บรูซ ชไนเออร์ : ภาพลวงของความปลอดภััย
-
0:00 - 0:02ความปลอดภัยแบ่งเป็นสองประเภทนะครับ
-
0:02 - 0:04คือความรู้สึก และความเป็นจริง
-
0:04 - 0:06และมันไม่เหมือนกัน
-
0:06 - 0:08คุณรู้สึกถึงความปลอดภัยได้
-
0:08 - 0:10แม้ว่าจริงๆไม่ได้เป็นเช่นนั้น
-
0:10 - 0:12และคุณก็ปลอดภัยได้
-
0:12 - 0:14โดยไม่รู้สึกถึงมัน
-
0:14 - 0:16จริงๆแล้ว มันเป็นสองแนวคิดที่แยกออกจากกัน
-
0:16 - 0:18แต่ผนวกอยู่ในคำๆเดียว
-
0:18 - 0:20และสิ่งที่ผมอยากนำเสนอในวันนี้
-
0:20 - 0:22ก็คือแยกมันออกจากกัน
-
0:22 - 0:24เพื่อดูว่าสองอย่างนี้แยกออก
-
0:24 - 0:26และรวมกันเมื่อไหร่ อย่างไร
-
0:26 - 0:28โดยในส่วนนี้ภาษาเองเป็นที่ปัญหา
-
0:28 - 0:30เพราะเรายังไม่มีคำที่สามารถสื่อความหมาย
-
0:30 - 0:33สำหรับสิ่งที่เรากำลังจะกล่าวถึงได้ดีนัก
-
0:33 - 0:35หากเราพูดถึงความปลอดภัย
-
0:35 - 0:37ในทางเศรษฐศาสตร์
-
0:37 - 0:39มันคือการได้อย่างเสียอย่าง (trade-off)
-
0:39 - 0:41ทุกครั้งที่คุณได้มาซึ่งความปลอดภัย
-
0:41 - 0:43คุณมักจะแลกมาด้วยสิ่งที่คุณมี
-
0:43 - 0:45ตั้งแต่เรื่องการตัดสินใจส่วนตัว
-
0:45 - 0:47เช่น การที่คุณจะติดตั้งสัญญาณกันขโมยในบ้าน
-
0:47 - 0:50หรือจะเป็นการตัดสินระดับชาติ ว่าคุณจะรุกรานประเทศใด
-
0:50 - 0:52ล้วนต้องยอมเสียบางอย่างไปเพื่อแลกมาเสมอ
-
0:52 - 0:55เงินบ้างล่ะ เวลาบ้างล่ะ ความสะดวกสบาย สมรรถภาพ
-
0:55 - 0:58หรือเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
-
0:58 - 1:01และคำถามที่จะเกิดขึ้นในประเด็นด้านความปลอดภัย
-
1:01 - 1:04ไม่ใช่คำถามว่ามันทำให้เราปลอดภัยขึ้นหรือไม่
-
1:04 - 1:07แต่กลับเป็นว่า คุ้มไหมที่ยอมเสียไปเพื่อให้ได้มา
-
1:07 - 1:09คุณคงเคยได้ยินว่าหลายๆปีที่ผ่านมา
-
1:09 - 1:11โลกของเราปลอดภัยขึ้น เพราะซัดดัม ฮุสเซ็นไม่ได้กุมอำนาจไว้แล้ว
-
1:11 - 1:14นั่นอาจจะจริง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวโยงกันถึงขั้นนั้น
-
1:14 - 1:17คำถามคือ คุ้มค่าหรือเปล่า
-
1:17 - 1:20และคุณสามารถตัดสินใจด้วยตัวเอง
-
1:20 - 1:22และคุณก็จะตัดสินว่ามันคุ้มกับการรุกรานหรือเปล่า
-
1:22 - 1:24นั่นคือวิธีคิดเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัย
-
1:24 - 1:26ในบริบทของการได้อย่างเสียอย่าง
-
1:26 - 1:29เอาล่ะ มันไม่ได้มีอะไรถูกหรือผิด
-
1:29 - 1:31บางท่านในที่นี้ติดตั้งสัญญาณกันขโมยในบ้าน
-
1:31 - 1:33บางท่านไม่ติด
-
1:33 - 1:35ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบ้านคุณตั้งอยู่ที่ไหน
-
1:35 - 1:37อยู่ตัวคนเดียว หรืออยู่กับครอบครัว
-
1:37 - 1:39มีของใช้ราคาแพงจำนวนมากน้อยขนาดไหน
-
1:39 - 1:41จะยอมรับกับความเสี่ยงที่โจรจะขึ้นบ้าน
-
1:41 - 1:43ได้มากน้อยขนาดไหน
-
1:43 - 1:45ทางการเมืองก็เช่นกัน
-
1:45 - 1:47มีความคิดเห็นหลากหลาย
-
1:47 - 1:49และบ่อยครั้งที่การได้อย่างเสียอย่าง
-
1:49 - 1:51เป็นมากกว่าแค่ความปลอดภัย
-
1:51 - 1:53และผมเชื่อว่ามันสำคัญมาก
-
1:53 - 1:55ทุกคนมีสัญชาตญาณ
-
1:55 - 1:57ในเรื่องการได้อย่างเสียอย่าง
-
1:57 - 1:59เพราะเราทำกันทุกวัน
-
1:59 - 2:01เช่น ตอนผมออกจากโรงแรมเมื่อคืน
-
2:01 - 2:03การที่ผมล็อกประตูสองชั้น
-
2:03 - 2:05การที่คุณขับรถมาที่นี่
-
2:05 - 2:07หรือตอนที่เราไปกินอาหารเที่ยง
-
2:07 - 2:10เราเชื่อว่าอาหารไม่ได้เป็นพิษ เลยทานมันเข้าไป
-
2:10 - 2:12พวกเราแลกบางอย่างมาด้วยการเสียบางอย่างไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
-
2:12 - 2:14หลายๆครั้งในหนึ่งวัน
-
2:14 - 2:16เราไม่ค่อยรู้ตัวกันหรอก
-
2:16 - 2:18เพราะมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด
-
2:18 - 2:21รวมไปถึงสัตว์ทุกสายพันธุ์ด้วย
-
2:21 - 2:23ลองนึกภาพกระต่ายน้อยกำลังกินหญ้าอยู่ในสวน
-
2:23 - 2:26และมันต้องเจอสุนัขจิ้งจอก
-
2:26 - 2:28ตอนนั้นแหละที่กระต่ายจำต้องสละบางอย่างเพื่อแลกกับความปลอดภัย
-
2:28 - 2:30ถามตัวเองว่า "จะกินต่อดี หรือ จะหนีดี?"
-
2:30 - 2:32และหากคุณลองคิดดูดีๆ
-
2:32 - 2:35กระต่ายที่ถ่วงดุลแล้วตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้อง
-
2:35 - 2:37มีแนวโน้มอยู่รอดและสืบพันธุ์ต่อไป
-
2:37 - 2:39ในขณะที่กระต่ายที่ตัดสินใจผิด
-
2:39 - 2:41จะถูกกินหรือไม่ก็หิวโซ
-
2:41 - 2:43ทีนี้ คุณอาจจะคิดว่า
-
2:43 - 2:46สายพันธุ์มนุษย์ประเสริฐอย่างพวกเรา
-
2:46 - 2:48คุณ ผม และคนเราทุกคน
-
2:48 - 2:51คงเก่งเรื่องถ่วงดุลการได้อย่างเสียอย่างแบบนี้แน่ๆ
-
2:51 - 2:53ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า
-
2:53 - 2:56ที่เราทำได้ไม่เข้าท่าเอามากๆ
-
2:56 - 2:59และผมคิดว่านั่นเป็นปัญหาพื้นฐานที่น่าสนใจทีเดียว
-
2:59 - 3:01ผมจะตอบสั้นๆนะครับ
-
3:01 - 3:03จริงๆแล้ว มนุษย์เราตอบสนองกับการรับรู้ถึงความปลอดภัย
-
3:03 - 3:06ไม่ใช่กับความเป็นจริง
-
3:06 - 3:09ทั้งนี้ โดยมากแล้วจะไม่เป็นปัญหา
-
3:10 - 3:12เพราะส่วนใหญ่
-
3:12 - 3:15ความรู้สึกกับความเป็นจริงมันเป็นไปในทางเดียวกัน
-
3:15 - 3:17มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
-
3:17 - 3:20สมัยก่อนประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
-
3:20 - 3:23พวกเราล้วนได้พัฒนาศักยภาพนี้
-
3:23 - 3:25เพราะมันเป็นผลดีกับวิวัฒนาการ
-
3:25 - 3:27คิดอีกแบบหนึ่ง
-
3:27 - 3:29ได้ว่า การที่เรามีความสามารถตัดสินใจในสถานการณ์เสี่ยงๆ
-
3:29 - 3:31ก็เพื่อเอื้อกับการดำรงชีวิต
-
3:31 - 3:34ในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ชีวิตเป็นกลุ่มชนเล็กๆบนที่ราบสูง
-
3:34 - 3:37ในทวีปอัฟริกาฝั่งตะวันออกใน 100,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
-
3:37 - 3:40ซึ่งต่างจากการชีวิตในนครนิวยอร์กในปี 2010 (พ.ศ.2553)
-
3:41 - 3:44ทีนี้ หลายๆครั้งที่การรับรู้ถึงภัยอันตรายเป็นไปแบบไม่สมเหตุสมผลนัก
-
3:44 - 3:46จากการทดลองหลายๆครั้ง
-
3:46 - 3:49แสดงให้เห็นว่าความไม่สมเหตุสมผลเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
-
3:49 - 3:51ทีนี้ผมจะลองยกความไม่สมเหตุสมผลให้ฟังสัก 4 อย่างนะครับ
-
3:51 - 3:54พวกเรามักจะมีปฏิกิริยาเกินจริงกับภัยอันตรายที่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและไม่ค่อยเกิดขึ้น
-
3:54 - 3:56และลดความสำคัญของภัยอันตรายที่เกิดทุกวัน
-
3:56 - 3:59เช่นเลือกที่จะบินหรือขับรถ
-
3:59 - 4:01คนเรามักจะติดภาพว่าสิ่งแปลกปลอม
-
4:01 - 4:04ทำให้เกิดภัยมากกว่าสิ่งที่คุ้นเคย
-
4:05 - 4:07ตัวอย่างเช่น
-
4:07 - 4:10คนเรากลัวโดนคนแปลกหน้าลักพาตัวเด็กๆ
-
4:10 - 4:13ทั้งที่สถิติแสดงให้เห็นว่่าอัตราการลักพาตัวจากคนใกล้ชิดนั้นสูงกว่าเสียอีก
-
4:13 - 4:15ส่วนนี้หมายถึงเด็กๆนะครับ
-
4:15 - 4:18สาม เราจะรับรู้ภัยที่เกิดจาก
-
4:18 - 4:21บุคคลที่เป็นรูปธรรมได้มากกว่าภัยอื่นๆที่เกิดจากบุคคลนิรนาม
-
4:21 - 4:24ฉะนั้นบิน ลาเด็นก็น่ากลัวกว่าใครๆเพราะมีชื่อเสียงเรียงนาม
-
4:24 - 4:26และอย่างที่สี่
-
4:26 - 4:28ผู้คนมักจะไม่ระวัง
-
4:28 - 4:30สถานการณ์ที่พวกเขามีอำนาจควบคุม
-
4:30 - 4:34และประเมินสถานการณ์ที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนควบคุมสูงกว่าที่ควรจะเป็น
-
4:34 - 4:37เช่น การโดดร่มหรือการสูบบุหรี่
-
4:37 - 4:39พวกเขาประเมินความเสี่ยงต่ำไป
-
4:39 - 4:42หากภัยพุ่งเข้าหาคุณ เช่น กรณีก่อการร้าย
-
4:42 - 4:45คุณจะตอบสนองมากเกินกว่าที่ควร เพราะคุณรู้สึกว่ามันไม่ไ้ด้อยู่ในการควบคุมของคุณ
-
4:47 - 4:50มีอคติอื่นๆอีกนับไม่ถ้วนที่เป็น อคติทางการคิด (cognitive bias)
-
4:50 - 4:53ซึ่งมีผลกับการตัดสินใจของเรา
-
4:53 - 4:55ซึ่งก็มีวิทยการศึกษาสำนึก (heuristic) ที่ใช้ในเรื่องนี้ได้
-
4:55 - 4:57หมายความว่า
-
4:57 - 5:00เราประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์ใดๆ
-
5:00 - 5:04โดยการเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เรานึกได้
-
5:04 - 5:06ลองคิดดูว่ามันเป็นเช่นนั้นไหม
-
5:06 - 5:09ถ้าวันหนึ่ง คุณได้ยินเรื่องเสือทำร้ายใครเข้าบ่อยๆ คุณย่อมคิดว่ามีเสือหลายตัวป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ
-
5:09 - 5:12ในขณะที่หากไม่มีข่าวสิงโตทำร้ายใครเข้าหูคุณ คุณก็จะคิดว่าไม่มีสิงโตในแถบที่คุณอยู่
-
5:12 - 5:15วิธีนี้ใช้การได้จนกระทั่งวันที่เราประดิษฐ์หนังสือพิมพ์ขึ้นมา
-
5:15 - 5:17เพราะหน้าที่ของหนังสือพิมพ์
-
5:17 - 5:19คือการบอกเล่าเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น
-
5:19 - 5:21ซ้ำแล้วซ้ำอีก
-
5:21 - 5:23ผมบอกได้เลยครับ ถ้าเรื่องใดๆเป็นข่าวได้
-
5:23 - 5:25ก็หมายความว่า
-
5:25 - 5:28เหตุการณ์นั้นไม่ค่อยได้เกิดขึ้นหรอกครับ ถึงได้เป็นที่พูดถึง
-
5:28 - 5:30(เสียงหัวเราะ)
-
5:30 - 5:33เพราะถ้าเหตุการณ์ไหนธรรมดาไป ก็จะไม่ถูกจัดว่าเป็นข่าว
-
5:33 - 5:35รถชน ความรุนแรงในประเทศ
-
5:35 - 5:38เป็นสิ่งที่มักเป็นที่กังวล
-
5:38 - 5:40อีกทั้งพวกเราเป็นสายพันธุ์ที่อยู่กับการบอกเล่าเรื่องราว
-
5:40 - 5:43พวกเราตอบสนองกับเรื่องราวมากกว่าข้อมูล
-
5:43 - 5:45รวมถึงเรื่องของจำนวนตัวเลข
-
5:45 - 5:48ผมว่ามุขตลกนับเลขที่ว่า "หนึ่ง" "สอง" "สาม" "เยอะแยะ" นั่นน่าจะถูกต้อง
-
5:48 - 5:51พวกเราตอบสนองกับตัวเลขแค่ไม่กี่หลัก
-
5:51 - 5:53เช่นมะม่วงหนึ่งลูก มะม่วงสองลูก สามลูก
-
5:53 - 5:55มะม่วง 10,000 ลูก 100,000 ลูก
-
5:55 - 5:58ยังมีมะม่วงเหลือไว้ทานอีกเยอะหากมันเน่าไปแล้ว
-
5:58 - 6:01ไหนจะครึ่งหนึ่ง หนึ่งส่วนสี่ หนึ่งส่วนห้า พวกเราเก่งเรื่องนั้น
-
6:01 - 6:03แต่หากเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในพันล้าน
-
6:03 - 6:06จำนวนนั้นจะแทบไม่มีตัวตนเลย
-
6:06 - 6:08ฉะนั้นเรามีปัญหากับภัยอันตราย
-
6:08 - 6:10ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นเป็นประจำ
-
6:10 - 6:12อคติทางการคิดพวกนี้
-
6:12 - 6:15ทำหน้าที่กรองข้อมูลระหว่างเรากับความเป็นจริง
-
6:15 - 6:17ผลก็คือ
-
6:17 - 6:19ความรู้สึกกับความเป็นจริงก็แยกออก
-
6:19 - 6:22กลายเป็นคนละเรื่องกัน
-
6:22 - 6:25เราอาจจะรู้สึกถึงความปลอดภัยมากกว่าที่เป็นอยู่
-
6:25 - 6:27สัมผัสถึงความปลอดภัยที่ไม่ได้มีอยู่จริง
-
6:27 - 6:29หรืออีกอย่าง
-
6:29 - 6:31สัมผัสไม่ถึงอันตรายที่มีอยู่จริง
-
6:31 - 6:34ผมเขียนเรื่องราวของ "โรงละครความปลอดภัย" มานับไม่ถ้วน
-
6:34 - 6:37มันคือผลิดภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัย
-
6:37 - 6:39ในขณะที่สิ่งเหล่านั้นแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย
-
6:39 - 6:41ไม่มีคำใดๆที่จะสื่อถึงสิ่งที่ทำให้เราปลอดภัย
-
6:41 - 6:43โดยที่ไม่ได้้ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น
-
6:43 - 6:46มันอาจจะเป็นสิ่งที่ซีไอเอ (CIA) ควรจะช่วยพวกเรา
-
6:48 - 6:50ทีนี้ เรากลับมาพูดถึงประเด็นเศรษฐศาสตร์
-
6:50 - 6:54ถ้าเศรษฐศาสตร์ ถ้าระบบตลาดเป็นตัวกลางผลักดันความปลอดภัย
-
6:54 - 6:56หากผู้คนยอมแลกอย่างหนึ่งไปเพื่อให้ได้อีกอย่างมา
-
6:56 - 6:59โดยใช้ความรู้สึกปลอดภัยเป็นฐาน
-
6:59 - 7:01พวกบริษัทหัวใสก็จะสร้าง
-
7:01 - 7:03แรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์
-
7:03 - 7:06ด้วยการทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความปลอดภัย
-
7:06 - 7:09ส่วนแนวทางนั้นมีอยู่สองทาง
-
7:09 - 7:11อย่างแรก คุณทำให้ลูกค้าปลอดจากภัยอันตรายจริงๆ
-
7:11 - 7:13และหวังว่าพวกเขาจะรับรู้ได้เอง
-
7:13 - 7:16หรือสอง คุณเพียงให้ลูกค้าวางใจว่าปลอดภัย
-
7:16 - 7:19และหวังว่าพวกเขาจะจับไม่ได้
-
7:20 - 7:23ฉะนั้น ปัจจัยที่จะำให้พวกเขาจับได้
-
7:23 - 7:25ก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง
-
7:25 - 7:27ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความมั่นคงปลอดภัย
-
7:27 - 7:29ในเรื่องความเสี่ยง ในเรื่องภัยคุกคาม
-
7:29 - 7:32ในเรื่องวิธีการรับมือ ว่าเป็นอย่างไร
-
7:32 - 7:34หากเราเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
-
7:34 - 7:37ความรู้สึกที่ปลอดจากภัยนั้นๆก็จะค่อยๆมาควบคู่กับความเป็นจริง
-
7:37 - 7:40ตัวอย่างเหตุการณ์จริงจำนวนมากพอจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจให้ถูกต้อง
-
7:40 - 7:43ปัจจุบันเราต่างมีข้อมูลอัตราอาชญากรรมในท้องถิ่นที่เราอาศัย
-
7:43 - 7:46เพราะเราใช้ชีวิตแถวนั้น และเรารับรู้เรื่องต่างๆมากพอควร
-
7:46 - 7:49ฉะนั้นความรู้สึกกับความเป็นจริงก็ไปในแนวทางเดียวกัน
-
7:49 - 7:52โรงละครความปลอดภัยแสดงให้เห็น
-
7:52 - 7:55ถึงความชัดเจนของเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่ึควรจะเป็น
-
7:55 - 7:59เอาล่ะ แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้ผู้คนจับไม่ได้?
-
7:59 - 8:01ครับ ก็คือความไม่รู้
-
8:01 - 8:04หากคุณไม่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงภัย คุณก็ย่อมประเมินต้นทุนความเสี่ยงไม่ได้
-
8:04 - 8:06เลยอาจทำให้คุณยอมเสียไปมากกว่าที่ได้มา
-
8:06 - 8:09และความรู้สึกกับความเป็นจริงไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
-
8:09 - 8:11ไม่ค่อยมีตัวอย่างเหตุการณ์
-
8:11 - 8:13มีปัญหาที่เป็นธรรมชาติของ
-
8:13 - 8:15เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย
-
8:15 - 8:17อย่างเช่น ถ้าหากว่า
-
8:17 - 8:19การก่อการร้ายแทบไม่เกิดขึ้นเลย
-
8:19 - 8:21ฉะนั้นการประเมิน
-
8:21 - 8:24วิธีรับมือที่ได้ผลก็เป็นไปได้ยาก
-
8:25 - 8:28เราจึงต้องเสียผู้บริสุทธิ์ไปนับต่อนับ
-
8:28 - 8:31และเป็นสาเหตุที่การโทษผีสางเทวดาใช้ได้ผล
-
8:31 - 8:34เพราะไม่ค่อยมีกรณีที่ใช้ไม่ได้ผลให้เห็นมากนัก
-
8:35 - 8:38บวกกับความรู้สึกที่บดบังความเป็นจริง
-
8:38 - 8:40อคติทางการคิดที่ผมพูดไปแล้วก่อนหน้านี้
-
8:40 - 8:43ความกลัว ตำนานความเชื่อต่างๆ
-
8:43 - 8:46เป็นแบบจำลองที่สะท้อนความเป็นจริงไม่ได้ดีนัก
-
8:47 - 8:50ทีนี้ผมขออธิบายเพิ่มเติม
-
8:50 - 8:52จากที่พูดไปมีเรื่องของความรู้สึกและความเป็นจริง
-
8:52 - 8:55ทีนี้ผมอยากจะเพิ่มส่วนที่สามเข้าไป เป็นส่วนของ "แบบจำลอง (model)"
-
8:55 - 8:57ความรู้สึกและแบบจำลองจะติดอยู่ในสมองเรา
-
8:57 - 8:59สภาพความเป็นจริงจะอยู่รอบๆตัวเรา
-
8:59 - 9:02ส่วนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะมันเป็นของจริง
-
9:02 - 9:04ฉะนั้นความรู้สึกจะยึดเอาสัญชาติญาณเป็นหลัก
-
9:04 - 9:06แบบจำลองจะขึ้นอยู่กับเหตุผลเป็นหลัก
-
9:06 - 9:09ซึ่งค่อนข้างต่างกัน
-
9:09 - 9:11ในโลกสมัยบรรพกาลที่เรียบง่าย
-
9:11 - 9:14ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องสร้างแบบจำลอง
-
9:14 - 9:17เพราะความรู้สึกใกล้เคียงกับความเป็นจริงอยู่แล้ว
-
9:17 - 9:19จึงไม่ต้องใช้แบบจำลองใดๆ
-
9:19 - 9:21แต่สำหรับโลกสมัยใหม่ที่ซับซ้อนอย่างที่เราอยู่กันนี้
-
9:21 - 9:23แบบจำลองเป็นสิ่งจำเป็น
-
9:23 - 9:26ในการเข้าใจความเสี่ยงภัยที่จะพบเจอ
-
9:27 - 9:29ลองนึกดูก่อนหน้านี้เราไม่เคยหยั่งรู้ึถึงภัยจากเชื้อโรค
-
9:29 - 9:32เราจะเข้าใจก็ต่อเมื่อมีแบบจำลอง
-
9:32 - 9:34ฉะนั้น แบบจำลองที่ว่า
-
9:34 - 9:37ถือเป็นสื่อนำเสนอความเป็นจริงที่ชาญฉลาด
-
9:37 - 9:40ทั้งนี้ จะต้องจำกัดอยู่ในกรอบของวิทยาศาสตร์
-
9:40 - 9:42และเทคโนโลยี
-
9:42 - 9:45พวกเราคงไม่รู้จักทฤษฏีการติดเชื้อทำให้เกิดโรค
-
9:45 - 9:48จนถึงวันที่กล้องจุลทรรศน์ถูกประดิษฐ์ขึ้น
-
9:49 - 9:52มันถูกจำกัดโดยอคติทางการคิด
-
9:52 - 9:54แต่มันมีความสามารถ
-
9:54 - 9:56เข้าครอบงำความรู้สึก
-
9:56 - 9:59แล้วเราได้แบบจำลองเหล่านี้มาได้ยังไงน่ะหรือครับ? เราได้จากคนอื่น
-
9:59 - 10:02จากศาสนา วัฒนธรรม
-
10:02 - 10:04คุณครู ผู้อาวุโส
-
10:04 - 10:06เมื่อสองสามปีก่อน
-
10:06 - 10:08ผมไปท่องซาฟารีดูสัตว์ที่อัฟริกาใต้
-
10:08 - 10:11คนแกะรอยที่ไปกับผมเกิดที่อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ (Kruger)
-
10:11 - 10:14เขามีแบบจำลองการเอาตัวรอดที่ซับซ้อนมาก
-
10:14 - 10:16ขึ้นอยู่กับว่าคุณโดนสัตว์ชนิดไหนจู่โจม
-
10:16 - 10:18เป็นสิงโต เสือดาว แรด หรือช้าง
-
10:18 - 10:21และเมื่อไหร่ที่คุณรู้ตัวว่าต้องวิ่งหนี ต้องปีนต้นไม้
-
10:21 - 10:23หรือเมื่อไหร่ที่ไม่ควรปีน
-
10:23 - 10:26ถ้าเป็นผมคงไม่รอดชีวิตกลับมา
-
10:26 - 10:28แต่เขาเกิดที่นั่น
-
10:28 - 10:30เขารู้ว่าจะอยู่รอดได้ด้วยวิธีไหน
-
10:30 - 10:32ส่วนผมเกิดในนครนิวยอร์ก
-
10:32 - 10:35ถ้าผมพาเขาไปนิวยอร์กบ้าง เชื่อว่าเขาคงจะตายตั้งแต่วันแรก
-
10:35 - 10:37(เสียงหัวเราะ)
-
10:37 - 10:39นั่นเป็นเพราะเราโตมาด้วยแบบจำลองที่ต่างกัน
-
10:39 - 10:42พื้นฐานประสบการณ์ที่ต่างกัน
-
10:43 - 10:45เราได้รับแบบจำลองมาจากสื่อต่างๆ
-
10:45 - 10:48จากรัฐบาลที่เราเลือกมา
-
10:48 - 10:51กลับไปที่แบบจำลองการก่อการร้าย
-
10:51 - 10:54การลักพาตัวเด็ก
-
10:54 - 10:56ความปลอดภัยจากการใช้เครื่องบิน ใช้รถ
-
10:56 - 10:59แบบจำลองอาจมาจากวงการอุตสาหกรรม
-
10:59 - 11:01สองอย่างที่ผมติดตามคือ วิธีการทำงานของกล้องวงจรปิด
-
11:01 - 11:03และบัตรประจำตัว
-
11:03 - 11:06แบบจำลองความปลอดภัยจากการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ข้องเกี่ยวกับสองสิ่งนี้
-
11:06 - 11:09แบบจำลองส่วนมากมาจากวิทยาศาสตร์
-
11:09 - 11:11ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ แบบจำลองด้านสุขภาพ
-
11:11 - 11:14เช่นมะเร็ง ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู ซาร์ส
-
11:14 - 11:17ความรู้สึกถึงความปลอดภัย
-
11:17 - 11:19ของโรคพวกนี้
-
11:19 - 11:21ล้วนมาจากแบบจำลองทั้งนั้น
-
11:21 - 11:24ผลงานทางวิทยาศาสตร์ส่งสาห์นมาถึงพวกเราผ่านสื่อ
-
11:25 - 11:28ทั้งนี้แบบจำลองสามารถเปลี่ยนแปลงได้
-
11:28 - 11:30ไม่จำเป็นต้องตายตัว
-
11:30 - 11:33เมื่อเราเริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อม
-
11:33 - 11:37แบบจำลองก็จะยิ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่เรารู้สึก
-
11:38 - 11:40อย่างเช่น
-
11:40 - 11:42ลองย้อนกลับมาไป 100 ปีที่แล้ว
-
11:42 - 11:45ช่วงที่เริ่มมีไฟฟ้าใช้แรกๆ
-
11:45 - 11:47ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้มันหรอก
-
11:47 - 11:49ต่างคนต่างกลัวการกดปุ่มกริ่งหน้าบ้าน
-
11:49 - 11:52กลัวว่าไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในนั้นจะทำร้ายตัวเอง
-
11:52 - 11:55แต่สำหรับคนยุคนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอะไรที่ใครๆก็ใช้คล่อง
-
11:55 - 11:57เราเปลี่ยนหลอดไฟเอง
-
11:57 - 11:59โดยไม่เกรงกลัวใดๆ
-
11:59 - 12:03แบบจำลองความปลอดภัยจากการใช้ไฟฟ้า
-
12:03 - 12:06เป็นสิ่งที่เกิดมาพร้อมๆเรา
-
12:06 - 12:09ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆตลอดช่วงชีวิตเรา
-
12:09 - 12:12และพวกเราก็คุ้นเคยกับมัน
-
12:12 - 12:14ส่วนเรื่องความเสี่ยง
-
12:14 - 12:16บนอินเทอร์เน็ตของชนแต่ละรุ่นก็เช่นกัน
-
12:16 - 12:18ลองเปรียบเทียบมุมมองด้านความปลอดภัยในอินเทอร์เน็ตของรุ่นพ่อแม่
-
12:18 - 12:20เทียบกับของรุ่นคุณ
-
12:20 - 12:23เทียบกับที่รุ่นลูกจะมอง
-
12:23 - 12:26แบบจำลองของคนแต่ละรุ่นเข้าครอบงำโดยไม่รู้ตัว
-
12:27 - 12:30กลายเป็นสัญชาตญาณ เป็นความคุ้นชิน
-
12:30 - 12:32จึงทำให้แบบจำลองเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น
-
12:32 - 12:34แล้วท้ายสุดมาบรรจบกับความรู้สึก
-
12:34 - 12:37โดยที่พวกคุณไม่รู้ตัวกัน
-
12:37 - 12:39ฉะนั้นผมขอลองยกตัวอย่าง
-
12:39 - 12:42กรณีไข้หวัดหมูเมื่อปีที่แล้ว
-
12:42 - 12:44ณ ตอนที่โรคนี้ปรากฏครั้งแรก
-
12:44 - 12:48ข่าวแรกๆที่ออกจากสื่อทำให้ผู้คนเกิดปฏิกิริยาเกินจริง
-
12:48 - 12:50พอมีชื่อเรียกโรคนี้เฉพาะ
-
12:50 - 12:52เลยเป็นเหตุให้มันน่ากลัวกว่าไข้หวัดทั่วๆไป
-
12:52 - 12:54แม้ว่ามันจะอันตรายกว่าจริงๆก็ตาม
-
12:54 - 12:58และทุกคนคิดว่าทำไมหมอถึงไม่มีวิธีต่อกรกับมัน
-
12:58 - 13:00เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นมันสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
-
13:00 - 13:02และสองสิ่งนั้น
-
13:02 - 13:04ทำให้มันดูอันตรายมากกว่าที่เป็นจริง
-
13:04 - 13:07พอความแปลกใหม่เริ่มซาลง ผ่านไปเดือนหนึ่ง
-
13:07 - 13:09ผู้คนเริ่มยอมรับ
-
13:09 - 13:11และคุ้นเคยกับโรคนี้
-
13:11 - 13:14เมื่อไม่มีการประโคมข่่าว ความกลัวก็ค่อยๆลดลง
-
13:14 - 13:16พอถึงฤดูใบไม้ร่วง
-
13:16 - 13:18ผู้คนก็คิดว่า
-
13:18 - 13:20หมอน่าจะมีวิธีรับมือกับโรคนี้แล้ว
-
13:20 - 13:22ณ ตอนนั้นเราอยู่บนทางแยก
-
13:22 - 13:24เราต้องเลือก
-
13:24 - 13:28ระหว่างกลัวต่อไปหรือยอมรับมัน
-
13:28 - 13:30จริงๆแล้วคือกลัวต่อไปหรือเพิกเฉย
-
13:30 - 13:33แต่สุดท้ายพวกเขาเลือกที่จะสงสัย
-
13:33 - 13:36และเมื่อวัคซีนปรากฏเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว
-
13:36 - 13:39คนจำนวนไม่น้อย จำนวนที่คาดไม่ถึงเลยล่ะ
-
13:39 - 13:42ปฏิเสธที่จะใช้มัน
-
13:43 - 13:45เป็นตัวอย่างที่ดี
-
13:45 - 13:48ที่ความรู้สึกปลอดภัยของผู้คนเปลี่ยนไปได้อย่างไร แบบจำลองเปลี่ยนไปได้อย่างไร
-
13:48 - 13:50ราวหน้ามือเป็นหลังมือ
-
13:50 - 13:52ทั้งๆที่ไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ๆเลย
-
13:52 - 13:54และไม่มีอะไรใหม่ๆเพิ่มเข้ามาด้วย
-
13:54 - 13:57เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก
-
13:57 - 14:00ผมอยากจะบวกปัจจัยเพิ่มอีกอย่าง
-
14:00 - 14:03พวกเรามีความรู้สึก แบบจำลอง และสภาพความเป็นจริง
-
14:03 - 14:05ผมคิดว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งที่
-
14:05 - 14:08ขึ้นอยู่กับผู้ที่สังเกตการณ์
-
14:08 - 14:10การตัดสินใจว่าด้วยความปลอดภัยส่วนใหญ่
-
14:10 - 14:14มาจากกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย
-
14:14 - 14:16ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
-
14:16 - 14:19ที่คิดไว้แล้วว่าจะยอมได้ยอมเสียอะไรบ้าง
-
14:19 - 14:21จะพยายามโน้มน้าวผลักดันการตัดสิน
-
14:21 - 14:23และผมขอเรียกว่า "ระเบียบวาระ" ของพวกเขาก็แล้วกัน
-
14:23 - 14:25และคุณจะเห็นว่าระเบียบวาระ
-
14:25 - 14:28จะมาในรูปแบบการตลาดบ้างล่ะ การเมืองบ้างล่ะ
-
14:28 - 14:31พยายามโน้มน้าวคุณให้เลือกแบบจำลองหนึ่งแทนอีกแบบหนึ่ง
-
14:31 - 14:33พยายามโน้มน้าวให้คุณเลิกใส่ใจกับแบบจำลอง
-
14:33 - 14:36และให้คุณเชื่อความรู้สึกของคุณแทน
-
14:36 - 14:39ทำให้ผู้คนหันมาเห็นด้วยกับแบบจำลองที่คุณไม่ชอบ
-
14:39 - 14:42ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกนะครับ
-
14:42 - 14:45ตัวอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ คือความเสี่ยงภัยจากการสูบบุหรี่
-
14:46 - 14:4950 ปีที่ผ่านมา ความเสี่ยงภัยจากการสูบบุหรี่
-
14:49 - 14:51แสดงให้เห็นว่าแบบจำลองได้เปลี่ยนไปอย่างไร
-
14:51 - 14:54และแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมมีวิธีต่อสู้กับ
-
14:54 - 14:56แบบจำลองที่ไม่เอื้อประโยชน์พวกเขาอย่างไร
-
14:56 - 14:59เปรียบเทียบกับการโต้ประเด็นผู้สูบบุหรี่มือสอง
-
14:59 - 15:02ซึ่งน่าจะตามหลังมาจากนั้นอีก 20 ปี
-
15:02 - 15:04เรื่องเข็มขัดนิรภัยก็เช่นกัน
-
15:04 - 15:06ตอนผมเด็กๆ ไม่มีใครคาดเข็มขัดนิรภัยหรอกครับ
-
15:06 - 15:08แต่ทุกวันนี้ ไม่มีเด็กคนไหนที่ยอมให้คุณออกรถ
-
15:08 - 15:10ถ้าคุณไม่คาดเข็มขัดนิรภัยก่อน
-
15:11 - 15:13ลองเปรียบเทียบกับการโต้ประเด็นถุงลมนิรภัย
-
15:13 - 15:16ซึ่งน่าจะตามหลังมาจากนั้นอีก 30 ปี
-
15:16 - 15:19ตัวอย่างแบบจำลองทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไป
-
15:21 - 15:24ทีนี้เราสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงแบบจำลองเป็นเรื่องยากทีเดียว
-
15:24 - 15:26เพราะแบบจำลองจะตรึงอยู่ในความคิด
-
15:26 - 15:28ถ้ามันเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับความรู้สึก
-
15:28 - 15:31คุณจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณถูกแบบจำลองครอบงำอยู่
-
15:31 - 15:33และอคติทางการคิดอีกรูปแบบหนึ่ง
-
15:33 - 15:35คือสิ่งที่ผมเรียกว่า อคติแบบยืนยันความเชื่อ (confirmation bias)
-
15:35 - 15:38พวกเรามักจะเลือกรับข้อมูล
-
15:38 - 15:40ที่ตรงกับความเชื่อของเราเอง
-
15:40 - 15:43และปฏิเสธรับข้อมูลที่ขัดกับความเชื่อ
-
15:44 - 15:46ดังนั้นแม้ว่าหลักฐานที่มีจะขัดแย้งกับแบบจำลองของเรา
-
15:46 - 15:49พวกเราก็มักจะเพิกเฉย แม้ว่าหลักฐานนั้นจะแจ่มแจ้ง
-
15:49 - 15:52ฉะนั้นหลักฐานจะต้องแจ่มแจ้งน่าเชื่อถือมากถึงมากที่สุด พวกเราถึงจะยอมสนใจ
-
15:53 - 15:55แบบจำลองใหม่ๆที่กินเวลานานก็จะยิ่งยาก
-
15:55 - 15:57โลกร้อนเป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว
-
15:57 - 15:59เราไม่ตอบรับกันเลย
-
15:59 - 16:01กับแบบจำลองที่ครอบคลุมช่วงเวลา 80 ปี
-
16:01 - 16:03เราไม่มีปัญหาเลยกับระยะเวลานานเท่ากับการรอเก็บเกี่ยวงวดหน้า
-
16:03 - 16:06เราไม่ค่อยมีปัญหากับระยะเวลานานเท่ากับที่รอลูกๆเราโต
-
16:06 - 16:09แต่ทว่า 80 ปีนั้นยาวนานเกินไปสำหรับเรา
-
16:09 - 16:12เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นแบบจำลองที่ยอมรับได้ยากมาก
-
16:12 - 16:16เราก็ยังสามารถยอมรับแบบจำลองสองแบบในเวลาเดียวกันได้ด้วย
-
16:16 - 16:19เป็นปัญหาประเภทเดียวกับ
-
16:19 - 16:22ที่เราเห็นด้วยกับสองมุมมองที่ขัดแย้ง
-
16:22 - 16:24หรือ ความไม่ลงรอยกันของการรู้ (cognitive dissonance)
-
16:24 - 16:26และท้ายที่สุด
-
16:26 - 16:29แบบจำลองใหม่ก็จะแทนที่แบบจำลองที่มีอยู่เดิม
-
16:29 - 16:32และความรู้สึกที่แรงกล้าก็ทำให้เกิดเป็นแบบจำลองได้
-
16:32 - 16:35เหตุการณ์ 11 กันยาก็ทำให้เกิดแบบจำลองเรื่องความปลอดภัย
-
16:35 - 16:37ในหัวของคนมากมาย
-
16:37 - 16:40อาชญากรรมที่เจอกับตัวเองก็เช่นกัน
-
16:40 - 16:42ความกลัวเรื่องสุขภาพ
-
16:42 - 16:44หรือเรื่องโรคต่างๆที่ตกเป็นข่าว
-
16:44 - 16:46จิตแพทย์เรียกเหตุการณ์แบบนั้นว่า
-
16:46 - 16:48อุบัติการณ์ภาพความทรงจำเสมือน (flashbulb event)
-
16:48 - 16:51มันสามารถสร้างภาพจำลองขึ้นมาได้ทันที
-
16:51 - 16:54เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เร่งเร้าสะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง
-
16:54 - 16:56ฉะนั้นในโลกแห่งเทคโนโลยีแบบนี้
-
16:56 - 16:58พวกเราไม่มีประสบการณ์
-
16:58 - 17:00ไปประเมินแบบจำลองใดๆได้
-
17:00 - 17:02เราพึ่งพาผู้อื่น พึ่งพาตัวแทน
-
17:02 - 17:06เพียงแค่ตัวแทนระบุสิ่งที่ถูกหรือไม่ถูกต้องได้ก็ใช้ได้แล้ว
-
17:06 - 17:08พวกเราพึ่งพาหน่วยงานของรัฐ
-
17:08 - 17:13เพื่อรับรองว่ายาประเภทไหนปลอดภัย
-
17:13 - 17:15ที่ผมบินมาที่นี่เมื่อวานนี้
-
17:15 - 17:17ผมไม่ได้เป็นคนตรวจเครื่องบินเอง
-
17:17 - 17:19ผมพึ่งคนอื่นๆ
-
17:19 - 17:22ในการตรวจสอบเครื่องบินว่าปลอดภัย
-
17:22 - 17:25หรือที่พวกเราไม่ได้ระแวงว่าหลังคาจะถล่มใส่หัวเราเมื่อไหร่
-
17:25 - 17:28ไม่ได้เป็นเพราะพวกเราตรวจสอบเอง
-
17:28 - 17:30แต่พวกเราค่อนข้างมั่นใจ
-
17:30 - 17:33ว่าโครงสร้างอาคารได้มาตรฐาน
-
17:33 - 17:35มันเป็นแบบจำลองที่เรายอมรับ
-
17:35 - 17:37และเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
-
17:37 - 17:40และค่อนข้างดีทีเดียว
-
17:42 - 17:44ตอนนี้ สิ่งที่พวกเราต้องการคือ
-
17:44 - 17:46ให้ผู้คนทำความคุ้นเคยกับแบบจำลองที่ดีกว่า
-
17:46 - 17:48ให้มากกว่านี้
-
17:48 - 17:50ทำให้มันสะท้อนอยู่ในความรู้สึกพวกเขา
-
17:50 - 17:54ให้พวกเขาใช้เพื่อตัดสินใจยอมเสียบางอย่างเพื่อแลกกับความปลอดภัย
-
17:54 - 17:56และเมื่ออะไรไม่เป็นไปอย่างที่ควรเป็น
-
17:56 - 17:58จะมี 2 ทางให้คุณเลือก
-
17:58 - 18:00ตัวเลือกแรก คือ แก้ที่ความรู้สึกผู้คน
-
18:00 - 18:02แก้ที่ความรู้สึกโดยตรง
-
18:02 - 18:05มันเป็นการปรับเปลี่ยนยักย้าย แต่ก็อาจจะเห็นผลสักวันหนึ่ง
-
18:05 - 18:07ตัวเลือกที่สอง เอาตรงๆนะ
-
18:07 - 18:10ก็คือแก้ที่ตัวแบบจำลอง
-
18:11 - 18:13การเปลี่ยนแปลงค่อยๆเกิดขึ้น
-
18:13 - 18:16ประเด็นสูบบุหรี่ใช้เวลา 40 ปี
-
18:16 - 18:19และนั่นไม่ได้ยากเท่าไหร่
-
18:19 - 18:21ในขณะที่บางสิ่งในที่นี้แก้ยาก
-
18:21 - 18:23แก้ลำบากมาก
-
18:23 - 18:25ข้อมูลดูเหมือนจะเป็นความหวังที่ดีที่สุดของเรา
-
18:25 - 18:27และผมโกหก
-
18:27 - 18:29ที่ผมพูดไว้ว่า "ความรู้สึก" "แบบจำลอง" และ"สภาพความเป็นจริง"
-
18:29 - 18:32ที่ว่าสภาพความเป็นจริงจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จริงๆมันเปลี่ยนได้
-
18:32 - 18:34พวกเราอยู่ในโลกของเทคโนโลยี
-
18:34 - 18:37ความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
-
18:37 - 18:40ฉะนั้น อาจจะมีครั้งแรกในสายพันธุ์มนุษย์ของเรา
-
18:40 - 18:43ที่ความรู้สึกไล่ตามแบบจำลอง แบบจำลองไล่ตามสภาพความเป็นจริง และความเป็นจริงก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
-
18:43 - 18:46แม้อาจจะตามกันไม่ทัน
-
18:47 - 18:49แต่ใครจะรู้ล่ะ?
-
18:49 - 18:51แต่ในระยะยาว
-
18:51 - 18:54ความรู้สึกและสภาพความเป็นจริงเป็นสิ่งสำคัญ
-
18:54 - 18:57และผมอยากจบการอภิปรายครั้งนี้ด้วยสองเรื่องสั้นๆเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น
-
18:57 - 18:59ปี 1982 (พ.ศ.2525) ผมไม่แน่ใจว่าใครจำเรื่องนี้ได้หรือเปล่า
-
18:59 - 19:02มีเหตุโรคระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น
-
19:02 - 19:04ของไทลินอลเป็นพิษในสหรัฐฯ
-
19:04 - 19:07เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวทีเดียว ซึ่งเกิดจากใครสักคน
-
19:07 - 19:10ใส่ยาพิษลงในขวดยาแล้วปิดฝาวางไว้ที่เดิม
-
19:10 - 19:12ไม่นานก็มีคนซื้อไป
-
19:12 - 19:14คนๆนี้ทำให้
-
19:14 - 19:16เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในสังคมตามมาอีกหลายๆครั้ง
-
19:16 - 19:19ทั้งที่อาจไม่มีภัยนั้นจริง แต่ผู้คนก็ยังกลัวกันอยู่ดี
-
19:19 - 19:21และนี่เป็นแหล่งกำเนิด
-
19:21 - 19:23นวัตกรรมผนึกขวดในอุตสาหกรรมยา
-
19:23 - 19:25ฝาผนึกขวดที่เห็นทุกวันนี้มาจากเหตุการณ์นั้นเอง
-
19:25 - 19:27นับว่าเข้ากับโรงละครความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
-
19:27 - 19:29ผบขอให้ทุกท่านลองไปคิดดูเป็นการบ้านนะครับ ว่าถ้าเป็นคุณจะแก้ไขอย่างไร ซัก 10 วิธีนะครับ
-
19:29 - 19:32สำหรับผม ใช้หลอดฉีดยาก็ไม่เลวนะ
-
19:32 - 19:35น่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
-
19:35 - 19:37มันทำให้พวกเขาวางใจว่าปลอดภัย
-
19:37 - 19:39ใช้ได้ในสภาพความเป็นจริง
-
19:39 - 19:42และเรื่องสุดท้าย เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อนผมเพิ่งคลอดลูก
-
19:42 - 19:44ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล
-
19:44 - 19:46ผมสังเกตเห็นว่า ทุกวันนี้เด็กที่คลอด
-
19:46 - 19:48ต้องใส่กำไลข้อมือประจำตัวแบบเทคโนโลยีคลื่นความถี่ (RFID)
-
19:48 - 19:50พร้อมทั้งใส่อีกอันหนึ่งให้คุณแม่
-
19:50 - 19:52ทั้งนี้ ถ้ามีใครสักคนที่ไม่ใช่คุณแม่ของเด็กอุ้มตัวเด็กออกจากเขตที่ตั้งไว้
-
19:52 - 19:54เสียงเตือนจะดังขึ้นทันที
-
19:54 - 19:56ผมขอบอกว่า "มันดูเหมือนจะใช้ได้นะ
-
19:56 - 19:58แต่ผมสงสัยว่า พวกลักพาตัวเด็ก
-
19:58 - 20:00หนีออกจากโรงพยาบาลได้อย่างไร?"
-
20:00 - 20:02ผมลองมาสืบค้นข้อมูล
-
20:02 - 20:04ได้ความว่า เหตุการณ์แบบนี้แทบไม่เกิดขึ้นเลย
-
20:04 - 20:06แต่คุณลองคิดดู
-
20:06 - 20:08ถ้าคุณเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล
-
20:08 - 20:10แล้วเกิดต้องพาตัวเด็กไปจากแม่
-
20:10 - 20:12เพื่อไปตรวจอะไรซักอย่าง
-
20:12 - 20:14คุณควรจะมี "โรงละครปลอดภัย" ที่ดี
-
20:14 - 20:16มิฉะนั้นแม่ของเด็กคนนั้นคงเอาคุณตายแน่ๆ
-
20:16 - 20:18(เสียงหัวเราะ)
-
20:18 - 20:20ฉะนั้นมันสำคัญกับพวกเรา
-
20:20 - 20:22กับกลุ่มคนที่ออกแบบวิธีรักษาความปลอดภัยทั้งหลาย
-
20:22 - 20:25กลุ่มคนที่วางนโยบายความปลอดภัย
-
20:25 - 20:27หรือกระทั่งกลุ่มคนที่วางนโยบายสาธารณะ
-
20:27 - 20:29ที่จะมีผลกระทบกับความปลอดภัย
-
20:29 - 20:32ไม่ใช่เพียงสภาพความเป็นจริง แต่เป็นความรู้สึกและความเป็นจริงผนวกเข้าด้วยกัน
-
20:32 - 20:34สิ่งที่สำคัญคือ
-
20:34 - 20:36สองอย่างนี้คล้ายๆกัน
-
20:36 - 20:38และเมื่อความรู้สึกและความเป็นจริงไปในแนวทางเดียวแล้ว
-
20:38 - 20:40ก็จะทำให้เราเลือกที่จะเสียบางอย่างไปเพื่อแลกกับความปลอดภัยได้ดีขึ้น
-
20:40 - 20:42ขอบคุณมากครับ
-
20:42 - 20:44(เสียงปรบมือ)
- Title:
- บรูซ ชไนเออร์ : ภาพลวงของความปลอดภััย
- Speaker:
- Bruce Schneier
- Description:
-
"การรู้สึกถึงความปลอดภัย" และ "ความปลอดภัยในความเป็นจริง" ไม่ได้มาพร้อมกันเสมอไป บรูซ ชไนเออร์ (Bruce Schneier) ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยในการใช้คอมพิวเตอร์กล่าว สำหรับใน TEDxPSU ครั้งนี้ เขาอธิบายว่าทำไมเราถึงได้เสียเงินเป็นพันๆล้านเพื่อป้องกันภัยอันตรายที่ตกเป็นข่าว ดังเช่นมาตรการป้องกันภัยในสนามบินที่ใช้ป้องกันไม่ได้จริง เปรียบเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า"โรงละครความปลอดภัย" ในขณะที่ละเลยความเสี่ยงอื่นๆที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า พร้อมกันนั้นเขาก็นำเสนอวิธีแก้ไขระบบดังกล่าวไว้อีกด้วย
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 20:44