-
เจริญพร
-
เร็วไปนิดหนึ่ง
-
แต่ว่าทุกคนพร้อมแล้วก็เริ่มเลย
-
เรื่องการปฏิบัติธรรม
-
เราอย่าคิดว่าเป็นเรื่องยาก
-
ส่วนใหญ่เราชอบคิดว่า
-
การปฏิบัติธรรมต้องไปทำอะไรที่มันยากๆ
-
ที่แท้แล้วการปฏิบัติธรรมอยู่ที่ตัวเราเอง
-
ถ้าเราคอยมีสติรู้ทันตัวเองบ่อยๆ
-
รู้ทันร่างกายรู้ทันจิตใจบ่อยๆ
-
สติจะเกิด
-
สติไม่ใช่เป็นของเกิดได้ง่ายๆ
-
เราต้องอาศัยค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ดู
-
ดูร่างกายบ่อยๆ ดูจิตใจบ่อยๆ
-
ถ้าเราได้เคล็ดลับตัวนี้
-
แล้วการภาวนาจะง่าย
-
เรียกว่าง่ายเพราะมันไม่ได้ทำอะไร
-
เราใช้ชีวิตของเราปกติอย่างนี้
-
หลวงพ่อปราโมทย์ท่านบอกเราบ่อยๆ
-
เวลาจะภาวนา
-
ใช้จิตธรรมดาปกติของมนุษย์นี่ล่ะ
-
แต่เราคอยฝึกสติ
-
คอยรู้ทันร่างกาย
-
รู้ทันจิตใจตัวเองบ่อยๆ
-
ร่างกายที่ตัวเองต้องรู้
-
อย่างคนชอบทำอานาปานสติ
-
ก็ดูร่างกายหายใจออก
-
ดูร่างกายหายใจเข้า
-
คนละอัน
-
ส่วนใหญ่พอเราบอกให้ไปดูร่างกายหายใจออก
-
ไปดูร่างกายหายใจเข้า
-
นักปฏิบัติส่วนใหญ่จะไปเพ่งไปจ้อง
-
จ้องดูลมหายใจ
-
ตัวนี้คือการเพ่ง
-
แต่บางคนพอเราดูลมหายใจออก
-
ดูลมหายใจเข้า
-
ดูไปพักหนึ่งก็ไหลไปคิด
-
ไหลไปฟุ้งซ่าน
-
อันนี้คือหลงขาดสติ
-
ทำอย่างไรเราจะดูร่างกายหายใจออก
-
ร่างกายหายใจเข้าได้บ่อยๆ
-
ถ้าเราดูได้บ่อยๆ
-
ต่อไปร่างกายหายใจออกก็รู้สึกตัว
-
ร่างกายหายใจเข้าก็จะรู้สึกตัว
-
หัดสังเกตสภาวะไป
-
อย่างเราจงใจดูลมหายใจเข้า
-
ดูลมหายใจออก
-
นี่คือการเพ่ง
-
แต่ถ้าเราดูลมหายใจเข้าหายใจออก
-
แล้วใจไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน
-
อันนี้คือขาดสติ
-
แต่ถ้าเรามีสติระลึกรู้
-
เห็นร่างกายหายใจออกก็รู้
-
เห็นร่างกายหายใจเข้าก็รู้
-
อันนี้คือเรามีสติ
-
ถ้าคนชอบอานาปานสติ
-
อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านชอบตัวนี้
-
เพราะท่านฝึกของท่านมาแต่เด็ก
-
สมัยที่พระอาจารย์หัดภาวนา
-
ตัวนี้พระอาจารย์ไม่ค่อยชอบหรอก
-
เพราะสมัยก่อนเป็นโรคภูมิแพ้
-
หายใจไม่ค่อยได้
-
ก็เลยไม่ค่อยชอบทำกรรมฐานตัวนี้
-
แต่ว่าตัวที่พระอาจารย์ชอบทำคือ
-
ร่างกายเคลื่อนไหวเรารู้
-
ร่างกายหยุดนิ่งเรารู้
-
ร่างกายกระดุกกระดิกเรารู้
-
ร่างกายเคลื่อนไหวตลอดเวลา
-
อย่างบางคนก็กระดุกกระดิก
-
บางคนก็เกาขา
-
บางคนก็ส่ายไปส่ายมา
-
ขยับไปขยับมา
-
คอยรู้สึก รู้สึกบ่อยๆ
-
ร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก
-
ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก
-
เหมือนกันนะถ้าสมมติเรา
-
อย่างบางคนทำกรรมฐานเคลื่อนไหวทำจังหวะ
-
ถ้าเวลาทำจังหวะเราจดจ่อ
-
หรือว่าจงใจทำจังหวะมากเกินไป
-
จงใจดูร่างกายเคลื่อนไหวมากเกินไป
-
นี่คือการเพ่ง
-
หรือว่าเราเคลื่อนไหวไป
-
เคลื่อนไหวจนชำนาญ
-
จำแต่ละรูปได้
-
ทำไปแล้วก็ใจเราเผลอเพลินไป
-
ไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน
-
นี่คือขาดสติ
-
ฉะนั้นเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก
-
ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก
-
ร่างกายกระดุกกระดิกก็รู้สึก
-
เราหัดดูไป ดูไปบ่อยๆ
-
ต่อไปร่างกายเคลื่อนไหวมันจะรู้สึกเอง
-
ร่างกายหยุดนิ่งมันจะรู้สึกเอง
-
ที่รู้สึกเองตัวนี้คือสติ
-
มันระลึกรู้ร่างกาย
-
อีกตัวหนึ่งร่างกายยืนก็รู้
-
ร่างกายเดินก็รู้
-
ร่างกายนั่งก็รู้
-
ร่างกายนอนก็รู้ หัดดูไป
-
เหมือนกันถ้าเราเจตนาจะดู
-
จงใจดูร่างกายยืน ร่างกายเดิน
-
ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน
-
อันนี้คือการเพ่ง
-
หรือว่าเวลาเราดูร่างกายยืน
-
ร่างกายเดิน ร่างกายนั่ง หรือร่างกายนอน
-
แต่เวลาเราดูไปดูมา
-
มันไหลไปคิดไหลไปเพลิดเพลิน
-
นี่คือขาดสติ
-
เราต้องมีสติอยู่กับการรู้
-
รูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน
-
อันนี้ต้องไปค่อยหัดสังเกต
-
เวลาเราหัดดู
-
ถ้าเราจงใจเราเจตนาแรงคือการเพ่ง
-
แต่ว่าถ้าเราดูจนชำนาญ
-
เราคิดว่าเราดูอยู่
-
แต่ว่ามันแอบไปคิดแอบไปฟุ้งซ่าน
-
คือหลงไป ขาดสติ
-
ทำอย่างไรเราจะฝึก
-
ให้มีสติอยู่กับร่างกายบ่อยๆ
-
ถ้าเราฝึกตรงนี้ได้
-
เราไปฝึกเดินจงกรม
-
ก็เห็นร่างกายเดินจงกรม
-
มีสติระลึกรู้อยู่ที่การเดินจงกรม
-
แต่นักปฏิบัติส่วนใหญ่
-
ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก
-
ร้อยทั้งร้อยเวลาเราไปเดินจงกรม
-
เราก็ไปเพ่ง
-
ไม่เพ่งบางทีเดินจงกรมไป
-
เดินจนเพลินๆ ก็ไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน
-
อันนี้คือขาดสติ
-
มันคือว่าทำไมนักปฏิบัติส่วนใหญ่
-
ปฏิบัติแล้วไม่ค่อยได้ผล
-
เพราะปฏิบัติแล้วมันไม่ค่อยมีสติ
-
ปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่เพ่งเอา
-
อย่างพวกเราคนจีนที่ส่วนใหญ่ที่มาส่งการบ้าน
-
ส่วนใหญ่เราตั้งใจปฏิบัติกันมาก
-
ตั้งใจเรียน ตั้งใจภาวนากันมาก
-
พอถึงเวลาเราจงใจเยอะ
-
พอจงใจเยอะ
-
เราจะกลัวหลงกลัวเผลออะไรอย่างนี้
-
เราก็ไปเพ่งไว้
-
จะพุทโธแล้วก็เพ่งพุทโธ
-
จะดูลมหายใจแล้วก็ไปเพ่งลมหายใจ
-
จะไปเดินจงกรม
-
เราก็ไปเพ่งการเดินจงกรม
-
สติเลยไม่เกิด
-
สติตัวนี้ที่ว่าไม่เกิดคือสัมมาสติ
-
ฉะนั้นเราต้องหัด
-
หัดดูให้มันถูก
-
รู้ไปสบายๆ
-
นี่คือส่วนของร่างกาย
-
สภาวะของรูปธรรมที่เราต้องดู
-
ไม่ต้องดูทั้งหมด
-
ดูตัวที่เราถนัด
-
ตัวไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องดูทั้งหมดหรอก
-
แต่ว่าถ้าคนที่ท่านสติไวๆ
-
บางทีดูได้ทั้งหมด
-
อย่างหลวงพ่อปราโมทย์สมัยที่ท่านดู
-
ท่านดูลมหายใจ
-
ตอนหลังท่านไปหัดดู
-
ร่างกายเคลื่อนไหวร่างกายหยุดนิ่ง
-
ร่างกายกระดุกกระดิกอะไรอย่างนี้
-
ท่านก็หัดรู้สึกตัวตรงนี้ได้
-
ท่านบอกว่ารู้สึกตัวตรงนี้
-
แล้วสติของท่านไวสติท่านเยอะ
-
ท่านบอกตอนนอนนี่มันรู้สึกตัวตลอดเลย
-
ร่างกายพลิกซ้ายพลิกขวาก็รู้หมดเลย
-
ร่างกายเคลื่อนไหว
-
ร่างกายกระดุกกระดิกอะไร
-
รู้สึกหมดเลย
-
ท่านเลยบอกเลยนอนไม่ค่อยสนุกเลย
-
เพราะว่าพอร่างกายขยับปุ๊บก็รู้สึกตัว
-
ร่างกายขยับปุ๊บก็รู้สึกตัวอย่างนี้
-
เราไปหัดนะ
-
หัดให้มันรู้สึกตัวขึ้นมา
-
อย่างตอนนั้นพระอาจารย์ที่เล่าให้ฟังวันก่อน
-
พระอาจารย์ก็หัดไปดูร่างกายเคลื่อนไหว
-
ร่างกายหยุดนิ่ง
-
หัดไปอยู่ 3-4 วัน
-
พอร่างกายเคลื่อนไหวตอนนั้นเราขาดสติ
-
ร่างกายเคลื่อนไหวมันรู้สึกตัวขึ้นมาเลย
-
จิตตื่นออกมา
-
ตัวนี้จะว่ายากก็ยาก
-
แต่ว่าถ้าคนที่ค่อยๆฝึก
-
มันจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้
-
เวลาเราฝึกก็คืออย่าจงใจเยอะ
-
ถ้าเราจงใจมันคือการเพ่ง
-
ทีนี้เราไม่จงใจ
-
มันก็จะหลงขาดสติไป
-
แต่ว่าต้องคอยรู้ร่างกายรู้รูปบ่อยๆ
-
รู้ไปจนกว่ามันจะจำสภาวะได้
-
ต่อไปถ้ามันจำสภาวะของรูปธรรมทั้งหลาย
-
ที่พระอาจารย์เล่าให้ฟังได้
-
เวลามันเคลื่อนไหวมันรู้สึกของมันเอง
-
คล้ายๆ รู้สึกว่า
-
ร่างกายมันเคลื่อนไหว มันก็รู้
-
ร่างกายหยุดนิ่งมันก็รู้
-
ร่างกายยืนเดินนั่งนอนก็รู้
-
ร่างกายหายใจออก
-
ร่างกายหายใจเข้าก็จะรู้
-
นี่ล่ะคือการฝึกสติของการดูร่างกาย
-
ส่วนการดูเวทนา
-
บางคนชอบดูเวทนา
-
เวทนาก็มีความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ
-
อันนี้เวทนาทางใจ
-
เวทนาทางกายก็มี
-
สุขเวทนากับทุกขเวทนา
-
แต่ส่วนใหญ่ดูเวทนาทางกายมันดูยาก
-
ต้องอาศัยสมาธิสูงๆ หน่อย
-
แต่ว่าตัวที่ดูง่ายดูเวทนาทางใจ
-
เวทนาทางใจเกิดตลอดเวลา
-
อย่างตอนนี้เรามีความสุข
-
หรือเรามีความทุกข์หรือว่าเราเฉยๆ
-
เราก็รู้ไป
-
รู้ไปจนกว่ามันจะจำสภาวะของเวทนาพวกนี้ได้
-
สติก็จะเกิดขึ้นมาเอง
-
จริงๆ ครูบาอาจารย์บางท่าน
-
ก็บอกตัวเวทนานี่ดูง่าย
-
แต่จริงๆ มันแล้วแต่คนถนัด
-
ถ้าเราถนัดเราก็ดู
-
ถ้าเราไม่ถนัดเราก็ไปดูตัวอื่น
-
ตัวอีกตัวหนึ่งคือตัวความปรุงแต่ง
-
ปรุงจิต ปรุงกุศล ปรุงอกุศล
-
เราหัดดูไป
-
จิตมีความโกรธเราก็รู้ทัน
-
จิตไม่โกรธเราก็รู้ทัน
-
จิตมีความโลภเราก็รู้ทัน
-
จิตไม่มีความโลภเราก็รู้ทัน
-
หรือจิตหลงเราก็รู้ทัน
-
จิตไม่หลงเราก็รู้
-
แต่ส่วนใหญ่จิตหลงจิตไม่หลงจะดูยาก
-
จิตหลงนี่มีหลายตัว
-
อย่างตัวฟุ้งซ่าน ตัวหดหู่
-
เราค่อยๆ สังเกตไป
-
เราหัดดูสภาวะไป
-
อย่างตัวความโกรธนี่มีเยอะแยะเลย
-
ถ้าเราค่อยๆ สังเกต
-
โกรธแรงๆ โกรธเบาๆ
-
หรือว่าหงุดหงิดอะไรอย่างนี้
-
อย่างรำคาญอะไรอย่างนี้
-
เราหัดดูไป
-
ถ้าเราค่อยๆ สังเกต
-
ค่อยๆ ดูสภาวะของนามธรรมเหล่านี้ไปเรื่อยๆ
-
ต่อไปจิตมันจำสภาวะ
-
ของนามธรรมทั้งหลายเหล่านี้ได้
-
จิตจะตื่นออกมาเอง
-
ถ้าเราจำสภาวะ
-
ของรูปของนามธรรมทั้งหลาย
-
ที่เราฝึกดูสภาวะตัวนี้บ่อยๆ
-
ถ้ามันจำรูปจำนามธรรมพวกนี้บ่อยๆ
-
จิตจะตื่นออกมาเอง
-
แล้วพอมันตื่นออกมาเราจะรู้สึกเลย
-
เราไม่ได้ทำอะไร
-
มันแค่รู้ของมันเฉยๆ
-
แต่ว่าถ้าเรายังบังคับร่างกายบังคับจิตใจ
-
หรือว่ายังไหลไปคิดเรื่องกรรมฐาน
-
ไหลไปคิดเรื่องร่างกาย
-
ไหลไปคิดเรื่องนามธรรมเรื่องจิตใจ
-
สติไม่เกิด
-
ใจไม่ตื่นออกมา
-
ฝึกตัวนี้บ่อยๆ
-
ถ้าเราฝึกพวกนี้ได้บ่อยๆ
-
ใจจะตื่นออกมา
-
ต่อไปร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก
-
นามธรรมเกิดก็รู้สึก
-
เราค่อยๆ ฝึกสติอยู่กับร่างกาย
-
อยู่กับจิตใจบ่อยๆ
-
ถ้าเรามีสติตัวนี้ได้
-
มันเกิดสัมมาสติขึ้นมาได้
-
ที่เราระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม
-
ในร่างกายในจิตใจของเราตัวนี้ได้บ่อยๆ
-
สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นมาเอง
-
สมัยที่พระอาจารย์ฝึกไม่ได้ว่า...
-
ช่วงแรกไม่ได้ว่าฝึกยากเย็นอะไร
-
ฝึกหัดดูสภาวะอย่างนี้
-
ร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก
-
ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก
-
ตอนที่ฝึกมันมีเจตนา
-
แต่ไม่ได้เจตนาแรง
-
เจตนาแรงๆ คือการเพ่งร่างกาย
-
ตัวนี้จะทำให้สัมมาสติไม่เกิด
-
เราหัดดูไปสบายๆ อย่างนี้ล่ะ
-
ดูร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้
-
ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้
-
ตามดูร่างกายไปบ่อยๆ
-
พอมันจำรูปของร่างกาย
-
รูปร่างกายตอนนั้นที่พระอาจารย์
-
ดูรูปของร่างกายคือ
-
รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง
-
รูปกระดุกกระดิก
-
พอมันจำรูปของพวกนี้ได้
-
ต่อไปเราเคลื่อนไหว
-
สติมันเกิดของมันเอง
-
ตอนสติมันเกิดของมันเองเรายังรู้สึก
-
เออ แปลกดี
-
ไม่คิดว่าตอนที่เราหลงๆ
-
แล้วเราเคลื่อนไหว สติมันจะเกิด
-
อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยเล่า
-
ตอนนั้นท่านไปดูสายหลวงพ่อเทียน
-
ทำกรรมฐานเคลื่อนไหวหยุดนิ่งอะไรอย่างนี้
-
ทำจังหวะ
-
ท่านไปดูแล้วตอนแรกท่านเป็นคนโทสะ
-
ให้ไปทำครบทั้งเซ็ตของจังหวะนั้น
-
14 หรืออะไรนั่น
-
ท่านบอกว่าทำแล้วมันเยอะไป
-
ท่านไม่ชอบ อะไรที่เยอะๆ
-
ดูแล้วมันรำคาญ
-
ท่านก็เลยไปขยับมือ
-
มือเคลื่อนไหวก็รู้สึก
-
มือกำก็รู้สึก มือแบก็รู้สึก
-
ทำขยับมือแล้วรู้สึกไป
-
ท่านบอกทำอยู่ไม่กี่วันหรอก
-
วันหนึ่งเดินไปที่ถนน
-
เห็นเพื่อน
-
เพื่อนสนิท เพื่อนเก่า
-
ไม่ได้เจอกันนานอยู่ตรงข้ามถนน
-
ตอนที่เห็นดีใจ
-
แต่ว่าไม่เห็นจิต
-
พอขาก้าวจะข้ามถนนไปนี่
-
ด้วยความที่ท่านเคยฝึกขยับมือจนสติเกิดแล้ว
-
พอขาก้าวปุ๊บ
-
สติมันเกิดเลย
-
มันรู้ทัน
-
นี่คือสติที่เกิดอัตโนมัติ
-
เราต้องฝึกจนกว่าสติมันจะเกิดอัตโนมัติ
-
สติอัตโนมัติเป็นเรื่องที่ทำเอาไม่ได้
-
แต่มันรู้สึกตัวของมันเอง
-
ถ้าเรายังบังคับให้มันเกิดมันไม่เกิด
-
ส่วนใหญ่มันจะเพ่ง
-
หรือไปคิดจะให้มันเกิดก็ไม่เกิด
-
ส่วนใหญ่มันจะฟุ้งซ่าน
-
เราค่อยๆ ฝึกนะ
-
ตัวนี้มันต้องเห็นทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม
-
เห็นตัวสภาวะจริงๆ
-
แล้วมีสติคอยระลึกรู้บ่อยๆ
-
จะดูร่างกายหายใจออกก็ได้
-
จะดูร่างกายหายใจเข้าก็ได้
-
หรือดูรูปหายใจออก
-
ดูรูปหายใจเข้า
-
ดูรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน
-
รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง
-
เราหัดดูไป
-
จริงๆ รูปมีมากกว่านี้
-
แต่ว่าอันนี้คือเหมาะกับพวกเรา
-
เหมาะกับพวกเราที่ไม่ได้ทรงสมาธิ
-
จิตไม่ได้ทรงฌาน
-
จริงๆ อย่างรุ่นครูบาอาจารย์ท่านดูกัน
-
ท่านดูกันถึงธาตุ 4 อย่างนี้
-
ในร่างกายแต่ละอวัยวะ
-
พอแยกๆ ออกไปกลายเป็นธาตุ
-
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
-
แต่ตัวนี้มันยาก
-
ถ้าให้เราไปภาวนาส่วนใหญ่ก็จะคิดเอา
-
ทีนี้รูปที่เราดูได้ง่ายๆ
-
อย่างที่พระอาจารย์เล่า
-
รูปร่างกายหายใจออก
-
ร่างกายหายใจเข้า
-
อันนี้รูปที่เราดูได้
-
หรือรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน
-
อันนี้เราดูได้
-
รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง
-
อันนี้เราดูได้
-
นามธรรมอย่างจิตมีความสุขเรารู้
-
จิตมีความทุกข์เรารู้
-
จิตเฉยๆ เรารู้
-
จิตเรามีความโกรธเรารู้
-
จิตเราไม่มีความโกรธเรารู้
-
จิตเรามีความโลภเราก็รู้
-
จิตไม่มีความโลภเราก็รู้
-
จิตหลงเราก็รู้
-
จิตไม่หลงเราก็รู้
-
จิตฟุ้งซ่านจิตหดหู่เราก็หัดรู้ไป
-
นี่คือสภาวธรรมที่เราดูได้
-
ถ้าเราดูตัวนี้ได้บ่อยๆ
-
สัมมาสติจะเกิดเอง
-
ฝึกไปมันไม่ยากหรอก
-
เราอย่าไปคร่ำเคร่งกับการภาวนา
-
หรืออย่าไปคิดธรรมะเอา
-
แต่ดูให้เห็นเนื้อแท้
-
ให้เห็นแก่นสารของการปฏิบัติ
-
คือต้องเห็นสภาวะ
-
แล้วมีตามรู้ตามดูบ่อยๆ
-
จนจิตจำสภาวะของรูปธรรมนามธรรมได้
-
ต่อไปสัมมาสติจะเกิดขึ้นเอง
-
สมัยก่อนพระอาจารย์ฝึก
-
ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิด
-
ตอนนั้นเรียนกับหลวงพ่อ
-
ไม่เข้าใจหรอกเรื่องสติ
-
พอไม่เข้าใจ
-
เราก็ไปหัดทำเลยง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ
-
บางทีเราเดินอยู่เห็นของที่เราชอบ
-
ก็เห็นราคะมันพุ่งขึ้นมา
-
สติระลึกรู้ทันราคะก็ดับไปได้
-
เออ เขาดูกันอย่างนี้เอง
-
ตอนที่ดูนี่ไม่ได้เจตนาจะเห็นมันเลย
-
เพราะว่าจริงๆ
-
ตาเรามองสิ่งภายนอก
-
แต่กิเลสมันพุ่งขึ้นมาจากในใจเรา
-
เห็นราคะมันพุ่งขึ้นมา
-
สติมันเห็น เป็นแค่คนเห็น
-
เป็นแค่คนรู้คนดูเอง
-
ราคะดับไปเลย
-
ใจก็เบิกบาน ใจก็มีความสุข
-
ใจเบิกบานเราก็เห็น
-
ใจเรามีความสุขเราก็เห็น
-
ก็ยังอัศจรรย์เลย
-
แค่เราฝึกจนสติมันเกิด
-
กิเลสมันดับไปต่อหน้าต่อตาเลย
-
โดยเราไม่ได้ทำอะไรเลย
-
บางทีอย่างตอนทำงานคนมาพูดขัดใจ
-
เห็นโทสะมันพุ่ง
-
ตอนที่คุยกับเขาจิตก็ยังส่งออกนอก
-
แต่เขาพูดแล้วเราโมโห
-
เห็นโทสะมันพุ่งขึ้นมา
-
สติระลึกรู้ ก็แค่เห็นนะ
-
เห็นโทสะมันพุ่งขึ้นมานี่โทสะก็ดับไปเลย
-
เราไม่ได้ทำอะไรเลย
-
สติระลึกรู้ของมันเอง
-
โทสะก็ดับไปเลยต่อหน้าต่อตา
-
ใจก็มีความสุข
-
มีความเบิกบานขึ้นมาแทน
-
นี่คือฝึกจนได้สัมมาสติอย่างนี้
-
หรืออย่างเราดูร่างกาย
-
เราขาดสติอยู่
-
ร่างกายเคลื่อนไหวมันรู้สึกตัวของมันเองเลย
-
หรืออย่างหลวงพ่อ
-
ชอบยกตัวอย่างเรื่องอานาปานสติ
-
อย่างเราหายใจออกก็รู้
-
เราหายใจเข้าก็รู้
-
ร่างกายหายใจออกเราก็รู้สึก
-
ร่างกายหายใจเข้าเราก็รู้สึก
-
อย่างพอคนมายั่วให้เราโกรธ
-
ลมหายใจมันผิดจังหวะ
-
พอผิดจังหวะปุ๊บ
-
สติมันก็เกิดของมันเองเลย
-
มันรู้ตอนนี้โกรธแล้วนี่
-
เราฝึกไปนะแล้วถ้าเรามีสตินี่
-
ชีวิตเราก็จะดีขึ้นเยอะเลย
-
กิเลสก็จะค่อยๆ ลดลงไป
-
ถ้าเราฝึกสัมมาสติของเราได้
-
ทีนี้พอเรามีสัมมาสติบ่อยๆ
-
ถ้าเราฝึกได้จนดูได้บ่อยๆ
-
ดูได้แทบทั้งวัน
-
ใจก็จะมีสัมมาสมาธิขึ้นมา
-
อย่างที่พระอาจารย์เล่าให้ฟัง
-
อย่างตอนที่เราเห็นโทสะมันพุ่งขึ้นมา
-
เรามีสติระลึกรู้ทัน
-
โทสะมันดับไป
-
โทสะมันดับไป
-
เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมาขณะหนึ่ง
-
จิตที่รู้ตื่นเบิกบานขึ้นมาขณะหนึ่ง
-
แล้วเราเห็นสภาวะอะไรต่อไปอีกนี่
-
บางทีเราเห็นจิต
-
ที่รู้ตื่นเบิกบานขึ้นมาขณะหนึ่ง
-
บางทีเราเห็นใจมันไหลไป
-
จิตที่ไหลก็คือจิตที่มันหลงนั่นล่ะ
-
เรามีสติรู้ทัน
-
จิตที่หลงมันดับไป
-
เกิดจิตที่รู้สึกตัว
-
จิตที่รู้ตื่นเบิกบาน
-
หรือว่าจิตที่ไม่หลงขึ้นมาขณะหนึ่ง
-
เดี๋ยวมันก็ไหลไปที่ร่างกายได้
-
เรามีสติรู้ทัน
-
จิตที่ไหลไปที่ร่างกายก็ดับไป
-
เกิดจิตที่รู้สึกตัวตั้งมั่นขึ้นมา
-
นี่มันจะรู้สึกตัวตั้งมั่นได้ทีละขณะๆๆ
-
แต่ถ้าเราฝึกบ่อยๆ
-
ทีละขณะนี่มันเหมือนจะทรงจิตผู้รู้ขึ้นมาได้
-
หลวงพ่อใช้บอกว่ามีจิตผู้รู้
-
แบบรู้แบบเด่นดวงขึ้นมา
-
คือจริงๆ มันไม่ได้เด่นดวงอะไรหรอก
-
แต่ว่าจิตผู้รู้มันต่อเนื่อง
-
มันก็เหมือนกับทรงจิตผู้รู้ไว้ได้
-
แล้วมันก็จะเห็นร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก
-
จิตใจทำงานก็รู้สึก
-
ถ้าเราฝึกจนมีใจที่ตั้งมั่นขึ้นมาได้แล้วนี่
-
เรื่องทำวิปัสสนาจะไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
-
การทำวิปัสสนาก็ทำไปเหมือนเดิมล่ะ
-
ก็ดูสภาวะเกิดดับไปเหมือนเดิมล่ะ
-
แต่ทีนี้จิตมันจะหมาย
-
ลงไปรู้ว่าทุกสภาวะที่เราดูนี่มันไม่เที่ยง
-
หรือว่าเห็นทุกสภาวะนี่มันถูกบีบคั้น
-
ทนอยู่ในสภาวะเดียวไม่ได้
-
หรือว่าเห็นสภาวธรรมทั้งหลาย
-
มันไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา
-
มันเป็นอนัตตา
-
ถ้าเราดูไปบ่อยๆ
-
ปัญญาจะค่อยๆ เกิดขึ้น
-
Not Synced
ตัวนี้มันเกิดจากเราเริ่มต้นจากการที่เรามีสติหัดดูสภาวะ
-
Not Synced
แต่ถ้าเราไปทำวิธีอื่น
-
Not Synced
เราไม่เห็นสภาวะ
-
Not Synced
ไม่มีสัมมาสติเกิดขึ้น
-
Not Synced
ไม่มีสัมมาสมาธิเกิดขึ้น
-
Not Synced
เรื่องเดินปัญญาจะเป็นเรื่องยาก
-
Not Synced
ส่วนใหญ่สายที่เขาทำ
-
Not Synced
แล้วไม่เกิดจิตผู้รู้ขึ้นมานี่แล้วจะไปเดินปัญญา
-
Not Synced
ส่วนใหญ่จะไปคิดเอา
-
Not Synced
พอไปคิดเอา
-
Not Synced
แล้วได้ความรู้ความเห็นอะไรเกิดขึ้นมา
-
Not Synced
ก็คิดว่าเข้าใจธรรมะ
-
Not Synced
แต่จริงๆ ไม่ได้เข้าใจธรรมะหรอก
-
Not Synced
เพราะว่าจิตมันผิด
-
Not Synced
ส่วนใหญ่ไปเห็นอะไรแล้วก็จะ
-
Not Synced
...ถ้าภาษาในธรรมะเรียกว่าเกิดวิปัสสนู
-
Not Synced
ฉะนั้นเราค่อยๆ ฝึกไป
-
Not Synced
อย่าไปอยากได้ผล
-
Not Synced
ถ้าเราอยากได้ผลส่วนใหญ่จะจงใจ
-
Not Synced
จะทำด้วยความอยาก
-
Not Synced
ผลที่ทำด้วยความอยากนี่มันเป็นโลภะ
-
Not Synced
ทำให้เราทุกข์
-
Not Synced
ไม่ได้ทำให้เราเกิดปัญญา
-
Not Synced
แต่ว่าเรามีสติรู้กายรู้ใจบ่อยๆ
-
Not Synced
ฝึกให้มีฉันทะที่จะดูตัวนี้ได้บ่อยๆ
-
Not Synced
ถ้าเราฝึกให้ดูร่างกายดูจิตใจได้บ่อยๆ
-
Not Synced
เดี๋ยวสัมมาสติมันเกิด
-
Not Synced
สัมมาสมาธิมันเกิด
-
Not Synced
แล้วปัญญามันจะเกิดตามมา
-
Not Synced
พวกเราต้องจับหลักตรงนี้ให้แม่นๆ
-
Not Synced
ถ้าเราจับหลักตรงนี้ได้แม่น
-
Not Synced
เราจะไปทำรูปแบบ
-
Not Synced
เราจะทำได้เลย
-
Not Synced
ทำได้อย่างสบายๆ
-
Not Synced
อย่างเวลาทำกรรมฐานเวลาทำรูปแบบ
-
Not Synced
หรือว่าเรียกว่าทำสมาธิก็ได้
-
Not Synced
เวลาเราไปฝึกรูปแบบฝึกสมาธินี่
-
Not Synced
จะมีสภาวะ 3 อัน
-
Not Synced
อย่างเราไปฝึกที่เล่าให้ฟัง
-
Not Synced
สมมติเราทำกรรมฐานที่เราทำ
-
Not Synced
ถ้าเราจงใจเยอะมันคือการเพ่ง
-
Not Synced
แต่ว่าถ้าเราทำกรรมฐาน
-
Not Synced
อย่างเช่นเรานึกพุทโธๆๆ
-
Not Synced
ถ้าเราจงใจเยอะมันคือการเพ่งพุทโธ
-
Not Synced
ตัวนี้ไม่ได้สติที่ดีไม่ได้สมาธิที่ดี
-
Not Synced
แต่ถ้าเราพุทโธๆ ไปสบายๆ
-
Not Synced
แล้วจิตก็อยู่กับพุทโธ
-
Not Synced
ตัวนี้ได้สมาธิ
-
Not Synced
แต่เป็นสมาธิแบบอารัมมณูปนิชฌาน
-
Not Synced
แต่ถ้าเราพุทโธๆ ไป
-
Not Synced
แล้วใจก็ไหลไปคิดอื่นๆ
-
Not Synced
ฟุ้งซ่านคือขาดสติคือการหลง
-
Not Synced
อย่างเวลาเราเดินจงกรมเราเห็นร่างกายมันเดิน
-
Not Synced
เรามีสติรู้ร่างกายมันเดิน
-
Not Synced
เห็นร่างกายเดินจงกรมไป
-
Not Synced
แต่ถ้าเราเจตนาแรงจงใจแรง
-
Not Synced
นี่คือการเพ่ง
-
Not Synced
เพ่งร่างกายที่เดินจงกรม
-
Not Synced
ถ้าเพ่งร่างกายที่เดินจงกรม
-
Not Synced
สมาธิที่ดีก็จะไม่เกิด
-
Not Synced
จะเป็นสมาธิแบบเพ่งซึ่งเอาไปทำอะไรต่อไม่ได้
-
Not Synced
แต่ถ้าเราดูร่างกายเดินจงกรม
-
Not Synced
เห็นร่างกายมันเดินจงกรมไปสบายๆ
-
Not Synced
จิตอยู่กับการเดินจงกรม อันนี้ได้สมาธิ
-
Not Synced
สมาธิแบบอารัมมณูปนิชฌาน
-
Not Synced
จำเป็นนะเป็นสมาธิที่เอาไว้ใช้พักผ่อน
-
Not Synced
แต่ถ้าเดินจงกรม
-
Not Synced
บางคนเดินจนชำนาญใช่ไหม
-
Not Synced
เดินไปก็คิดเรื่องโน้นไปคิดเรื่องนี้ไป
-
Not Synced
ร่างกายก็เดิน
-
Not Synced
เดินจงกรมอยู่แต่ว่าใจไหลคิดฟุ้งซ่าน
-
Not Synced
ไหลหลงไปเรื่องโน้นไปเรื่องนี้
-
Not Synced
อันนี้คือขาดสติ
-
Not Synced
ถ้าเราทิ้งเรื่องหลักของการมีสติ
-
Not Synced
ทำกรรมฐานไม่ค่อยได้ผล
-
Not Synced
แต่ถ้าเรามีสติ
-
Not Synced
ทำกรรมฐานอะไรก็จะได้ผลขึ้นมา
-
Not Synced
ต้องจับหลักการภาวนาให้แม่นๆ
-
Not Synced
แล้วเราค่อยๆ เดินไป
-
Not Synced
อย่างพื้นฐานพวกเราเป็นคนเมือง
-
Not Synced
สมาธิเราน้อย
-
Not Synced
พอสมาธิเราน้อยเราจะฝึกสัมมาสติ
-
Not Synced
มันจะฝึกยากหน่อย
-
Not Synced
แต่อย่างหลวงพ่อปราโมทย์นี่
-
Not Synced
ท่านฝึกสมาธิของท่านมาก่อน
-
Not Synced
ท่านฝึกมาตั้ง 22 ปี
-
Not Synced
จนมีความชำนาญในเรื่องของสมาธิ
-
Not Synced
แล้วสมาธิที่ท่านชำนาญนี่เป็นสมาธิ
-
Not Synced
ที่แบบเป็นสัมมาสมาธิ
-
Not Synced
ใจตั้งมั่นอยู่กับตัว
-
Not Synced
ฝึกมาได้ตั้งแต่เด็กแล้ว
-
Not Synced
พอท่านไปเจอครูบาอาจารย์
-
Not Synced
ไปเจอหลวงปู่ดูลย์
-
Not Synced
ท่านสอนให้ดูจิต
-
Not Synced
ที่หลวงปู่ดูลย์สอนท่าน
-
Not Synced
“อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง”
-
Not Synced
ท่านไปตามดูจิตของท่าน
-
Not Synced
ท่านดูได้ทั้งวันเลย
-
Not Synced
ที่ดูได้ทั้งวันเพราะว่าสมาธิท่านเยอะ
-
Not Synced
สมาธิท่านเยอะ
-
Not Synced
ท่านก็จะดูได้ตลอดเวลา
-
Not Synced
แต่สมาธิเราไม่เยอะ
-
Not Synced
ส่วนใหญ่ของเราคนเมือง
-
Not Synced
ที่เยอะคือความฟุ้งซ่าน
-
Not Synced
จิตมันชินที่จะฟุ้งซ่าน
-
Not Synced
อย่างยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยี
-
Not Synced
ใจฟุ้งซ่านเยอะมาก
-
Not Synced
สังเกตได้จาก
-
Not Synced
...อันนี้พูดถึงคนไทย
-
Not Synced
คือคนจีนนี่พระอาจารย์ไม่รู้ว่า
-
Not Synced
ชอบติดโซเชียลมีเดียอะไรพวกนี้มากหรือเปล่า
-
Not Synced
หรือว่าชอบเล่นมือถือกันมากหรือเปล่า
-
Not Synced
พระอาจารย์ไม่รู้
-
Not Synced
แต่คนไทยนี่ชอบมากเลย
-
Not Synced
ว่างไม่ได้
-
Not Synced
ว่างปุ๊บก็จะหยิบมือถือขึ้นมาดูเลย
-
Not Synced
แล้วส่วนใหญ่ดูแพล็บๆ
-
Not Synced
ก็จะเปลี่ยน
-
Not Synced
ดูแพล็บๆ ก็จะเปลี่ยน
-
Not Synced
คือตัวนี้มันเป็นการทำลายสมาธิของเรา
-
Not Synced
เพราะว่าใจไม่เคยจดจ่อกับอะไรสักเรื่องหนึ่งเลย
-
Not Synced
ดูอันนี้นิดหนึ่งเปลี่ยน
-
Not Synced
ดูอันนี้นิดหนึ่งเปลี่ยน
-
Not Synced
ดูอันนี้หน่อยหนึ่งก็ข้ามไปอะไรอย่างนี้
-
Not Synced
ใจจะฟุ้งซ่านตลอด
-
Not Synced
เทคโนโลยีพวกนี้มันฝึกให้เราฟุ้งซ่าน
-
Not Synced
เมื่อก่อนเขาออกแบบมาเพื่อให้เราสะดวกสบาย
-
Not Synced
แต่จริงๆ ความสะดวกสบายนี่ทำให้เราฟุ้งซ่านมากขึ้น
-
Not Synced
ฉะนั้นส่วนใหญ่พื้นฐานที่เรามีคือจิตที่มันฟุ้ง
-
Not Synced
ฉะนั้นเราไม่ค่อยมีสมาธิ
-
Not Synced
เราต้องไปฝึก
-
Not Synced
ทำรูปแบบของเรานี่
-
Not Synced
ฝึกให้มีสติเหมือนที่พระอาจารย์เล่าให้ฟัง
-
Not Synced
เราฝึกแล้วมีสติอยู่กับกรรมฐานบ่อยๆ
-
Not Synced
อยู่กับร่างกายบ่อยๆ
-
Not Synced
อยู่กับจิตใจบ่อยๆ
-
Not Synced
ถ้าสมมติตอนที่เราฝึก
-
Not Synced
เราใช้จิตที่สบายๆ
-
Not Synced
แต่ว่าเวลาเราฝึกจิต
-
Not Synced
มันอยู่กับอารมณ์กรรมฐานตัวนี้ได้สมถะที่ใช้พักผ่อน
-
Not Synced
เป็นอารัมมณูปนิชฌาน
-
Not Synced
ควรจะต้องทำ
-
Not Synced
แต่เวลาทำอย่าไปจริงจังมาก
-
Not Synced
จริงจังมากคือการเพ่ง
-
Not Synced
จะไม่ได้สมาธิที่ดี
-
Not Synced
ฉะนั้นถ้าเรามีสมาธิตัวนี้
-
Not Synced
แล้วเดี๋ยวเราค่อยพัฒนามาให้เป็นสัมมาสมาธิ
-
Not Synced
ถ้าเราเกิดสมาธิแบบพักผ่อนนี่
-
Not Synced
จนช่วงหนึ่งจิตเราไม่ค่อยฟุ้งซ่าน
-
Not Synced
จิตที่ไม่ค่อยฟุ้งซ่านมันอยู่กับอารมณ์กรรมฐานได้บ่อยๆ
-
Not Synced
ตัวนี้ได้สมาธิแบบพักผ่อนขึ้นมา
-
Not Synced
ของเราไม่ต้องเอาสมาธิแบบเข้าฌานอะไรอย่างนั้นหรอก
-
Not Synced
เอาสมาธิแบบพอใจมันสงบ
-
Not Synced
พอใจมันสงบเราหัดดูสภาวะไป
-
Not Synced
ถ้าเราเห็นจิตหลงไปได้จิตไหลไปได้
-
Not Synced
จิตที่หลงจิตที่ไหลมันดับไป
-
Not Synced
ก็จะเกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมาอัตโนมัตินั่นล่ะ
-
Not Synced
ถ้าเราฝึกของเราไปอย่างนี้
-
Not Synced
เราก็จะเห็นเลยทั้งร่างกายทั้งจิตใจเป็นของถูกรู้ถูกดู
-
Not Synced
ตัวนี้มันเริ่มกระบวนการทำวิปัสสนาแล้ว
-
Not Synced
ถ้าเราเห็นร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู
-
Not Synced
ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่งจิตเป็นคนรู้
-
Not Synced
เวทนาอยู่ส่วนหนึ่งจิตเป็นคนรู้
-
Not Synced
สังขารความปรุงแต่ง
-
Not Synced
ปรุงดีปรุงชั่ว
-
Not Synced
ปรุงกุศลปรุงอกุศล
-
Not Synced
อยู่ส่วนหนึ่งมีจิตเป็นคนรู้คนดู
-
Not Synced
นี่เราเริ่มต้นกระบวนการทำวิปัสสนาแล้ว
-
Not Synced
ฉะนั้นเราดูไปเลยทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม
-
Not Synced
ทั้งรูปธรรมทั้งเวทนาทั้งตัวสังขารอย่างนี้
-
Not Synced
ล้วนแต่เป็นของไตรลักษณ์
-
Not Synced
เห็นมันไม่เที่ยงบ้าง
-
Not Synced
เห็นมันถูกบีบคั้นให้หายไปบ้าง
-
Not Synced
เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเราบ้าง
-
Not Synced
เราหัดดูไปบ่อยๆ