-
เจริญพร
-
วันนี้เทศน์ช้าหน่อยเพราะว่าลมหนาวมันมา
-
พัดสายเคเบิลหลุด มีปัญหา
-
ตอนนี้เราก็รู้กันว่า
-
โรคระบาดกระจายออกไป 40 กว่าจังหวัดแล้ว
-
ชลบุรีก็ไม่น้อยหน้าใคร
-
วันเดียวขึ้นมา 108 คนติดวันเดียว
-
ของวันนี้เท่าไหร่ยังไม่รู้
-
ศรีราชาก็เจอ 1 คน
-
พวกเราช่วงนี้พยายาม Countdown อยู่ที่บ้าน
-
ถ้าไม่ Countdown กันที่บ้าน
-
หลังจากนี้มันจะ Count up
-
ตัวเลขมันคงสูงขึ้น
-
ถ้าสังเกตให้ดีโรคพวกนี้ มันมาจาก
-
กลุ่มซึ่งมีปัญหาเรื่องศีลธรรม
-
อย่างกลุ่มบ่อนพนัน ตามผับ ตามบาร์
-
เป็นกลุ่มที่มีปัญหาด้านศีลทั้งนั้น
-
พอกลุ่มนี้มีปัญหามันก็กระจายออก
มาสู่คนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง
-
สิ่งที่จะช่วยคุ้มครอง
พวกเราได้จริงๆ ตอนนี้
-
คือศีลกับสติ ต้องใช้ให้มาก
-
อย่างคนไปกินเหล้ามันขาดสติ
-
มันไม่รู้จักระวังป้องกันตัวเอง
-
พยายามมีสติ
-
ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก
จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก
-
อย่างจิตใจอยากไปเที่ยว
-
กินเหล้า เข้าบาร์ เข้าบ่อน มีสติรู้สึกไว้
-
มีศีลพิจารณาลงไปอันไหนมันไม่ถูกศีล
ไม่ถูกธรรมอย่าไปทำมัน
-
สติจะช่วยเราได้ทุกหนทุกแห่ง
-
อย่างเราเคยฝึกร่างกายเคลื่อนไหวเรารู้สึก
-
เราจะเผลอเอามือขยี้ตา
-
จับโน้นจับนี่จะเอามือมาขยี้ตาลูบหน้าตัวเอง
-
เคลื่อนไหวรู้สึก
-
แล้วรู้ว่าไม่สมควรทำ เราก็งดเว้นไม่ทำ
-
อะไรๆ ก็สู้ความมีสติไม่ได้
-
แล้วศีลก็เป็นเครื่องรักษาเรา
-
ในทางวัตถุบางคนก็อยากได้
วัตถุมงคลที่จะสู้โควิด
-
มันมีนะนี่
-
นี่ล่ะวัตถุมงคล
-
ไปไหนก็พกพาไป ใส่จมูกไว้นะ
ไม่ใช่พกใส่กระเป๋า
-
ถ้ามีวัตถุมงคลอันนี้ปลอดภัยอีกเยอะเลย
-
ยกเว้นเอามือไปจับโน้นจับนี้
ติดเชื้อแล้วมาป้ายหน้า ป้ายตาตัวเอง
-
อันนั้นอาศัยสติ
-
อดทนกันไว้
-
อีกไม่กี่เดือน
-
เราก็จะมีวัคซีนใช้
-
ช่วงนี้ซื้อเวลาพยายามรักษาตัวเองให้รอดก่อน
-
มีธรรมะนะ สนใจ
-
อยู่บ้านตอนนี้มีเวลามากขึ้น
-
บางคนก็ทำงานที่บ้าน
-
บางคนก็บอกงด ไม่ต้องไปเที่ยว
-
อยู่บ้านมีเวลาเยอะขึ้น
-
เอาใจใส่กับคนในบ้าน คนรอบๆ ตัว
-
แล้วก็เอาใจใส่กับจิตใจของตัวเอง
-
บ้านเมืองเรามันพัฒนาสังคมมันเปลี่ยน
-
สถาบันครอบครัวมันเสื่อมลงไป
-
ต่างคนต่างอยู่ คนในบ้าน
อยู่กันไปอย่างนั้นเอง
-
บางทีไม่เจอกันด้วยซ้ำไป
-
ลูกไปทาง พ่อไปทาง แม่ไปทาง
-
ตอนนี้หลายแห่งโรงเรียนก็ปิด
-
คนก็ไม่ได้ไปนอกบ้าน อยู่ในบ้านดูแลกัน
-
พูดคุยกันสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมา
-
ทำบ้านให้มันอบอุ่น เราจะได้มีความสุข
-
ที่สำคัญก็คือปฏิบัติธรรมกัน
-
ชวนกันปฏิบัติธรรม
-
ทั้งบ้านชวนกันทำยิ่งดี
-
บ้านไหนมีคนปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง
ก็ร่มเย็นไปส่วนหนึ่ง
-
ถ้าทุกคนปฏิบัติธรรมบ้านนั้นจะร่มเย็นมาก
-
หลวงพ่อตั้งแต่เป็นโยม
-
หลวงพ่อก็ภาวนาของหลวงพ่อไปเรื่อย
-
ความร่มเย็นอยู่ในใจเรา
-
หน้าตาเราก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งวัน
-
คนมาเห็นพวกเพื่อนที่ทำงานมาเห็น
เขาก็ถามว่าทำอย่างไร ?
-
ดูผ่องใส ก็บอกเขาว่าเราภาวนา
-
เขาก็เริ่มสนใจภาวนาบ้าง
-
เมื่อไม่กี่วันนี้ก็มีข่าว
-
ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งพ่อเป็นคนจีน
-
ไม่รู้เรื่องสวดมนต์ ไหว้พระอะไรไม่เป็นเลย
-
เป็นคนจีนอายุมาก
-
ได้ยินหลวงพ่อพูดเรื่องให้บริกรรมพุทโธๆๆ
แกก็พุทโธไปด้วย
-
ก็ฝึกพุทโธๆๆ อยู่เรื่อยๆ
-
วันหนึ่งมีคนมาทำให้แกโกรธ
-
พอแกโกรธแกก็ไม่อาละวาดอย่างที่เคยเป็น
-
พอพ้นจากคนนั้นมาแล้ว
“ลูกถามว่าไม่โกรธหรือวันนี้?”
-
บอก “โกรธ”
-
“เอ้า โกรธแล้วพ่อทำอย่างไร?
-
พ่อไม่รู้จะทำอะไร พ่อเลยพุทโธใส่มัน
-
พุทโธในใจ โกรธมันก็พุทโธๆๆ
ไม่ต้องทะเลาะกัน”
-
บอกป่วยหนักพอเข้าโรงพยาบาล
-
หมอก็ถามว่า “ลุงใช้ครีมอะไรทาหน้า
-
หน้าตาดูผ่องใสมากหมออยากรู้
หมอจะได้ไปซื้อมาใช้บ้าง”
-
แกบอกแกใช้ครีมพุทโธ กรณีอย่างนี้ก็เคยมี
-
เคยได้ยินมาหลายครั้ง
-
อย่างเคยมีดาราคนหนึ่งจำชื่อแกไม่ได้หรอก
-
หลวงพ่อไม่คุ้นกับพวกดารา
-
มีนิตยสารไปสัมภาษณ์ว่า
บำรุงความงามได้อย่างไร?
-
แกบอกแกใช้ซีดีหลวงพ่อปราโมทย์
-
ฟังซีดีหลวงพ่อทำให้สวยให้งามก็ได้
-
ทำไมมันสวยงาม จิตใจมันมีความสุข
-
จิตใจที่ไม่มีความสุข จิตใจเคร่งเครียด
-
ถึงจะสวยอย่างไร แต่กำเนิด
-
ตอนเครียดจัดๆ อย่างไร มันก็ไม่น่าดู
-
ฉะนั้นตอนนี้ถึงจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตบ้าง
-
ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
-
มันไม่มีอะไรคงที่หรอก
-
เรายอมรับสภาพต้องมี New normal
-
จะเหมือนเดิมไม่ได้
-
อยู่บ้านก็ภาวนาไปพุทโธๆๆๆ ไป
-
ผ่านช่วงนี้ไปเราจะขอบคุณโควิด
-
ทำให้เรามีเวลาภาวนาได้เยอะขึ้น
-
แค่ใจเราคอยคิดถึงพุทโธๆๆ ไป
-
ไม่ฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่ ใจก็ไม่กลุ้ม
-
ความกลุ้มใจ ความกังวลใจ
มันเกิดจากความคิดทั้งหมดเลย
-
แทนที่เราจะปล่อยให้มันคิดสะเปะสะปะ
-
เราก็มาคิดพุทโธไป
-
ไม่ชอบพุทโธสั้นไปเอายาวกว่านั้นก็ได้
-
พุทโธ ธัมโม สังโฆก็ได้
-
หรือมีคำบริกรรมอะไรก็ได้ที่เราถนัด
-
เราก็บริกรรมของเราไปเรื่อยๆ
-
แรกๆ ยังไม่เห็นผลก็ทำไปหลายๆ วัน
หลายๆ วันเข้าทำไม่เลิก
-
เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของใจเรา
-
ใจเรามันมีความสุข มีความสงบ
-
แล้วก็มีพลังขึ้นมา มันมีพลัง
-
พลังอันนี้ผุดขึ้นมา
-
เป็นความอิ่มเอิบแผ่ซ่านไปทุกขุมขน
-
แผ่ซ่านไปทั้งตัวเลย
-
พลังจากการภาวนามันทำให้ผ่องใส
-
เนื้อหนังก็ดูสดใส
-
ใสเข้าไปถึงกระดูก ใสเข้าไปถึงเส้นผม
-
ให้ภาวนาเยอะๆ
-
แล้วชีวิตเราจะเปลี่ยน
ที่ชีวิตเราเปลี่ยนเพราะจิตใจเราเปลี่ยน
-
อย่างหลวงพ่อภาวนา
-
ตอนเด็กๆ ก็ชอบซนชอบเล่น
-
ไปดูสมุดพกที่ครูเขียนตอนประถมบอกว่าซน
-
เราภาวนามาเรื่อยๆ ใจมันสงบสุข
-
ไม่ซนที่ไหนหรอก
-
ทำงานเสร็จไม่มีธุระอะไรก็กลับบ้าน
-
อาบน้ำกินข้าว เหนื่อยนักก็พอก่อน
-
หายเหนื่อยเราก็นั่งหายใจเข้าพุท ออกโธไป
-
ทำอะไรก็ภาวนาไปเรื่อยๆ
-
คนที่เขาดูไม่เป็น
เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเราปฏิบัติ
-
เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อให้คนดู
-
ไม่ใช่ดาราทำอะไรต้องมีคนดู
-
เราภาวนาของเราเอง เราเห็นผลของเราเอง
-
จิตใจมันมีความสุข ร่มเย็น
-
หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
-
ไปทางไหนคนเขาก็เห็น หน้าเราดูผ่องใส
-
เป็นผลจากการภาวนาทั้งนั้น
-
เวลาทำงานทำการที่ต้องคิด
-
เราได้เปรียบคนอื่นมาก
-
เราภาวนาเรื่อยๆ ใจเรามีสมาธิ
-
เวลาเราทำงานมีสมาธิ มันทำงานได้ดี
-
เวลาอ่านหนังสือ วิเคราะห์ข้อมูลทำได้ดี
-
มองทางออก มองทางแก้ปัญหามองได้ดี
-
เพราะไม่ได้มีอคติ
-
ไม่ได้แก้ปัญหา ไม่ได้คิดวิธีแก้ปัญหานี้
เพราะโลภ เพราะโกรธ เพราะหลง
-
หรือเพราะกลัวอะไร
-
การทำงานมันก็ดีขึ้นด้วย
จิตใจเราก็ดีขึ้นด้วย
-
ฉะนั้นธรรมะมีคุณประโยชน์
-
แต่ไม่จำเป็นต้องไปภาวนาให้คนเห็น
-
สังคมยุคนี้เป็นสังคมของคนไม่ค่อย
มีศีล มีธรรมอะไร
-
เราก็ไม่ต้องไปฝืนกับเขา
-
กลมกลืนอยู่กับเขา
แต่เรารักษาใจของเราให้ดี
-
เราก็ไม่มีเรื่องต้องขัดแย้งอะไรกับใคร
-
แต่ถ้าเราภาวนาไปนานๆ
-
บางทีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตัวเรา
-
คนก็สงสัยทำไมเราเป็นอย่างนี้
-
อย่างมีนะ หลวงพ่อเคยเจอโดนกับตัวเองเลย
-
หัวหน้าหลวงพ่อนี่แหละ
-
เห็นหลวงพ่อสนใจแต่ภาวนา เข้าวัดเรื่อยๆ
-
แกไม่ได้ดูอย่างอื่นหรอก
-
แกรู้สึกว่าอย่างนี้ชีวิตต้องไม่สดชื่น
-
เขาบอกเธอไปเที่ยวเล่นบ้างสิ
-
ไปกินเลี้ยง ไปอย่างโน้นอย่างนี้บ้าง
จะได้มีความสุข
-
หลวงพ่อก็บอกแกผมมีความสุขอยู่แล้ว
-
ถ้าไปอย่างนั้นไม่มีความสุข
-
ฉะนั้นเราภาวนาไม่มีใครรู้ดีที่สุดเลย
-
เพราะยุคนี้คนไม่ได้ภาวนา
-
คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก
-
พอเราปฏิบัติเข้า เขารู้สึกว่าเราแปลกแยก
-
หลวงพ่อพยายามทำตัวให้กลืน
-
ถึงจุดหนึ่งเราจะรู้เลยว่า
-
เราปฏิบัติธรรม เราไม่มีปัญหา
ขัดแย้งกับโลกเลย
-
อยู่ตรงไหนเราก็อยู่อย่างมีความสุขได้
-
แต่ถ้าเราแสดงตัวว่าเป็นนักปฏิบัติเมื่อไหร่
-
โลกมันจะขัดแย้งกับเรา
-
ชาวโลกเป็นโลกของคนมีกิเลส
-
มันจะเริ่มมีปัญหากับเราแล้ว
-
ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้
-
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
-
ตัวท่านไม่มีปัญหากับโลก
แต่โลกมีปัญหากับท่าน
-
โลกมีปัญหากับท่านเพราะท่านโดดเด่นออกมา
-
ประกาศธรรมะออกมา
-
ถ้าท่านบรรลุแล้วท่านเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
เฉยๆ ไม่ยุ่งกับใคร ไม่สอนใคร อย่างนั้น
-
โลกก็จะไม่ยุ่งกับท่าน
-
พอท่านออกมาประกาศธรรมะ มันฝืนกับโลก
-
โลกส่วนใหญ่มันไหลไปตามกระแสของกิเลส
-
ในขณะที่ธรรมะ กระแสของธรรม มันทวนกระแสกัน
-
อย่างเราเป็นฆราวาส เราภาวนาของเราเงียบๆไป
-
ไม่ต้องไปคุยอวดใคร
-
หลายคนชอบหาเรื่องภาวนาแล้วก็เที่ยวไปคุยอวด
-
เข้าวัดนั้นเข้าวัดนี้ก็ไปคุยอวด
-
เรียนกับหลวงพ่อปราโมทย์มา
-
ทำให้เขาเขม่นหลวงพ่อซะอีก
-
บางทีเขาดูออกนี่หรือหลวงพ่อปราโมทย์สอน
ไม่ได้เรื่องเลย
-
คนอย่างนี้มาให้หลวงพ่อดู
-
หลวงพ่อก็ว่าไม่ได้เรื่องเหมือนกัน
-
คนภาวนาจริงๆ ไม่ไปยุ่งกับใครหรอก
-
เวลาที่จะดูกาย ดูใจของตัวเอง
ยังแทบไม่พอเลย
-
รู้สึกไม่พอ
-
จะเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นได้อย่างไร?
-
ฉะนั้นเรามาฝึกตัวเอง
-
อาศัยช่วงที่ต้องเก็บเนื้อ เก็บตัวอยู่บ้าน
-
ลดการเที่ยวเตร่ลงไป มาอยู่กับตัวเอง
-
มาอยู่กับพุทโธ มาอยู่กับลมหายใจ
-
อยู่กับการภาวนา
-
แล้วเราจะไม่รู้สึกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้
ที่จะผ่านต่อไปนี้
-
มันทุกข์เหลือเกิน มันนานเหลือเกิน
-
อย่างพวกพระมาบวชอยู่กับ
หลวงพ่อ 3 เดือน 4 เดือน
-
ส่วนใหญ่ไม่รู้สึกนาน อยากอยู่ต่ออีก
-
แต่ไม่มีที่ให้อยู่
-
อย่างเราภาวนาเราจะไม่รู้สึกหรอก
4 - 5 เดือนข้างหน้านี้
-
หรือ 3 - 4 เดือนข้างหน้านี้
-
ที่ยังต้องระวังตัวมากๆ
-
เป็นความทุกข์ยากลำบาก จะไม่รู้สึกหรอก
-
จะรู้สึกว่าประเดี๋ยวเดียว
-
ถ้าเราอยู่กับธรรมะจริงๆ
-
แป๊บเดียวก็ผ่านไปเดือนหนึ่ง
แป๊บเดียวก็ผ่านไปเดือนหนึ่ง
-
แต่ถ้าเราอยู่กับความเครียด
-
กว่าจะผ่านสักวันหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องเล็ก
-
เราเครียดๆ กว่าจะหมดไปวันหนึ่ง
คืนหนึ่งรู้สึกยาวนาน
-
แต่เราอยู่กับธรรมะ
อยู่กับลมหายใจ อยู่กับพุทโธ
-
ใจเราร่มเย็นเป็นสุข
-
เรารู้สึก เอ้า หมดไปวันหนึ่งแล้ว
หมดไปเดือนหนึ่งแล้ว
-
แป๊บเดียวๆ
-
ฉะนั้นช่วงรอวัคซีนก็ภาวนาให้เยอะๆ ไว้
-
มีวัตถุมงคลก็คือมีมาสก์นี่แหละดีที่สุดเลย
-
พอมีสติ มีศีล รักษาเนื้อ รักษาตัวไว้
-
เอาเวลาว่างๆ แทนที่จะไปคิดกลุ้มใจ
-
ก็มาภาวนา
-
หรือบางคนชอบเข้าบ่อน
-
เมื่อวานหลวงพ่อได้ฟังหมอทวีศิลป์
-
เขาบอกคนติดโรครุ่นหลังนี่
-
ไม่ใช่คนหนุ่มสาววัยทำงานแล้ว
-
เป็นคนที่อายุค่อนข้างมาก
-
เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
-
เเล้วก่อนหน้านี้ก็เคยมีเคสคล้ายๆ อย่างนี้
-
คือคนอายุเยอะๆ ติดเยอะ
-
แล้วก็ผู้หญิงเป็นเยอะกว่าผู้ชาย
-
ยุคโน้นเขาพบว่ามันเกิดจากบ่อน
-
ผู้หญิงชอบเข้าบ่อนกว่าผู้ชาย
-
จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
หลวงพ่อไม่เคยเข้าบ่อน
-
เมื่อวานฟังเขาว่าอย่างนั้น แต่หมอก็
ไม่ได้ยืนยันว่าคนติดรอบนี้มาจากบ่อน
-
แกอ้างสถิติของเก่ารอบก่อน
-
คุณป้าคุณย่าคุณยายทั้งหลายไม่ได้เข้าบ่อน
-
ของมันเคย ไม่ได้เข้าบ่อนจะกลุ้มใจ
-
กลุ้มใจก็จะหาเรื่องหงุดหงิด
จะด่าคนโน้นด่าคนนี้
-
แทนที่จะหงุดหงิดก็มาพุทโธๆๆ ไป
-
บริกรรมไป หายใจไป บริกรรมไป
-
ชีวิตมันจะร่มเย็น วันคืนผ่านไปจะรู้สึก
-
เอ้า ทำไมหมดไปวันหนึ่งเร็วจังเลย
-
หมดไปหนึ่งอาทิตย์แล้ว หมดไปหนึ่งเดือนแล้ว
-
แป๊บเดียวๆ ก็มันมีความสุข
-
เวลาพวกเรามีความสุขแล้ว
จะรู้สึกวันเวลาผ่านไปรวดเร็ว
-
เวลามีความทุกข์ จะรู้สึกวันเวลาผ่านไปช้า
-
งั้นถ้าเรากลุ้มใจไปเที่ยวไม่ได้
-
ไปกินเหล้าไม่ได้กลุ้มใจ
-
กลุ้มใจแล้วจะรู้สึกว่ากว่า
จะหมดวันหนึ่งหมดคืนหนึ่ง นาน
-
อยู่กับธรรมะไป
-
วันคืนล่วงไปอย่างรวดเร็วเลย
-
แล้วพอวันคืนผ่านไป เรามองย้อนหลังกลับมา
-
สมมติว่าปลายปี 2564 เราย้อนมาดูปี 2563
-
ย้อนมาดูต้นปี 2564 เราเคยยากลำบาก
-
พอปลายปีเราพ้นความยากลำบากไปส่วนใหญ่แล้ว
-
แต่บางคนก็ยังยากลำบากต่อ
-
ถึงไม่มีโรคแล้ว เศรษฐกิจ
การค้าขายก็เสียไปช่วงหนึ่ง
-
ก็ต้องไปสตาร์ทใหม่ก็จะเหน็ดเหนื่อยกันบ้าง
-
แต่อันนั้นยังเหนื่อยอย่างมีความหวัง
-
พอเรามองย้อนกลับมาในช่วงที่เราลำบาก
-
แล้วเราพบว่าเวลาที่ลำบาก
-
เราได้ใช้ไปเพื่อการภาวนา
-
เราจะรู้ว่ามันเป็นเวลาที่มีคุณค่า
-
ฉะนั้นช่วงที่เราต้องเก็บเนื้อเก็บตัว
-
คนไม่มีปัญญาก็จะรู้สึกเป็นช่วงเวลา
แห่งความทุกข์ทรมาน
-
คนมีปัญญาจะรู้ว่ามันเป็นเวลา
ที่มีคุณค่ามีประโยชน์มาก
-
เพราะเรามีเวลาที่เรียนรู้ตัวเองได้มาก
-
ตอนนี้ยังไม่รู้สึกไม่เป็นไร
-
แต่พอผ่านเหตุการณ์ไปแล้วลองย้อนกลับมาดู
-
ถ้าช่วงโควิดเราก็ขยันภาวนา
-
ขยันตั้งใจรักษาศีล ขยันเจริญสติ
-
ผ่านช่วงนี้ไปพอมานึกย้อนดูจะพบว่า
-
มันคุ้มค่าที่สุดเลย
-
กับความยากลำบากที่มีเล็กๆ น้อยๆ
ถือว่าเล็กน้อย
-
อย่างคนอื่นลำบากกว่าเราเยอะ
-
พวกตำรวจพวกทหารเฝ้าระวังชายแดน
หนาวๆ อย่างนี้
-
คอยระวังไม่ให้คนเดินเข้าเดินออก แอบเข้ามา
-
เขาลำบากกว่าพวกเราเยอะเลย
-
พวกเราลำบากไม่มาก เราก็บ่นแล้วบ่นอีก
-
สำหรับพวกภาวนาไม่เป็น
-
ถ้าภาวนาเป็นไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
-
อะไรๆ มันก็ดูดีไปหมด ถ้าภาวนาได้
-
อย่างเราไม่เป็นโรคเราก็รู้สึกดี
-
ถ้าเป็นโรคเราก็รู้สึกดี เออ ยังไม่ตาย
-
ถ้าจะตายเราก็รู้สึกดี เออพ้นทุกข์
พ้นร้อนอย่างนี้สักที
-
เดี๋ยวเราไปเกิดที่ดีกว่านี้อีก
เพราะเราภาวนามาเยอะ
-
จะไม่รู้สึกขาดทุนหรอกชีวิต
-
คนที่รู้สึกว่าชีวิตนี้ขาดทุน
-
ก็คือคนไม่ได้มีศีลมีธรรมพอ
-
ฉะนั้นตั้งอกตั้งใจ รักษาศีลเอาไว้
-
วันนี้วันสิ้นปี
-
อะไรเลวๆ ที่เคยทำ ก็ให้มันสิ้นไปสักที
-
แล้วตั้งอกตั้งใจสร้างความดี
ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
-
ปกติปลายปีเขาก็ขอพรกัน ให้พรกัน
-
หลวงพ่อไม่ค่อยนิยมให้พรอะไรกับใครเขาหรอก
-
หลวงพ่อไม่ค่อยเชื่อเรื่องพร
-
อย่างการขอพรสมัยพุทธกาล
-
ขอพรไม่ใช่ขอ ขอให้หนูได้อย่างโน้น
-
ขอให้หนูได้อย่างนี้
ให้ผมเป็นนั่น ผมเป็นนี่
-
นั่นไม่ใช่การขอพร
-
ถ้าเราดูพระไตรปิฎก
-
การขอพรก็คือขอสิทธิในการกระทำบางอย่าง
-
อย่างนางวิสาขาไปขอพรจากพระพุทธเจ้า
-
ขอถวายอาหารพระที่เจ็บป่วยอะไรอย่างนี้
-
พระพุทธเจ้าอนุญาต อย่างนี้เรียกว่าให้พร
-
ให้สิ่งที่ประเสริฐ คือไปขอทำสิ่งที่ดี
-
พระพุทธเจ้าท่านอนุญาต ขอพรกันเป็นอย่างนี้
-
พระอานนท์ก็ขอพรจากพระพุทธเจ้า
-
ขอว่าเป็นพระอุปัฏฐาก
จะไม่รับผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น
-
แต่ขออย่างเดียวว่า
-
ถ้าพระพุทธเจ้าไปเทศน์ที่ไหน
ที่พระอานนท์ไม่ได้ยิน
-
ให้ (พระพุทธเจ้า)
มาเล่าให้ฟังเขาขอพรกันอย่างนี้
-
ขอพรเพื่อจะลดละกิเลส
-
ของเรามันขอพรแบบอ่อนหัด
-
ขอโน่น ขอนี่ มันเพ้อฝัน ขอให้รวยอย่างนี้
-
ขอให้รวย มันขอได้ไหม? ไม่ได้หรอก
-
หาวัตถุมงคลมาห้อย จะให้รวย
-
รุ่นรวยมหารวย รวยโคตรรวย
-
โคตรมหาเศรษฐีอะไรอย่างนี้ไม่รวยหรอก
-
มันไม่มีเหตุมีผล
-
ฉะนั้นเราอยากได้พร พรแปลว่าความประเสริฐ
-
เราทำตัวเองให้มันประเสริฐ แล้วมันก็ได้พร
-
ท่านเจ้าคุณนรฯ
-
ท่านเป็นพระดีพระแท้ ท่านสอนเลย
-
“ทำดี ดีกว่าขอพร”
-
ถ้าทำดีก็เป็นพรในตัวเองแล้ว
ไม่ต้องขอใครหรอก
-
ถ้าจะขอ ก็ไปขอกับพระพุทธรูปก็ได้
-
บอกต่อไปนี้ เราจะไม่กินเหล้า
-
ต่อไปนี้ เราจะไม่เจ้าชู้
-
ต่อไปนี้ จะไม่เที่ยวกลางคืน
-
ต่อไปนี้จะไม่คบคนที่ชวนเราเสียหาย
-
ขออย่างนี้เราจะได้พรจริงๆ
-
ชีวิตเราจะเจริญขึ้นจริงๆ
-
ส่วนไปจุดธูปขอโน่นขอนี่ มันงมงาย
-
ไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย
-
แต่ถามว่ามีประโยชน์ไหม? มีเหมือนกัน
-
คนที่อินทรีย์อ่อนมากๆ
-
การทำอย่างนั้นมันก็ได้กำลังใจ
-
ไปขอต้นตะเคียน ต้นตะเคียนมันล้ม
-
จมดินจมน้ำอยู่นาน
-
ไปขุดขึ้นมาเอามาไหว้มากราบ
-
ขอโชคขอลาภ
-
ถ้าหลวงพ่อเป็นนางตะเคียน หลวงพ่อจะบอก
-
ฉันยังไม่มีโชคเลย ฉันจมดินอยู่ตั้งนาน
-
ฉันเองก็ลำบาก
-
เราเป็นชาวพุทธอย่างมงาย
-
ปีใหม่นี้ให้พรกับตัวเอง
-
ว่าความชั่วอะไรที่เคยทำ เราจะละ
-
ความดีอะไรที่ยังไม่ทำ เราจะทำ
-
เราจะฝึกจิตของเราให้สะอาด
หมดจดผ่องแผ้วไปตามลำดับ
-
ถ้าขอพรให้ตัวเองอย่างนี้ได้
-
เราจะได้รับพรอย่างแท้จริง
-
เราจะได้รับชีวิตที่ประเสริฐ
-
ไม่ใช่ชีวิตที่โง่งมงาย
-
แต่เราจะว่าเขาก็ไม่ได้
-
คนส่วนใหญ่อินทรีย์เขาอ่อน
-
ก็ให้พรกัน ก็เป็นการให้กำลังใจกัน
ก็ยังดีล่ะ สงสาร
-
แต่พวกเราเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อ
หลวงพ่อก็ให้พรแบบหลวงพ่อนี่ล่ะ
-
ให้พรที่พวกเราต้องทำเอาเอง
-
พรปีนี้ก็คือ สำรวจตัวเอง
-
ความชั่วอะไรยังไม่ละ ก็ละเสีย
-
ความดีอะไรยังไม่ทำ ก็ทำเสีย
-
มุ่งฝึกจิตฝึกใจ
-
ยกระดับจิตใจตัวเองให้สะอาดหมดจด
ให้ผ่องแผ้วไปตามลำดับ
-
นี่คือพรที่ประเสริฐกว่าพรทั้งหลาย
-
วันนี้เอาเท่านี้ก็แล้วกัน
-
จะเอาพรหรือเปล่า?
-
ให้ไปแล้วนะ
-
บางคนบอก ขอสักหน่อย เอ้า
-
ขอสัพพมงคลจงมี ขอเทพยดาจงรักษา
-
ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระอริยสงฆ์
-
ขอความสุข ความสวัสดี
-
จงมีแก่ท่านทั้งหลายทุกเมื่อ
-
อย่าลืมพุทโธ