-
ช่วงนี้มีการจัดคอร์ส จัดมาหลายวันแล้ว
-
จัดคอร์สมันก็มีข้อดีมีข้อเสีย
-
จัดคอร์ส
ข้อดีก็คือบางคนไม่เคยรู้เรื่องเลย
-
แต่นั่งฟัง จะหาวิธีปฏิบัติ
-
อีกพวกหนึ่งเป็นพวกเรื้อรัง
-
เรียนมานาน ฟังมานาน
-
แต่ทำ ทำบ้างไม่ทำบ้าง
-
นานๆ ก็เฉื่อย ไปเข้าคอร์ส
ก็คึกคักขึ้นมาทีหนึ่ง
-
ก็มีข้อดี
-
ข้อเสียก็มี
-
เข้าคอร์สบางทีเราฟังผู้ช่วยสอนหลายคน
-
แต่ละคนจะสอนในแง่มุมที่ไม่เหมือนกัน
-
เพราะจริงๆ แล้วการปฏิบัตินั้น
-
มันไม่มีมาตรฐาน มันทางใครทางมัน
-
ถ้าอยู่ในหลักของการทำสมถกรรมฐาน
-
วิปัสสนากรรมฐาน ก็ถูกหลัก
-
แต่พอถึงขั้นวิธีการ
-
ไม่มีใครเหมือนใคร ทางใครทางคนนั้น
-
เราฟังหลายๆ ทางเข้า บางทีงง
-
มีตัวอย่างให้เห็นเหมือนกัน
-
บางคนเรียนกับผู้ช่วยสอนคนหนึ่ง
ไม่รู้เรื่อง ฟุ้ง
-
ชอบทำกิจกรรมอย่างเดียว
-
หลวงพ่อทนดูไม่ได้ เรียกให้มาเดินจงกรม
-
เดินอยู่นั่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม
-
หามรุ่งหามค่ำเลย
-
จิตก็มีกำลังขึ้นมา
-
ก็ไปเข้าคอร์ส ได้ยินผู้ช่วยสอนบอกว่า
-
จิตมีสมาธิแล้วให้เดินปัญญา
-
รีบเดินปัญญาก็เละเลย
-
พอเริ่มเดินปัญญาปุ๊บ จิตฟุ้งซ่าน
-
แก้แทบจะไม่ได้เลย แก้ไม่ตก
-
บางทีการเรียนกับหลายๆ คน
-
มันก็ทำให้คน
ที่ยังไม่ได้รากฐานที่แข็งแรง
-
ก็สับสนเหมือนกัน อันนี้ก็เป็นจุดอ่อน
-
ที่จริงหลวงพ่ออยากให้แต่ละคนมีสมุดคู่มือ
-
จดมา ผู้ช่วยสอนคนนี้เขาสอนอะไร
-
แล้วเราเอาไปถามคนอื่น
ต้องเอาอันนี้ไปให้เขาดูด้วย
-
เหมือนโรงพยาบาล
-
นึกออกไหม ที่โรงพยาบาล
-
หมออาจจะไม่ใช่คนเก่า
-
แต่เขาต้องรู้ว่าคนเก่ารักษามาอย่างไร
-
ไม่อย่างนั้นรักษาดีไม่ดีตาย
-
คนนี้ทำอย่างนี้ คนนี้ทำอย่างนี้ สับสน
-
แต่มันทำยาก
-
ถ้ามันมี Record ได้
มันก็จะสะดวกกับผู้ช่วยสอน
-
แต่ใครจะเป็นคน Record
-
ให้เจ้าตัว Record ผู้ช่วยสอนสอนอย่างนี้
-
มันก็ไปจดอีกอย่างหนึ่ง
-
มันตีความเพี้ยนตลอด
-
เพราะธรรมะพอเข้าไปอยู่ในจิตปุถุชน
-
กลายเป็นของปลอมทันทีเลย
-
อย่างหลวงพ่อเห็นบ่อยๆ
-
ชอบมาอ้างว่าหลวงพ่อสอนอย่างนี้
หลวงพ่อสอนอย่างนี้
-
มันเก็บประเด็นได้ไม่หมด
-
ไปจับได้จุดเล็กๆ อะไรอย่างนี้
-
บางทีไม่ใช่จุดสำคัญ แล้วไปจดไปจำเอาไว้
-
แล้วบอกหลวงพ่อสอนอย่างนี้
-
หลวงพ่อเมื่อก่อนมีบ่อย
-
หลวงพ่อบอกไม่ต้องทำสมาธิ
-
สอนอย่างนี้ครูบาอาจารย์ได้ยินตกใจเลย
-
เฮ้ย ปราโมทย์สอนอย่างไร ไม่ให้ทำสมาธิ
-
ไอ้คนนั้นมันทำมิจฉาสมาธิ
-
นั่งเพ่งเอาจนเครียดไปหมดเลย
-
แล้วบอกจะต่อสู้ด้วยความเพียร
-
จะบรรลุมรรคผลได้ด้วยความเพียร
-
เพียรผิดจะไปเพียรทำไม
-
เลยบอก เฮ้ย ที่ทำอยู่ผิด
-
หยุดก่อนเลย ยังไม่ต้องทำ เริ่มต้นใหม่
-
ตรงเริ่มต้นใหม่ไม่จำ
-
ไปจำตรงที่บอกว่าหยุดไปเลย
-
แล้วก็เอาไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง
-
ครูบาอาจารย์ท่านก็งง ปราโมทย์สอนอย่างไร
-
บอกไม่ต้องทำสมาธิ
-
ที่จริงที่หลวงพ่อสอนพวกเรานี้
-
เป็นการทำสมาธิที่เข้มงวดมากเลย
-
ส่วนใหญ่ที่เขาสอนกัน
เป็นแค่รูปแบบของการทำสมาธิ
-
ไปนั่งสมาธิหายใจก็หายใจพร้อมกัน
-
ทำจังหวะก็ทำจังหวะเหมือนกัน
-
ดูท้องพองยุบก็ดูเหมือนๆ กันหมด
-
เดินจงกรมก็เดินพร้อมๆ กัน
-
ส่วนใหญ่เขาสอนอย่างนั้น
-
ว่าไปแล้วสอนอย่างนั้นมันก็ดี
-
พวกขี้เกียจมันจะได้ทำ
-
แต่โอกาสได้ผลไม่มากหรอก
-
เพราะจริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน
จะไปสอนเหมือนๆ กัน
-
ไม่ได้ผลหรอก
-
ดีไม่ดีก็เพี้ยนเหมือนกันหมด
-
กรรมฐานต้องรู้หลัก จับหลักให้แม่นก่อน
-
เราต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา
-
ตั้งใจรักษาศีลให้ดี
-
ฝึกสมาธิ สมาธิมี 2 ส่วน
-
มิจฉาสมาธิไม่ประกอบด้วยสติ
-
สัมมาสมาธิประกอบด้วยสติ
-
สัมมาสมาธิก็มีอีก 2 แบบ
-
อารัมมณูปนิชฌาน
จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
-
มีสมาธิ มีความรู้สึกตัว มีสติ
-
แต่สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
-
เรียกอารัมมณูปนิชฌาน
-
อารัมมะก็คืออารมณ์นั่นล่ะ
-
จิตมันเพ่งแน่วอยู่กับอารมณ์
-
สิ่งที่ได้ก็คือได้ความสุข
ได้ความสงบ ได้กำลังใจ
-
แล้วก็มีเรี่ยวมีแรงที่จะเจริญปัญญาต่อไป
-
แต่อารัมมณูปนิชฌาน
เอาไปเจริญปัญญาไม่ได้
-
มีสมาธิอีกชนิดหนึ่งเรียกลักขณูปนิชฌาน
-
เป็นสมาธิที่สามารถเห็นไตรลักษณ์ได้
-
สภาวะอันนี้ครูบาอาจารย์วัดป่า
-
วัดป่าท่านเรียกว่าจิตผู้รู้
-
จิตที่ทรงสมาธิที่ใช้
เดินปัญญาได้เป็นจิตผู้รู้
-
ไม่ใช่ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง
-
แต่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
-
จิตผู้รู้นั้นเราไม่ได้ปรุงขึ้นมา
-
เราทำกรรมฐานไป
-
แล้วเราคอยรู้เท่าทันจิตตัวเอง
-
อันนี้ก็เป็นวิธีหนึ่ง
-
อีกวิธีหนึ่งทำมาด้วยการทำฌานที่ถูกต้อง
-
ประกอบด้วยสติ
-
อันนี้หลวงพ่อไม่ค่อยได้สอน
สอนบางคนเท่านั้น
-
เพราะคนรุ่นนี้เป็นพวกสมาธิสั้น
-
ก็เลยสอนกรรมฐาน
สำหรับสมาธิสั้นเป็นส่วนใหญ่
-
ไปทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง
-
ไม่มีอะไรดีอะไรเลวกว่ากัน
-
แต่ทำแล้วคอยรู้ทันจิตใจตัวเองไป
-
เรียนรู้จิตตัวเองไปเรื่อยๆ
เรียกว่าจิตตสิกขา
-
อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
แล้วจิตเราหนีไปคิด รู้ทัน
-
จิตมันจะตั้งมั่นอัตโนมัติ
-
หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ มีสติรู้ทัน
-
มันจะสังเกตไป โอ้ มันไหลไปที่ลมหายใจ
-
เพราะมันมีความอยาก
-
มันอยากดี อยากปฏิบัติ
-
พอรู้ทันความอยาก ความอยากดับ การเพ่งก็ดับ
-
จิตก็จะตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
-
ฉะนั้นเวลาหลงไปแล้วเรามีสติรู้
-
จิตจะเป็นผู้รู้ทันที
-
แต่ตอนเพ่งอยู่แล้วรู้ว่าเพ่ง บางทีไม่หาย
-
ต้องรู้ลึกลงไปถึงกิเลส
ที่ซ่อนอยู่หลังการเพ่ง
-
ก็คือตัวตัณหา ตัวอยากดีก็เลยไปเพ่ง
-
ถ้ารู้ถึงตัณหา ตัณหาดับปุ๊บ การเพ่งก็ดับ
-
การเพ่งดับ ความอึดอัด
ขัดข้อง แน่น ก็จะหายไป
-
ถ้าเราฝึกชำนิชำนาญในจิตของเรา
-
เราต้องการให้จิตสงบ เราก็ทำได้
-
เราต้องการให้จิตเราตั้งมั่นก็ทำได้
-
ทำได้อย่างไร
-
ที่จริงไม่มีใครทำได้หรอก
-
แต่รู้ทันตรงที่ผิด
-
ตรงที่ผิดของการฝึกสมาธิมี 2 อันหลักๆ
-
อันหนึ่งหลงไป อันหนึ่งถลำลงไปเพ่ง
-
ถ้าหลงไป เรารู้ทันว่าหลง
-
หลงดับ รู้ก็เกิด
-
ถ้าเพ่งอยู่รู้ว่าเพ่ง บางทีไม่หาย
-
ให้รู้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง ที่เพ่งเพราะอะไร
-
เพราะอยากปฏิบัติ
-
อยากรู้ อยากเห็น
อยากเป็น อยากได้ อยากดี
-
พอรู้ทันความอยากมันก็ดับ
-
เมื่อความอยากดับ
-
การเพ่งซึ่งเป็นผลผลิตของความอยากก็ดับ
-
เมื่อการเพ่งดับ
-
จิตก็จะกลายเป็น
ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา
-
อันนี้สำหรับคนไม่ได้เล่นฌาน
-
ถ้าคนเล่นฌานเป็นอีกแบบหนึ่งเลย
-
พูดไปก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก
-
หลวงพ่อไม่ได้ฝึกอย่างนี้
-
แต่เดิมหลวงพ่อฝึกนั่งสมาธิเอา
จนได้ตัวผู้รู้ขึ้นมา
-
ฉะนั้นตัวผู้รู้ของหลวงพ่อ
จะแข็งแรงกว่าพวกเราเยอะ
-
แข็งแรงกว่ากันมาก
-
ครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่สิม
-
ท่านเจอหลวงพ่อ ท่านไม่รู้จักชื่อ
-
ท่านเรียกหลวงพ่อว่าผู้รู้
-
เพราะจิตหลวงพ่อไม่ใช่ผู้หลง
-
เราฝึกของเรามาตั้งแต่เด็ก
-
ของพวกเราทำไม่ได้ ก็ใช้ฝึก
-
สมาธิเป็นขณะๆ เรียกขณิกสมาธิ
-
ทำกรรมฐานไป
-
จิตหลงไปคิด รู้ทัน
จิตหลงไปเพ่ง รู้ทัน
-
ถ้ารู้แล้วหายก็ดี
-
ถ้ารู้แล้วไม่หาย ก็รู้ลึกลงไปอีก
-
มันเพ่งเพราะมันอยากดี มันอยากปฏิบัติ
-
พอรู้ทันอยาก อยากดับ
-
การเพ่งก็ดับ จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา
-
ฉะนั้นสมาธิก็มีหลายแบบ
-
บทเรียนที่หนึ่ง
-
อธิสีลสิกขา ตั้งใจรักษาศีล 5 ข้อไว้ก่อน
-
เป็นพระก็ต้องรักษาศีล 5
-
หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยจวกลูกศิษย์บางองค์
-
บอกอวดว่ามีศีล 227 แต่ไม่ถือศีล 5
-
คนนี้ที่ถูกท่านดุ สุดท้ายอยู่ไม่ได้ สึกไป
-
ก่อนจะสึกเที่ยวหลอกลวงผู้คน
-
จนเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่เลย
-
หลอกคนโน้น หลอกคนนี้ไป เติบโตขึ้นไป
-
สุดท้ายกรรมตัดรอนอยู่ไม่ได้ สึก
-
คนนี้หลวงปู่บอกไม่ได้ถือศีล 5
-
เมื่อก่อนหลวงพ่อเข้าใจผิด
-
ตอนหลวงพ่อไปเรียนกับครูบาอาจารย์
-
ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อเข้าไปหา
ล้วนแต่พระดีทั้งนั้นเลย
-
จนเราเกิดความหลงผิด
โอ้ พระกรรมฐานนี้ดีทุกองค์
-
อันนี้เป็นความหลงผิด
-
กว่าจะหายหลงผิดมาบวชอยู่พักใหญ่แล้ว
ถึงรู้ว่าไม่ใช่หรอก
-
บางพวกก็เล่นคุณไสย
บางพวกก็หลอกชาวบ้าน
-
หลอกโน้น หลอกนี้
-
คนก็นึกว่าพระอรหันต์ ที่จริงเป็นพระอรหิว
-
หิวตลอด เราดูให้ดีเถอะ
-
พระอรหันต์ไม่หิว
-
ถ้าหิวไม่ใช่พระอรหันต์หรอก
สังเกตให้ดีเถอะ
-
วิธีดูที่ง่ายๆ
-
อยากได้โน้น อยากได้นี้ ไม่ใช่หรอก
-
พวกเราก็จะโง่ ตกเป็นเหยื่อ
-
อันแรกถือศีล
-
ตั้งใจไว้ก่อนว่าเราจะรักษาศีล 5
-
ตั้งใจไว้ทุกวัน วันละหลายๆ รอบ
-
ได้วันละ 5 ครั้งก็ดี
-
ตอนตื่นนอน ตอนกินข้าวเช้า
-
ข้าวกลางวัน ข้าวเย็น ตอนก่อนนอน
-
ตั้งใจไว้เรื่อยๆ
-
เตือนตัวเองไป ว่าเราจะต้องรักษาศีล 5
-
พอเตือนบ่อยๆ จิตใจมันจำได้
เวลามันจะทำผิดศีล
-
มันจะรู้ตัวขึ้นมา
-
เฮ้ย นี่มันจะผิดศีลแล้ว
-
เสียทั้งอธิษฐานบารมี
-
เสียทั้งสัจจบารมี
-
เสียไปหมดเลย ขันติอะไรไม่มี
-
มันจะค่อยๆ เห็น
-
แล้วต่อไปเวลาอยากทำผิดศีล มันละอายใจ
-
แล้วมันก็กลัวผลของการที่จะทำผิดศีล
-
เราเกิดหิริโอตัปปะ
-
นี้เป็นธรรมโลกบาล ธรรมคุ้มครองโลก
-
ถ้าเราทำได้ มีหิริโอตัปปะได้ ถือศีล 5 ไว้
-
โอกาสไปเป็นเทวดาสูงมาก
-
ฉะนั้นตั้งใจ
-
นอกจากเรื่องศีล ก็เรื่องสมาธิ
-
แยกแยะให้ออก มิจฉาสมาธิไม่มีสติ
-
รู้โน้นรู้นี้ เห็นโน้นเห็นนี้
-
ไม่เห็นอันเดียวคือใจตัวเอง
-
สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่มีสติ
-
มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งทำไปเพื่อความสงบ
-
น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว
ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง
-
สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง
-
แต่พอเราอยู่ในอารมณ์อันเดียว
ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง
-
จิตมันสงบเอง
-
เพราะความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ
-
สมาธิอีกอันหนึ่งที่ถูกต้อง มีสติอยู่
-
เป็นสมาธิที่จะเห็นไตรลักษณ์ได้
-
ไม่ได้น้อมจิตไปอยู่ที่อารมณ์
-
แต่มีอารมณ์เป็นเครื่องสังเกตจิต
-
อันที่ 1 นั้นน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์
-
อย่างรู้ลมหายใจ
-
รู้ลมหายใจ
-
แล้วจิตไปแนบอยู่กับลมหายใจ สงบ สบาย
-
นี้อันหนึ่ง
-
ลมหายใจเป็นตัวหลัก
-
สมาธิที่ถูกอันที่ 2 จิตเป็นตัวหลัก
-
เพราะฉะนั้นเราทำกรรมฐานไป
-
มีอารมณ์กรรมฐานเหมือนเดิมนั่นล่ะ
-
แต่รู้ทันจิตตัวเอง
-
ไม่ใช่น้อมจิตไปอยู่ที่อารมณ์
-
อย่างหลวงพ่อใช้หายใจเอา
-
พอหายใจไปแล้ว จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ทัน
-
จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ทัน
-
จิตเป็นตัวเอก ถึงเรียกว่าอธิจิตตสิกขา
-
ทำได้อย่างนี้ถึงจะใช้ได้
-
พอจิตเราขยับเขยื้อน เราเห็น
-
เคลื่อนไปคิดก็รู้ เคลื่อนไปเพ่งก็รู้
-
ฝึกให้ชำนิชำนาญ
-
จนกระทั่งสามารถเห็นได้อัตโนมัติ
-
เมื่อเราสามารถเห็น
จิตมันทำงานได้อัตโนมัติแล้ว
-
การภาวนาจะง่ายแล้ว
-
จิตเราตั้งมั่นแล้ว
-
เมื่อก่อนหลวงพ่อเข้าใจผิด
-
เพราะหลวงพ่อทำ
จิตให้ตั้งมั่นได้ตั้งแต่ 10 ขวบ
-
แล้วก็คิดว่าคนทั้งโลก จิตเขาก็เหมือนเรา
-
ก็เลยภาวนา รู้สึก แหม มันง่าย
-
ไม่เห็นทำอะไรเลย
-
รู้กายรู้ใจ เห็นกายเห็นใจมันทำงานไปเรื่อยๆ
-
ไม่เข้าไปแทรกแซง
-
ไม่เห็นยากตรงไหนเลย
-
อย่างโกรธ
-
ใจเราโกรธ เรารู้ว่าใจเราโกรธ ไม่เห็นยากเลย
-
แต่พอมาเห็นพวกเรามากเข้าๆ รู้สึก โอ้
-
มันยากตรงที่จิตมันไม่ตั้งมั่น
-
เวลาโกรธ ใจไปอยู่ที่คนที่ทำให้โกรธ
-
เวลารัก ใจไปอยู่ที่คนที่เรารัก
-
ไม่เห็นว่าใจกำลังรัก
-
มันผิดกันนิดเดียวเท่านี้เอง
-
ผิดกันนิดเดียว
-
แต่หน้ามือเป็นหลังเท้าเลย
เปลี่ยนคนละโลกเลย
-
เหมือนเหวกับท้องฟ้าเลย
-
ระหว่างหลงกับรู้
-
ทั้งๆ ที่มันนิดเดียว คาบเส้นนิดเดียวเอง
-
แล้วตัวรู้เราก็ไม่รักษา
-
เราพบว่าตัวรู้นี้ไร้น้ำหนัก
บางเฉียบ เงียบกริบ
-
ถ้าเราบอกเรามีตัวรู้ แต่ใจเราหนักๆ
-
อันนี้ไม่ใช่หรอก
-
ถ้ามีตัวรู้แล้วก็รู้สึก แหม รู้ยาว
-
ไม่ใช่หรอก
-
มันรู้บางเฉียบนิดเดียว ชั่วขณะเดียว
-
เป็นขณะๆๆ ไป
-
แล้วบอกมีสมาธิอยู่ ข้างในพูดจ๋อยๆๆๆ
-
ไม่เงียบเลย พูดไม่เลิกเลย
-
ฉะนั้นตัวจิตผู้รู้จริงๆ
-
ไร้น้ำหนัก บางเฉียบ เงียบกริบ
-
ไม่พูด ไม่วิพากษ์วิจารณ์
-
รู้สภาวธรรมที่กำลังมีกำลังเป็น
-
อย่างที่มันมี อย่างที่มันเป็น
-
ตรงตัวจิตผู้รู้นี้ มีองค์ธรรมประกอบหลายตัว
-
1 มีสัมมาสมาธิ
ความตั้งมั่นโดยที่ไม่ได้รักษา
-
อันที่สอง มีสัมมาสติ
-
สติระลึกรู้อะไร เราเลือกไม่ได้
-
สติก็เป็นอนัตตา
-
บางทีก็รู้รูป รู้เสียง
รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส
-
รู้ธรรมารมณ์ เรื่องราวต่างๆ ในใจ
-
แต่สติระลึกรู้อะไรก็ไม่เป็นไร
-
แต่จิตตั้งมั่นไม่ไหลไปในสิ่งที่เรารู้
-
ตัวนี้ล่ะที่พวกเราทำไม่ค่อยได้
-
เห็นดอกไม้ จิตไหลไปอยู่ที่ดอกไม้
-
ได้ยินเสียง จิตไหลไปฟังเสียง
-
ไม่เคยเห็นว่าจิตไหลไป
แล้วจะเอาดีได้อย่างไร
-
เพราะจิตไม่ตั้งมั่น
-
ถ้าอยากให้จิตตั้งมั่น
-
ทำกรรมฐานไป แล้วคอยรู้ทันจิตที่ไหล
-
ไม่ใช่ทำกรรมฐานแล้ว ห้ามไม่ให้จิตไหล
-
ห้ามไม่ให้จิตไหล
-
จะเพ่ง เพ่งจิต
-
จิตที่เราไปเพ่งไว้ มันไหลเรียบร้อยแล้ว
-
มันไหลไปไหน มันไหลไปจ้องจิต
-
ยังมีการไปการมา การเคลื่อนที่
-
ยังไม่ได้เรื่อง
-
เราต้องฝึก ทุกวันตั้งใจถือศีล 5 ไว้
-
วันหนึ่งตั้งใจไว้ 5 รอบได้ยิ่งดี
-
มุสลิมเขาละหมาดวันละ 5 ครั้ง
-
เราตั้งใจถือศีล 5 วันละ 5 ครั้ง
มันจะตายให้มันรู้ไป
-
ทุกวันทำในรูปแบบ
-
ฝึกจิตใจของเราเข้มแข็ง
-
ขี้เกียจ ขี้เกียจได้ไหม ได้
-
ท้อได้ไหม ได้
-
แต่ขี้เกียจก็ไม่เลิก ท้อก็ไม่เลิก
-
ถึงเวลาต้องปฏิบัติทำในรูปแบบ
-
เมื่อวานหรือวานซืน
-
ฝากคุณแม่ไป คุณแม่ไปสอนที่คอร์ส
-
คุณแม่บอกพวกนี้พวกเก่าๆ ให้ทำอะไร
-
บอกไปบอกเลยว่า
ให้เดินจงกรมวันละ 3 ชั่วโมง
-
ทำได้แล้วค่อยมาว่ากัน
-
ทำไม่ได้ ไปเกิดชาติหน้าเอา
-
ไม่มีทางหรอก
-
แค่นี้ก็ไม่กล้าแล้ว แค่นี้ก็กลัวแล้ว
-
บางคนได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนี้ สำนึก
-
แล้วใจนี้อ่อนยวบลงไปเลย
-
แต่ใจอ่อนยวบเฉยๆ ยังไม่ได้คิดสู้
-
ต้องสู้
-
ถึงเวลาแบ่งเวลาไว้เลย
-
สมมติเราไม่มีเวลา ภาวนาวันละ 3 ชั่วโมง
-
ตื่นนอนมาเอามันเสีย 1 ชั่วโมง
-
กลางวันเก็บมันทุก 5 นาที
-
5 นาทีทุกๆ ชั่วโมง
-
1 ชั่วโมงเก็บ 5 นาที ได้ชั่วโมงแล้ว
-
กลางคืนภาวนาอีกสักชั่วโมง
ชั่วโมงครึ่งอะไรอย่างนี้
-
เท่ากับวันหนึ่งเราภาวนาได้ 3 ชั่วโมงกว่า
-
เอาให้ได้ ฝึก
-
ถ้าแค่นี้ไม่ได้จะไปข้ามวัฏฏะได้อย่างไร
-
ข้ามวัฏฏะได้ บอกดีไหม
-
เดี๋ยวจะฝ่อเสียอีก
-
ต้องเอาชีวิตเข้าแลก
-
ครูบาอาจารย์สอนนิพพานอยู่ฟากตาย
-
ถ้ายังรักตัวกลัวตายอยู่
-
ก็ได้ธรรมะขั้นต้นๆ ก็ยังดี สะสมไป
-
ได้โสดาบัน สกทาคามีอะไรอย่างนี้
-
ฉะนั้นถึงเวลาทำในรูปแบบ
-
สังเกตตัวเอง วันนี้ใจฟุ้งซ่าน
-
น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว
ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง
-
วันนี้ฟุ้งซ่านก็พักผ่อน
-
ให้จิตไปพักอยู่ในอารมณ์ที่มีความสุข
-
อย่างหลวงพ่อหายใจเข้าพุทออกโธแล้วมีความสุข
-
หลวงพ่อเวลาจะพัก
-
หลวงพ่อก็ไปอยู่กับหายใจเข้าพุทออกโธ
-
เมื่อก่อนเวลาหลวงพ่อจะเดินปัญญา
-
หลวงพ่อเห็นความไหวที่กลางอก
-
เกิดดับๆ อยู่ที่กลางอก ยิบยับๆๆ
-
บางทีถ้าแรงก็เคลื่อน
-
ถ้าไม่แรงก็ไหวยิบยับๆ อยู่อย่างนี้
-
หลวงพ่อก็ดูตัวนี้เอง
-
ก็เห็นมันเกิดดับตลอดเวลา เห็น โอ้
-
ตาเห็นรูปจิตก็ไหว หูได้ยินเสียงจิตก็ไหว
-
จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส
-
กายกระทบสัมผัส
ใจกระทบความคิด จิตก็ไหว
-
เห็นมันไหวๆๆ ที่ไหวๆ นี้
-
บางทีก็ปรุงดี บางทีก็ปรุงชั่ว
-
บางทีก็ปรุงสุข บางทีก็ปรุงทุกข์
-
มันเริ่มมาจากที่ไหวๆ อยู่กลางอกนี่ล่ะ
-
แล้วก็ผุดขึ้นมา
-
เหมือนกับมันเป็นราก
-
เป็นราก เป็นหัวของต้นไม้
-
มันมีหัวอยู่ใต้ดิน ฝังอยู่
-
ถึงเวลาที่เหมาะที่ควร ก็งอกขึ้นมา
-
งอกขึ้นมาเป็นราคะ เป็นโทสะ เป็นโมหะ
-
พองอกขึ้นมา
-
มีใบ มีกิ่งก้าน หากินได้
-
หัวมันก็ยิ่งใหญ่ขึ้น หัวมันยิ่งโตขึ้น
-
แต่ถ้าราคะหรือโทสะ
-
มันงอกต้นขึ้นมาจากกลางอกเรานี้
-
ตัวนี้เป็นอนุสัย มันงอกขึ้นมา
-
พอออกใบเล็กๆ สติเราเห็น
-
เหมือนเราตัดยอดมัน
-
ตัดมันไปเรื่อยๆ
-
หัวมันจะค่อยๆ ฝ่อ
-
มันสูญเสียพลังงาน
เสียอาหารของมันไปเรื่อยๆ
-
ในการที่จะงอกแต่ละครั้ง
-
สุดท้ายมันงอกไม่ได้ มันตาย
-
เมื่อปี 2527
-
หลวงพ่อไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์
-
“หลวงปู่ครับ ผมเห็นจิตต้นกำเนิดแล้ว
-
มันผุดขึ้นมาอย่างนี้”
-
หลวงปู่ก็คึกคักแอคทีฟ
-
ยุคนั้นพวกเรายังไม่เคยได้ยิน
-
หลวงพ่อยังไม่เคยรู้เลย
-
ภาวนาแล้วมันมาเจอเอง
-
ก็ไปบอกท่านเราเห็นแล้ว
-
จุดต้นกำเนิดมันอยู่ที่ตรงนี้เอง
-
อยู่ที่หทยะ หทยรูป
-
เป็นจุดกำเนิดของนามธรรม
-
ทั้งกุศล ทั้งอกุศลทั้งหลาย มันผุดขึ้นมา
-
บอก “ผมเห็นจิตต้นกำเนิดแล้ว”
-
แต่มันยังมีเชื้อเกิด นี่เห็นหัว
-
หัวของพืชที่อยู่ในใต้ดินนี้
-
มันยังมีเชื้อเกิดอยู่
-
“ทำอย่างไรผมจะทำลายเชื้อเกิดได้”
-
นี่ที่ไปถามท่าน ถามอย่างนี้เมื่อปี 2527
-
ท่านก็ยิ้มหวานเลย ท่านก็ตอบให้
-
“ให้ภาวนาไป ทำไปเรื่อยๆ
-
ถึงวันหนึ่งก็จะทำลายเชื้อเกิดได้ ต้องอดทน”
-
ครูบาอาจารย์สอนหลวงพ่อภาวนา
-
สอนครั้งเดียว หลวงพ่อทำไม่เลิก
-
ของพวกเราสอนปุ๊บทำปั๊บ เลิกปั๊บ
-
พอฟังเทศน์เสร็จ เอาแล้วฟุ้งซ่านแล้ว
-
ไม่คิดเรื่องธรรมะอะไร ไม่เอาแล้ว
-
เอาแต่เรื่องฟุ้งซ่าน เรื่องหลงโลก
-
แล้วมันจะดีได้อย่างไร
-
ถึงเวลามาเข้าคอร์ส
-
เดี๋ยวคอร์สนั้น เดี๋ยวคอร์สนี้
-
พอเข้าคอร์สแล้วก็อิ่มเอม โอ้ ดีจังเลย
-
ได้สะสม
-
ถามว่าดีไหม ก็ดีเหมือนกัน
-
ก็ได้สะสมบารมีไป
-
การที่เราจะไปหาพระศรีอริยเมตไตรยนั้น
-
เราต้องเดินทางไกล สะสมไป มีเสบียง
-
แต่ถ้าอยากพ้นทุกข์เร็วๆ เข้มแข็งกว่านี้
-
ไม่ใช่เส้นทางของคนอ่อนแอ
-
กล้าไหม
-
ที่จะละทิ้งความสนุกสนาน เพลิดเพลิน
-
หลวงพ่อกล้าตั้งแต่เป็นโยม
-
เลิกงานปุ๊บ ไม่มีธุระ
กลับบ้านทันทีเลย ไม่เที่ยว
-
วันหยุด วันพักผ่อน เก็บไว้หมดเลย
-
ถึงจังหวะเหมาะๆ มีวันหยุดราชการ
-
อย่างช่วงธันวาคมมีหลายวัน
-
หลวงพ่อก็เอาวันลามาใช้ลาแทรกเข้าไป
-
แทรกหัว แทรกท้าย แทรกตรงกลาง
-
ได้ช่วงยาว 10 กว่าวัน
-
เก็บวันลาไว้ทั้งหมดเลย
-
เพื่อไปภาวนาอยู่ตามวัดป่า
-
สมัยโน้นวัดป่าน่าภาวนา
-
วัดป่าสมัยโน้นเป็นที่สัปปายะ
-
ที่สัปปายะเพราะมีครูบาอาจารย์ที่เลิศเลอ
-
ที่ใด ใช้คำไหนดี ในพระไตรปิฎก
-
ท่านบอกพระอรหันต์อยู่ตรงไหน
ที่นั้นสัปปายะ
-
ทุกวันนี้หาครูบาอาจารย์ยาก
-
ก็เริ่มไม่สัปปายะแล้ว
-
ที่ไหนก็เต็มไปด้วยกิเลสท่วมทุกหนทุกแห่ง
-
เมื่ออาทิตย์ก่อนมีพระองค์หนึ่งมา
-
พระองค์นี้ท่านเวียนมาเรียน
กับหลวงพ่อนานหลายปีแล้ว
-
เรียนแล้วก็ไม่รู้เรื่อง
-
เมื่อวันเสาร์ก่อน หรือวันอาทิตย์
-
วันเสาร์หรืออาทิตย์ ท่านมา
-
หลวงพ่อ เอ๊ะ ท่านไปทำอะไรมา
-
ท่านภาวนารู้เรื่องแล้ว
-
ท่านบอก ท่านไม่ทำอะไรเยอะหรอก
-
ท่านเดินจงกรมอยู่ 4 ปี
-
เดินไปอยู่นั่นล่ะ
-
เดินไปรู้สึกตัวบ้าง หลงบ้าง แต่ทำไม่เลิก
-
ท่านบอกท่านเดินจงกรม 4 ปี
-
อยู่ๆ อย่างเคยได้ยินได้ฟังหลวงพ่อพูด
-
ไปเดินจงกรมไปเรื่อยๆ ตอนเดินไม่คิด
-
ลืมทุกอย่างหมด
-
เห็นร่างกายเดิน ใจเป็นคนดูไปเรื่อยๆ
-
ถึงจุดหนึ่งธรรมะมันผุดขึ้นมา เข้าใจขึ้นมา
-
จิตตื่นโพลงขึ้นมา
-
ถามท่านอยู่ที่ไหน
-
ท่านก็บอก อยู่ที่วัดทางจันทบุรี
-
เป็นวัดครูบาอาจารย์
-
บอก โอ้ เขายังปฏิบัติกันเยอะหรือ
-
ไม่มี
-
บอกท่านเดินจงกรม พวกพระยังมาถามท่านเลย
-
ว่าหลวงตาทำอะไร
-
เดินไปเดินมา ไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง
-
นี่วัดกรรมฐาน วัด
-
พอสิ้นครูบาอาจารย์ไปนานๆ
-
ไม่รู้จักเดินจงกรม
-
ถ้าเราไปอยู่ในที่ๆ คนเหลวไหล
-
แล้วเราไม่มีหลัก
-
ไม่มีความเข้มแข็งของเราเอง
-
เราก็จะถูกดูดให้เหลวไหล
-
ทุกวันนี้ไม่รู้จะไปภาวนาที่ไหนแล้ว
-
ที่ดีๆ ยังมี
-
แต่ส่วนใหญ่ท่านไม่รับโยม
-
มีน้อยแต่ไม่รับโยม หายากที่จะภาวนา
-
เพราะฉะนั้นเราต้อง
ทำบ้านเราให้เป็นวัดให้ได้
-
อะไรที่พะรุงพะรัง หมายถึง
-
รกรุงรังในใจเรา วางเสีย
-
หลวงพ่อก็เป็นคนเมืองเหมือนพวกเรา
-
หลวงพ่อเลิกงาน หลวงพ่อกลับบ้าน
-
อาบน้ำ กินข้าว ใจยังเหนื่อยอยู่
-
ก็ไม่รีบไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม ใจล้า
-
ทำงานมาทั้งวัน คิดทั้งวัน
-
หลวงพ่อเปลี่ยนอารมณ์
-
ซื้อหนังสือการ์ตูนมาอ่าน
-
แนะนำว่าถ้าจะซื้อการ์ตูนอ่าน
ให้ซื้อการ์ตูนเด็ก
-
อย่าซื้อการ์ตูนลามก
-
อ่านแล้วสมาธิไม่เกิดหรอก
-
หลวงพ่ออ่าน
-
ต่วยตูน ขายหัวเราะ มหาสนุก อ่านพวกนี้
-
ยังมีขายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีแล้วมัง
-
เขาไม่พิมพ์หนังสือกันแล้ว
-
เมื่อก่อนไปอ่านพวกนี้
-
อ่านแล้วก็ขำบ้าง ไม่ขำบ้าง
-
มันก็แก๊กเดิมล่ะ
ติดเกาะมันก็ติดอยู่อย่างนั้น
-
ทั้งเกาะมีต้นมะพร้าวอยู่ต้นเดียว
-
วาดอยู่อย่างนั้น
โจรมุมตึก มันก็อยู่มุมนั้น
-
ขำบ้าง ไม่ขำบ้าง
-
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยขำ ดูๆ ไปอย่างนั้นล่ะ
-
ทำไมไม่ขำ เพราะมันแก๊กมันซ้ำๆๆ
-
ใครมันจะไปคิดมุขใหม่ได้ตลอด
-
แต่เราดูเปลี่ยนอารมณ์
-
เปลี่ยนอารมณ์ วันไหนไม่มีการ์ตูนดู
-
เอาพระมาส่อง ดูพระ
-
องค์นี้เนื้ออย่างนี้ๆ
-
เวลาจับพระ หลวงพ่อเป็นมาแต่เด็ก
-
จับพระแล้วมันมีความรู้สึกขึ้นในใจ
-
ตอนเด็กๆ เห็นที่บ้านพ่อ
เขามีพระองค์หนึ่งยาวแค่นี้
-
พระอะไรก็ไม่รู้โตดี เอาไปถือเล่น
-
ถือเล่นใจเราคึกคัก ถือเล่น
-
สุดท้ายพ่อเห็นบอกเอามาเถอะองค์นี้
เปลี่ยนเอาอีกองค์ เดี๋ยวคอหัก
-
องค์นั้นเป็น เขาเรียกพระงั่ง
-
พ่อเขาเคยบวชอยู่วัดสุทัศน์ฯ
-
กับพระสังฆราชแพ ท่านให้มา
-
แล้วก็องค์นี้ขอคืน เอาพระชินราชไปถือแทน
-
เวลาถือมันมีความรู้สึกไม่เหมือนกัน
-
รู้สึกเอง ก็ชอบ ไปไหนก็ถือพระไปเรื่อย
-
จนพระนั้นลอก จมูกลอกหมดเลย
-
ทั้งๆ ที่เป็นโลหะ
-
ใจมันจดจ่ออยู่กับเรื่องอย่างนี้ จดจ่อ
-
ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นการทำสมาธิ
-
มันเล็กๆ ตอนนั้น
-
พอทำสมาธิ ไปเรียนกับท่านพ่อลี 7 ขวบ
-
ทำทุกวัน ทำไปเรื่อยๆ จิตมันตั้งมั่น
-
พวกเราอยากดี ต้องเข้มแข็ง
-
อะไรที่จะทำให้เราอ่อนแอลงหลีกเลี่ยงเสีย
-
สิ่งที่ต้องเลี่ยงมากที่สุดเลย คือการผิดศีล
-
อย่าผิดศีล
-
ต้องเข้มแข็งอย่างนั้น
-
เคยมีพระองค์หนึ่งท่านบอกว่า
-
ในอดีตชาติท่านเกิดเป็นคนยากจนที่เมืองจีน
-
ฝนแล้งทั้ง 3 ปี ทำนาไม่ได้
-
พวกเพื่อนบ้านเขาก็ออกไปล่าสัตว์
-
ท่านไม่ยอมทำ พยายามจะปลูกพืชปลูกอะไร
-
ขึ้นบ้าง ไม่ขึ้นบ้าง ทำ
-
ชาวบ้านหัวเราะเยาะว่าเป็นคนโง่
ไม่รู้จักทำมาหากิน
-
ขนาดมีลูกเล็กๆ ก็ไม่ไปฆ่าสัตว์
-
เพื่อจะเอามาไปขาย ไปเลี้ยงลูก ไม่ทำ
-
ยอม ถึงขนาดยอมตาย
ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง
-
เพื่อรักษาศีล
-
ถ้าคนอย่างนี้เขาภาวนา เขาจะไม่ยาก
-
ใจของเขาเด็ดเดี่ยว
-
ฉะนั้นพวกเราต้องเด็ดเดี่ยว
-
ศีล ตั้งใจสู้ตาย ให้เด็ดเดี่ยวไว้
-
สมาธิฝึกทุกวัน
-
วันหนึ่งมากๆ ยิ่งดี
-
มีเวลาเมื่อไรก็ทำ
-
ตื่นนอนให้เร็วขึ้นหน่อย
นั่งสมาธิ เดินจงกรมอะไรก็ทำ
-
ก่อนนอนก็ต้องทำ
-
ทำทุกวัน แต่ทำด้วยความมีสติ
-
ถ้าขาดสติเมื่อไรเป็นมิจฉาสมาธิ
-
พอฝึกเรื่อยๆ จิตมันจะมีแรง
-
ทำความสงบ จิตมันจะได้กำลัง
-
รู้เท่าทันจิต จิตจะปราดเปรียว
-
พร้อมที่เดินปัญญา
-
ถัดจากนั้นก็ถึงงานสุดท้าย การเจริญปัญญา
-
ทันทีที่จิตเรามีพลังมากพอ ขันธ์มันจะแยก
-
อย่างเวลาพวกเราฟังหลวงพ่อเทศน์
-
จิตมันจะมีพลัง
-
เพราะหลวงพ่อไม่ได้ท่องมาเทศน์
-
หลวงพ่อเทศน์ด้วยจิตของหลวงพ่อจริงๆ
-
ด้วยกำลังของสมาธิ
-
ถึงบอกอย่ามาถ่ายรูป
-
ปิดมือถือเสีย มันกวนสมาธิ
-
ธรรมะจะสะดุด
-
ฉะนั้นเวลาพวกเราฟังหลวงพ่อเทศน์
-
รับรองไม่เหมือนที่อื่นฟัง
-
ไม่เหมือนไปฟังที่อื่นหรอก
-
ฟังที่อื่นก็หลับบ้างอะไรบ้าง
-
ของที่ ฟังที่หลวงพ่อไม่ค่อยมีคนหลับ
-
นอกจากพวกผิดปกติจริงๆ
-
เวลาที่ฟังเทศน์หลวงพ่อ
-
จิตมันจะมีกำลัง
-
มันจะมีความห้าวหาญขึ้นมา
-
ลองระลึกลงในร่างกาย
ลองนึกถึงร่างกายของตัวเอง
-
ไม่ต้องใช้คำระลึก
-
ลองนึกถึงร่างกายสิ
-
รู้สึกไหมร่างกายเป็นของถูกรู้
-
ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
-
ถ้าจิตมีกำลังพอ สติระลึกรู้กาย
-
ก็เห็นว่ากายกับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน
นี่แยกขันธ์ได้
-
แล้วจะเห็นร่างกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
-
จิตที่ไปรู้กายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
-
นี่ขึ้นวิปัสสนาแล้ว
-
ถ้าจิตมีกำลังเกิดเวทนาทางกาย
-
ก็เห็นว่าร่างกายก็อันหนึ่ง
-
เวทนาทางกายก็อันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง
-
เมื่อวานมีผู้หญิงคนหนึ่ง
-
ผู้หญิงคนที่หลวงพ่อเล่าว่า
-
เดินปัญญาแล้วเละเทะ สมาธิไม่พอ
-
ให้ทำสมาธิแล้วก็จะไปรีบเดินปัญญา
-
เขามาส่งการบ้านว่า เขาจะทำอย่างไรดี
-
เขานั่งสมาธิ นั่งจนปวดมากเลย
-
แล้วเขาก็ดูไปที่ความปวด
-
ดูอยู่อย่างนั้น
-
มันก็หายบ้าง ไม่หายบ้าง ดูอยู่อย่างนั้น
-
แล้วมันทำไมไม่เจริญ
-
บอกไปสังเกตให้ดี
-
เวลาเห็นเวทนา
เห็นความปวดในร่างกาย
-
จิตมันไหลไปที่ความปวด
-
จิตมันไม่ได้ตั้งมั่น
-
เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ก็เรียกไม่มีสัมมาสมาธิ
-
สัมมาสมาธินั่นล่ะ
-
เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
-
อันนั้นจิตมันถลำลงไปจมอยู่กับความเจ็บปวด
-
มันไม่ตั้งมั่น
-
ปัญญาไม่เกิดหรอก
-
มันก็ทรมานไปอย่างนั้นเอง
-
เป็นอัตตกิลมถานุโยคเฉยๆ
-
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปเดินปัญญา
-
จิตต้องตั้งมั่น ต้องฝึก
-
ถ้าจิตตั้งมั่นจริง
-
สติระลึกรู้กาย เห็นกายไม่ใช่เราแล้ว
-
สติระลึกรู้เวทนา เวทนาไม่ใช่เรา
-
ไม่ต้องคิดเลย
มันเห็นเลยว่าไม่ใช่เราหรอก
-
สติระลึกรู้สังขาร ก็เห็นสังขาร
-
ปรุงดีปรุงชั่วไม่ใช่เราหรอก
-
มันจะเรียนรู้พวกนี้แล้วค่อยวางๆๆๆ
-
จากของหยาบเข้ามาที่ละเอียด
-
ที่ละเอียดที่สุดก็คือจิต
-
สุดท้ายมันจะเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา
-
จิตเองก็เกิดดับ
-
จิตเกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง
-
แล้วก็เลือกไม่ได้
-
จิตเกิดดับคือเห็นอนิจจัง
-
เลือกไม่ได้ว่าจิตจะไปเกิดที่ไหน
-
อันนี้คืออนัตตา
-
ถ้าเข้ามาถึงตรงนี้
จิตมันยอมรับอย่างแจ่มแจ้ง
-
จิตไม่ใช่เรา
-
ขันธ์ 5 ทั้งหมดไม่ใช่เราแล้ว
-
นั่นคือภูมิจิตภูมิธรรมของพระโสดาบัน
-
อยากเป็นพระโสดาบัน
แล้วไปนั่งทรมานไปเรื่อยๆ
-
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ
ทางที่จะเป็นพระโสดาบันเลย
-
มันเป็นทางของพวกนิครนถ์
-
ทรมานตัวเองไปเรื่อยๆ
-
แล้วหวังว่าวันหนึ่งจะบรรลุมรรคผลนิพพาน
-
ไม่ใช่เส้นของพุทธ
-
มันเป็นเส้นของนิครนถ์
-
ฉะนั้นพวกเราจริงๆ เราไม่ใช่พุทธเท่าไรหรอก
-
เป็นฮินดูบ้าง เป็นศาสนาผีบ้าง
-
เป็นศาสนานิครนถ์บ้าง พวกเชน
-
แล้วก็เป็นศาสนาพระเจ้า
-
แทบไม่มีคนที่เป็นพุทธจริงๆ เลย
-
มีแต่พุทธปนเปื้อน
-
แล้วเมื่อไรจะได้ เมื่อไรจะได้
-
ทำไปเถอะ
เดี๋ยวเจอพระศรีอาริย์แล้วก็อาจจะได้
-
ทำไป สะสมความดีไป
-
เล่าให้ฟังขนาดนี้ เข้มแข็งนะ
-
ต้องเข้มแข็ง
-
เส้นทางนี้เส้นทางของคนกล้า
-
ไม่ใช่เส้นทางอ่อนแอ
-
ถ้าอ่อนแอก็เรียกร้องให้คนช่วย
-
ให้ช่วยโน้นช่วยนี้
-
ไม่ทำมาหากินแต่อยากรวย
-
ก็ไปไหว้เทวดา ขอให้รวย
-
เทวดาไม่ได้พิมพ์แบงก์ได้
-
บอกให้เทวดาช่วยให้รวย
-
ไม่มีบุญตัวเองอย่างไรก็ไม่รวย
-
แล้วความอยากรวยมันทำให้เราตกเป็นเหยื่อ
-
คนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ
-
ตกเป็นเหยื่อที่บอกมาไหว้เทวรูปของวัดนี้ดี
-
มีคนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1
ติดต่อกัน 10 กว่างวดแล้ว
-
เป็นไปได้ไหม
-
ถ้าเรียนคณิตศาสตร์จะรู้
มันเป็นไปไม่ได้เลย
-
สมมติว่า 15 งวด
1,000,000 ใบ มันมีที่ 1 ใบหนึ่ง
-
เท่ากับ 1,000,000 ยกกำลัง 15
-
มันเท่าไร มันเป็นไปได้ไหม
-
เป็นไปไม่ได้
-
ในทางสถิติเป็นไปไม่ได้เลย
-
คนหนึ่งจะถูกรางวัลที่ 1
ติดต่อกัน 10 กว่าครั้ง
-
ถ้าถูกอย่างนั้นก็คือล็อกเลขแล้ว ถึงจะถูก
-
ไม่เป็นพุทธ ไม่ได้คิดจะพึ่งตัวเอง
-
คิดแต่พึ่งอะไรลมๆ แล้งๆ
-
หลอกตัวเองไปวันๆ หนึ่งแล้วก็มีความสุข
-
ชาวพุทธไม่หลอกตัวเอง
-
ชาวพุทธเรียนรู้ความจริงของตัวเอง
-
เรียนรู้ความจริงได้ สุดท้ายก็ปล่อยวางได้
-
ปล่อยวางได้ก็พ้นทุกข์ได้ ก็แค่นั้นล่ะ
-
วันนี้เทศน์แบบดุเดือด
-
เป็นการให้รางวัลพวกไปเข้าคอร์ส
-
ได้ยินเสียงไหม คอร์ส
-
เข้าอยู่นั่นล่ะ
ไม่เห็นจะดีขึ้นสักเท่าไรเลย
-
แต่ถามว่ามีข้อดีไหม ดี
-
ไม่หลุดออกนอกวงโคจร
-
ยังมีพรรคมีพวก คอยดึงกันไปดึงกันมา
-
ดึงกันเข้าคอร์ส ดึงกันปฏิบัติ
-
พอเลิกแล้วก็ดึงกันไปเที่ยว
-
มันประเภทนั้นล่ะ พวกดาวหาง หางยาว
-
พอเข้าใกล้ดวงอาทิตย์แล้วหางหด
-
หางยาวใช่ไหม หรือหางหด
-
ผลุบๆ โผล่ๆ
-
คนที่ได้ประโยชน์เวลาเข้าคอร์สคือคนจัด
-
เขาได้บุญ
-
คนสอน เวลาสอน สิ่งที่เขาได้
-
เขาได้ปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ
-
อันนั้นเป็นประโยชน์
-
ส่วนคนเข้าคอร์ส
-
จะได้ประโยชน์หรือเปล่าอยู่ที่ตัวเองแล้ว
-
ได้โอกาสแล้วก็ทำประโยชน์ให้มันเต็มที่
-
เบอร์ 1
-
ระหว่างวันหลงนาน
-
ส่วนใหญ่อยู่ในโลกของความคิด
-
ทำในรูปแบบมักจะเพ่ง
-
เดินจงกรมเป็นส่วนใหญ่
-
มีวิหารธรรมเป็น
“เมตตาคุณัง อะระหังเมตตา”
-
เพราะโมโหร้าย จึงสอนตัวเอง
-
ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อลดโทสะ
-
ควรปรับแก้ไขตรงไหนคะ
-
ทำไปเถอะ มันก็ค่อยๆ ดีขึ้น
-
มันไม่ดีปุ๊บปั๊บหรอก ใช้เวลา
-
ภาวนาเราไม่ใจร้อน
-
ค่อยๆ ทำของเราไปเรื่อยๆ
แต่ไม่ขี้เกียจเท่านั้นล่ะ
-
แล้วมันก็จะดีขึ้นๆ
-
ถ้าทำบ้างไม่ทำบ้าง ไม่ดี
-
เบอร์ 1 ยังฟุ้งซ่านอยู่
-
หัดทำความสงบ หัดบ้าง
-
ไม่อย่างนั้นใจมันจะแรงไม่พอ
-
ไหว้พระ สวดมนต์ไปเรื่อยๆ ก็ได้
-
ให้ใจจดจ่ออยู่กับพระพุทธเจ้า
-
นึกถึงพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ ก็ได้
-
หลวงพ่อใช้หลายอย่างเวลาทำสมถะ
-
บางทีจิตมันฟุ้ง
-
จิตมันฟุ้งจะไปทำให้มันไม่ฟุ้ง ทำยาก
-
พามันใช้ความคิดพิจารณา
-
กำหนดหัวข้อธรรมะ
-
ให้มันพิจารณาธรรมะเรื่องนี้ หมวดนี้
-
ใจมันมีความสุขในการพิจารณาธรรมะ
-
ใจมันก็สงบได้ ได้แรง
-
พวกเราบางคนก็ใช้วิธีนี้
-
ใช้วิธีคิดพิจารณาธรรมะ
-
ใจมีความสุข ได้แรงขึ้นมา
-
แล้วก็เคยชิน ติด
-
เอะอะก็จะไปคิดให้มีความสุขเรื่อยๆ
-
ตรงนั้นทำผิดแล้ว ไปติด ติดสมาธิ
-
ไปทำสมถะ ไปเลือกดู ไปสังเกตดู
-
สมถะอะไรเหมาะกับเรา
-
ไม่ต้องเหมือนคนอื่นก็ได้
-
เอาที่เหมาะกับตัวเอง
-
ทำแล้วจิตใจสงบสุข ไม่วอกแวกไปที่อื่น
-
สังเกตอย่างนั้น
-
สมาธิมันยังไม่พอ ใจมันยังฟุ้ง
-
เบอร์ 2 เพ่งอยู่ รู้สึกไหม มันแน่น
-
เบอร์ 2
-
ตั้งใจภาวนาทุกวัน แบ่งเวลาทำในรูปแบบ
-
นิสัยยังไม่ดี เอาแต่ใจตัวเอง
-
มีโทสะและขี้หงุดหงิด
-
มีเป้าหมายอยากพ้นทุกข์
-
เห็นร่างกายมีแต่ทุกข์
-
ไม่ได้อยากได้สมาธิเหมือนเมื่อก่อน
-
หวังเพียงความผ่อนคลาย
-
จะคอยรู้สึกตัว หลงให้สั้นลง
-
เพ่งก็คอยรู้ทัน
-
จะตั้งใจรักษาศีลและทำปัจจุบันให้ดี
-
มาถูกทางไหมคะ
-
ถูกแล้ว คอยทำไปเรื่อยๆ
-
อย่าใจร้อนก็แล้วกัน
-
ธรรมะมันก็เหมือนเรากินข้าว
-
กินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบมูมมาม
-
แล้วถึงเวลามันก็อิ่ม
-
ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเหมือนคนตั้งท้อง
-
ท่านบอกไม่ต้องรีบออกลูกหรอก
-
เดี๋ยวมันก็ออกเอง
-
เรามีหน้าที่ดูแลไม่ให้มันตายไปเท่านั้น
-
ไม่ให้มันแท้ง
-
ไปฝึกอีก ฝึกอีก
-
ขี้โมโหก็รู้เอา
-
โมโหมันเป็นกิเลสที่ดูง่าย โทสะ
-
กิเลสอะไรเกิดก็รู้เอา ดีแล้วเบอร์ 2
-
แต่ตอนนี้จิตไม่ถึงฐาน สังเกตออกไหม
-
มันยังอยู่ข้างนอกนิดหนึ่ง
-
ไม่ต้องไปหามัน อย่าไปหามัน
-
ลองกำหนดจิต
-
เหมือนกับความรู้สึกตัวเราอยู่ข้างนอกตรงนี้
-
แล้วหายใจเอาความรู้สึกตัว เข้าไปในร่างกาย
-
อันนี้เป็นอุบาย
-
หายใจเอาความรู้สึกตัวเข้าไป
-
สังเกตไหมจิตตอนนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกัน
-
ดูออกแล้วใช่ไหม ว่าเมื่อกี้มันออกนอก
-
ดูออกก็ดีแล้ว ต่อไปมันง่าย
-
มันรู้ว่าออกนอก มันก็วางเข้ามาเอง
-
เบอร์ 3
-
เบอร์ 2 ดีแล้ว ดูไปเรื่อยๆ
-
เพียงแต่ว่าให้จิตมันตั้งมั่นจริงๆ
-
เบอร์ 3 ก็ดีอยู่ ใช้ได้
-
เบอร์ 3: เป็นคนคิดมาก ขี้กังวล
-
เวลาไม่มีทุกข์หนักๆ มากระทบ
รู้สึกว่าปฏิบัติได้ดี
-
จิตหลงรู้
-
มีกำลังเห็นไตรลักษณ์
-
พอมีเรื่องกลุ้มใจก็ดูความกลุ้มใจ
-
เห็นทุกข์มากทุกข์น้อยสลับกัน
-
ทุกข์เพราะอยากให้มันหาย
-
แต่ก็ยังทุกข์ มันหนักอยู่ในใจ
-
รู้สึกว่ายังสอบไม่ผ่าน
-
ยังถูกครอบงำ
-
ขอการบ้านเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปค่ะ
-
ดูให้ลึกไปอีกชั้นหนึ่ง เวลาทุกข์เกิด
-
ให้เห็นใจที่ไม่ชอบ
-
ใจเราไม่เป็นกลาง
-
ถ้าใจเราเป็นกลาง ทุกข์มันกระเด็นไปเลย
-
เบอร์ 4
-
เบอร์ 3 ทำได้ดี ทำได้ดีแล้ว
-
แต่จิตมันไม่เป็นกลางต่อทุกข์
-
ฉะนั้นเวลาทุกข์ขึ้นมาอย่าอยากหาย
-
ทุกข์ขึ้นมาให้รู้ว่าไม่ชอบ
-
อากาศชื้นๆ หลวงพ่อจะกระแอมกระไอ
-
ที่จริงไม่อยากกระแอมกระไอเลย
-
หมอนั่งอยู่หลายคน
-
คนที่ทำให้หลวงพ่อ เจ็บปวดมากที่สุด
คือพวกหมอนี่ล่ะ
-
มีเรื่องมาทำให้เจ็บอยู่เรื่อยๆ
ด้วยความหวังดี
-
เบอร์ 4 อย่าไปแต่งจิตให้มันนิ่ง
-
เบอร์ 4
-
ในชีวิตประจำวันใช้กายเป็นวิหารธรรม
-
คอยรู้ทันจิตที่หลงคิด
-
ในรูปแบบใช้นั่งสมาธิ
ดูร่างกายหายใจแบบลืมตา
-
เพราะหลับตาแล้วมักติดซึม
-
บางครั้งรู้สึกแยกขันธ์ได้ เห็นอนัตตาของจิต
-
แต่พอเผลอขาดสติ ขันธ์ก็รวมกัน
-
ถูก
-
จิตกลับมาเป็นตัวเราใหม่อยู่บ่อยๆ
-
ขอหลวงปู่แนะนำ
เพื่อต่อยอดการปฏิบัติด้วยครับ
-
จุดที่เป็นปัญหามากที่สุด
คือความซึม ถีนมิทธะ
-
เพราะฉะนั้นพยายามทำกรรมฐานที่เคลื่อนไหวไว้
-
ร่างกายเรานี้มันเคลื่อนไหว คอยรู้สึกไว้
-
ถ้าเราดูอารมณ์ที่ละเอียดไป
มันจะเคลิ้มลืมเนื้อลืมตัวง่าย
-
พยายามทำงาน ใช้ร่างกายทำงาน
-
แล้วเห็นร่างกายมันทำงานบ่อยๆ
-
อย่างเห็นร่างกายมันกวาดบ้าน
ถูบ้าน ซักผ้า อะไรอย่างนี้
-
เห็นร่างกายมันทำงาน
-
ยกเว้นตอนขับรถ ไม่ต้องไปดู
-
ตอนขับรถไปดูเดี๋ยวจิตรวม
-
จิตรวมแล้วไปชนใครเขาเข้า
-
พยายามเคลื่อนไหวไว้ถึงจะดี
-
เพราะว่าถีนมิทธะเยอะ
-
เบอร์ 5
-
เบอร์ 4 ภาวนาดี ในพื้นฐานดี
แต่จุดอ่อนมีนิดเดียว
-
คือมันเซื่องซึมง่าย
-
เพราะฉะนั้นกระดุกกระดิก
-
เบอร์ 5
-
ปฏิบัติโดยการรู้กายที่เคลื่อนไหว
-
รู้จิตที่นึกคิดปรุงแต่ง
-
ระหว่างวันทำในรูปแบบ
-
นั่งสมาธิ เดินจงกรม
-
เป็นราคะจริต รักสวยรักงาม
-
จิตมีมานะมาก
-
บางทีอยากสอนธรรมะคนอื่น
-
เข้าใจธรรมชาติของจิต
ที่มันคิดนึกและปรุงแต่ง
-
ไม่เชื่อเรื่องความงมงาย
หรืออะไรที่พิสูจน์ไม่ได้
-
เพราะเคยเห็นโทษของมันแล้ว
-
กราบขอคำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ
-
จุดที่ยังพลาดอยู่ คือการไปดึงจิตเอาไว้
-
ไปรั้งจิตเอาไว้ ตั้งไว้อย่างนี้
-
อย่าไปตั้งไว้
-
ตรงนี้มันก็เป็นภพๆ
หนึ่งของนักปฏิบัตินั่นล่ะ
-
ถ้าไปทำแล้วมันก็ติดอยู่อย่างนั้น
ไม่หายหรอก
-
ที่มันมาตั้งอย่างนี้ เพราะมันอยากดี
-
อยากรู้สึกตัว อยากดี อยากไม่เผลอ
-
เห็นไหมมันมีความอยากซ่อนอยู่
-
ให้รู้ทันความอยากทั้งหลายนี้
-
แล้วมันจะไม่ไปตั้งจิตนิ่งไว้อย่างนี้
-
ตั้งนิ่งๆ อย่างนี้ ไปต่อไม่ได้จริงหรอก
-
ไปแก้จุดนี้ แก้ผ่านจุดนี้ก็ไปได้ง่ายแล้ว
-
สติปัญญาอะไรแข็งแรง ใช้ได้
-
ดี ไม่โง่หรอก
-
เบอร์ 6
-
ถ้าวันไหนไม่ได้ฟังหลวงพ่อ จะรู้สึกผิด
-
ชอบอยู่บ้านนั่งสมาธิ
-
เฉลี่ยเกือบวันละ 2 - 3 ชั่วโมง
-
ชอบใช้พุทโธถี่ๆ มากกว่าดูลมหายใจ
-
ยังฟุ้งซ่าน และหลงโลกอยู่มาก
-
ยังเดินปัญญาไม่เป็น
-
พยายามจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน
-
แต่บางทีก็ยังทำไม่ค่อยได้ แต่ไม่ท้อ
-
จะปฏิบัติต่อไปเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
-
อยากทราบว่าปฏิบัติถูกทางไหมคะ
-
ถูกอย่างยิ่งเลย
-
แล้วจิตก็พัฒนาขึ้นมาเยอะเลย
-
รู้สึกไหมจิตเราเดี๋ยวนี้กับ
แต่ก่อนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว
-
มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว
-
ขันธ์มันก็แยกได้แล้ว
-
รู้สึกไหมกายกับจิตมันคนละอันกัน
-
สุขทุกข์ ดีชั่ว เป็นแค่ของผ่านมาผ่านไป
-
ไม่ใช่จิตหรอก
-
จิตเองก็ทำงานของมันได้เอง อย่างขณะนี้
-
จิตมันก็ปรุงปีติขึ้นมา
-
เห็นไหมมันปรุงปีติขึ้นมาได้เอง
-
เราอย่าไปปรุงต่อ
-
ปรุงต่อ เช่น หาทางละปีติ
-
หาทางรักษาปีติ อันนี้เราปรุงต่อ
-
เมื่อจิตของเราตั้งมั่น
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
-
จิตเราจะใส สว่าง กระจ่าง
-
แล้วต่อมา
มีความปรุงแต่งอะไรเกิดขึ้น
-
แม้แต่เล็กแต่น้อยในจิต มันจะเห็นชัด
-
เพราะจิตของเรานั้นมันสบาย มันว่างอยู่แล้ว
-
มันผ่องใส ประภัสสร
-
พอมีอะไรแปลกปลอมขึ้นนิดหนึ่ง มันจะเห็น
-
อันนี้จิตมันจะรู้ทัน
ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้น
-
แล้วเราก็แค่ว่ารู้แล้วจบลงที่รู้
-
เราไม่ปรุงแต่งต่อ
-
ไม่ใช่ความสุขผุดขึ้นมา
จิตมันปรุงความสุขขึ้นมา
-
ทีแรกจิตมันว่าง เฉยๆ สบาย โล่ง
-
มันปรุงความสุขหรือปรุงความทุกข์ขึ้นมา
-
เราไปแต่งต่อ เช่น ปรุงความสุขก็หาทางรักษา
-
ปรุงความทุกข์ก็หาทางละอะไรอย่างนี้
-
อันนี้เราแทรกแซงจิตแล้ว
-
เราจะรู้ทันความปรุงแต่งของจิต
-
โดยที่เราไม่เข้าไปปรุงแต่งจิตเสียเอง
-
เราจะรู้ทันความปรุงแต่งของจิตได้
-
เมื่อจิตของเราตั้งมั่น
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
-
ครูบาอาจารย์วัดป่าจะเรียกว่าจิตผู้รู้
-
หรือจิตประภัสสร
-
พระพุทธเจ้าบอกว่า เดิมนั้นจิตมันประภัสสร
-
คือจิตปกติของเรานั่นล่ะ มันประภัสสร
-
แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสมันจรมา
-
นี้เราพยายามฝึก
จนกระทั่งจิตของเราตั้งมั่นขึ้นมา
-
ตื่นขึ้นมา
-
สว่าง ผ่องใส สบาย เงียบๆ
-
แล้วพอมันปรุงอะไรขึ้นแม้แต่เล็กๆ
-
เราก็จะเห็น
-
ตรงนี้ที่เรารู้ทันความปรุงแต่งได้
-
เพราะจิตของเรามีกำลังตั้งมั่นขึ้นมา
-
ฉะนั้นจิตที่ตั้งมั่นถึงเป็นเรื่องสำคัญ
-
ที่หลวงพ่อพยายามเคี่ยวเข็ญพวกเรา
-
จนกระทั่งตั้งมั่น
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
-
มีความประภัสสร
-
มีความสงบ มีความสว่างเกิดขึ้น
-
มีความเบา มีความอ่อนโยน นุ่มนวล
-
มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ขี้เกียจ
-
แล้วก็อะไรเกิดขึ้นสักว่ารู้ว่าเห็นไป
-
เราจะต้องพัฒนา
ให้ได้จิตผู้รู้อย่างนี้ขึ้นมา
-
เมื่อเรามีจิตผู้รู้ เบอร์ 6 มีนะ
-
แล้วทำมาได้ดีมากๆ เลย
-
จิตผู้รู้ของหนูงดงามมาก ดี
-
เห็นไหมมีปีติแทรกเข้ามาอีกแล้ว
-
พอจิตเราว่างๆ อยู่
แล้วมีอะไรแปลกปลอม เราจะเห็น
-
มันเหมือนเราคลีนโต๊ะของเราสะอาดแล้ว
-
มดตัวเล็กเดินมา เรายังเห็นเลย
-
ถ้าโต๊ะของเรารกๆ อย่างนี้
-
มีขวดยาดม ยาหม่องอะไรมากมาย
-
จิ้งจกมาตัวหนึ่งเรายังไม่เห็นเลย
-
เพราะฉะนั้นถ้าใจเราว่าง สบาย
-
ความปรุงแต่งเล็กน้อยมา เราก็เห็น
-
เราจะเห็นว่าความปรุงแต่งมาเอง ไปเอง
-
ความปรุงแต่งทั้งหลายไม่ใช่จิตหรอก
-
แต่ถ้าจิตหลงเข้าไปปรุงแต่งเมื่อไร
-
ความทุกข์มันจะเกิดขึ้นที่จิตทันที
-
เก่ง วันนี้เพิ่งจะบอกคนนี้เก่ง
-
เบอร์ 7 ตื่นได้แล้ว
-
เบอร์ 7
-
จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมาเอง
-
ในระหว่างวัน แยกรูปแยกนามเอง
-
เห็นแสงและความสุขเกิดดับ
-
เกิดปัญญา ตัวเราไม่มี
-
มีแต่จิตมาอาศัยธาตุ 4 อยู่
-
ผัสสะกระทบระหว่างวัน
-
เห็นโทสะเกิดและดับ
-
เห็นโทสะแยกจากจิต
-
เกิดความร่มเย็นไปทั้งธาตุและขันธ์
-
เห็นความขัดเคืองใจเกิดแล้วดับลง
-
เกิดความสงบร่มเย็นขึ้นมา
-
ขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำค่ะ
-
ทำอีก
-
จิตมันยังเป็นเราอยู่
-
มันไม่เป็นเราเป็นคราวๆ
-
เรายังละความเห็นผิด
ว่าจิตเป็นตัวเราไม่ขาดทีเดียว
-
ทำอีก ทำไปเรื่อยๆ สะสมไป
-
แล้วก็จุดสำคัญ อย่ายกจิตสูงเกินไป
-
อย่าเอาจิตขึ้นมาสูงเกินไป
-
ลงมาอยู่ในระนาบปกติ จิตปกติ
-
ยกมากๆ เดี๋ยวหลุดไปพรหมโลก
-
เออ ลงมา จิตตรงนี้ดี
-
จิตอย่างนี้ถึงจะดี
-
จิตที่เราไปดันเอาไว้
-
ให้มันห่างกิเลสออกไป ไม่ดีหรอก
-
มันมีคำแปลอยู่อันหนึ่ง
-
“อะระหะโต” แปลว่าผู้ไกลจากกิเลส
-
เราก็เลยพยายามดันจิตให้ไกลกิเลส
-
อย่างนี้ผิด อันนั้นทำด้วยกิเลส
-
จิตที่ดีคือจิตธรรมดา จิตปกติ
-
เราใช้จิตปกตินี้เรียนรู้กายรู้ใจ
-
เรียนรู้ไป
-
ดี ดีเหมือนกัน
-
แค่อย่ายกจิตให้สูงเกินไป
-
เบอร์ 8
-
ใช้การเดินจงกรมเป็นรูปแบบ
-
ในชีวิตประจำวัน
-
ใช้การเคาะนิ้วเป็นจังหวะ
เป็นเครื่องอยู่แทน
-
มีบ่อยครั้งที่รู้ว่าหลงไปแล้ว
-
และช็อตถัดมาคือเห็นความคิด
-
ที่บอกให้กลับไปที่เครื่องอยู่
-
จึงพยายามเริ่มต้นใหม่
-
ให้กลับไปที่เครื่องอยู่
-
แต่จิตไม่ยอมเข้าบ้าน
-
แข็งทื่อ ไม่ปกติเป็นเวลานาน
-
ควรทำอย่างไรคะ
-
รู้อย่างที่มันเป็น
-
ที่อยากแก้ มีตัณหาซ่อนอยู่
-
อยากให้มันอย่างโน้น อยากให้มันอย่างนี้
-
ถ้าเราไม่รู้ทันตัณหาตัวนี้
-
ก็ถูกมันครอบไปเรื่อยๆ
-
ฉะนั้นจิตสงบรู้ว่าสงบ
จิตไม่สงบรู้ว่าไม่สงบ
-
จิตเข้าฐานรู้ว่าเข้าฐาน
-
จิตออกนอกฐาน รู้ว่าออกนอกฐาน
-
รู้อย่างที่เขาเป็น ไม่ต้องอยากให้เขาดี
-
เบอร์ 8 จุดอ่อน ยังดิ้นรนเยอะไป
-
ใจมันยังดิ้นจะเอาธรรมะให้ได้
-
รู้ รู้สบายๆ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ช่างมัน
-
ถ้าได้ก็เป็นความดีของจิต
-
ถ้าไม่ได้ก็เป็นความไม่ดีของจิต
-
ไม่เกี่ยวกับเรา กล้าๆ หน่อย
-
กล้าไหม กล้าแบบแหยๆ
-
มันทำยาก เพราะว่าเรารักจิต
-
เรารักว่าจิตนี้คือตัวเรา
-
เห็นปีติที่เกิดขึ้นไหม
-
อาการของปีติมีหลายอย่าง
-
เราไม่รู้ว่าอันนี้เรียกว่าปีติเท่านั้นเอง
-
รู้สึกใจไม่ปกติไหม ตรงนี้
-
มันมีความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาไหม
-
ไปฝึกอีกไป
-
มาได้ดีแล้ว มาได้ถูกทางแล้ว
-
ค่อยๆ ฝึก
-
อันไหนยังไม่ถูกก็ค่อยๆ รู้ทันไป
-
อย่าอยากดี อย่าอยากบรรลุเร็วๆ
-
เชิญกลับ