 - 10:44ความทุกข์
-
10:44 - 10:46และความตาย
-
10:46 - 10:47เหนือความกลัว
-
10:47 - 10:49และเหนือกว่าตัวเราเอง
- Title:
- ห้าศาสนาหลักของโลก - จอห์น เบลไลมีย์ (John Bellaimey)
- Description:
-
ชมบทเรียนเต็มได้ที่: http://ed.ted.com/lessons/the-five-major-world-religions-john-bellaimey
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะพยายามหาคำตอบให้คำถามที่ว่า "เรามาจากไหน" และ "ฉันจะใช้ชีวิตให้มีความหมายได้อย่างไร" คำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่เช่นนี้เป็นแกนของห้าศาสนาหลักของโลก แต่ทั้งห้าศาสนาไม่ได้สัมพันธ์กันเพียงแค่นั้น จอห์น เบลไลมีย์ อธิบายประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เกี่ยวพันกันของศาสนาฮินดู, ศาสนายูดาห์, ศาสนาพุทธ, ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม
บทเรียนโดย John Bellaimey, แอนิเมชันโดย TED-Ed
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TED-Ed
- Duration:
- 11:10
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for The five major world religions - John Bellaimey | ||
Panaya Hasitabhan accepted Thai subtitles for The five major world religions - John Bellaimey | ||
Panaya Hasitabhan edited Thai subtitles for The five major world religions - John Bellaimey | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut declined Thai subtitles for The five major world religions - John Bellaimey | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The five major world religions - John Bellaimey | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The five major world religions - John Bellaimey | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The five major world religions - John Bellaimey | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The five major world religions - John Bellaimey |