Return to Video

คริส บริสส์ (Chris Bliss): เรื่องตลก คือ การแปลความ

  • 0:00 - 0:02
    กาเบรียล การ์เซีย มาเคซ (Gabriel García Márquez)
    เป็นหนึ่งในนักเขียนคนโปรดของผม
  • 0:02 - 0:04
    เพราะผมชอบสไตล์การเล่าเรื่องของเขา
  • 0:04 - 0:06
    แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผมคิดว่า
  • 0:06 - 0:08
    บทร้อยแก้วของเขา
    เขียนได้อย่างสละสลวยและถูกต้อง
  • 0:08 - 0:12
    ไม่ว่าจะเป็น บทพูดเปิดฉากในเรื่อง
    "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว"
  • 0:12 - 0:14
    หรือ กระแสการไหลของจิตใต้สำนึกอันน่าประทับใจ
  • 0:14 - 0:16
    ในเรื่อง "ยุคแห่งความร่วงโรยของผู้นำ"
  • 0:16 - 0:18
    ผมอ่านกำลังตัวหนังสือเหล่านั้นอย่างเร่งรีบ
  • 0:18 - 0:20
    หน้าแล้วหน้าเล่า โดยที่จินตนาการของผมไม่ถูกสะดุดเลย
  • 0:20 - 0:22
    เนื้อหาได้พาอารมณ์ของผู้อ่านให้คล้อยตาม
  • 0:22 - 0:24
    ดั่งสายน้ำในป่ากว้าง
  • 0:24 - 0:26
    ที่เลาะเลี้ยวผ่านป่าในแถบอเมริกาใต้
  • 0:26 - 0:29
    การได้อ่านเรื่องของ มาร์เกซ เปรียบได้กับ
    ประสบการณ์ที่ทำให้คุณจะรู้สึกมวนท้องน้อย
  • 0:29 - 0:31
    สิ่งที่กระทบใจผมอย่างยิ่ง เกิดขึ้นในคาบการเรียน
  • 0:31 - 0:33
    หนึ่งของการอ่านนวนิยาย
  • 0:33 - 0:35
    ตอนนั้นผมรู้ตัวเลยว่า ผมถูกทำให้เคลิบเคลิ้มไปกับ
  • 0:35 - 0:38
    การเดินทางที่มีชีวิตชีวาเช่นครั้งนี้
  • 0:38 - 0:40
    โดยการแปล
  • 0:40 - 0:42
    ขณะนี้ ผมเรียนเอก
    วิชาการเปรียบเทียบวรรณคดีอยู่ในวิทยาลัย
  • 0:42 - 0:44
    วิชานี้คล้ายๆกับ การเรียนเอกภาษาอังกฤษ
  • 0:44 - 0:46
    แต่ ผมไม่ต้องถูกจำกัดให้อ่านเฉพาะหนังสือของโชเซอร์ นานถึงสามเดือน
  • 0:46 - 0:48
    พวกเราได้อ่าน บทแปลของสุดยอดวรรณคดีหลายเล่ม
  • 0:48 - 0:50
    จากทั่วโลก
  • 0:50 - 0:52
    และ สิ่งที่สำคัญเท่าๆกับ หนังสือเหล่านี้
  • 0:52 - 0:54
    ซึ่งคุณก็บอกได้ คือ
  • 0:54 - 0:56
    คุณคิดว่า คุณเสมือนกำลังอยู่ในสถานการณ์นั้นๆเอง
  • 0:56 - 0:58
    แต่ ความคิดอย่างนั้น มันนำใช้ไม่ได้กับ มาร์เกซ
  • 0:58 - 1:00
    ผู้ซึ่ง ครั้งหนึ่งเคยกล่าวชม
    นักแปลที่แปลงานเวอร์ชั่นแรกๆ ของเขา
  • 1:00 - 1:03
    ว่า แปลได้ดีกว่าต้นฉบับของเขาเองเสียอีก
  • 1:03 - 1:06
    ซึ่ง คำชมแบบนี้ ฟังดูแล้วรู้สึกแปลกๆ มากกว่า
  • 1:06 - 1:08
    เพราะอย่างนี้ ตอนที่ผมได้ยินว่า
    เกรกอรี่ ราบาสซ่า นักแปลคนหนึ่ง
  • 1:08 - 1:10
    ที่เคยเขียนหนังสือของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
  • 1:10 - 1:12
    ฉันแทบจะรอให้ได้อ่านไม่ไหว
  • 1:12 - 1:14
    มันถูกเรียกว่า การอ้างถึงสำนวนอิตาเลี่ยนที่เหมาะสม
  • 1:14 - 1:16
    ที่ผมหยิบยกเอามาจาก บทนำเรื่อง
  • 1:16 - 1:18
    "ถ้านี่คือการก่อกบฏ" ของเขา
  • 1:18 - 1:20
    เรื่องนี้เขียนได้ดี จนคุณวางไม่ลง
  • 1:20 - 1:22
    ผมขอแนะนำให้ทุกคนที่สนใจ
  • 1:22 - 1:24
    ในศิลปะการแปลได้อ่านกัน
  • 1:24 - 1:26
    แต่ เหตุผลจริงๆที่ผมทำให้พูดถึงมัน
  • 1:26 - 1:28
    คือว่า ก่อนหน้านี้ นาย ราบัซซา เคยเกริ่น
  • 1:28 - 1:32
    คมความคิด ที่ว่า
  • 1:32 - 1:34
    "ทุกๆ การแสดงออกของการสื่อสาร
  • 1:34 - 1:37
    มันคือ การแสดงออกของการแปล"
  • 1:37 - 1:40
    เอาล่ะ ทุกคนอาจจะเห็นว่าเรื่องนี้ใครๆก็รู้ ไม่เห็นแปลกเลย
  • 1:40 - 1:42
    แต่ สำหรับผม
  • 1:42 - 1:44
    ที่เผชิญหน้ากับเรื่องยากๆนี้
  • 1:44 - 1:46
    อยู่บ่อยๆในชีวิตประจำวัน
  • 1:46 - 1:49
    ผมยังไม่เคยเห็น สิ่งท้าทายที่ตามมากับการสื่อสาร
  • 1:49 - 1:51
    แบบชัดๆ เลยสักครั้ง
  • 1:51 - 1:53
    ตัวผมเอง นับตั้งแต่จำความได้
  • 1:53 - 1:55
    ก็คอยพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น อย่างมีสติ
  • 1:55 - 1:57
    การสื่อสารได้กลายมาเป็น จุดศูนย์รวมของสิ่งที่ผมรัก
  • 1:57 - 1:59
    แม้กระทั่ง ตอนยังเป็นเด็ก
  • 1:59 - 2:02
    ผมจำได้ ผมเคยคิดว่า สิ่งที่ผมต้องการจริงๆในชีวิต
  • 2:02 - 2:05
    คือ ความสามารถในการเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
  • 2:05 - 2:08
    จากนั้น ก็สามารถสื่อสารต่อให้คนอื่นๆได้รู้ด้วย
  • 2:08 - 2:11
    ผมไม่ได้พูดถึงปัญหาเรื่องปัจเจกบุคคลนะครับ
  • 2:11 - 2:13
    จะบอกให้ มันตลกสิ้นดี เมื่อ เดซี่ ภรรยาของผม
  • 2:13 - 2:15
    ผู้ซึ่งมาจากครอบครัวที่มีคนเป็นโรคจิตเภท เต็มไปหมด ---
  • 2:15 - 2:18
    ผมพูดจริงๆ
  • 2:18 - 2:22
    เธอเคยพูดกับผมว่า
    "คริส ฉันน่ะมีพี่ชายที่คิดว่าตัวเองพระเจ้าคนนึง
  • 2:22 - 2:24
    ก็พอแล้วนะ อย่าให้ต้องมีสามีที่คิดอย่างนั้น อีกเลย "
  • 2:24 - 2:26
    (เสียงหัวเราะ)
  • 2:26 - 2:28
    อย่างไรก็ตาม พอผมอายุย่างเข้า 20 กว่า
  • 2:28 - 2:30
    ผมก็ยิ่งตระหนักได้มากขึ้น ว่าความทะเยอทะยาน
  • 2:30 - 2:33
    ส่วนแรกที่ผมวาดไว้ในวัยเด็ก ถึงทำไม่ได้สักที
  • 2:33 - 2:35
    ซึ่งคำตอบน่าจะมาจากส่วนที่สอง ซึ่งก็คือ
  • 2:35 - 2:37
    การที่ผมไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่น ๆให้เข้าใจถึง
  • 2:37 - 2:39
    ความรู้ ใดๆก็ตาม ที่ผมมีได้
  • 2:39 - 2:42
    นั่นแหละผมว่า
  • 2:42 - 2:44
    ไม่ว่าจะครั้งไหนก็ตาม
  • 2:44 - 2:46
    ที่ผมเล่าเรื่อง ความเป็นจริงต่างๆอันยิ่งใหญ่
  • 2:46 - 2:48
    แบ่งปันให้กับผู้ฟัง
    ที่ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะอยากขอบคุณผมทีหลัง
  • 2:48 - 2:51
    ผมกลับได้รับผลลัพธ์ตรงกันข้าม
  • 2:51 - 2:53
    สิ่งที่น่าสนใจกว่า คือ
    เมื่อไรก็ตามที่คุณเริ่มพูดคุย ด้วยคำว่า
  • 2:53 - 2:55
    "พวกเธอ ฟังดีๆนะ
  • 2:55 - 2:59
    ผมกำลังจะให้ความรู้ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดกับพวกคุณล่ะนะ"
  • 2:59 - 3:01
    มันจะงงมาก ว่า คุณกลับรู้สึกได้ทันที
  • 3:01 - 3:04
    ถึงความเย็นยะเยือก พร้อมๆกันกับ
    โทสะที่เดือดพล่าน จากคนกลุ่มนั้น
  • 3:05 - 3:07
    ในที่สุด หลังจาก 10 ปี
  • 3:07 - 3:10
    ที่ผมถูกแปลกแยกจากเพื่อนๆและ
    จากคนแปลกหน้าสำหรับผม
  • 3:10 - 3:12
    ในที่สุดผมก็เข้าใจ
  • 3:12 - 3:15
    ได้เองถึง ความจริงส่วนบุคคล
  • 3:15 - 3:19
    ว่า เมื่อไรก็ตามที่ผมอยากจะสื่อสารกับคนอื่น
  • 3:19 - 3:21
    ให้รับรู้ถึงความคิดของผม
  • 3:21 - 3:23
    ผมจะต้องใช้วิธีอื่น
  • 3:23 - 3:26
    และ ตอนนั้นแหละที่ผมคิดถึง
    การเล่าเป็นเรื่องตลก
  • 3:26 - 3:29
    เพราะ พอทำให้เป็นเรื่องตลก
    คนจะรับรู้ได้ในคลื่นที่ต่างออกไป
  • 3:29 - 3:31
    ซึ่งได้จาก การใช้ภาษาในรูปแบบที่ต่างออกไป
  • 3:31 - 3:33
    ถ้าจะให้ผมอธิบายใหม่
  • 3:33 - 3:35
    ผมขอบอกว่า มันจะเป็นการสื่อสารในรูประหว่าง
  • 3:35 - 3:38
    การท่องบทกวี และ การเล่าเรื่องโกหก
  • 3:39 - 3:41
    เอ่อ ผมไม่ได้หมายถึง เรื่องตลกทุกประเภทนะครับ
  • 3:41 - 3:43
    ทุกคนรู้ว่า มีเรื่องขำขันมากมาย
  • 3:43 - 3:46
    ที่ถูกปรับแต่งสีสันให้ปลอดภัย
    และให้อยู่ในกรอบของสิ่งที่เราคิดและรู้สึก
  • 3:46 - 3:48
    สิ่งที่ผมต้องการจะพูดถึง
  • 3:48 - 3:51
    คือ การใช้ลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของ
    เรื่องตลก และ การประชดประชัน
  • 3:51 - 3:54
    ในการหาทางเลี่ยงให้คนรับรู้เรื่องๆหนึ่ง
    ในแง่มุมที่ต่างออกไปจากการรับรู้แบบเดิมๆได้
  • 3:54 - 3:57
    นี่คือ การใช้เรื่องตลก
    เสมือนเป็นการเล่นแร่แปรธาตุ นั่นเอง
  • 3:57 - 4:00
    คือ การที่เราใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมของเรา
    ให้เป็นสารโลหะพื้นฐาน
  • 4:00 - 4:02
    แล้ว แปลงความรู้นั้นให้เป็นเรื่องล้อเลียน
  • 4:02 - 4:04
    ให้กลายเป็น การมองเรื่องนั้นๆในมุมมองที่ต่างออกไป
  • 4:04 - 4:06
    และ เพื่อให้ท้ายที่สุด สามารถใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้
  • 4:06 - 4:08
    นี่แหละ คือ สิ่งที่ผมได้มา
  • 4:08 - 4:11
    จากหัวข้อของการประชุมนี้:
    สิ่งที่ได้รับ จากการแปล
  • 4:11 - 4:13
    สิ่งนี้ เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร
  • 4:13 - 4:15
    ที่ไม่เพียง แต่ทำให้ผู้คนเข้าใจกันดียิ่งขึ้น
  • 4:15 - 4:17
    แต่ มันเป็นสิ่งที่
  • 4:17 - 4:19
    จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
  • 4:19 - 4:21
    ซึ่งจากประสบการณ์ของผม
    มันหมายถึง การสื่อสาร
  • 4:21 - 4:24
    ที่เราจัดการได้ว่า เราจะคุยเพื่อที่จะขยายความ
  • 4:24 - 4:27
    แนวคิดของสิ่งที่เราสนใจออกไป
  • 4:27 - 4:29
    ตอนนี้ ใครๆก็รู้จักผม ในฐานะผมพูดเรื่องต่างๆ
    ที่อยู่ในความสนใจของสังคม
  • 4:29 - 4:31
    ก็เพราะเราทุกคนสนใจที่จะรู้
  • 4:31 - 4:33
    มันเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีพให้อยู่รอด
  • 4:33 - 4:36
    และนั่นก็อธิบายว่า
    ทำไมสิ่งนี้ถึงกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรา
  • 4:36 - 4:39
    และ ทำไมเรามักจะฟังเรื่องแบบนี้
  • 4:39 - 4:42
    และ ก็เพราะนั่นคือจุดที่
  • 4:42 - 4:44
    เวลาพูดถึงสิ่งที่ตัวเองสนใจ
  • 4:44 - 4:46
    เราจะเริ่มใช้ความสามารถทีี่มีอยู่ตอบสนอง
  • 4:46 - 4:49
    ใช้ความรับผิดชอบของเรา
  • 4:49 - 4:51
    ยื่นให้กับโลก
  • 4:51 - 4:54
    มาต่อกัน เรื่องที่พูดไปว่า การเล่าเรื่องตลก
    และ การประชดประชัน ที่ยอดเยี่ยมที่สุดนั้น
  • 4:54 - 4:56
    ผมหมายถึง งานที่ให้ความสำคัญที่สุด
  • 4:56 - 4:59
    กับความซื่อสัตย์ และ ความมีคุณธรรม
  • 4:59 - 5:01
    คุณลองนึกย้อนไปถึง
  • 5:01 - 5:04
    การแสดงล้อเลียน โดย ทิน่า เฟ (Tina Fey)
    ในรายการ Saturday Night Live
  • 5:04 - 5:06
    โดยเลียนแบบผู้ได้รับการเสนอชื่อ
    เข้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
  • 5:06 - 5:08
    ซาร่าห์ แพลิน (Sarah Palin)
  • 5:08 - 5:10
    การแสดงพวกนั้นสุดยอดมาก
  • 5:10 - 5:13
    เฟ บรรยายได้เหมือนกว่าพวกที่ชอบ
    แสดงความคิดเห็นทางการเมืองคนอื่นๆเสียอีก
  • 5:13 - 5:16
    เธอแสดงทำให้คนดูเห็นว่า ตัวผู้ท้าชิงเอง
    ยังขาดพื้นฐานของการทำงานอย่างจริงจัง
  • 5:16 - 5:18
    ตอกย้ำให้ คนดูประทับใจในสิ่ง
  • 5:18 - 5:21
    ที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงยึดถืออยู่ จนวันนี้
  • 5:21 - 5:23
    และ รายละเอียดสำคัญของเรื่องนี้
  • 5:23 - 5:25
    คือ เฟ ไม่ได้เป็น คนเขียนบทพูดพวกนั้นๆเอง
  • 5:25 - 5:27
    และก็ไม่ได้เขียนโดย นักเขียนบท ของ SNL ซะด้วย
  • 5:27 - 5:29
    บทเหล่านั้น ถูกหยิบยกมาใข้
  • 5:29 - 5:31
    จากคำกล่าวของ ซาร์ร่า แพลิน เองทั้งสิ้น
  • 5:31 - 5:35
    (เสียงหัวเราะ)
  • 5:35 - 5:37
    นี่คือ การล้อเลียนบทบาทการเป็น ซาร์ร่า แพลิน
  • 5:37 - 5:39
    ที่ก๊อปปี้คำพูด ทีละคำ จากปากของ แพลิน เอง
  • 5:39 - 5:41
    เกี่ยวเนื่องมากับความซื่อสัตย์ ความมีคุณธรรม
  • 5:41 - 5:43
    และ นั่นคือ สิ่งที่บอกเราว่า ทำไม ใครๆก็ยัง
  • 5:43 - 5:45
    ประทับใจกับการแสดงของ เฟ มิรู้ลืม
  • 5:45 - 5:48
    เมื่อเราการเมืองจากอีกแง่มุมหนึ่ง
  • 5:48 - 5:50
    ครั้งแรกที่ผมได้ยิน รัช ลิมบอจฮ์
  • 5:50 - 5:54
    เรียก จอห์น เอ็ดเวิร์ด ตัวเต็งว่าที่ประธานาธิบดีว่า
    Breck girl (นายแบบโฆษณาแชมพู Breck )
  • 5:54 - 5:57
    ผมรู้ในทันทีว่า รัช จะดังข้ามคืนด้วยคำพูดนี้
  • 5:57 - 5:59
    ไม่บ่อยนักที่ผมจะโยงคำว่า
  • 5:59 - 6:02
    ความซื่อสัตย์ และ ความมีคุณธรรมให้เข้ากับ ลิมบอจฮ์
  • 6:02 - 6:05
    แต่มันยากมากที่จะโต้แย้งกับคำพูดนี้
  • 6:05 - 6:07
    คำบรรยาย จับใจความไว้ครบ
  • 6:07 - 6:09
    ว่าจริงๆแล้วเอดเวิร์ดเป็นคนรักสวยรักงาม
  • 6:09 - 6:11
    ทายซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น
  • 6:11 - 6:13
    เรื่องนี้ ได้กลายเป็น ข้อบ่งชี้ถึงบุคลิกภาพที่กลายเป็น
  • 6:13 - 6:16
    เรื่องอื้อฉาวสำคัญนี้ทำให้เขาต้องจบชืวิตทางการเมืองไป
  • 6:18 - 6:20
    ตอนนี้ รายการ The Daily Show กับ จอห์น สจ๊วต
  • 6:20 - 6:22
    คือ ที่สุดของ ---
  • 6:22 - 6:27
    (เสียงปรบมือ)
  • 6:29 - 6:31
    (เสียงหัวเราะ)
  • 6:31 - 6:34
    ที่สุดของ ตัวอย่างบันทึกเรื่องราว
    ที่ดีที่สุดในรูปแบบการเล่าเรื่องตลก
  • 6:34 - 6:37
    ของประสิทธิผลของเรื่องตลกชนิดนี้
  • 6:37 - 6:39
    ผลการสำรวจหลายครั้ง
  • 6:39 - 6:42
    ทั้งจาก ผลวิจัยพิว จนถึง
    ศูนย์อันเนนเบริ์ก เพื่อการนโยบายสาธารณะ
  • 6:42 - 6:45
    พบว่า ผู้ชมรายการ Daily Show
    รับรู้ถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน ดีกว่า
  • 6:45 - 6:49
    ผู้ชมรายการของเครือข่ายทีวี
    และช่องข่าวเคเบิลทีวีรายใหญ่อื่นๆทั้งหมด
  • 6:49 - 6:52
    (เลียงปรบมือ)
  • 6:52 - 6:54
    เอาล่ะ ไม่ว่า เรื่องนี้จะ
  • 6:54 - 6:57
    กล่าวโยงถึงความไม่ลงรอยระหว่างความซื่อสัตย์
    กับการทำกำไร
  • 6:57 - 6:59
    ขององค์กรสื่อสารมวลชน
  • 6:59 - 7:01
    มากกว่า การบอกเล่าถึงจำนวนผู้ชมรายการของสจ๊วต
    หรือไม่ ก็ตาม
  • 7:01 - 7:03
    ประเด็นที่ใหญ่กว่านั้น ยังคงอยู่ที่
  • 7:03 - 7:05
    เนื้อหารายการของ สจ๊วต
  • 7:05 - 7:08
    ที่ยึดมั่นกับการนำเสนอรายการตามข้อเท็จจริง
  • 7:08 - 7:10
    ไม่ใช่ว่า เขาต้องการรายงาน ไม่ใช่เลย
  • 7:10 - 7:12
    ความตั้งใจของเขา คือ ทำให้สนุกสนาน
  • 7:12 - 7:15
    มันแค่เผอิญว่า ด้วยยี่ห้อชวนขำขันของสจ๊วต นั้น
  • 7:15 - 7:18
    คนดูจะไม่ตลกเลย เว้นเสียแต่ว่า ความจริงนั้นๆเป็นเรื่องจริง
  • 7:18 - 7:20
    แล้วคุณก็ได้ชม รายการตลกที่ฮาสุดๆ
  • 7:20 - 7:23
    ทั้งยังเป็นระบบการนำส่งข้อมูล
  • 7:23 - 7:26
    ที่ได้รับคะแนนนิยมสูง ทั้งในแง่ความน่าเชื่อถือ
    และ จำนวนผู้ชม
  • 7:26 - 7:29
    มากกว่า สื่อการข่าวมืออาชีพใดๆ
  • 7:29 - 7:31
    จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ถือเป็น เรื่องตลกร้ายสองเด้ง
  • 7:31 - 7:34
    เมื่อคุณคิดได้ว่า สิ่งที่ทำให้เรื่องตลก
  • 7:34 - 7:36
    สามารถทะลุผ่านกำแพงใจของผู้ชมได้
  • 7:36 - 7:39
    คือ การใช้วิธีบิดเบือนเรื่องอย่างจงใจ
  • 7:39 - 7:42
    เรื่องตลกที่ดีมากชิ้นหนึ่ง
    ซึ่งเป็น มายากลที่ใช้คำพูดเป็นเทคนิคพิเศษ
  • 7:42 - 7:44
    เมื่อคุณคิดว่า มันจะไปทางนั้น
  • 7:44 - 7:47
    ทันใดนั้น ตัวคุณเองกลับถูกส่งมาทางนี้
  • 7:47 - 7:49
    ที่ซึ่งนำเสนอความสุขทางจิตใจ
  • 7:49 - 7:51
    และตามมาด้วยการตอบสนองทางกายโดยการหัวเราะ
  • 7:51 - 7:53
    ซึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
  • 7:53 - 7:55
    ที่ร่างกายได้หลั่งเอ็นโดฟิน ในสมอง
  • 7:55 - 7:57
    ก็แค่นั้นแหล่ะ คุณได้ถูกชักจูงให้
  • 7:57 - 7:59
    มองสิ่งต่างๆด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไป
  • 7:59 - 8:02
    นั่นเป็นเพราะ เอ็นโดฟินลดความรู้สึกต่อต้านของคุณลง
  • 8:02 - 8:04
    สิ่งนี้ตรงข้ามสุดขั้ว
  • 8:04 - 8:06
    กับปฎิกิริยาของร่างกาย
    ต่ออาการ โกรธ กลัว และตื่นตระหนก
  • 8:06 - 8:09
    และ สัญชาติญาณดิบทั้งหมดของมนุษย์
  • 8:09 - 8:12
    สัญชาติญาณดิบหลั่งอะดรีนาลิน,
  • 8:12 - 8:14
    ที่ก่อให้กำแพงอารมณ์ของเรายิ่งสูงขึ้นไปอีก
  • 8:14 - 8:16
    และ เมื่อเราได้ยินเรื่องตลก
  • 8:16 - 8:18
    ที่ไปจับจุด เล่นกับหลายๆหัวข้อ
  • 8:18 - 8:20
    ที่คนมักออกอาการต่อต้านมากที่สุด -
  • 8:20 - 8:23
    เชื้อชาติ ศาสนา การเมือง เพศ -
  • 8:23 - 8:26
    เพียงแค่เข้าถึงโดยใช้อารมณ์ขัน
    แทนการทำให้ร่างกายหลั่งอะตรีนาลิน
  • 8:26 - 8:28
    ผลที่ได้รับ คือ เอ็นดอร์ฟิน
  • 8:28 - 8:31
    และ การใข้เสียงหัวเราะได้เปลี่ยนกำแพงทึบ
    ให้กลายเป็นหน้าต่าง
  • 8:31 - 8:34
    ที่เปิดออกให้เห็น แนวคิดใหม่ๆ
    และในมุมมองที่คาดไม่ถึง
  • 8:34 - 8:37
    ผมขอ ยกตัวอย่างการแสดงของผม
  • 8:37 - 8:39
    ผมมีข้อมูล
  • 8:39 - 8:41
    เกี่ยวกับ วาระการประชุมเกย์
  • 8:41 - 8:43
    ซึ่งเริ่มโดยถามว่า
  • 8:43 - 8:45
    วาระการประชุมนี้ น่าเชื่อถือแค่ไหน
  • 8:45 - 8:48
    เพราะจากที่ฉันพอจะบอกได้
    สามสิ่งที่เกย์ชาวอเมริกันอยากได้มากที่สุด
  • 8:48 - 8:51
    คือ เข้าร่วมในกองทัพ ได้แต่งงาน และ สร้างครอบครัว
  • 8:51 - 8:55
    (เสียงหัวเราะ)
  • 8:55 - 8:59
    ซึ่งเป็นสามเรื่องที่ผมหลีกเลี่ยงมาตลอดชีวิต
  • 8:59 - 9:01
    (เสียงหัวเราะ)
  • 9:01 - 9:04
    เอาไปเลยไอ้พวกหน่อมแน้ม
    เอาสนามรบไปเลย
  • 9:04 - 9:07
    (เสียงหัวเราะ)
  • 9:07 - 9:09
    และ ตามมาด้วยประโยคเหล่านี้
  • 9:09 - 9:11
    เกี่ยวกับเรื่องเกย์รับบุตรบุญธรรม
  • 9:11 - 9:13
    มีปัญหาอะไรกับการที่เกย์อยากรับลูกบุญธรรม
  • 9:13 - 9:15
    ทำไมถึงต้องเห็นไม่เห็นด้วยกันขนาดนี้
  • 9:15 - 9:18
    หากคุณมีลูก และ คุณคิดว่าลูกคุณเป็นเกย์
  • 9:18 - 9:20
    คุณควรมีสิทธิ์ ยกลูกให้คนอื่นไปเลี้ยงได้สิ
  • 9:20 - 9:22
    (เสียงหัวเราะ)
  • 9:22 - 9:24
    คุณให้กำเนิด สิ่งที่น่ารังเกียจออกมา
  • 9:24 - 9:27
    ก็เอามันออกไปจากบ้านของคุณสิ
  • 9:28 - 9:31
    การที่เรานำคำว่า "สิ่งที่น่ารังเกียจ" จากไบเบิล
  • 9:31 - 9:35
    มาแปะติดไปกับสิ่งบริสุทธ์ที่สุด
    ซึ่งก็คือ เด็กนี่
  • 9:35 - 9:37
    มุขนี้ ลัดวงจรอารมณ์ของผู้คนที่
  • 9:37 - 9:39
    กำลังโต้เถียงกัน
  • 9:39 - 9:42
    และสิ่งที่มันทิ้งให้แก่ผู้ชม ผ่านเสียงหัวเราะ
    คือ โอกาส
  • 9:42 - 9:44
    ที่ได้ตั้งคำถามกับตัวเอง
  • 9:44 - 9:46
    เทคนิคเบี่ยงเบนทิศทาง ไม่ได้ กลเม็ดเดียวที่
  • 9:46 - 9:48
    มีการใช้กันในการแสดงตลก
  • 9:48 - 9:50
    เศรษฐกิจของภาษา
  • 9:50 - 9:52
    เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ดีมากกับการแสดงตลกเจ๋งๆ
  • 9:52 - 9:54
    มีเพียงไม่กี่วลี
  • 9:54 - 9:57
    ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาของ ชื่อเรื่อง และ สัญลักษณ์
  • 9:57 - 9:59
    ที่ดียิ่งกว่า มุขตลกที่สมบูรณ์แบบ
  • 9:59 - 10:01
    บิล ฮิกส์ -- ถ้าคุณไม่รู้จักงานของเขาคนนี้
  • 10:01 - 10:03
    คุณควรไปใช้กูเกิ้ลซะนะ -
  • 10:03 - 10:05
    ฮิกส์มีกิจวัตรประจำวัน
  • 10:05 - 10:08
    อย่างหนึ่ง คือ ไปร่วมเป็นหนึ่งในการแข่งขันคุยโม้
    ของพวกเด็กๆในสนามเด็กเล่น
  • 10:08 - 10:10
    ที่ซึ่ง เด็กๆจะมาพูดกับเขาว่า
  • 10:10 - 10:13
    " พ่อของฉันจะชกพ่อแกให้กองลงไปเลย"
  • 10:13 - 10:15
    ซึ่งฮิกส์ ก็ตอบออกไปว่า
  • 10:15 - 10:17
    "จริงเหรอ? เมื่อไรละ"
  • 10:17 - 10:22
    (เสียงหัวเราะ)
  • 10:22 - 10:24
    นี่แหละการเล่าเรื่องสมัยเด็กๆ
  • 10:24 - 10:26
    ในสามคำ
  • 10:26 - 10:29
    (เสียงหัวเราะ)
  • 10:29 - 10:31
    ไม่ได้พูดถึงว่า มันสามารถเผยให้เรารู้เกี่ยวกับ
  • 10:31 - 10:33
    ผู้ใหญ่คนที่กำลังพูดเรื่องนี้
  • 10:33 - 10:35
    และ ตัวแปรสุดท้ายที่ทรงประสิทธิภาพ
  • 10:35 - 10:37
    เพื่อให้เรื่องตลกมีการสื่อสารกันได้
  • 10:37 - 10:39
    คือ มันสามารถถูกเล่าถึงกันปากต่อปาก
  • 10:39 - 10:41
    คนจะไม่มัวรอ
  • 10:41 - 10:43
    ที่จะแชร์มุขตลกใหม่ๆขำๆหรอก
  • 10:43 - 10:46
    นี่ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ในโลกที่เชื่อมโยงกัน อะไรเลย
  • 10:46 - 10:48
    เรื่องตลก ถูกส่งผ่านไปอีกประเทศหนึ่งได้
  • 10:48 - 10:50
    ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแล่บ
  • 10:50 - 10:52
    มานาน มาก่อนยุคอินเทอร์เนต โซเชียลมีเดีย
  • 10:52 - 10:54
    แม้แต่ เคเบิลทีวี เสียอีก
  • 10:54 - 10:56
    กลับใปปี 1980
  • 10:56 - 10:59
    เมื่อ ริชาร์ด ไพรเออร์ นักแสดงตลก
    เผอิญจุดไฟเผาตัวเอง
  • 10:59 - 11:01
    ระหว่างอุบัติเหตุตอนที่เขากำลังสูดโคเคน
  • 11:01 - 11:03
    ผมอยู่ที่ลอสแองเจลิส หนึีงวันหลังเกิดเรื่อง
  • 11:03 - 11:07
    ต่อมา ผมย้ายไปกรุงวอชิงตัน ดีซี
    ในอีกสองวันหลังจากนั้น
  • 11:07 - 11:10
    ผมก็ยังได้ยินมุขเดียวกัน จากทั้งสองฝั่งประเทศ -
  • 11:10 - 11:14
    คนพูดกันเรื่อง
    การจุดไฟเผากองทุน Negro College Fund
  • 11:14 - 11:18
    เห็นได้ชัดว่า มันไม่ได้ออกมาจากบทพูด
    ของรายการ Tonight Show
  • 11:18 - 11:20
    และ ผมเดา- โดยที่ผมไม่ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้-
  • 11:20 - 11:23
    ว่า ถ้าคุณสนใจจะมองย้อนกลับไปและทำวิจัยเรื่องนี้ได้
  • 11:23 - 11:25
    คุณจะพบว่า การเล่าเรื่องตลก
  • 11:25 - 11:27
    เป็นอาชีพเก่าแก่ที่ฮิตกันที่สุดอันดับสอง
  • 11:27 - 11:29
    เริ่มจาก การรัวกลอง
  • 11:29 - 11:31
    แล้ว มุขตลกเคาะประตู (Knock-knock)
  • 11:31 - 11:33
    (เสียงหัวเราะ)
  • 11:33 - 11:36
    แต่ เมื่อใดที่คุณรวมองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกัน -
  • 11:36 - 11:39
    เมื่อนั้น ตลกเรื่องนั้นจะได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย
  • 11:39 - 11:41
    ด้วยมุขตลกสุดเจ๋ง
  • 11:41 - 11:43
    ที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นจากความซื่อสัตย์และ ความมีคุณธรรม
  • 11:43 - 11:46
    มันสามารถสร้างผลกระทบได้จริง
  • 11:46 - 11:48
    ต่อการเปลี่ยนอารมณ์การสนทนา
  • 11:48 - 11:50
    ฉันมีเพื่อนสนิทชื่อ โจเอล เพทท์( Joel Pett)
  • 11:50 - 11:52
    เขาเป็น นักวาดการ์ตูนตลก
  • 11:52 - 11:54
    ให้กับ เล็กซิงตัน เฮอราลด์-ลีดเดอร์ (Lexington HeraldLeader)
  • 11:54 - 11:57
    ก่อนหน้านี้ เขาเคยทำงานกับ
    รายการ USA Today Monday morning
  • 11:57 - 11:59
    ผมไปเยี่ยมโจเอล
  • 11:59 - 12:02
    วันสุดสัปดาห์ก่อนที่ การประชุมในหัวข้อการเปลี่ยนแปลง
    ของสภาพอากาศโลกที่โคเปนเฮเกน จะเริ่มมีขึ้น
  • 12:02 - 12:04
    ในเดือนธันวาคมของปี 2009
  • 12:04 - 12:06
    โจเอล อธิบายให้ผมฟังว่า
  • 12:06 - 12:08
    เพราะ หนังสือพิมพ์ ยูเอสเอ ทูเดย์
  • 12:08 - 12:10
    เป็นหนึ่งในสี่ฉบับที่แจกให้
  • 12:10 - 12:14
    ให้ผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ได้อ่าน
    ใครๆก็สแกนดูมันได้หมด
  • 12:14 - 12:17
    ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าการ์ตูนของเขาได้รับการตีพิมพ์
  • 12:17 - 12:19
    ในวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันแรกของการประชุม
  • 12:19 - 12:21
    มันจะถูกส่งผ่านไปทั่ว
  • 12:21 - 12:24
    ไปจนถึง ระดับคนที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดจริงๆ-
  • 12:24 - 12:27
    เราเริ่มคุยกันเรื่องสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
  • 12:27 - 12:29
    แต่ กลับกลายเป็นว่า โจเอล และ ผม
  • 12:29 - 12:31
    ถูกทำให้รู้สึกเบื่อเพราะเรื่องเดียวกัน
  • 12:31 - 12:33
    ซึ่งก็คือ เรื่องที่ว่า การอภิปราย
  • 12:33 - 12:35
    เน้นอยู่แต่เรื่องทางวิทยาศาสตร์
  • 12:35 - 12:37
    และ ว่าแนวคิดที่ว่า เรื่องนั้นๆจะสำเร็จได้หรือไม่
  • 12:37 - 12:39
    ซึ่ง สำหรับเราทั้งสองคนแล้ว
  • 12:39 - 12:42
    มันดูตั้งใจจะหลุดประเด็น ไปหน่อย
  • 12:42 - 12:45
    เพราะ เรื่องแรกเลย คือ การเริ่มด้วยสันนิษฐานผิดๆที่ว่า
  • 12:45 - 12:49
    วิทยาศาสตร์ที่สมบูรณ์มีอยู่จริง
  • 12:49 - 12:52
    ตอนนี้ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส เพอร์รี่ ของผม ที่เพิ่งรับตำแหน่ง
  • 12:52 - 12:55
    ในช่วงหน้าร้อนปีที่แล้ว ก็ผลักดันในแนวทางเดียวกัน
  • 12:55 - 12:59
    ตั้งแต่ต้นของการรณรงค์หาเสียงที่ค่อนข้างโชคร้าย
    (oops-fated campaign)
  • 12:59 - 13:02
    เพื่อการสมัครเป็นตัวแทน
    ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน
  • 13:02 - 13:05
    เขาประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ว่าวิทยาศาสตร์ยังไม่สมบูรณ์
  • 13:05 - 13:08
    ในเวลาเดียวกันกับที่ 250 เขต
  • 13:08 - 13:11
    จาก 254 เขตในมณฑลรัฐเท็กซัส
  • 13:11 - 13:14
    กำลังถูกไฟไหม้ป่าโหม
  • 13:14 - 13:16
    และ นโยบายการแก้ปัญหาของ เพอร์รี่
  • 13:16 - 13:18
    คือ การขอให้คนเท็กซัส
  • 13:18 - 13:21
    ภาวนาให้ฝนตก
  • 13:21 - 13:23
    โดยส่วนตัว ผมสวดให้ไฟไหม้เพิ่มอีก 4 เขต
  • 13:23 - 13:26
    เราจะได้จบกันทีกับหลักวิทยาศาสตร์ห่วยๆนั่น
  • 13:26 - 13:31
    (เสียงหัวเราะ)
  • 13:31 - 13:33
    แต่เมื่อย้อนไปในปี 2009
  • 13:33 - 13:36
    คำถามที่โจเอล และผม นำกลับมาคุยกันเรื่อยๆ
  • 13:36 - 13:38
    คือ ทำไมมันถึงสายขนาดนี้
  • 13:38 - 13:41
    กับความพยายามอย่างมากที่จะพูดเรื่องวิทยาศาสตร์
  • 13:41 - 13:44
    ในขณะที่ นโยบายที่จำเป็น
    ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
  • 13:44 - 13:48
    ที่จะมีผลต่อมนุษยชาติในระยะยาว
    อย่างหาความสำคัญเทียบเท่ามิได้
  • 13:48 - 13:50
    โดยไม่ต้องสนใจเลยว่าวิทยาศาสตร์จะเป็นอย่างไร
  • 13:50 - 13:53
    เราคุยเรื่องนี้กลับมากลับไป จนกระทั่งโจเอลเสนอสิ่งนี้
  • 13:53 - 14:01
    รูปการ์ตูน: " ถ้าหากว่าทั้งหมดเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา
    ให้เราสร้างโลกที่ดีกว่าที่จะไม่ได้ประโยชน์เลย"
  • 14:01 - 14:04
    (เสียงหัวเราะ)
  • 14:04 - 14:06
    คุณต้องรักไอเดียนี้มาก
  • 14:06 - 14:13
    (เสียงปรบมือ)
  • 14:13 - 14:17
    คุณคิดว่ายังไงกับการให้เรามาสร้างโลกที่ดีกว่า
    เพื่อที่จะไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย
  • 14:17 - 14:20
    พระเจ้าก็ไม่ได้ ประเทศก็ไม่ได้ ผลกำไรก็ไม่มี --
  • 14:20 - 14:24
    ซึ่งก็คือ การใช้ตัวชี้วัดพื้นฐานสำหรับการตัดสินใจทั่วๆไป
  • 14:24 - 14:27
    แล้ว การ์ตูนเรื่องนี้ก็ยิงเข้าเป้า
  • 14:27 - 14:29
    เพียงไม่นาน หลังจากที่การประชุมยุติ
  • 14:29 - 14:31
    โจเอล ได้รับการแจ้งขอสำเนาพร้อมลายเซ็นต์
  • 14:31 - 14:33
    จาก หัวหน้าหน่วย EPA ใน กรุงวอชิงตัน
  • 14:33 - 14:35
    ที่แขวนมันไว้บนผนังห้อง
  • 14:35 - 14:38
    และไม่นานหลังจากนั้น เขาได้รับการแจ้งขอสำเนาอีก
  • 14:38 - 14:40
    จาก หัวหน้าหน่วย EPA ใน แคลิฟอร์เนีย
  • 14:40 - 14:43
    ที่เธอใส่มันเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนองาน
  • 14:43 - 14:46
    ที่ วาระการประชุมนานาชาติ เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
  • 14:46 - 14:48
    ใน แซคราเมนโต เมื่อปีที่ผ่านมา
  • 14:48 - 14:50
    และ ไม่จบเพียงแค่นั้น
  • 14:50 - 14:53
    ถึงวันนี้ โจเอลก็ยังได้รับการแจ้ง
    ขอสำเนาจากกลุ่มสิ่งแวดล้อม กว่า 40 แห่ง
  • 14:53 - 14:56
    ทั้งใน อเมริกา แคนาดา และยุโรป
  • 14:56 - 14:58
    และ เมื่อต้นปีนี้
  • 14:58 - 15:00
    เขาได้รับการแจ้งขอจากพรรคอนุรักษ์ในออสเตรเลีย
    (Green Party in Australia)
  • 15:00 - 15:02
    ที่ใช้มันในการรณรงค์หาเสียงของพวกเขา
  • 15:02 - 15:04
    มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปราย
  • 15:04 - 15:07
    ที่ส่งผลให้รัฐสภาออสเตรเลีย
  • 15:07 - 15:09
    มีมติรับในที่ประชุม ให้ข้อบังคับเรื่องภาษีคาร์บอนที่เข้มงวด
  • 15:09 - 15:12
    ที่สุดในโลก มีผลบังคับใช้
  • 15:12 - 15:17
    (เสียงปรบมือ)
  • 15:17 - 15:19
    หมัดนี้หนักจริงๆ
  • 15:19 - 15:22
    กับตัวหนังสือเพียง 14 คำ
  • 15:22 - 15:24
    คำแนะนำของผม ที่ให้แก่ คุณๆทั้งหลายที่
  • 15:24 - 15:27
    มุ่งมั่น จริงจัง กับการสร้างโลกที่ดีกว่านี้
  • 15:27 - 15:29
    คือ ให้สละเวลาเพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน
  • 15:29 - 15:32
    ไปหัดคิดอะไรที่มันตลกๆซะบ้าง
  • 15:32 - 15:35
    เพราะ คุณอาจเจอคำถามที่คุณกำลังมองหาอยู่ก็ได้นะ
  • 15:35 - 15:37
    ขอบคุณครับ
  • 15:37 - 15:39
    (เสียงปรบมือ)
Title:
คริส บริสส์ (Chris Bliss): เรื่องตลก คือ การแปลความ
Speaker:
Chris Bliss
Description:

การแสดงบทสื่อสารแต่ละท่วงท่า ในบางแง่นั้น เราอาจมองได้ว่ามันเป็นการแปลความ
บนเวที TEDxRainier นักเขียนนาม คริส บริสส์ ครุ่นคิดอย่างหนัก เกี่ยวกับ เรื่องที่ว่า เรื่องขำขันเจ๋งๆ สามารถแปลสัจธรรมที่ลึกซึ้ง ออกมาให้ผู้ชมจำนวนมากเข้าใจได้

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
15:39
Duangpenh Wattanaphradorn commented on Thai subtitles for Comedy is translation
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for Comedy is translation
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for Comedy is translation
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Comedy is translation
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Comedy is translation
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Comedy is translation
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Comedy is translation
Duangpenh Wattanaphradorn accepted Thai subtitles for Comedy is translation
Show all

Thai subtitles

Revisions