-
Not Synced
ช่วงนี้มีการจัดคอร์ส จัดมาหลายวันแล้ว
-
Not Synced
จัดคอร์สมันก็มีข้อดีมีข้อเสีย
-
Not Synced
จัดคอร์สข้อดีก็คือบางคนไม่เคยรู้เรื่องเลย
-
Not Synced
แต่นั่งฟัง จะหาวิธีปฏิบัติ
-
Not Synced
อีกพวกหนึ่งเป็นพวกเรื้อรัง
-
Not Synced
เรียนมานาน ฟังมานาน
-
Not Synced
แต่ทำ ทำบ้างไม่ทำบ้าง
-
Not Synced
นานๆ ก็เฉื่อย ไปเข้าคอร์ส
ก็คึกคักขึ้นมาทีหนึ่ง
-
Not Synced
ก็มีข้อดี
-
Not Synced
ข้อเสียก็มี
-
Not Synced
เข้าคอร์สบางทีเราฟังผู้ช่วยสอนหลายคน
-
Not Synced
แต่ละคนจะสอนในแง่มุมที่ไม่เหมือนกัน
-
Not Synced
เพราะจริงๆ แล้วการปฏิบัตินั้น
-
Not Synced
มันไม่มีมาตรฐาน มันทางใครทางมัน
-
Not Synced
ถ้าอยู่ในหลักของการทำสมถกรรมฐาน
-
Not Synced
วิปัสสนากรรมฐาน ก็ถูกหลัก
-
Not Synced
แต่พอถึงขั้นวิธีการ
-
Not Synced
ไม่มีใครเหมือนใคร ทางใครทางคนนั้น
-
Not Synced
เราฟังหลายๆ ทางเข้า บางทีงง
-
Not Synced
มีตัวอย่างให้เห็นเหมือนกัน
-
Not Synced
บางคนเรียนกับผู้ช่วยสอนคนหนึ่ง
ไม่รู้เรื่อง ฟุ้ง
-
Not Synced
ชอบทำกิจกรรมอย่างเดียว
-
Not Synced
หลวงพ่อทนดูไม่ได้ เรียกให้มาเดินจงกรม
-
Not Synced
เดินอยู่นั่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม
-
Not Synced
หามรุ่งหามค่ำเลย
-
Not Synced
จิตก็มีกำลังขึ้นมา
-
Not Synced
ก็ไปเข้าคอร์ส ได้ยินผู้ช่วยสอนบอกว่า
-
Not Synced
จิตมีสมาธิแล้วให้เดินปัญญา
-
Not Synced
รีบเดินปัญญาก็เละเลย
-
Not Synced
พอเริ่มเดินปัญญาปุ๊บ จิตฟุ้งซ่าน
-
Not Synced
แก้แทบจะไม่ได้เลย แก้ไม่ตก
-
Not Synced
บางทีการเรียนกับหลายๆ คน
-
Not Synced
มันก็ทำให้คนที่ยังไม่ได้รากฐานที่แข็งแรง
ก็สับสนเหมือนกัน
-
Not Synced
อันนี้ก็เป็นจุดอ่อน
-
Not Synced
ที่จริงหลวงพ่ออยากให้แต่ละคนมีสมุดคู่มือ
-
Not Synced
จดมา ผู้ช่วยสอนคนนี้เขาสอนอะไร
-
Not Synced
แล้วเราเอาไปถามคนอื่น
ต้องเอาอันนี้ไปให้เขาดูด้วย
-
Not Synced
เหมือนโรงพยาบาล
-
Not Synced
นึกออกไหม ที่โรงพยาบาล
-
Not Synced
หมออาจจะไม่ใช่คนเก่า
-
Not Synced
แต่เขาต้องรู้ว่าคนเก่ารักษามาอย่างไร
-
Not Synced
ไม่อย่างนั้นรักษาดีไม่ดีตาย
-
Not Synced
คนนี้ทำอย่างนี้ คนนี้ทำอย่างนี้ สับสน
-
Not Synced
แต่มันทำยาก
-
Not Synced
ถ้ามันมี Record ได้
มันก็จะสะดวกกับผู้ช่วยสอน
-
Not Synced
แต่ใครจะเป็นคน Record
-
Not Synced
ให้เจ้าตัว Record ผู้ช่วยสอนสอนอย่างนี้
-
Not Synced
มันก็ไปจดอีกอย่างหนึ่ง
-
Not Synced
มันตีความเพี้ยนตลอด
-
Not Synced
เพราะธรรมะพอเข้าไปอยู่ในจิตปุถุชน
กลายเป็นของปลอมทันทีเลย
-
Not Synced
อย่างหลวงพ่อเห็นบ่อยๆ
-
Not Synced
ชอบมาอ้างว่าหลวงพ่อสอนอย่างนี้
หลวงพ่อสอนอย่างนี้
-
Not Synced
มันเก็บประเด็นได้ไม่หมด
-
Not Synced
ไปจับได้จุดเล็กๆ อะไรอย่างนี้
-
Not Synced
บางทีไม่ใช่จุดสำคัญ
-
Not Synced
แล้วไปจดไปจำเอาไว้
แล้วบอกหลวงพ่อสอนอย่างนี้
-
Not Synced
หลวงพ่อเมื่อก่อนมีบ่อย
-
Not Synced
หลวงพ่อบอกไม่ต้องทำสมาธิ
-
Not Synced
สอนอย่างนี้ครูบาอาจารย์ได้ยินตกใจเลย
-
Not Synced
เฮ้ย ปราโมทย์สอนอย่างไร ไม่ให้ทำสมาธิ
-
Not Synced
ไอ้คนนั้นมันทำมิจฉาสมาธิ
-
Not Synced
นั่งเพ่งเอาจนเครียดไปหมดเลย
-
Not Synced
แล้วบอกจะต่อสู้ด้วยความเพียร
-
Not Synced
จะบรรลุมรรคผลได้ด้วยความเพียร
-
Not Synced
เพียรผิดจะไปเพียรทำไม
-
Not Synced
เลยบอก เฮ้ย ที่ทำอยู่ผิด
-
Not Synced
หยุดก่อนเลย ยังไม่ต้องทำ เริ่มต้นใหม่
-
Not Synced
ตรงเริ่มต้นใหม่ไม่จำ ไปจำตรงที่บอกว่าหยุดไปเลย แล้วก็เอาไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง ครูบาอาจารย์ท่านก็งง ปราโมทย์สอนอย่างไร บอกไม่ต้องทำสมาธิ ที่จริงที่หลวงพ่อสอนพวกเรานี้ เป็นการทำสมาธิที่เข้มงวดมากเลย ส่วนใหญ่ที่เขาสอนกันเป็นแค่รูปแบบของการทำสมาธิ ไปนั่งสมาธิหายใจก็หายใจพร้อมกัน ทำจังหวะก็ทำจังหวะเหมือนกัน ดูท้องพองยุบก็ดูเหมือนๆ กันหมด เดินจงกรมก็เดินพร้อมๆ กัน ส่วนใหญ่เขาสอนอย่างนั้น ว่าไปแล้วสอนอย่างนั้นมันก็ดี พวกขี้เกียจมันจะได้ทำ แต่โอกาสได้ผลไม่มากหรอก เพราะจริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน จะไปสอนเหมือนๆ กัน ไม่ได้ผลหรอก ดีไม่ดีก็เพี้ยนเหมือนกันหมด
-
Not Synced
กรรมฐานต้องรู้หลัก จับหลักให้แม่นก่อน เราต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งใจรักษาศีลให้ดี ฝึกสมาธิ สมาธิมี 2 ส่วน มิจฉาสมาธิไม่ประกอบด้วยสติ สัมมาสมาธิประกอบด้วยสติ สัมมาสมาธิก็มีอีก 2 แบบ อารัมมณูปนิชฌาน จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว มีสมาธิ มีความรู้สึกตัว มีสติ แต่สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เรียกอารัมมณูปนิชฌาน อารัมมะก็คืออารมณ์นั่นล่ะ จิตมันเพ่งแน่วอยู่กับอารมณ์ สิ่งที่ได้ก็คือได้ความสุข ได้ความสงบ ได้กำลังใจ แล้วก็มีเรี่ยวมีแรงที่จะเจริญปัญญาต่อไป แต่อารัมมณูปนิชฌานเอาไปเจริญปัญญาไม่ได้
-
Not Synced
มีสมาธิอีกชนิดหนึ่งเรียกลักขณูปนิชฌาน เป็นสมาธิที่สามารถเห็นไตรลักษณ์ได้ สภาวะอันนี้ครูบาอาจารย์วัดป่า วัดป่าท่านเรียกว่าจิตผู้รู้ จิตที่ทรงสมาธิที่ใช้เดินปัญญาได้เป็นจิตผู้รู้ ไม่ใช่ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง แต่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตผู้รู้นั้นเราไม่ได้ปรุงขึ้นมา เราทำกรรมฐานไป แล้วเราคอยรู้เท่าทันจิตตัวเอง อันนี้ก็เป็นวิธีหนึ่ง อีกวิธีหนึ่งทำมาด้วยการทำฌานที่ถูกต้อง ประกอบด้วยสติ อันนี้หลวงพ่อไม่ค่อยได้สอน สอนบางคนเท่านั้น เพราะคนรุ่นนี้เป็นพวกสมาธิสั้น ก็เลยสอนกรรมฐานสำหรับสมาธิสั้นเป็นส่วนใหญ่
-
Not Synced
ไปทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง ไม่มีอะไรดีอะไรเลวกว่ากัน แต่ทำแล้วคอยรู้ทันจิตใจตัวเองไป เรียนรู้จิตตัวเองไปเรื่อยๆ เรียกว่าจิตตสิกขา อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วจิตเราหนีไปคิด รู้ทัน จิตมันจะตั้งมั่นอัตโนมัติ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ มีสติรู้ทัน มันจะสังเกตไป โอ้ มันไหลไปที่ลมหายใจ เพราะมันมีความอยาก มันอยากดี อยากปฏิบัติ พอรู้ทันความอยาก ความอยากดับ การเพ่งก็ดับ จิตก็จะตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
-
Not Synced
ฉะนั้นเวลาหลงไปแล้วเรามีสติรู้ จิตจะเป็นผู้รู้ทันที แต่ตอนเพ่งอยู่แล้วรู้ว่าเพ่ง บางทีไม่หาย ต้องรู้ลึกลงไปถึงกิเลสที่ซ่อนอยู่หลังการเพ่ง ก็คือตัวตัณหา ตัวอยากดีก็เลยไปเพ่ง ถ้ารู้ถึงตัณหา ตัณหาดับปุ๊บ การเพ่งก็ดับ การเพ่งดับ ความอึดอัด ขัดข้อง แน่น ก็จะหายไป ถ้าเราฝึกชำนิชำนาญในจิตของเรา เราต้องการให้จิตสงบ เราก็ทำได้ เราต้องการให้จิตเราตั้งมั่นก็ทำได้ ทำได้อย่างไร ที่จริงไม่มีใครทำได้หรอก แต่รู้ทันตรงที่ผิด
-
Not Synced
ตรงที่ผิดของการฝึกสมาธิมี 2 อันหลักๆ อันหนึ่งหลงไป อันหนึ่งถลำลงไปเพ่ง ถ้าหลงไป เรารู้ทันว่าหลง หลงดับ รู้ก็เกิด ถ้าเพ่งอยู่รู้ว่าเพ่ง บางทีไม่หาย ให้รู้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง ที่เพ่งเพราะอะไร เพราะอยากปฏิบัติ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดี พอรู้ทันความอยากมันก็ดับ เมื่อความอยากดับ การเพ่งซึ่งเป็นผลผลิตของความอยากก็ดับ เมื่อการเพ่งดับ จิตก็จะกลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา อันนี้สำหรับคนไม่ได้เล่นฌาน ถ้าคนเล่นฌานเป็นอีกแบบหนึ่งเลย พูดไปก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก
-
Not Synced
หลวงพ่อไม่ได้ฝึกอย่างนี้ แต่เดิมหลวงพ่อฝึกนั่งสมาธิเอา จนได้ตัวผู้รู้ขึ้นมา ฉะนั้นตัวผู้รู้ของหลวงพ่อจะแข็งแรงกว่าพวกเราเยอะ แข็งแรงกว่ากันมาก ครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่สิม ท่านเจอหลวงพ่อ ท่านไม่รู้จักชื่อ ท่านเรียกหลวงพ่อว่าผู้รู้ เพราะจิตหลวงพ่อไม่ใช่ผู้หลง เราฝึกของเรามาตั้งแต่เด็ก ของพวกเราทำไม่ได้ ก็ใช้ฝึกสมาธิเป็นขณะๆ เรียกขณิกสมาธิ ทำกรรมฐานไป จิตหลงไปคิด รู้ทัน จิตหลงไปเพ่ง รู้ทัน ถ้ารู้แล้วหายก็ดี ถ้ารู้แล้วไม่หาย ก็รู้ลึกลงไปอีก มันเพ่งเพราะมันอยากดี มันอยากปฏิบัติ พอรู้ทันอยาก อยากดับ การเพ่งก็ดับ จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา
-
Not Synced
ฉะนั้นสมาธิก็มีหลายแบบ บทเรียนที่หนึ่ง อธิสีลสิกขา ตั้งใจรักษาศีล 5 ข้อไว้ก่อน เป็นพระก็ต้องรักษาศีล 5 หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยจวกลูกศิษย์บางองค์ บอกอวดว่ามีศีล 227 แต่ไม่ถือศีล 5 คนนี้ที่ถูกท่านดุ สุดท้ายอยู่ไม่ได้ สึกไป ก่อนจะสึกเที่ยวหลอกลวงผู้คน จนเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่เลย หลอกคนโน้น หลอกคนนี้ไป เติบโตขึ้นไป สุดท้ายกรรมตัดรอนอยู่ไม่ได้ สึก คนนี้หลวงปู่บอกไม่ได้ถือศีล 5
-
Not Synced
เมื่อก่อนหลวงพ่อเข้าใจผิด ตอนหลวงพ่อไปเรียนกับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อเข้าไปหา ล้วนแต่พระดีทั้งนั้นเลย จนเราเกิดความหลงผิด โอ้ พระกรรมฐานนี้ดีทุกองค์ อันนี้เป็นความหลงผิด กว่าจะหายหลงผิดมาบวชอยู่พักใหญ่แล้ว ถึงรู้ว่าไม่ใช่หรอก บางพวกก็เล่นคุณไสย บางพวกก็หลอกชาวบ้าน หลอกโน้น หลอกนี้ คนก็นึกว่าพระอรหันต์ ที่จริงเป็นพระอรหิว หิวตลอด เราดูให้ดีเถอะ พระอรหันต์ไม่หิว ถ้าหิวไม่ใช่พระอรหันต์หรอก สังเกตให้ดีเถอะ วิธีดูที่ง่ายๆ อยากได้โน้น อยากได้นี้ ไม่ใช่หรอก พวกเราก็จะโง่ ตกเป็นเหยื่อ
-
Not Synced
อันแรกถือศีล ตั้งใจไว้ก่อนว่าเราจะรักษาศีล 5 ตั้งใจไว้ทุกวัน วันละหลายๆ รอบ ได้วันละ 5 ครั้งก็ดี ตอนตื่นนอน ตอนกินข้าวเช้า ข้าวกลางวัน ข้าวเย็น ตอนก่อนนอน ตั้งใจไว้เรื่อยๆ เตือนตัวเองไป ว่าเราจะต้องรักษาศีล 5 พอเตือนบ่อยๆ จิตใจมันจำได้ เวลามันจะทำผิดศีล มันจะรู้ตัวขึ้นมา เฮ้ย นี่มันจะผิดศีลแล้ว เสียทั้งอธิษฐานบารมี เสียทั้งสัจจบารมี เสียไปหมดเลย ขันติอะไรไม่มี มันจะค่อยๆ เห็น แล้วต่อไปเวลาอยากทำผิดศีล มันละอายใจ แล้วมันก็กลัวผลของการที่จะทำผิดศีล เราเกิดหิริโอตัปปะ นี้เป็นธรรมโลกบาล ธรรมคุ้มครองโลก
-
Not Synced
ถ้าเราทำได้ มีหิริโอตัปปะได้ ถือศีล 5 ไว้ โอกาสไปเป็นเทวดาสูงมาก ฉะนั้นตั้งใจ นอกจากเรื่องศีล ก็เรื่องสมาธิ แยกแยะให้ออก มิจฉาสมาธิไม่มีสติ รู้โน้นรู้นี้ เห็นโน้นเห็นนี้ ไม่เห็นอันเดียวคือใจตัวเอง สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่มีสติ มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งทำไปเพื่อความสงบ น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง แต่พอเราอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง จิตมันสงบเอง เพราะความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ
-
Not Synced
สมาธิอีกอันหนึ่งที่ถูกต้อง มีสติอยู่ เป็นสมาธิที่จะเห็นไตรลักษณ์ได้ ไม่ได้น้อมจิตไปอยู่ที่อารมณ์ แต่มีอารมณ์เป็นเครื่องสังเกตจิต อันที่ 1 นั้นน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์ อย่างรู้ลมหายใจ รู้ลมหายใจ แล้วจิตไปแนบอยู่กับลมหายใจ สงบ สบาย นี้อันหนึ่ง ลมหายใจเป็นตัวหลัก สมาธิที่ถูกอันที่ 2 จิตเป็นตัวหลัก เพราะฉะนั้นเราทำกรรมฐานไป มีอารมณ์กรรมฐานเหมือนเดิมนั่นล่ะ แต่รู้ทันจิตตัวเอง ไม่ใช่น้อมจิตไปอยู่ที่อารมณ์
-
Not Synced
อย่างหลวงพ่อใช้หายใจเอา พอหายใจไปแล้ว จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ทัน จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ทัน จิตเป็นตัวเอก ถึงเรียกว่าอธิจิตตสิกขา ทำได้อย่างนี้ถึงจะใช้ได้ พอจิตเราขยับเขยื้อน เราเห็น เคลื่อนไปคิดก็รู้ เคลื่อนไปเพ่งก็รู้ ฝึกให้ชำนิชำนาญ จนกระทั่งสามารถเห็นได้อัตโนมัติ เมื่อเราสามารถเห็นจิตมันทำงานได้อัตโนมัติแล้ว การภาวนาจะง่ายแล้ว จิตเราตั้งมั่นแล้ว เมื่อก่อนหลวงพ่อเข้าใจผิด เพราะหลวงพ่อทำจิตให้ตั้งมั่นได้ตั้งแต่ 10 ขวบ แล้วก็คิดว่าคนทั้งโลก จิตเขาก็เหมือนเรา ก็เลยภาวนา รู้สึก แหม มันง่าย ไม่เห็นทำอะไรเลย
-
Not Synced
รู้กายรู้ใจ เห็นกายเห็นใจมันทำงานไปเรื่อยๆ ไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เห็นยากตรงไหนเลย อย่างโกรธ ใจเราโกรธ เรารู้ว่าใจเราโกรธ ไม่เห็นยากเลย แต่พอมาเห็นพวกเรามากเข้าๆ รู้สึก โอ้ มันยากตรงที่จิตมันไม่ตั้งมั่น เวลาโกรธ ใจไปอยู่ที่คนที่ทำให้โกรธ เวลารัก ใจไปอยู่ที่คนที่เรารัก ไม่เห็นว่าใจกำลังรัก มันผิดกันนิดเดียวเท่านี้เอง ผิดกันนิดเดียว แต่หน้ามือเป็นหลังเท้าเลย เปลี่ยนคนละโลกเลย เหมือนเหวกับท้องฟ้าเลย ระหว่างหลงกับรู้ ทั้งๆ ที่มันนิดเดียว คาบเส้นนิดเดียวเอง แล้วตัวรู้เราก็ไม่รักษา เราพบว่าตัวรู้นี้ไร้น้ำหนัก บางเฉียบ เงียบกริบ
-
Not Synced
ถ้าเราบอกเรามีตัวรู้ แต่ใจเราหนักๆ อันนี้ไม่ใช่หรอก ถ้ามีตัวรู้แล้วก็รู้สึก แหม รู้ยาว ไม่ใช่หรอก มันรู้บางเฉียบนิดเดียว ชั่วขณะเดียว เป็นขณะๆๆ ไป แล้วบอกมีสมาธิอยู่ ข้างในพูดจ๋อยๆๆๆ ไม่เงียบเลย พูดไม่เลิกเลย ฉะนั้นตัวจิตผู้รู้จริงๆ ไร้น้ำหนัก บางเฉียบ เงียบกริบ ไม่พูด ไม่วิพากษ์วิจารณ์ รู้สภาวธรรมที่กำลังมีกำลังเป็น อย่างที่มันมี อย่างที่มันเป็น ตรงตัวจิตผู้รู้นี้ มีองค์ธรรมประกอบหลายตัว 1 มีสัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นโดยที่ไม่ได้รักษา
-
Not Synced
อันที่สอง มีสัมมาสติ สติระลึกรู้อะไร เราเลือกไม่ได้ สติก็เป็นอนัตตา บางทีก็รู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้ธรรมารมณ์ เรื่องราวต่างๆ ในใจ แต่สติระลึกรู้อะไรก็ไม่เป็นไร แต่จิตตั้งมั่นไม่ไหลไปในสิ่งที่เรารู้ ตัวนี้ล่ะที่พวกเราทำไม่ค่อยได้ เห็นดอกไม้ จิตไหลไปอยู่ที่ดอกไม้ ได้ยินเสียง จิตไหลไปฟังเสียง ไม่เคยเห็นว่าจิตไหลไป แล้วจะเอาดีได้อย่างไร เพราะจิตไม่ตั้งมั่น ถ้าอยากให้จิตตั้งมั่น ทำกรรมฐานไป แล้วคอยรู้ทันจิตที่ไหล ไม่ใช่ทำกรรมฐานแล้ว ห้ามไม่ให้จิตไหล
-
Not Synced
ห้ามไม่ให้จิตไหล จะเพ่ง เพ่งจิต จิตที่เราไปเพ่งไว้ มันไหลเรียบร้อยแล้ว มันไหลไปไหน มันไหลไปจ้องจิต ยังมีการไปการมา การเคลื่อนที่ ยังไม่ได้เรื่อง เราต้องฝึก ทุกวันตั้งใจถือศีล 5 ไว้ วันหนึ่งตั้งใจไว้ 5 รอบได้ยิ่งดี มุสลิมเขาละหมาดวันละ 5 ครั้ง เราตั้งใจถือศีล 5 วันละ 5 ครั้ง มันจะตายให้มันรู้ไป ทุกวันทำในรูปแบบ ฝึกจิตใจของเราเข้มแข็ง ขี้เกียจ ขี้เกียจได้ไหม ได้ ท้อได้ไหม ได้ แต่ขี้เกียจก็ไม่เลิก ท้อก็ไม่เลิก ถึงเวลาต้องปฏิบัติทำในรูปแบบ
เมื่อวานหรือวานซืนฝากคุณแม่ไป คุณแม่ไปสอนที่คอร์ส คุณแม่บอกพวกนี้พวกเก่าๆ ให้ทำอะไร บอกไปบอกเลยว่าให้เดินจงกรมวันละ 3 ชั่วโมง ทำได้แล้วค่อยมาว่ากัน ทำไม่ได้ ไปเกิดชาติหน้าเอา ไม่มีทางหรอก แค่นี้ก็ไม่กล้าแล้ว แค่นี้ก็กลัวแล้ว บางคนได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนี้ สำนึก แล้วใจนี้อ่อนยวบลงไปเลย แต่ใจอ่อนยวบเฉยๆ ยังไม่ได้คิดสู้ ต้องสู้ ถึงเวลาแบ่งเวลาไว้เลย
-
Not Synced
สมมติเราไม่มีเวลา ภาวนาวันละ 3 ชั่วโมง ตื่นนอนมาเอามันเสีย 1 ชั่วโมง กลางวันเก็บมันทุก 5 นาที 5 นาทีทุกๆ ชั่วโมง 1 ชั่วโมงเก็บ 5 นาที ได้ชั่วโมงแล้ว กลางคืนภาวนาอีกสักชั่วโมง ชั่วโมงครึ่งอะไรอย่างนี้ เท่ากับวันหนึ่งเราภาวนาได้ 3 ชั่วโมงกว่า เอาให้ได้ ฝึก ถ้าแค่นี้ไม่ได้จะไปข้ามวัฏฏะได้อย่างไร ข้ามวัฏฏะได้ บอกดีไหม เดี๋ยวจะฝ่อเสียอีก ต้องเอาชีวิตเข้าแลก
-
Not Synced
ครูบาอาจารย์สอนนิพพานอยู่ฟากตาย ถ้ายังรักตัวกลัวตายอยู่ ก็ได้ธรรมะขั้นต้นๆ ก็ยังดี สะสมไป ได้โสดาบัน สกทาคามีอะไรอย่างนี้ ฉะนั้นถึงเวลาทำในรูปแบบ สังเกตตัวเอง วันนี้ใจฟุ้งซ่าน น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง วันนี้ฟุ้งซ่านก็พักผ่อน ให้จิตไปพักอยู่ในอารมณ์ที่มีความสุข อย่างหลวงพ่อหายใจเข้าพุทออกโธแล้วมีความสุข หลวงพ่อเวลาจะพัก หลวงพ่อก็ไปอยู่กับหายใจเข้าพุทออกโธ
-
Not Synced
เมื่อก่อนเวลาหลวงพ่อจะเดินปัญญา หลวงพ่อเห็นความไหวที่กลางอก เกิดดับๆ อยู่ที่กลางอก ยิบยับๆๆ บางทีถ้าแรงก็เคลื่อน ถ้าไม่แรงก็ไหวยิบยับๆ อยู่อย่างนี้ หลวงพ่อก็ดูตัวนี้เอง ก็เห็นมันเกิดดับตลอดเวลา เห็น โอ้ ตาเห็นรูปจิตก็ไหว หูได้ยินเสียงจิตก็ไหว จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิด จิตก็ไหว เห็นมันไหวๆๆ ที่ไหวๆ นี้ บางทีก็ปรุงดี บางทีก็ปรุงชั่ว บางทีก็ปรุงสุข บางทีก็ปรุงทุกข์
-
Not Synced
มันเริ่มมาจากที่ไหวๆ อยู่กลางอกนี่ล่ะ แล้วก็ผุดขึ้นมา เหมือนกับมันเป็นราก เป็นราก เป็นหัวของต้นไม้ มันมีหัวอยู่ใต้ดิน ฝังอยู่ ถึงเวลาที่เหมาะที่ควร ก็งอกขึ้นมา งอกขึ้นมาเป็นราคะ เป็นโทสะ เป็นโมหะ พองอกขึ้นมามีใบ มีกิ่งก้าน หากินได้ หัวมันก็ยิ่งใหญ่ขึ้น หัวมันยิ่งโตขึ้น แต่ถ้าราคะหรือโทสะ มันงอกต้นขึ้นมาจากกลางอกเรานี้ ตัวนี้เป็นอนุสัย มันงอกขึ้นมา พอออกใบเล็กๆ สติเราเห็น เหมือนเราตัดยอดมัน ตัดมันไปเรื่อยๆ หัวมันจะค่อยๆ ฝ่อ มันสูญเสียพลังงาน เสียอาหารของมันไปเรื่อยๆ ในการที่จะงอกแต่ละครั้ง สุดท้ายมันงอกไม่ได้ มันตาย
-
Not Synced
เมื่อปี 2527 หลวงพ่อไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ “หลวงปู่ครับ ผมเห็นจิตต้นกำเนิดแล้ว มันผุดขึ้นมาอย่างนี้” หลวงปู่ก็คึกคักแอคทีฟ ยุคนั้นพวกเรายังไม่เคยได้ยิน หลวงพ่อยังไม่เคยรู้เลย ภาวนาแล้วมันมาเจอเอง ก็ไปบอกท่านเราเห็นแล้ว จุดต้นกำเนิดมันอยู่ที่ตรงนี้เอง อยู่ที่หทยะ หทยรูป เป็นจุดกำเนิดของนามธรรม ทั้งกุศล ทั้งอกุศลทั้งหลาย มันผุดขึ้นมา
-
Not Synced
บอก “ผมเห็นจิตต้นกำเนิดแล้ว” แต่มันยังมีเชื้อเกิด นี่เห็นหัว หัวของพืชที่อยู่ในใต้ดินนี้ มันยังมีเชื้อเกิดอยู่ “ทำอย่างไรผมจะทำลายเชื้อเกิดได้” นี่ที่ไปถามท่าน ถามอย่างนี้เมื่อปี 2527 ท่านก็ยิ้มหวานเลย ท่านก็ตอบให้ “ให้ภาวนาไป ทำไปเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่งก็จะทำลายเชื้อเกิดได้ ต้องอดทน” ครูบาอาจารย์สอนหลวงพ่อภาวนา สอนครั้งเดียว หลวงพ่อทำไม่เลิก ของพวกเราสอนปุ๊บทำปั๊บ เลิกปั๊บ
-
Not Synced
พอฟังเทศน์เสร็จ เอาแล้วฟุ้งซ่านแล้ว ไม่คิดเรื่องธรรมะอะไร ไม่เอาแล้ว เอาแต่เรื่องฟุ้งซ่าน เรื่องหลงโลก แล้วมันจะดีได้อย่างไร ถึงเวลามาเข้าคอร์ส เดี๋ยวคอร์สนั้น เดี๋ยวคอร์สนี้ พอเข้าคอร์สแล้วก็อิ่มเอม โอ้ ดีจังเลย ได้สะสม ถามว่าดีไหม ก็ดีเหมือนกัน ก็ได้สะสมบารมีไป การที่เราจะไปหาพระศรีอริยเมตไตรยนั้น เราต้องเดินทางไกล สะสมไป มีเสบียง แต่ถ้าอยากพ้นทุกข์เร็วๆ เข้มแข็งกว่านี้ ไม่ใช่เส้นทางของคนอ่อนแอ กล้าไหมที่จะละทิ้งความสนุกสนาน เพลิดเพลิน หลวงพ่อกล้าตั้งแต่เป็นโยม เลิกงานปุ๊บ ไม่มีธุระกลับบ้านทันทีเลย ไม่เที่ยว
-
Not Synced
วันหยุด วันพักผ่อน เก็บไว้หมดเลย ถึงจังหวะเหมาะๆ มีวันหยุดราชการ อย่างช่วงธันวาคมมีหลายวัน หลวงพ่อก็เอาวันลามาใช้ลาแทรกเข้าไป แทรกหัว แทรกท้าย แทรกตรงกลาง ได้ช่วงยาว 10 กว่าวัน เก็บวันลาไว้ทั้งหมดเลย เพื่อไปภาวนาอยู่ตามวัดป่า สมัยโน้นวัดป่าน่าภาวนา วัดป่าสมัยโน้นเป็นที่สัปปายะ ที่สัปปายะเพราะมีครูบาอาจารย์ที่เลิศเลอ ที่ใด ใช้คำไหนดี ในพระไตรปิฎกท่านบอกพระอรหันต์อยู่ตรงไหน ที่นั้นสัปปายะ
-
Not Synced
ทุกวันนี้หาครูบาอาจารย์ยาก ก็เริ่มไม่สัปปายะแล้ว ที่ไหนก็เต็มไปด้วยกิเลสท่วมทุกหนทุกแห่ง เมื่ออาทิตย์ก่อนมีพระองค์หนึ่งมา พระองค์นี้ท่านเวียนมาเรียนกับหลวงพ่อนานหลายปีแล้ว เรียนแล้วก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อวันเสาร์ก่อน หรือวันอาทิตย์ วันเสาร์หรืออาทิตย์ ท่านมา หลวงพ่อ เอ๊ะ ท่านไปทำอะไรมา ท่านภาวนารู้เรื่องแล้ว ท่านบอก ท่านไม่ทำอะไรเยอะหรอก ท่านเดินจงกรมอยู่ 4 ปี เดินไปอยู่นั่นล่ะ เดินไปรู้สึกตัวบ้าง หลงบ้าง แต่ทำไม่เลิก
ท่านบอกท่านเดินจงกรม 4 ปี อยู่ๆ อย่างเคยได้ยินได้ฟังหลวงพ่อพูด ไปเดินจงกรมไปเรื่อยๆ ตอนเดินไม่คิด ลืมทุกอย่างหมด เห็นร่างกายเดิน ใจเป็นคนดูไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งธรรมะมันผุดขึ้นมา เข้าใจขึ้นมา จิตตื่นโพลงขึ้นมา ถามท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกอยู่ที่วัดทางจันทบุรี เป็นวัดครูบาอาจารย์ บอก โอ้ เขายังปฏิบัติกันเยอะหรือ ไม่มี บอกท่านเดินจงกรม พวกพระยังมาถามท่านเลย ว่าหลวงตาทำอะไร เดินไปเดินมา ไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง นี่วัดกรรมฐาน
-
Not Synced
วัด พอสิ้นครูบาอาจารย์ไปนานๆ ไม่รู้จักเดินจงกรม ถ้าเราไปอยู่ในที่ๆ คนเหลวไหล แล้วเราไม่มีหลัก ไม่มีความเข้มแข็งของเราเอง เราก็จะถูกดูดให้เหลวไหล ทุกวันนี้ไม่รู้จะไปภาวนาที่ไหนแล้ว ที่ดีๆ ยังมี แต่ส่วนใหญ่ท่านไม่รับโยม มีน้อยแต่ไม่รับโยม หายากที่จะภาวนา เพราะฉะนั้นเราต้องทำบ้านเราให้เป็นวัดให้ได้ อะไรที่พะรุงพะรัง หมายถึงรกรุงรังในใจเรา วางเสีย
-
Not Synced
หลวงพ่อก็เป็นคนเมืองเหมือนพวกเรา หลวงพ่อเลิกงาน หลวงพ่อกลับบ้าน อาบน้ำ กินข้าว ใจยังเหนื่อยอยู่ ก็ไม่รีบไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม ใจล้า ทำงานมาทั้งวัน คิดทั้งวัน หลวงพ่อเปลี่ยนอารมณ์ ซื้อหนังสือการ์ตูนมาอ่าน แนะนำว่าถ้าจะซื้อการ์ตูนอ่าน ให้ซื้อการ์ตูนเด็ก อย่าซื้อการ์ตูนลามก อ่านแล้วสมาธิไม่เกิดหรอก หลวงพ่ออ่านต่วยตูน ขายหัวเราะ มหาสนุก อ่านพวกนี้ ยังมีขายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีแล้วมัง เขาไม่พิมพ์หนังสือกันแล้ว
เมื่อก่อนไปอ่านพวกนี้อ่านแล้วก็ขำบ้าง ไม่ขำบ้าง มันก็แก๊กเดิมล่ะ ติดเกาะมันก็ติดอยู่อย่างนั้น ทั้งเกาะมีต้นมะพร้าวอยู่ต้นเดียว วาดอยู่อย่างนั้น โจรมุมตึก มันก็อยู่มุมนั้น ขำบ้าง ไม่ขำบ้าง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยขำ ดูๆ ไปอย่างนั้นล่ะ ทำไมไม่ขำ เพราะมันแก๊กมันซ้ำๆๆ ใครมันจะไปคิดมุขใหม่ได้ตลอด แต่เราดูเปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนอารมณ์ วันไหนไม่มีการ์ตูนดู เอาพระมาส่อง ดูพระ องค์นี้เนื้ออย่างนี้ๆ เวลาจับพระ หลวงพ่อเป็นมาแต่เด็ก จับพระแล้วมันมีความรู้สึกขึ้นในใจ
-
Not Synced
ตอนเด็กๆ เห็นที่บ้านพ่อ เขามีพระองค์หนึ่งยาวแค่นี้ พระอะไรก็ไม่รู้โตดี เอาไปถือเล่น ถือเล่นใจเราคึกคัก ถือเล่น สุดท้ายพ่อเห็นบอกเอามาเถอะองค์นี้ เปลี่ยนเอาอีกองค์ เดี๋ยวคอหัก องค์นั้นเป็น เขาเรียกพระงั่ง พ่อเขาเคยบวชอยู่วัดสุทัศน์ฯ กับพระสังฆราชแพ ท่านให้มา แล้วก็องค์นี้ขอคืน เอาพระชินราชไปถือแทน เวลาถือมันมีความรู้สึกไม่เหมือนกัน รู้สึกเอง ก็ชอบ ไปไหนก็ถือพระไปเรื่อย จนพระนั้นลอก จมูกลอกหมดเลย ทั้งๆ ที่เป็นโลหะ ใจมันจดจ่ออยู่กับเรื่องอย่างนี้ จดจ่อ ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นการทำสมาธิ มันเล็กๆ ตอนนั้น พอทำสมาธิ ไปเรียนกับท่านพ่อลี 7 ขวบ ทำทุกวัน ทำไปเรื่อยๆ จิตมันตั้งมั่น
-
Not Synced
พวกเราอยากดี ต้องเข้มแข็ง อะไรที่จะทำให้เราอ่อนแอลงหลีกเลี่ยงเสีย สิ่งที่ต้องเลี่ยงมากที่สุดเลย คือการผิดศีล อย่าผิดศีล ต้องเข้มแข็งอย่างนั้น เคยมีพระองค์หนึ่งท่านบอกว่า ในอดีตชาติท่านเกิดเป็นคนยากจนที่เมืองจีน ฝนแล้งทั้ง 3 ปี ทำนาไม่ได้ พวกเพื่อนบ้านเขาก็ออกไปล่าสัตว์ ท่านไม่ยอมทำ พยายามจะปลูกพืชปลูกอะไร ขึ้นบ้าง ไม่ขึ้นบ้าง ทำ ชาวบ้านหัวเราะเยาะว่าเป็นคนโง่ ไม่รู้จักทำมาหากิน ขนาดมีลูกเล็กๆ ก็ไม่ไปฆ่าสัตว์ เพื่อจะเอามาไปขาย ไปเลี้ยงลูก ไม่ทำ ยอม ถึงขนาดยอมตาย ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาศีล
-
Not Synced
ถ้าคนอย่างนี้เขาภาวนา เขาจะไม่ยาก ใจของเขาเด็ดเดี่ยว ฉะนั้นพวกเราต้องเด็ดเดี่ยว ศีล ตั้งใจสู้ตาย ให้เด็ดเดี่ยวไว้ สมาธิฝึกทุกวัน วันหนึ่งมากๆ ยิ่งดี มีเวลาเมื่อไรก็ทำ ตื่นนอนให้เร็วขึ้นหน่อย นั่งสมาธิ เดินจงกรมอะไรก็ทำ ก่อนนอนก็ต้องทำ ทำทุกวัน แต่ทำด้วยความมีสติ ถ้าขาดสติเมื่อไรเป็นมิจฉาสมาธิ
-
Not Synced
พอฝึกเรื่อยๆ จิตมันจะมีแรง ทำความสงบ จิตมันจะได้กำลัง รู้เท่าทันจิต จิตจะปราดเปรียว พร้อมที่เดินปัญญา ถัดจากนั้นก็ถึงงานสุดท้าย การเจริญปัญญา ทันทีที่จิตเรามีพลังมากพอ ขันธ์มันจะแยก อย่างเวลาพวกเราฟังหลวงพ่อเทศน์ จิตมันจะมีพลัง เพราะหลวงพ่อไม่ได้ท่องมาเทศน์ หลวงพ่อเทศน์ด้วยจิตของหลวงพ่อจริงๆ ด้วยกำลังของสมาธิ ถึงบอกอย่ามาถ่ายรูป ปิดมือถือเสีย มันกวนสมาธิ ธรรมะจะสะดุด
-
Not Synced
ฉะนั้นเวลาพวกเราฟังหลวงพ่อเทศน์ รับรองไม่เหมือนที่อื่นฟัง ไม่เหมือนไปฟังที่อื่นหรอก ฟังที่อื่นก็หลับบ้างอะไรบ้าง ของที่ ฟังที่หลวงพ่อไม่ค่อยมีคนหลับ นอกจากพวกผิดปกติจริงๆ เวลาที่ฟังเทศน์หลวงพ่อ จิตมันจะมีกำลัง มันจะมีความห้าวหาญขึ้นมา ลองระลึกลงในร่างกาย ลองนึกถึงร่างกายของตัวเอง ไม่ต้องใช้คำระลึก ลองนึกถึงร่างกายสิ รู้สึกไหมร่างกายเป็นของถูกรู้ ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
-
Not Synced
ถ้าจิตมีกำลังพอ สติระลึกรู้กาย ก็เห็นว่ากายกับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน นี่แยกขันธ์ได้ แล้วจะเห็นร่างกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตที่ไปรู้กายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ นี่ขึ้นวิปัสสนาแล้ว ถ้าจิตมีกำลังเกิดเวทนาทางกาย ก็เห็นว่าร่างกายก็อันหนึ่ง เวทนาทางกายก็อันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง
-
Not Synced
เมื่อวานมีผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนที่หลวงพ่อเล่าว่า เดินปัญญาแล้วเละเทะ สมาธิไม่พอ ให้ทำสมาธิแล้วก็จะไปรีบเดินปัญญา เขามาส่งการบ้านว่า เขาจะทำอย่างไรดี เขานั่งสมาธิ นั่งจนปวดมากเลย แล้วเขาก็ดูไปที่ความปวด ดูอยู่อย่างนั้น มันก็หายบ้าง ไม่หายบ้าง ดูอยู่อย่างนั้น แล้วมันทำไมไม่เจริญ บอกไปสังเกตให้ดี เวลาเห็นเวทนา เห็นความปวดในร่างกาย จิตมันไหลไปที่ความปวด จิตมันไม่ได้ตั้งมั่น เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ก็เรียกไม่มีสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธินั่นล่ะ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา อันนั้นจิตมันถลำลงไปจมอยู่กับความเจ็บปวด มันไม่ตั้งมั่น ปัญญาไม่เกิดหรอก มันก็ทรมานไปอย่างนั้นเอง เป็นอัตตกิลมถานุโยคเฉยๆ
-
Not Synced
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปเดินปัญญา จิตต้องตั้งมั่น ต้องฝึก ถ้าจิตตั้งมั่นจริง สติระลึกรู้กาย เห็นกายไม่ใช่เราแล้ว สติระลึกรู้เวทนา เวทนาไม่ใช่เรา ไม่ต้องคิดเลย มันเห็นเลยว่าไม่ใช่เราหรอก สติระลึกรู้สังขาร ก็เห็นสังขาร ปรุงดีปรุงชั่วไม่ใช่เราหรอก มันจะเรียนรู้พวกนี้แล้วค่อยวางๆๆๆ จากของหยาบเข้ามาที่ละเอียด ที่ละเอียดที่สุดก็คือจิต สุดท้ายมันจะเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา จิตเองก็เกิดดับ จิตเกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง แล้วก็เลือกไม่ได้
จิตเกิดดับคือเห็นอนิจจัง เลือกไม่ได้ว่าจิตจะไปเกิดที่ไหน อันนี้คืออนัตตา ถ้าเข้ามาถึงตรงนี้ จิตมันยอมรับอย่างแจ่มแจ้ง จิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ทั้งหมดไม่ใช่เราแล้ว นั่นคือภูมิจิตภูมิธรรมของพระโสดาบัน อยากเป็นพระโสดาบัน แล้วไปนั่งทรมานไปเรื่อยๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางที่จะเป็นพระโสดาบันเลย มันเป็นทางของพวกนิครนถ์ ทรมานตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วหวังว่าวันหนึ่งจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เส้นของพุทธ มันเป็นเส้นของนิครนถ์
-
Not Synced
ฉะนั้นพวกเราจริงๆ เราไม่ใช่พุทธเท่าไรหรอก เป็นฮินดูบ้าง เป็นศาสนาผีบ้าง เป็นศาสนานิครนถ์บ้าง พวกเชน แล้วก็เป็นศาสนาพระเจ้า แทบไม่มีคนที่เป็นพุทธจริงๆ เลย มีแต่พุทธปนเปื้อน แล้วเมื่อไรจะได้ เมื่อไรจะได้ ทำไปเถอะ เดี๋ยวเจอพระศรีอาริย์แล้วก็อาจจะได้ ทำไป สะสมความดีไป เล่าให้ฟังขนาดนี้ เข้มแข็งนะ ต้องเข้มแข็ง เส้นทางนี้เส้นทางของคนกล้า ไม่ใช่เส้นทางอ่อนแอ ถ้าอ่อนแอก็เรียกร้องให้คนช่วย ให้ช่วยโน้นช่วยนี้ ไม่ทำมาหากินแต่อยากรวย ก็ไปไหว้เทวดา ขอให้รวย เทวดาไม่ได้พิมพ์แบงก์ได้ บอกให้เทวดาช่วยให้รวย ไม่มีบุญตัวเองอย่างไรก็ไม่รวย
-
Not Synced
แล้วความอยากรวยมันทำให้เราตกเป็นเหยื่อ คนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ ตกเป็นเหยื่อที่บอกมาไหว้เทวรูปของวัดนี้ดี มีคนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ติดต่อกัน 10 กว่างวดแล้ว เป็นไปได้ไหม ถ้าเรียนคณิตศาสตร์จะรู้ มันเป็นไปไม่ได้เลย สมมติว่า 15 งวด 1,000,000 ใบ มันมีที่ 1 ใบหนึ่ง เท่ากับ 1,000,000 ยกกำลัง 15 มันเท่าไร มันเป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้ ในทางสถิติเป็นไปไม่ได้เลย คนหนึ่งจะถูกรางวัลที่ 1 ติดต่อกัน 10 กว่าครั้ง ถ้าถูกอย่างนั้นก็คือล็อกเลขแล้ว ถึงจะถูก
-
Not Synced
ไม่เป็นพุทธ ไม่ได้คิดจะพึ่งตัวเอง คิดแต่พึ่งอะไรลมๆ แล้งๆ หลอกตัวเองไปวันๆ หนึ่งแล้วก็มีความสุข ชาวพุทธไม่หลอกตัวเอง ชาวพุทธเรียนรู้ความจริงของตัวเอง เรียนรู้ความจริงได้ สุดท้ายก็ปล่อยวางได้ ปล่อยวางได้ก็พ้นทุกข์ได้ ก็แค่นั้นล่ะ
-
Not Synced
วันนี้เทศน์แบบดุเดือด เป็นการให้รางวัลพวกไปเข้าคอร์ส ได้ยินเสียงไหม คอร์ส เข้าอยู่นั่นล่ะ ไม่เห็นจะดีขึ้นสักเท่าไรเลย แต่ถามว่ามีข้อดีไหม ดี ไม่หลุดออกนอกวงโคจร ยังมีพรรคมีพวก คอยดึงกันไปดึงกันมา ดึงกันเข้าคอร์ส ดึงกันปฏิบัติ พอเลิกแล้วก็ดึงกันไปเที่ยว มันประเภทนั้นล่ะ พวกดาวหาง หางยาว พอเข้าใกล้ดวงอาทิตย์แล้วหางหด หางยาวใช่ไหม หรือหางหด ผลุบๆ โผล่ๆ คนที่ได้ประโยชน์เวลาเข้าคอร์สคือคนจัด เขาได้บุญ คนสอน เวลาสอน สิ่งที่เขาได้ เขาได้ปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ อันนั้นเป็นประโยชน์ ส่วนคนเข้าคอร์สจะได้ประโยชน์หรือเปล่า อยู่ที่ตัวเองแล้ว ได้โอกาสแล้วก็ทำประโยชน์ให้มันเต็มที่
-
Not Synced
คำถาม 1: ระหว่างวันหลงนาน ส่วนใหญ่อยู่ในโลกของความคิด ทำในรูปแบบมักจะเพ่ง เดินจงกรมเป็นส่วนใหญ่ มีวิหารธรรมเป็น “เมตตาคุณัง อะระหังเมตตา” เพราะโมโหร้าย จึงสอนตัวเอง ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อลดโทสะ ควรปรับแก้ไขตรงไหนคะ
-
Not Synced
หลวงปู่: ทำไปเถอะ มันก็ค่อยๆ ดีขึ้น มันไม่ดีปุ๊บปั๊บหรอก ใช้เวลา ภาวนาเราไม่ใจร้อน ค่อยๆ ทำของเราไปเรื่อยๆ แต่ไม่ขี้เกียจเท่านั้นล่ะ แล้วมันก็จะดีขึ้นๆ ถ้าทำบ้างไม่ทำบ้าง ไม่ดี เบอร์ 1 ยังฟุ้งซ่านอยู่ หัดทำความสงบ หัดบ้าง ไม่อย่างนั้นใจมันจะแรงไม่พอ ไหว้พระ สวดมนต์ไปเรื่อยๆ ก็ได้ ให้ใจจดจ่ออยู่กับพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ ก็ได้ หลวงพ่อใช้หลายอย่างเวลาทำสมถะ
-
Not Synced
บางทีจิตมันฟุ้ง จิตมันฟุ้งจะไปทำให้มันไม่ฟุ้ง ทำยาก พามันใช้ความคิดพิจารณา กำหนดหัวข้อธรรมะ ให้มันพิจารณาธรรมะเรื่องนี้ หมวดนี้ ใจมันมีความสุขในการพิจารณาธรรมะ ใจมันก็สงบได้ ได้แรง พวกเราบางคนก็ใช้วิธีนี้ ใช้วิธีคิดพิจารณาธรรมะ ใจมีความสุข ได้แรงขึ้นมา แล้วก็เคยชิน ติด เอะอะก็จะไปคิดให้มีความสุขเรื่อยๆ ตรงนั้นทำผิดแล้ว ไปติด ติดสมาธิ ไปทำสมถะ ไปเลือกดู ไปสังเกตดู สมถะอะไรเหมาะกับเรา ไม่ต้องเหมือนคนอื่นก็ได้ เอาที่เหมาะกับตัวเอง ทำแล้วจิตใจสงบสุข ไม่วอกแวกไปที่อื่น สังเกตอย่างนั้น สมาธิมันยังไม่พอ ใจมันยังฟุ้ง
-
Not Synced
เบอร์ 2 เพ่งอยู่ รู้สึกไหม มันแน่น
-
Not Synced
คำถาม 2: ตั้งใจภาวนาทุกวัน แบ่งเวลาทำในรูปแบบ นิสัยยังไม่ดี เอาแต่ใจตัวเอง มีโทสะและขี้หงุดหงิด มีเป้าหมายอยากพ้นทุกข์ เห็นร่างกายมีแต่ทุกข์ ไม่ได้อยากได้สมาธิเหมือนเมื่อก่อน หวังเพียงความผ่อนคลาย จะคอยรู้สึกตัว หลงให้สั้นลง เพ่งก็คอยรู้ทัน จะตั้งใจรักษาศีลและทำปัจจุบันให้ดี มาถูกทางไหมคะ
-
Not Synced
หลวงปู่: ถูกแล้ว คอยทำไปเรื่อยๆ อย่าใจร้อนก็แล้วกัน ธรรมะมันก็เหมือนเรากินข้าว กินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบมูมมาม แล้วถึงเวลามันก็อิ่ม ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเหมือนคนตั้งท้อง ท่านบอกไม่ต้องรีบออกลูกหรอก เดี๋ยวมันก็ออกเอง เรามีหน้าที่ดูแลไม่ให้มันตายไปเท่านั้น ไม่ให้มันแท้ง ไปฝึกอีก ฝึกอีก ขี้โมโหก็รู้เอา โมโหมันเป็นกิเลสที่ดูง่าย โทสะ กิเลสอะไรเกิดก็รู้เอา ดีแล้วเบอร์ 2 แต่ตอนนี้จิตไม่ถึงฐาน สังเกตออกไหม มันยังอยู่ข้างนอกนิดหนึ่ง ไม่ต้องไปหามัน อย่าไปหามัน
-
Not Synced
ลองกำหนดจิต เหมือนกับความรู้สึกตัวเราอยู่ข้างนอกตรงนี้ แล้วหายใจเอาความรู้สึกตัว เข้าไปในร่างกาย อันนี้เป็นอุบาย หายใจเอาความรู้สึกตัวเข้าไป สังเกตไหมจิตตอนนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกัน ดูออกแล้วใช่ไหม ว่าเมื่อกี้มันออกนอก ดูออกก็ดีแล้ว ต่อไปมันง่าย มันรู้ว่าออกนอก มันก็วางเข้ามาเอง เบอร์ 2 ดีแล้ว ดูไปเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าให้จิตมันตั้งมั่นจริงๆ
เบอร์ 3 ก็ดีอยู่ ใช้ได้
-
Not Synced
คำถาม 3: เป็นคนคิดมาก ขี้กังวล เวลาไม่มีทุกข์หนักๆ มากระทบ รู้สึกว่าปฏิบัติได้ดี จิตหลงรู้ มีกำลังเห็นไตรลักษณ์ พอมีเรื่องกลุ้มใจก็ดูความกลุ้มใจ เห็นทุกข์มากทุกข์น้อยสลับกัน ทุกข์เพราะอยากให้มันหาย แต่ก็ยังทุกข์ มันหนักอยู่ในใจ รู้สึกว่ายังสอบไม่ผ่าน ยังถูกครอบงำ ขอการบ้านเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปค่ะ
หลวงปู่: ดูให้ลึกไปอีกชั้นหนึ่ง เวลาทุกข์เกิด ให้เห็นใจที่ไม่ชอบ ใจเราไม่เป็นกลาง ถ้าใจเราเป็นกลาง ทุกข์มันกระเด็นไปเลย เบอร์ 3 ทำได้ดี ทำได้ดีแล้ว แต่จิตมันไม่เป็นกลางต่อทุกข์ ฉะนั้นเวลาทุกข์ขึ้นมาอย่าอยากหาย ทุกข์ขึ้นมาให้รู้ว่าไม่ชอบ
-
Not Synced
อากาศชื้นๆ หลวงพ่อจะกระแอมกระไอ ที่จริงไม่อยากกระแอมกระไอเลย หมอนั่งอยู่หลายคน คนที่ทำให้หลวงพ่อเจ็บปวดมากที่สุด คือพวกหมอนี่ล่ะ มีเรื่องมาทำให้เจ็บอยู่เรื่อยๆ ด้วยความหวังดี
เบอร์ 4 อย่าไปแต่งจิตให้มันนิ่ง
-
Not Synced
คำถาม 4: ในชีวิตประจำวันใช้กายเป็นวิหารธรรม คอยรู้ทันจิตที่หลงคิด ในรูปแบบใช้นั่งสมาธิดูร่างกายหายใจแบบลืมตา เพราะหลับตาแล้วมักติดซึม บางครั้งรู้สึกแยกขันธ์ได้ เห็นอนัตตาของจิต แต่พอเผลอขาดสติ ขันธ์ก็รวมกัน หลวงปู่: ถูก จิตกลับมาเป็นตัวเราใหม่อยู่บ่อยๆ ขอหลวงปู่แนะนำ เพื่อต่อยอดการปฏิบัติด้วยครับ
-
Not Synced
หลวงปู่: จุดที่เป็นปัญหามากที่สุดคือความซึม ถีนมิทธะ เพราะฉะนั้นพยายามทำกรรมฐานที่เคลื่อนไหวไว้ ร่างกายเรานี้มันเคลื่อนไหว คอยรู้สึกไว้ ถ้าเราดูอารมณ์ที่ละเอียดไป มันจะเคลิ้มลืมเนื้อลืมตัวง่าย พยายามทำงาน ใช้ร่างกายทำงาน แล้วเห็นร่างกายมันทำงานบ่อยๆ อย่างเห็นร่างกายมันกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า อะไรอย่างนี้ เห็นร่างกายมันทำงาน ยกเว้นตอนขับรถ ไม่ต้องไปดู ตอนขับรถไปดูเดี๋ยวจิตรวม จิตรวมแล้วไปชนใครเขาเข้า พยายามเคลื่อนไหวไว้ถึงจะดี เพราะว่าถีนมิทธะเยอะ เบอร์ 4 ภาวนาดี ในพื้นฐานดี แต่จุดอ่อนมีนิดเดียว คือมันเซื่องซึมง่าย เพราะฉะนั้นกระดุกกระดิก
-
Not Synced
คำถาม 5: ปฏิบัติโดยการรู้กายที่เคลื่อนไหว รู้จิตที่นึกคิดปรุงแต่ง ระหว่างวันทำในรูปแบบ นั่งสมาธิ เดินจงกรม เป็นราคจริต รักสวยรักงาม จิตมีมานะมาก บางทีอยากสอนธรรมะคนอื่น เข้าใจธรรมชาติของจิต ที่มันคิดนึกและปรุงแต่ง ไม่เชื่อเรื่องความงมงายหรืออะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะเคยเห็นโทษของมันแล้ว กราบขอคำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ
-
Not Synced
หลวงปู่: จุดที่ยังพลาดอยู่ คือการไปดึงจิตเอาไว้ ไปรั้งจิตเอาไว้ ตั้งไว้อย่างนี้ อย่าไปตั้งไว้ ตรงนี้มันก็เป็นภพๆ หนึ่งของนักปฏิบัตินั่นล่ะ ถ้าไปทำแล้วมันก็ติดอยู่อย่างนั้น ไม่หายหรอก ที่มันมาตั้งอย่างนี้ เพราะมันอยากดี อยากรู้สึกตัว อยากดี อยากไม่เผลอ เห็นไหมมันมีความอยากซ่อนอยู่ ให้รู้ทันความอยากทั้งหลายนี้ แล้วมันจะไม่ไปตั้งจิตนิ่งไว้อย่างนี้ ตั้งนิ่งๆ อย่างนี้ ไปต่อไม่ได้จริงหรอก ไปแก้จุดนี้ แก้ผ่านจุดนี้ก็ไปได้ง่ายแล้ว สติปัญญาอะไรแข็งแรง ใช้ได้ ดี ไม่โง่หรอก
-
Not Synced
คำถาม 6: ถ้าวันไหนไม่ได้ฟังหลวงพ่อจะรู้สึกผิด ชอบอยู่บ้านนั่งสมาธิ เฉลี่ยเกือบวันละ 2 - 3 ชั่วโมง ชอบใช้พุทโธถี่ๆ มากกว่าดูลมหายใจ ยังฟุ้งซ่าน และหลงโลกอยู่มาก ยังเดินปัญญาไม่เป็น พยายามจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่บางทีก็ยังทำไม่ค่อยได้ แต่ไม่ท้อ จะปฏิบัติต่อไปเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า อยากทราบว่าปฏิบัติถูกทางไหมคะ
-
Not Synced
หลวงปู่: ถูกอย่างยิ่งเลย แล้วจิตก็พัฒนาขึ้นมาเยอะเลย รู้สึกไหมจิตเราเดี๋ยวนี้กับแต่ก่อนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ขันธ์มันก็แยกได้แล้ว รู้สึกไหมกายกับจิตมันคนละอันกัน สุขทุกข์ ดีชั่ว เป็นแค่ของผ่านมาผ่านไป ไม่ใช่จิตหรอก จิตเองก็ทำงานของมันได้เอง อย่างขณะนี้จิตมันก็ปรุงปีติขึ้นมา เห็นไหมมันปรุงปีติขึ้นมาได้เอง เราอย่าไปปรุงต่อ ปรุงต่อ เช่น หาทางละปีติ หาทางรักษาปีติ อันนี้เราปรุงต่อ เมื่อจิตของเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตเราจะใส สว่าง กระจ่าง แล้วต่อมามีความปรุงแต่งอะไรเกิดขึ้น แม้แต่เล็กแต่น้อยในจิต มันจะเห็นชัด
เพราะจิตของเรานั้นมันสบาย มันว่างอยู่แล้ว มันผ่องใส ประภัสสร พอมีอะไรแปลกปลอมขึ้นนิดหนึ่ง มันจะเห็น อันนี้จิตมันจะรู้ทันความปรุงแต่งที่เกิดขึ้น แล้วเราก็แค่ว่ารู้แล้วจบลงที่รู้ เราไม่ปรุงแต่งต่อ ไม่ใช่ความสุขผุดขึ้นมา จิตมันปรุงความสุขขึ้นมา ทีแรกจิตมันว่าง เฉยๆ สบาย โล่ง มันปรุงความสุขหรือปรุงความทุกข์ขึ้นมา เราไปแต่งต่อ เช่น ปรุงความสุขก็หาทางรักษา ปรุงความทุกข์ก็หาทางละอะไรอย่างนี้ อันนี้เราแทรกแซงจิตแล้ว
-
Not Synced
เราจะรู้ทันความปรุงแต่งของจิต โดยที่เราไม่เข้าไปปรุงแต่งจิตเสียเอง เราจะรู้ทันความปรุงแต่งของจิตได้ เมื่อจิตของเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ครูบาอาจารย์วัดป่าจะเรียกว่าจิตผู้รู้ หรือจิตประภัสสร พระพุทธเจ้าบอกว่า เดิมนั้นจิตมันประภัสสร คือจิตปกติของเรานั่นล่ะ มันประภัสสร แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสมันจรมา นี้เราพยายามฝึกจนกระทั่งจิตของเราตั้งมั่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมา สว่าง ผ่องใส สบาย เงียบๆ แล้วพอมันปรุงอะไรขึ้นแม้แต่เล็กๆ เราก็จะเห็น ตรงนี้ที่เรารู้ทันความปรุงแต่งได้ เพราะจิตของเรามีกำลังตั้งมั่นขึ้นมา
-
Not Synced
ฉะนั้นจิตที่ตั้งมั่นถึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่หลวงพ่อพยายามเคี่ยวเข็ญพวกเรา จนกระทั่งตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีความประภัสสร มีความสงบ มีความสว่างเกิดขึ้น มีความเบา มีความอ่อนโยน นุ่มนวล มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ขี้เกียจ แล้วก็อะไรเกิดขึ้นสักว่ารู้ว่าเห็นไป เราจะต้องพัฒนาให้ได้จิตผู้รู้อย่างนี้ขึ้นมา เมื่อเรามีจิตผู้รู้ เบอร์ 6 มีนะ แล้วทำมาได้ดีมากๆ เลย จิตผู้รู้ของหนูงดงามมาก ดี
-
Not Synced
เห็นไหมมีปีติแทรกเข้ามาอีกแล้ว พอจิตเราว่างๆ อยู่ แล้วมีอะไรแปลกปลอม เราจะเห็น มันเหมือนเราคลีนโต๊ะของเราสะอาดแล้ว มดตัวเล็กเดินมา เรายังเห็นเลย ถ้าโต๊ะของเรารกๆ อย่างนี้ มีขวดยาดม ยาหม่องอะไรมากมาย จิ้งจกมาตัวหนึ่งเรายังไม่เห็นเลย เพราะฉะนั้นถ้าใจเราว่าง สบาย ความปรุงแต่งเล็กน้อยมา เราก็เห็น เราจะเห็นว่าความปรุงแต่งมาเอง ไปเอง ความปรุงแต่งทั้งหลายไม่ใช่จิตหรอก แต่ถ้าจิตหลงเข้าไปปรุงแต่งเมื่อไร ความทุกข์มันจะเกิดขึ้นที่จิตทันที เก่ง วันนี้เพิ่งจะบอกคนนี้เก่ง
-
Not Synced
เบอร์ 7 ตื่นได้แล้ว
-
Not Synced
คำถาม 7: จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมาเอง ในระหว่างวัน แยกรูปแยกนามเอง เห็นแสงและความสุขเกิดดับ เกิดปัญญา ตัวเราไม่มี มีแต่จิตมาอาศัยธาตุ 4 อยู่ ผัสสะกระทบระหว่างวัน เห็นโทสะเกิดและดับ เห็นโทสะแยกจากจิต เกิดความร่มเย็นไปทั้งธาตุและขันธ์ เห็นความขัดเคืองใจเกิดแล้วดับลง เกิดความสงบร่มเย็นขึ้นมา ขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำค่ะ
-
Not Synced
หลวงปู่: ทำอีก จิตมันยังเป็นเราอยู่ มันไม่เป็นเราเป็นคราวๆ เรายังละความเห็นผิด ว่าจิตเป็นตัวเราไม่ขาดทีเดียว ทำอีก ทำไปเรื่อยๆ สะสมไป แล้วก็จุดสำคัญ อย่ายกจิตสูงเกินไป อย่าเอาจิตขึ้นมาสูงเกินไป ลงมาอยู่ในระนาบปกติ จิตปกติ ยกมากๆ เดี๋ยวหลุดไปพรหมโลก เออ ลงมา จิตตรงนี้ดี จิตอย่างนี้ถึงจะดี จิตที่เราไปดันเอาไว้ ให้มันห่างกิเลสออกไป ไม่ดีหรอก มันมีคำแปลอยู่อันหนึ่ง “อะระหะโต” แปลว่าผู้ไกลจากกิเลส เราก็เลยพยายามดันจิตให้ไกลกิเลส อย่างนี้ผิด อันนั้นทำด้วยกิเลส จิตที่ดีคือจิตธรรมดา จิตปกติ เราใช้จิตปกตินี้เรียนรู้กายรู้ใจ เรียนรู้ไป ดี ดีเหมือนกัน แค่อย่ายกจิตให้สูงเกินไป
-
Not Synced
คำถาม 8: ใช้การเดินจงกรมเป็นรูปแบบ ในชีวิตประจำวัน ใช้การเคาะนิ้วเป็นจังหวะ เป็นเครื่องอยู่แทน มีบ่อยครั้งที่รู้ว่าหลงไปแล้ว และช็อตถัดมาคือเห็นความคิด ที่บอกให้กลับไปที่เครื่องอยู่ จึงพยายามเริ่มต้นใหม่ ให้กลับไปที่เครื่องอยู่ แต่จิตไม่ยอมเข้าบ้าน แข็งทื่อ ไม่ปกติเป็นเวลานาน ควรทำอย่างไรคะ
-
Not Synced
หลวงปู่: รู้อย่างที่มันเป็น ที่อยากแก้ มีตัณหาซ่อนอยู่ อยากให้มันอย่างโน้น อยากให้มันอย่างนี้ ถ้าเราไม่รู้ทันตัณหาตัวนี้ ก็ถูกมันครอบไปเรื่อยๆ ฉะนั้นจิตสงบรู้ว่าสงบ จิตไม่สงบรู้ว่าไม่สงบ จิตเข้าฐานรู้ว่าเข้าฐาน จิตออกนอกฐาน รู้ว่าออกนอกฐาน รู้อย่างที่เขาเป็น ไม่ต้องอยากให้เขาดี
-
Not Synced
เบอร์ 8 จุดอ่อน ยังดิ้นรนเยอะไป ใจมันยังดิ้นจะเอาธรรมะให้ได้ รู้ รู้สบายๆ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าได้ก็เป็นความดีของจิต ถ้าไม่ได้ก็เป็นความไม่ดีของจิต ไม่เกี่ยวกับเรา กล้าๆ หน่อย กล้าไหม กล้าแบบแหยๆ มันทำยาก เพราะว่าเรารักจิต เรารักว่าจิตนี้คือตัวเรา เห็นปีติที่เกิดขึ้นไหม อาการของปีติมีหลายอย่าง เราไม่รู้ว่าอันนี้เรียกว่าปีติเท่านั้นเอง รู้สึกใจไม่ปกติไหม ตรงนี้ มันมีความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาไหม ไปฝึกอีกไป มาได้ดีแล้ว มาได้ถูกทางแล้ว ค่อยๆ ฝึก อันไหนยังไม่ถูกก็ค่อยๆ รู้ทันไป อย่าอยากดี อย่าอยากบรรลุเร็วๆ