Return to Video

ทำไมผู้นำที่ดีจึงทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย

  • 0:01 - 0:03
    มีชายคนหนึ่งชื่อว่า ร้อยเอก
  • 0:03 - 0:06
    วิลเลี่ยม สเวนสัน
  • 0:06 - 0:09
    ไม่นานมานี้ เขาเพิ่งได้รับ
    เหรียญกล้าหาญจากรัฐบาล
  • 0:09 - 0:14
    จากการกระทำของเขา
    เมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2009
  • 0:14 - 0:16
    วันนั้น กองกำลังอเมริกัน
  • 0:16 - 0:17
    และอัฟกานิสถาน
  • 0:17 - 0:19
    กำลังเคลื่อนพล
  • 0:19 - 0:22
    ผ่านดินแดนส่วนหนึ่งของอัฟกานิสถาน
  • 0:22 - 0:25
    เพื่อช่วยปกป้อง
  • 0:25 - 0:26
    กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐบาล
  • 0:26 - 0:28
    เจ้าหน้าที่รัฐบาลอัฟกานิสถาน
  • 0:28 - 0:30
    ที่จะไปพบปะกับผู้สูงอายุ
  • 0:30 - 0:32
    ในหมู่บ้านต่างๆ
  • 0:32 - 0:34
    กองทหารดังกล่าวถูกซุ่มโจมตี
  • 0:34 - 0:36
    และถูกล้อมจากสามทิศทาง
  • 0:36 - 0:39
    และท่ามกลางความวุ่นวายนั้น
  • 0:39 - 0:41
    มีคนเห็นร้อยเอกสเวนสัน
  • 0:41 - 0:43
    วิ่งฝ่าห่ากระสุน
  • 0:43 - 0:44
    เข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ
  • 0:44 - 0:48
    และแบกศพผู้เสียชีวิตออกมา
  • 0:48 - 0:51
    ทหารที่เขาช่วยชีวิตคนหนึ่งเป็นนายสิบ
  • 0:51 - 0:54
    ร้อยเอกสเวนสันกับเพื่อนทหารอีกนายหนึ่ง
  • 0:54 - 0:56
    พาเขาไปที่เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงผู้บาดเจ็บ
  • 0:56 - 0:58
    สิ่งน่าทึ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นก็คือ
  • 0:58 - 1:00
    ด้วยความบังเอิญอย่างยิ่ง
  • 1:00 - 1:02
    ที่เจ้าหน้าที่กู้ชีพคนหนึ่ง
  • 1:02 - 1:04
    มีกล้องวิดีโอติดอยู่ที่หมวก
  • 1:04 - 1:09
    และจับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้ได้
  • 1:09 - 1:12
    เป็นภาพร้อยเอกสเวนสัน
    และเพื่อนทหารอีกคน
  • 1:12 - 1:13
    กำลังประคองนายทหารบาดเจ็บ
  • 1:13 - 1:18
    มีแผลถูกยิงที่ลำคอ
  • 1:18 - 1:22
    เขาช่วยกันลำเลียงนายทหาร
    ขึ้นเฮลิคอปเตอร์
  • 1:22 - 1:26
    แล้วเราก็เห็นร้อยเอกสเวนสันโน้มตัวลงไป
  • 1:26 - 1:28
    จูบหน้าผากนายทหารคนนั้น
  • 1:28 - 1:33
    ก่อนที่เขาจะหันกลับออกไป
    ช่วยคนอื่นต่อ
  • 1:33 - 1:36
    ผมเห็นวิดีโอนี้ และคิดกับตัวเองว่า
  • 1:36 - 1:39
    คนแบบนี้มาจากไหนกันนะ
  • 1:39 - 1:42
    มันคืออะไรกัน มันคืออารมณ์ลึกๆ
  • 1:42 - 1:44
    ที่ทำให้คุณอยากทำแบบนั้น
  • 1:44 - 1:46
    มีความรักอยู่ในนั้น
  • 1:46 - 1:48
    แล้วผมก็สงสัยด้วยว่า
  • 1:48 - 1:50
    ทำไมผมไม่มีเพื่อนร่วมงานแบบนั้นบ้าง
  • 1:50 - 1:52
    ในวงการทหาร เขามอบเหรียญกล้าหาญ
  • 1:52 - 1:55
    แก่คนที่ยินดีเสียสละตนเอง
  • 1:55 - 1:56
    เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
  • 1:56 - 1:58
    ในวงการธุรกิจ เราให้โบนัส
  • 1:58 - 2:00
    แก่คนที่พร้อมยอมทำร้ายคนอื่น
  • 2:00 - 2:01
    เพื่อผลประโยชน์ต่อตัวเอง
  • 2:01 - 2:05
    มันกลับหัวกลับหางกันใช่ไหมครับ
  • 2:05 - 2:07
    ผมเลยถามตัวเองว่า
    คนแบบนี้มาจากไหนกัน
  • 2:07 - 2:10
    ตอนแรกข้อสรุปของผมคือ
    เขาคงเป็นคนที่ดีกว่า
  • 2:10 - 2:12
    นั่นทำให้เขาอยากเป็นทหาร
  • 2:12 - 2:13
    คนที่ดีกว่าเหล่านี้ยินดี
  • 2:13 - 2:16
    ที่จะได้บริการผู้อื่น
  • 2:16 - 2:17
    แต่ข้อสรุปนั้นผิดโดยสิ้นเชิง
  • 2:17 - 2:20
    สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ
    มันเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมต่างหาก
  • 2:20 - 2:22
    ถ้าเราสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี
  • 2:22 - 2:24
    พวกเราทุกคนต่างมีศักยภาพ
  • 2:24 - 2:25
    ที่จะทำสิ่งที่น่าทึ่งเหล่านี้ได้
  • 2:25 - 2:28
    ที่สำคัญกว่านั้น
    คนอื่นๆ ก็มีศักยภาพเช่นกัน
  • 2:28 - 2:31
    ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้พบกับ
  • 2:31 - 2:34
    คนเหล่านี้ ที่เราเรียกว่าวีรบุรุษ
  • 2:34 - 2:36
    คนที่ยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเอง
  • 2:36 - 2:37
    เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น
  • 2:37 - 2:40
    ผมถามเขาว่า คุณจะทำไปทำไม
  • 2:40 - 2:42
    คุณทำไปทำไมกัน
  • 2:42 - 2:44
    ทุกคนตอบเหมือนกัน คือ
  • 2:44 - 2:47
    "เพราะถ้าเป็นเขา
    เขาก็จะทำอย่างนี้เพื่อฉันเหมือนกัน"
  • 2:47 - 2:50
    มันคือความร่วมไม้ร่วมมือ
    และความรู้สึกไว้วางใจอย่างลึกซึ้ง
  • 2:50 - 2:52
    ดังนั้น ความไว้วางใจ
    และความร่วมมือจึงสำคัญมาก
  • 2:52 - 2:55
    ปัญหาของความไว้วางใจ
    และความร่วมมือคือ
  • 2:55 - 2:58
    มันเป็นความรู้สึก ไม่ใช่การทำตามคำสั่ง
  • 2:58 - 3:01
    แค่ผมพูดว่า "ไว้ใจผมสิ"
    คงไม่อาจทำให้คุณไว้ใจผมได้
  • 3:01 - 3:04
    แค่สั่งให้คนสองคนร่วมมือกัน
    และเขาจะทำตาม คงไม่ได้
  • 3:04 - 3:06
    มันทำอย่างนั้นไม่ได้
    มันเป็นความรู้สึกต่างหาก
  • 3:06 - 3:09
    แล้วความรู้สึกนี้มันมาจากไหนล่ะ
  • 3:09 - 3:11
    ถ้าคุณย้อนกลับไป 50,000 ปี
  • 3:11 - 3:12
    ในยุคหิน
  • 3:12 - 3:14
    ยุคต้นๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์
  • 3:14 - 3:16
    เราจะพบกับโลก
  • 3:16 - 3:18
    ที่เต็มไปด้วยอันตราย
  • 3:18 - 3:23
    แรงกระทำจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้
    พยายามเข่นฆ่าเรา
  • 3:23 - 3:24
    ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล
  • 3:24 - 3:27
    อาจจะเป็นอากาศ
  • 3:27 - 3:28
    การขาดแคลนทรัพยากร
  • 3:28 - 3:30
    หรือเสือเขี้ยวดาบ
  • 3:30 - 3:31
    อันตรายทุกอย่างเหล่านี้
  • 3:31 - 3:33
    ทำให้อายุขัยเราสั้นลง
  • 3:33 - 3:35
    เราจึงมีวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์สังคม
  • 3:35 - 3:37
    ใช้ชีวิตและทำงานร่วมกัน
  • 3:37 - 3:41
    ในวงล้อมของความปลอดภัย
  • 3:41 - 3:43
    ในเผ่าพันธ์ุที่เราเป็นสมาชิก
  • 3:43 - 3:46
    และเมื่อเรารู้สึกปลอดภัย
  • 3:46 - 3:49
    ปฏิกิริยาธรรมชาติที่เกิดขึ้น
    คือความไว้วางใจและการร่วมมือ
  • 3:49 - 3:50
    ซึ่งมีประโยชน์มหาศาล
  • 3:50 - 3:52
    นั่นคือผมจะนอนหลับตอนกลางคืน
  • 3:52 - 3:55
    โดยวางใจได้ว่าบางคนในเผ่า
    จะเฝ้าระวังภัยให้
  • 3:55 - 3:58
    ถ้าเราไม่ไว้วางใจกัน ถ้าผมไม่ไว้ใจคุณ
  • 3:58 - 3:59
    นั่นหมายความถึง
    คุณคงไม่ระวังเฝ้าภัยให้ผม
  • 3:59 - 4:01
    เป็นระบบที่แย่มากต่อการอยู่รอด
  • 4:01 - 4:04
    ในโลกสมัยใหม่ก็เหมือนกัน
  • 4:04 - 4:05
    โลกเต็มไปด้วยอันตราย
  • 4:05 - 4:07
    สิ่งที่คอยขัดขวางชีวิตเรา
  • 4:07 - 4:08
    หรือลดทอนความสำเร็จ
  • 4:08 - 4:10
    ลดอกาสประสบความสำเร็จ
  • 4:10 - 4:12
    อาจจะเป็นความผันผวนทางเศรษฐกิจ
  • 4:12 - 4:15
    ความไม่แน่นอนของตลาดหุ้น
  • 4:15 - 4:16
    หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้
  • 4:16 - 4:18
    โมเดลธุรกิจของคุณล้าสมัยในชั่วข้ามคืน
  • 4:18 - 4:20
    หรืออาจจะเป็นคู่แข่งของคุณ
  • 4:20 - 4:22
    ที่บางทีพยายามจะฆ่าคุณ
  • 4:22 - 4:24
    ทำให้บริษัทคุณเจ๊ง
  • 4:24 - 4:26
    หรืออย่างน้อยที่สุด
  • 4:26 - 4:28
    ก็พยายามอย่างหนัก
    ที่จะขัดขวางไม่ให้คุณเจริญ
  • 4:28 - 4:31
    และแย่งส่วนแบ่งทางธุรกิจไปจากคุณ
  • 4:31 - 4:32
    เราไม่มีอำนาจความคุมสิ่งเหล่านี้
  • 4:32 - 4:34
    มันเป็นค่าคงที่
  • 4:34 - 4:36
    ซึ่งจะไม่หายไปไหน
  • 4:36 - 4:38
    ตัวแปรเดียวที่เราเปลี่ยนได้
  • 4:38 - 4:40
    คือสภาพแวดล้อมในองค์กร
  • 4:40 - 4:42
    และนั่นคือจุดที่ผู้นำมีบทบาทสำคัญมาก
  • 4:42 - 4:45
    เพราะผู้นำคือผู้สร้างบรรยายกาศในองค์กร
  • 4:45 - 4:47
    เมื่อผู้นำเลือกให้ความสำคัญ
  • 4:47 - 4:49
    แก่ความปลอดภัยและชีวิต
  • 4:49 - 4:51
    ของคนในองค์กรเป็นอันดับต้น
  • 4:51 - 4:54
    ยอมสละความสบาย
  • 4:54 - 4:58
    และผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม
    เพื่อให้คนอื่น
  • 4:58 - 4:59
    รู้สึกปลอดภัย
    และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
  • 4:59 - 5:02
    สิ่งที่น่าทึ่งก็เกิดขึ้นได้
  • 5:02 - 5:05
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง
    ผมเดินทางโดยเครื่องบิน
  • 5:05 - 5:07
    ผมได้เห็นเหตุการณ์
  • 5:07 - 5:09
    ที่ผู้โดยสารคนหนึ่งพยายามจะขึ้นเครื่อง
  • 5:09 - 5:13
    ก่อนที่พนักงานจะเรียกหมายเลขแถวของเขา
  • 5:13 - 5:15
    ผมเห็นเจ้าหน้าที่หน้าประตู
  • 5:15 - 5:18
    ปฏิบัติต่อเขาราวกับเขาทำผิดกฎหมาย
  • 5:18 - 5:19
    เหมือนอาชญากร
  • 5:19 - 5:21
    เขาถูกตะคอกที่พยายามขึ้นเครื่อง
  • 5:21 - 5:23
    ก่อนถึงคิวของแถวที่เขานั่ง
  • 5:23 - 5:25
    ผมเลยพูดขึ้นมาว่า
  • 5:25 - 5:27
    "ทำไมคุณต้องทำเหมือนเราเป็นวัวควาย
  • 5:27 - 5:30
    คุณปฏิบัติต่อเราเหมือนมนุษย์
    ไม่ได้หรือไงครับ"
  • 5:30 - 5:33
    และนี่คือคำตอบของเธอ
  • 5:33 - 5:35
    เธอบอกว่า "คุณคะ ถ้าฉันไม่ทำตามกฎ
  • 5:35 - 5:38
    ฉันก็จะเจอปัญหา หรือตกงานได้"
  • 5:38 - 5:40
    สิ่งที่เธอบอกผมคือ
  • 5:40 - 5:42
    เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย
  • 5:42 - 5:44
    สิ่งที่เธอบอกผมมันแปลว่า
  • 5:44 - 5:47
    เธอไม่ไว้วางใจผู้นำของเธอ
  • 5:47 - 5:50
    เหตุผลที่เราชอบบินกับ
    สายการบินเซาธ์เวสต์ แอร์ไลน์ส
  • 5:50 - 5:52
    ไม่ใช่เพราะเขาจ้างคนที่ดีกว่ามาทำงาน
  • 5:52 - 5:55
    แต่เพราะคนเหล่านี้เขาไม่กลัวผู้นำของเขา
  • 5:55 - 5:57
    คุณเห็นไหม ถ้าเงื่อนไขในสภาพแวดล้อมไม่ดี
  • 5:57 - 6:00
    เราก็ถูกบังคับให้ใช้เวลาและพลังงาน
  • 6:00 - 6:02
    เพื่อปกป้องตัวเราเองจากคนอื่น
  • 6:02 - 6:06
    และการทำอย่างนั้นเอง
    ก็ทำให้องค์กรอ่อนแอลง
  • 6:06 - 6:07
    เมื่อเรารู้สึกว่าอยู่ในองค์กรแล้วปลอดภัย
  • 6:07 - 6:10
    เราจะผนวกพรสวรรค์
    และจุดแข็งของเรา
  • 6:10 - 6:12
    เข้าด้วยกันและทำงาน
    อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
  • 6:12 - 6:13
    เพื่อร่วมกันเผชิญหน้ากับอันตรายภายนอก
  • 6:13 - 6:17
    และคว้าโอกาสดีๆ ต่างๆ
  • 6:17 - 6:18
    อุปมาที่ใกล้เคียงที่สุด
  • 6:18 - 6:21
    ที่นำมาเปรียบกับผู้นำที่ดี ก็คือพ่อแม่
  • 6:21 - 6:23
    ถ้าคุณคิดดูว่าพ่อแม่ที่ดีเป็นอย่างไร
  • 6:23 - 6:25
    คุณต้องการอะไร อะไรทำให้คุณเป็นพ่อแม่ที่ดี
  • 6:25 - 6:26
    เราต้องการให้โอกาสแก่ลูกๆ ของเรา
  • 6:26 - 6:29
    ให้การศึกษา
    การอบรมและลงโทษเมื่อจำเป็น
  • 6:29 - 6:31
    ทั้งหมดก็เพื่อให้เขาเติบโตขึ้น
  • 6:31 - 6:33
    และประสบความสำเร็จยิ่งกว่าเรา
  • 6:33 - 6:35
    ผู้นำที่ดีก็ต้องการสิ่งเหล่านี้เช่นกัน
  • 6:35 - 6:37
    เขาให้โอกาสคนของเขา
  • 6:37 - 6:38
    ให้การศึกษา
    การอบรมและลงโทษเมื่อจำเป็น
  • 6:38 - 6:41
    สร้างให้เขามีความเชื่อมั่นในตนเอง
    และให้โอกาสเขาได้ทดลองและล้มเหลว
  • 6:41 - 6:43
    ทั้งหมดก็เพื่อให้คนของเรา
  • 6:43 - 6:48
    ประสบความสำเร็จ
    ยิ่งกว่าที่เราเคยคิดว่าเราทำได้
  • 6:48 - 6:51
    ชาร์ลี คิม ซีอีโอของบริษัทชื่อเน็กซ์ จัมพ์
  • 6:51 - 6:53
    ในนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี
  • 6:53 - 6:55
    กล่าวไว้ว่า
  • 6:55 - 6:57
    ถ้าครอบครัวคุณเกิดปัญหาทางการเงิน
  • 6:57 - 7:00
    คุณจะคิดไล่ลูกสักคนหนึ่ง
    ออกจากครอบครัวไหม
  • 7:00 - 7:02
    เราไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก
  • 7:02 - 7:04
    แล้วทำไมเราถึงคิดจะ
  • 7:04 - 7:05
    ไล่คนในบริษัทเราออก
  • 7:05 - 7:08
    ชาร์ลีใช้นโยบาย
  • 7:08 - 7:10
    การจ้างงานตลอดชีวิต
  • 7:10 - 7:12
    ถ้าคุณได้งานที่เน็กซ์ จัมพ์
  • 7:12 - 7:15
    คุณจะไม่มีวันถูกไล่ออกด้วยเรื่องผลงาน
  • 7:15 - 7:17
    ที่จริง ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องผลงาน
  • 7:17 - 7:20
    เขาจะฝึก สอน และให้การสนับสนุนคุณ
  • 7:20 - 7:22
    เหมือนกับที่เราทำกับลูกของเรา
  • 7:22 - 7:24
    เมื่อกลับจากโรงเรียนมาพร้อมเกรด C
  • 7:24 - 7:25
    นี่ตรงกันข้ามกับบริษัทต่างๆ เลย
  • 7:25 - 7:27
    เป็นเหตุผลที่คนจำนวนมาก
  • 7:27 - 7:31
    รู้สึกโกรธแค้นฝังใจ
  • 7:31 - 7:33
    ต่อพวกซีอีโอของสถาบันการเงินต่างๆ
  • 7:33 - 7:36
    ที่มีโครงสร้างได้รายได้และโบนัสไม่สมสัดส่วน
  • 7:36 - 7:38
    ไม่ใช่เพราะตัวเลขของเงินที่เขาได้
  • 7:38 - 7:41
    แต่เพราะเขาทำผิดต่อ
    คำนิยามของความเป็นผู้นำ
  • 7:41 - 7:43
    ซีอีโอพวกนี้
    ละเมิดข้อตกลงทางสังคมที่หยั่งรากลึก
  • 7:43 - 7:45
    เราเห็นว่าเขายอมให้คนของเขาถูกสังเวย
  • 7:45 - 7:48
    เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเขาเอง
  • 7:48 - 7:51
    หรือที่แย่กว่านั้น เขาเองนั่นแหละ
    ที่สังเวยคนของตัวเอง
  • 7:51 - 7:52
    เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน
  • 7:52 - 7:55
    นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราโกรธแค้น
    ไม่ใช่จำนวนเงินที่เขาได้รับ
  • 7:55 - 7:57
    จะมีใครไม่พอใจไหม
  • 7:57 - 7:59
    ถ้าเรามอบเงินโบนัสให้คานธี
    150 ล้านดอลลาร์
  • 7:59 - 8:02
    หรือ 250 ล้านดอลลาร์แก่แม่ชีเทเรซา
  • 8:02 - 8:05
    เราจะมีปัญหาไหม ไม่เลย
  • 8:05 - 8:06
    ไม่เลยสักนิด
  • 8:06 - 8:09
    ผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะไม่มีวันสังเวย
  • 8:09 - 8:10
    คนของตัวเองเพื่อปกป้องตัวเลขการเงิน
  • 8:10 - 8:12
    เขาจะยอมเสียสละตัวเลขการเงิน
  • 8:12 - 8:15
    เพื่อรักษาคนของเขาเอาไว้
  • 8:15 - 8:16
    บ๊อบ แชพแมน
  • 8:16 - 8:19
    เจ้าของบริษัทผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่
    ในแถบมิดเวสต์ของอเมริกา
  • 8:19 - 8:21
    ชื่อบริษัทแบรี่ เวห์มิลเลอร์
  • 8:21 - 8:26
    ในปี ค.ศ. 2008 บริษัทของเขาถูกกระทบ
    อย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย
  • 8:26 - 8:30
    คำสั่งซื้อลดลง 30 เปอร์เซ็นด์ในชั่วข้ามคืน
  • 8:30 - 8:32
    สำหรับบริษัทผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่
  • 8:32 - 8:33
    นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก
  • 8:33 - 8:36
    บริษัทไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างให้พนักงานทั้งหมด
  • 8:36 - 8:38
    เขาต้องประหยัดเงินให้ได้ 10 ล้านดอลลาร์
  • 8:38 - 8:40
    เช่นเดียวกับบริษัททั่วไปในปัจจุบัน
  • 8:40 - 8:43
    บอร์ดบริหารมาคุยกันเรื่องการเลิกจ้าง
  • 8:43 - 8:45
    บ๊อบปฏิเสธ
  • 8:45 - 8:49
    คุณเห็นไหม บ๊อบไม่เชื่อ
    เรื่องการนับ "หัว" พนักงาน
  • 8:49 - 8:53
    เขาเชื่อในการนับ "หัวใจ"
  • 8:53 - 8:55
    และมันก็ยากที่อยู่ดีๆ จะไปตัดลด
  • 8:55 - 8:57
    จำนวนหัวใจลง
  • 8:57 - 9:00
    เขาเลยคิดโครงการพักงานขึ้นมา
  • 9:00 - 9:02
    พนักงานทุกคน ตั้งแต่เลขาถึงซีอีโอ
  • 9:02 - 9:05
    ต้องลาพักร้อนโดยไม่รับเงินเดือน
    เป็นเวลารวมสี่สัปดาห์
  • 9:05 - 9:07
    แต่ละคนจะเลือกลาเมื่อไหร่ก็ได้
  • 9:07 - 9:10
    ไม่จำเป็นต้องลาติดต่อกัน
  • 9:10 - 9:12
    แต่วิธีการอธิบายของบ๊อบ
    เมื่อเขาประกาศใช้โครงการนี้
  • 9:12 - 9:14
    มีความหมายสูงมาก
  • 9:14 - 9:16
    เขาพูดว่า เราทุกคนลำบากกันคนละนิด
  • 9:16 - 9:19
    ดีกว่าให้ใครบางคน
    ต้องลำบากแสนสาหัสอยู่คนเดียว
  • 9:19 - 9:22
    ขวัญกำลังใจของพนักงานเพิ่มขึ้น
  • 9:22 - 9:25
    บริษัทประหยัดเงินได้ 20 ล้านดอลลาร์
  • 9:25 - 9:27
    ที่สำคัญที่สุด ซึ่งเราคงคาดเดาได้
  • 9:27 - 9:31
    เมื่อคนรู้สึกปลอดภัยและได้รับการปกป้อง
    โดยผู้นำและองค์การ
  • 9:31 - 9:33
    ปฏิกิริยาธรรมชาติที่ตามมาคือ
    การไว้วางใจและร่วมมือ
  • 9:33 - 9:36
    แล้วสิ่งที่เกิดตามมาโดยไม่มีใครคาดคิด
  • 9:36 - 9:38
    คือผู้คนเริ่มแลกวันลากันเอง
  • 9:38 - 9:39
    ใครที่ไม่เดือดร้อนมาก
  • 9:39 - 9:41
    ก็จะแลกวันลากับคนที่เดือดร้อนมากกว่า
  • 9:41 - 9:43
    โดยยอมลาห้าสัปดาห์
  • 9:43 - 9:47
    เพื่อให้บางคนลาแค่สามสัปดาห์
  • 9:47 - 9:50
    การเป็นผู้นำคือทางเลือก ไม่ใช่ตำแหน่ง
  • 9:50 - 9:52
    ผมรู้จักคนหลายคนที่อยู่ในตำแหน่ง
  • 9:52 - 9:53
    สูงสุดในองค์การ
  • 9:53 - 9:54
    แต่ไม่ได้มีความเป็นผู้นำเลย
  • 9:54 - 9:57
    เขาเป็นผู้มีอำนาจ
    และเราต้องทำตามคำสั่งเขา
  • 9:57 - 10:00
    เพราะเขามีอำนาจเหนือเรา
  • 10:00 - 10:02
    แต่เราไม่อยากเดินตามเขา
  • 10:02 - 10:04
    และผมก็รู้จักคนอีกหลายคน
  • 10:04 - 10:05
    ที่มีตำแหน่งล่างๆ ในองค์กร
  • 10:05 - 10:07
    ซึ่งไม่มีอำนาจ
  • 10:07 - 10:09
    แต่มีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง
  • 10:09 - 10:10
    เพราะว่าเขาเลือกที่จะดูแล
  • 10:10 - 10:12
    คนที่อยู่ทางซ้ายของเขา
  • 10:12 - 10:13
    และเลือกที่จะดูแล
  • 10:13 - 10:15
    คนที่อยู่ทางขวาของเขา
  • 10:15 - 10:20
    นั่นแหละคือผู้นำ
  • 10:20 - 10:23
    ผมเคยได้ยินเรื่องเล่า
  • 10:23 - 10:24
    เกี่ยวกับทหารเรือกลุ่มหนึ่ง
  • 10:24 - 10:28
    ที่จะออกไปทำสงคราม
  • 10:28 - 10:30
    และตามธรรมเนียมทหารเรือ
  • 10:30 - 10:32
    หัวหน้าจะกินอาหารทีหลัง
  • 10:32 - 10:35
    ให้ผู้ใต้บังคับบัญชากินก่อน
  • 10:35 - 10:37
    เมื่อทุกคนกินเสร็จ
  • 10:37 - 10:41
    ปรากฏว่าไม่มีอาหารเหลือแล้ว
  • 10:41 - 10:44
    เมื่อพวกเขากลับออกไปรบในสนามรบ
  • 10:44 - 10:47
    ผู้ใต้บังคับบัญชาพากันเอาอาหารของตัวเอง
  • 10:47 - 10:49
    มาให้หัวหน้ากิน
  • 10:49 - 10:51
    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
  • 10:51 - 10:54
    เราเรียกเขาว่าผู้นำ
    เพราะเขานำไปก่อนเป็นคนแรก
  • 10:54 - 10:55
    เราเรียกเขาว่าผู้นำ
    เพราะเขายอมรับความเสี่ยง
  • 10:55 - 10:57
    ก่อนใครอื่นทั้งหมด
  • 10:57 - 10:59
    เราเรียกเขาว่าผู้นำ
    เพราะเขาจะเลือก
  • 10:59 - 11:01
    เสียสละ เพื่อให้คนของเขา
  • 11:01 - 11:03
    ปลอดภัย ได้รับการปกป้อง
  • 11:03 - 11:04
    และได้ประโยชน์
  • 11:04 - 11:07
    เมื่อผู้นำทำสิ่งเหล่านี้
    การตอบสนองตามธรรมชาติ
  • 11:07 - 11:11
    ก็คือ คนของเราก็จะยอมเสียสละเพื่อเรา
  • 11:11 - 11:14
    พวกเขาจะยอมทำงานด้วยเลือด
    หยาดเหงื่อ และน้ำตา
  • 11:14 - 11:17
    เพื่อให้ได้เห็นวิสัยทัศน์ของผู้นำเป็นจริงขึ้นมา
  • 11:17 - 11:20
    และเมื่อเราถามว่า "คุณทำไปทำไม
  • 11:20 - 11:22
    ทำไมคุณจึงทุ่มเทเลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตา
  • 11:22 - 11:27
    เพื่อคนคนนั้น"
    พวกเขาตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
  • 11:27 - 11:30
    "เพราะถ้าเป็นเขา
    เขาก็จะทำอย่างนั้นเพื่อฉันเหมือนกัน"
  • 11:30 - 11:31
    และนั่นคือองค์กร
  • 11:31 - 11:34
    แบบที่เราทุกคนอยากทำงานด้วย
    ไม่ใช่หรือครับ
  • 11:34 - 11:36
    ขอบคุณมากครับ
  • 11:36 - 11:40
    ขอบคุณ (เสียงปรบมือ)
  • 11:40 - 11:42
    ขอบคุณ (เสียงปรบมือ)
Title:
ทำไมผู้นำที่ดีจึงทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย
Speaker:
ไซมอน ซิเน็ค
Description:

ผู้นำที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร นักทฤษฎีการจัดการ ไซมอน ซิเน็ค เสนอว่า ผู้นำที่ดีคือคนที่ทำให้ลูกน้องรู้สึกมั่นคง และดึงลูกน้องเข้ามาในวงของความไว้วางใจ แต่การสร้างความไว้วางใจและความรู้สึกปลอดภัย โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนนั้น ย่อมหมายถึงการยอมแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
11:59

Thai subtitles

Revisions