-
รู้กันมั้ยคะว่าเน็ตที่ทุกคนใช้ดูคลิปนี้อยู่เกิดจากสงคราม
-
ว่าแต่อินเทอร์เน็ตไปเกี่ยวอะไรกับสงคราม
-
ใครเป็นคนคิดค้น
-
แล้วจากเทคโนโลยีทางการทหารเนี่ย
-
อยู่ดี ๆ กลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้เราส่งข้อความมุ้งมิ้งหาแฟน
-
แชตเมาท์ดารา หรือว่าเอามาดูคลิปนี้ได้ยังไง
-
สวัสดีค่ะ วิวจาก channel Point of View ค่ะ
-
ช่วงนี้วิวทำทำเรื่องเกี่ยวกับสงครามเรื่องอะไรค่อนข้างเยอะใช่มั้ยคะ
-
ทุกครั้งเนี่ยจะมีคนมาคอมเมนต์ว่า สงครามไม่มีอะไรดีเลย มีแต่ความขัดแย้ง
-
แต่จริง ๆ แล้วนะคะ สงครามทำให้เกิดเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย
-
ซึ่งต่อมาจะพัฒนามาใช้ในครัวเรือนและอินเทอร์เน็ตก็เป็นหนึ่งในนั้น
-
อยากรู้กันแล้วใช่มั้ยคะ
-
อย่าลืมกดติดตาม Point of View ให้ครบทุกช่องทางก่อนค่ะ
-
รับรองว่าจะมีเรื่องราวสนุก ๆ มาเล่าให้ฟังแน่นอน
-
สำหรับตอนนี้พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุก แล้วก็มีสาระกันหรือยังคะ
-
ถ้าพร้อมกันแล้วก็ ไปฟังกันเลย
-
ถ้าจะเล่าประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ตโลกนะคะ ก็ต้องย้อนไปประมาณ 50 ปีเท่านั้นค่ะ
-
ในสมัยที่คอมพิวเตอร์นี่ยังใหญ่เท่าห้องอยู่
-
แล้วก็สามารถทำงานได้แค่ทีละอย่างเดียว
-
คือไม่สามารถดูไปด้วยแล้วก็เล่น Facebook ไปด้วย
-
คอมพิวเตอร์ในสมัยนั้นค่ะ สร้างขึ้นเพื่อให้นักวิจัยแล้วก็นักวิทยาศาสตร์
-
ใช้คิดคำนวณอะไรบางอย่างที่มนุษย์ไม่สามารถคิดคำนวณได้เองในเวลาอันสั้น
-
ซึ่งตอนนั้นเนี่ยมีปัญหาว่า
-
นอกจากจะเก็บไว้เครื่องนึงเต็มห้องเพราะเครื่องใหญ่มากแล้วเนี่ย
-
ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญมาก ๆ นะคะในการเข้าไปคีย์คำสั่งข้างในค่ะ
-
ดังนั้นเวลาจะทำงานกับคอมพิวเตอร์เนี่ย
-
developer ไม่สามารถทำงานกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรงนะคะ
-
จะต้องเขียนใส่กระดาษ จึ๊ก ๆ ๆ เสร็จแล้วก็ยื่นให้ผู้เชี่ยวชาญ
-
ให้ผู้เชี่ยวชาญเอาไปคีย์ใส่คอมพิวเตอร์
-
วัดผลออกมา ถูกหรือผิดอะไรยังไง
-
เขียนใส่กระดาษ เขียน ๆ ๆ ๆ เอากลับมารายงาน developer อีกทีนึง
-
เห็นได้ชัดว่า ไม่สะดวกสบายเลยนะคะ
-
ซึ่งทุกครั้งที่มนุษย์เราเนี่ย รู้สึกไม่สะดวกสบายกับอะไร มนุษย์เราจะพัฒนาค่ะ
-
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้เกิดการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้นขึ้นนะคะ
-
โดยเริ่มมีการต่อสายออกมานอกห้อง
-
ซึ่งทำให้เหล่า developer สามารถทำงานกับคอมพิวเตอร์ได้เองโดยตรง
-
แต่ว่าเป็นการสั่งงานระยะไกล
-
การสั่งงานระยะไกลแบบนี้่ค่ะ ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ในโลกจินตนาการกันว่า
-
เอ๊ะ หรือว่าจริง ๆ แล้วอะ คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องไม่จำเป็นต้องทำอะไรแค่อย่างเดียว
-
เราสามารถต่อหลาย ๆ สายได้มั้ย
-
ต่อไปสักสี่ทางให้นักวิทยาศาสตร์สี่คนเนี่ย ใช้งานคอมพิวเตอร์พร้อม ๆ กัน
-
ทำให้เกิดคอนเซปต์ของสิ่งหนึ่งค่ะ เรียกว่า time sharing นั่นเอง
-
ดังน้ัน เรื่องทั้งหมดเนี้ย
-
เกิดขึ้นจากความพยายามประหยัดเวลา
-
ประหยัดทรัพยากรนะคะ
-
หลังจากนั้นค่ะ เกิดแรงกระตุ้นนึงขึ้นมา
-
เหมือนที่วิวเกริ่นไว้ตอนแรกเลยว่า
-
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะการทหาร
-
ในช่วงเวลาที่เรากำลังพูดถึงค่ะช่วงปี 1950 กว่า ๆ เนี่ยนะ
-
มันเป็นช่วงเวลาของสงครามเย็น
-
ซึ่งดูอู้ไม่ได้เล่าซะทีใช่มะ
-
ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังวันหลังค่ะ
-
แต่อธิบายคร่าว ๆ ตรงนี้คือ
-
มันเป็นการปะทะกันระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตยกับโลกคอมมิวนิสต์นะคะ
-
ซึ่งแกนนำเนี่ยก็คือ สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต
-
หรือว่าที่ปัจจุบันกลายมาเป็นรัสเซียนั่นเองค่ะ
-
ทีเนี้ย สองฝ่ายนี้เขาไม่ปะทะกันตรง ๆ
-
เขาจะต้องปะทะกันด้วยการชิงไหวชิงพริบกันต่าง ๆ
-
ส่งสงครามตัวแทนบ้างอะไรบ้าง
-
และที่สำคัญ อีกอย่างหนึ่งที่ปะทะกันบ่อย ๆ คือ
-
เรื่องเทคโนโลยีนี่เอง
-
เขาพยายามจะรู้ว่า ฉันมีเทคโนโลยีที่เจ๋งกว่าแก
-
แกมีเทคโนโลยีแย่กว่าฉัน จงกลัวฉันไว้
-
และตอนนั้นค่ะ เกิดเหตุการณ์นึงที่ทำให้อเมริการู้สึกแบบ ไม่ได้แล้วอะ
-
นั่นก็คือ ในปี 1957
-
สหภาพโซเวียตประดิษฐ์ดาวเทียมขึ้นมาสำเร็จค่ะ
-
ชื่อว่าดาวเทียมสปุตนิก
-
ประดิษฐ์ขึ้นมาเฉย ๆ ไม่กลัวเท่าไหร่หรอก
-
ประดิษฐ์ขึ้นมาแล้วยิงออกไปนอกอวกาศเลย
-
ไปโคจรรอบโลก
-
นึกสภาพคนในสหรัฐอเมริกา
-
คงแบบ โอโห นี่เขาไปอวกาศแล้ว
-
เราต้องรีบพัฒนาอะไรบางอย่างแล้วนะคะ
-
ทำให้อเมริกาเนี่ย หันไปพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองหนักขึ้นมาก
-
เพื่อที่จะไป fight กับสหภาพโซเวียตนะคะ
-
ด้านอวกาศก็พัฒนาไปล่ะค่ะ แต่ว่าต้องพัฒนาด้านอื่นด้วย
-
ตอนนั้นนะคะ สหรัฐอเมริกาคิดว่า ฉันจะต้องพัฒนาด้านการสื่อสาร
-
เพื่อที่ฉันจะได้เจ๋งกว่าสหภาพโซเวียตในด้านนี้
-
ดังนั้นค่ะ สหรัฐอเมริกาก็เลยตั้งโครงการโครงการนึงขึ้นมาในปี 1958
-
หนึ่งปีหลังจากนั้นนะคะ ชื่อว่าโครงการ DARPA
-
หรือว่า Defense Advanced Research Project Agency นั่นเองค่ะ
-
ซึ่งโครงการเนี้ยก็คิดค้นพัฒนาการสื่อสารประเภทนึง
-
ซึ่งเดี๋ยวมันจะกลายเป็นอินเทอร์เน็ตในอนาคตนะคะ
-
แต่ในตอนนี้ยังเน้นด้านการส่งต่อข้อมูลอยู่ค่ะ
-
หลังจากที่เปิดโครงการนี้ขึ้นมานะคะ
-
ก็มีการวิจัยขึ้นมามากมายเกี่ยวกับการส่งต่อข้อมูล
-
ซึ่งชิ้นสำคัญชิ้นนึงเนี่ย เกิดขึ้นจากนักวิทยาศาสตร์ MIT คนนึง
-
ซึ่งเขาเขียน note ขึ้นมาเยอะแยะมากมายเลยนะ
-
คอนเซปต์เนี่ย เหมือนกับอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันมาก ๆ
-
หลาย ๆ คนก็เลยถือว่าแบบ จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตคงเริ่มประมาณ ๆ นี้แหละ
-
มันก็เลยทำให้กระแสของการวิจัยด้านการส่งต่อข้อมูลเนี่ย
-
กระจายไปทั่วโลกเลยนะคะ
-
ไม่ว่าจะเป็นที่สหราชอาณาจักร ที่ฝรั่งเศส หรือว่าที่อเมริกาเอง
-
ก็มีมากกว่าหนึ่งหน่วยงานนะคะที่ทำงานด้านนี้
-
จนกระทั่งในปี 1962 นะคะ เกิดแรงกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้งนึงค่ะ
-
แล้วก็เป็นแรงกระตุ้นที่เกิดจากสงครามเช่นเดียวกันเลย
-
คือในสงครามเย็นที่ยังไม่จบเนี่ยนะคะ
-
สหรัฐอเมริกาเกิดไปรู้มาว่าคิวบาเนี่ย
-
ติดตั้งขีปนาวุธไว้ แล้วก็เล็งมาที่อเมริกาเรียบร้อยแล้วนะคะ
-
ซึ่งประเทศคิวบาเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ใช่มั้ยคะ
-
และตั้งอยู่ใกล้สหรัฐอเมริกามาก ๆ
-
เรียกได้ว่าถ้ายิงมาเนี่ย โดนแน่นอน
-
ทำให้คนในอเมริกาเนี่ย กลัวกันว่าจะมีระเบิดปรมาณูอะไรมั้ยนะ
-
เหมือนกับตอนสงครามโลกครั้งที่สอง
-
ซึ่งเหตุการณ์นี้เนี่ยทำให้อเมริกากลัวหลายด้านมาก
-
และด้านนึงที่กลัวก็คือ กลัวการสื่อสารจะโดนตัดขาดนั่นเอง
-
ทำให้อเมริกานะคะ พัฒนาด้านการสื่อสารหนักเข้าไปอีกค่ะ
-
ไม่ว่าจะเป็นด้านการใช้คลื่น ด้านการวางระบบต่าง ๆ นานา นะคะ
-
เพื่อที่จะป้องกันว่าถ้าเกิดการยิงระเบิดปรมาณูขึ้นมาอีกรอบเนี่ย
-
การสื่อสารของฉันจะต้องไม่ล่ม
-
ซึ่งระหว่างนั้นนะคะ แต่ละเครือข่ายเนี่ยก็พยายามพัฒนาระบบการสื่อสารของตัวเองขึ้นมา
-
เรามาดูไล่กันทีละประเทศดีกว่าค่ะ
-
ว่าแต่ละประเทศทำอะไรกันบ้างตอนนั้นนะคะ
-
ง้างมาขนาดนี้แล้ว พูดถึงอเมริกาก่อนเลยละกันค่ะ
-
ในอเมริกามีสองระบบด้วยกันนะคะ
-
ระบบแรกคือระบบที่ชื่อว่า
-
RAND นะคะ แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมาย
-
เราไปพูดถึงอีกระบบนึงดีกว่า
-
ซึ่งเป็นระบบสำคัญมาก ๆ เลยนะคะ ของโลก
-
ก็คือ ARPANET นั่นเอง
-
ซึ่ง ARPANET เนี่ยนะคะ ริเริ่มโดย DARPA ที่เมื่อกี้เราพูดถึงเนี่ยแหละค่ะ
-
ตอนนี้นะคะ ARPANET กลายเป็นเครือข่ายด้านวิชาการแล้วค่ะ
-
เป็นเครือข่ายที่ทำให้นักวิจัย นักวิชาการพูดคุยเพื่อสร้างงานวิจัยให้พัฒนายิ่งขึ้นนะคะ
-
ซึ่งโครงการ ARPANET เป็นโครงการแรกที่ส่งข้อความระหว่างคอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลกันมากเนี่ย
-
สำเร็จได้เป็นโครงการแรกเลย
-
นักวิทยาศาสตร์จาก UCLA นะคะ ส่งข้อความข้ามมาหานักวิทยาศาสตร์ที่ Massachusetts ค่ะ
-
เขาพยายามจะส่งคำว่า Log-in นะคะ
-
แต่ว่าไปไม่ครบ ไปได้แค่ Lo L-O แค่นี้นะคะ
-
แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น
-
ตัดภาพจากอเมริกาไปที่สหราชอาณาจักร หรือว่าอังกฤษของเรานั่นเอง
-
อังกฤษนี่เขามีเครือข่ายอีกหนึ่งเครื่อข่ายนะคะ ชื่อว่า NPL
หรือว่า National Physical Laboratory นะคะ
-
แต่ปัญหาของเครือข่ายนี้ค่ะ คือทุนสนับสนุนไม่พอ
-
ในสมัยนั้นคนอาจจะคิดว่าแบบ อินเทอร์เน็ตไม่เกิดขึ้นจริงหรอก ก็เลยไม่ให้ทุนเท่าไหร่นะคะ
-
ดังนั้นโครงการนี้ก็เลยล้มหายตายจากไป
-
ทิ้งมรดกไว้ให้เราแค่ข้อเดียวเท่านั้น
-
และเป็นมรดกสำคัญมาก ๆ เลย
-
คือ คิดค้นวิธีการส่งข้อมูลแบบใหม่ขึ้นนะคะ
-
เวลาส่งข้อมูลนะคะ นึกสภาพว่าถ้าส่งไปทั้งก้อนเนี่ย เกิดส่งไปกับส่งกลับพร้อมกัน
-
มันก็จะต้องมีการไปติดค้างกันตรงกลางบ้างอะ นึกออกปะ
-
สิ่งที่ NPL คิดขึ้นมานะคะ ก็คือการหั่นข้อมูลเป็นชิ้น ๆ
-
ชิ้นเล็ก ๆ นะคะ แล้วก็ส่งไปทีละชิ้นเล็ก ๆ
-
แล้วก็ไปรวมกันที่ปลายทางค่ะ
-
ซึ่งจะเห็นว่าคอนเซปต์นี้นะคะ
-
เดี๋ยวจะพัฒนาเป็นการส่งข้อมูลของเราในปัจจุบันนั่นเองค่ะ
-
ตัดจาก NPL ข้ามไปที่ฝรั่งเศสดีกว่า
-
ก็มีอีก network นึงนะคะ ชื่อว่า CYCLADES นั่นเองค่ะ
-
ซึ่ง CYCLADES นี่ประสบปัญหาเดียวกับ NPL เลย คือทุนสนับสนุนไม่พอ
-
ทั้ง ๆ ที่เป็นระบบงานของนักวิจัยทั้งหลายนะคะ
-
แต่ CYCLADES นะคะ ทุนไม่พอแล้วไม่ล้มหายตายจากไป
-
CYCLADES คิดไอเดียอีกไอเดียหนึ่งขึ้นมา
-
ก็คือการ ติดต่อกันระหว่าง network ต่าง ๆ
-
อะในเมื่อเงินทุนฉันไม่พอ คอมพิวเตอร์ในระบบของฉันเองไม่พอที่จะสร้างเป็นเครือข่ายใหญ่ ๆ
-
ดังนั้น ฉันเน้นด้านการติดต่อระหว่างเครือข่ายต่าง ๆ ดีกว่า
-
ก็คือ อะอันนั้นมีเครือข่ายของเธอใช่มั้ย มาเชื่อมกับเครือข่ายของฉันมั้ย
-
เครือข่ายของเธอมีมั้ย มาเชื่อมกันดีกว่า
-
การเชื่อมต่อระหว่าง network
-
เราเรียกสิ่งนั้นว่า Inter Network
-
อินเทอร์เน็ตนั่นเอง ในที่สุดคำว่าอินเทอร์เน็ตก็เกิดขึ้นในโลกแล้วนะคะ
-
เมื่อนักวิจัยเนี่ย ลงแรงกันทั่วโลกแบบนี้
-
เทคโนโลยีด้าน network เนี่ย ก็จะต้องพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก ๆ นะคะ
-
เมื่อประมาณปี 1971-1972 นะคะ มีนักวิจัยคนนึงชื่อว่า Ray Tomlinson ค่ะ
-
ประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า Electronic mail หรือว่าอีเมลขึ้นนั่นเอง
-
ซึ่งจะอัปเกรดการส่งจดหมายขึ้นทั่วโลกไปอีกแบบนึงเลยนะ
-
ทีนี้ถามว่า ใครคือคนกลุ่มแรก ๆ ที่ใช้อีเมลในโลกใบนี้
-
ก็ต้องบอกว่า เป็นพวกด้านการศึกษาล้วน ๆ เลยค่ะ
-
ก็คือเอาไว้ใช้ส่งงานวิจัยกันอะไรต่าง ๆ
-
ยังไม่เข้าถึงคนทั่วไปนะคะ
-
เพราะว่ามันไม่สวยไง
-
อีเมลสมัยนั้นมันใช้ยากอะ มันมีตัวหนังสือยุบยับปวดหัวเต็มไปหมดเลย
-
อินเทอร์ฝ่ง interface ก็ไม่มี นึกสภาพจอคอมพิวเตอร์แล้วมีแต่ตัวหนังสืออะ พรืด ๆ ๆ ๆ ๆ
-
จะมีใครไปทนใช้ นอกจากคนในวงการการศึกษาน่ะนะ
-
ดังนั้นหลังจากทนใช้อีเมลแบบนี้มาร่วม 10 ปีนะคะ
-
ในปี 1980 ค่ะ ก็มีนักวิจัยชาวอังกฤษคนนึง ชื่อว่า Tim Berners Lee นะคะ
-
แล้วคุณทิมคนนี้ เขารู้สึกว่าแบบ โอ๊ยอีเมลมันไม่สวยเลย ฉันจะไปเรียกคนมาติดต่อกับฉันง่าย ๆ ได้ยังไง
-
ดังนั้นนะคะ เขาก็เลยใช้โค้ดนู่นนี่นั่น ภาษาผสมยำรวมกันออกมา
-
กลายเป็นสิ่งที่ปัจจุบันเราเรียกว่า Browser ซะอย่างงั้นเลยนะ
-
ก็คืออยู่ดี ๆ พัฒนา Browser ขึ้นมาได้
-
สำหรับใครที่ไม่รู้ว่า Browser คืออะไรเนี่ยนะคะ
-
มันคือสิ่งที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้เนี่ยแหละ
-
ในสมัยนั้น นี่คือคนแรกที่พัฒนา Browser ขึ้นมานะคะ
-
และคุณ Tim เนี่ย เขาเรียก Browser ของเขาว่า World Wide Web
-
Web แปลว่าใยแมงมุมใช่ปะ
-
ก็คือเหมือนแบบ โยงใยที่กว้างใหญ่ระดับ worldwide ระดับโลก
-
เพื่อที่จะโยงทุกคนเข้ามาด้วยกันนั่นเอง
-
และนี่คือจุดกำเนิดของ www. ที่เราใช้กันอยู่หน้าเว็บไซต์นั่นเองค่ะ
-
สำหรับใครที่อยากลองเล่นเว็บไซต์แรกของโลกนะคะ
-
ขอบอกว่ามันยังอยู่นะ ตามที่อยู่นี้เลย
-
ยังอยู่จริง ๆ ด้วย
-
หลังจากนั้นโลกใบนี้ก็เริ่มรับรู้ว่าอินเทอร์เน็ตใช้ง่าย
-
ดังนั้นก็เลย เกิด Browser ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ผุดกันเป็นดอกเห็ดเลยนะคะ
-
เริ่มจาก Browser ที๋ฮิต ๆ อันแรกเลยเนี่ย ชื่อว่า Erwise
-
หลังจาก Erwise นะคะ ก็พัฒนามาเป็น Mosaic
-
ซึ่ง Mosaic เนี่ย เป็นแรงบันดาลใจเกิด Browser ต่าง ๆ เพียบเลย
-
ไม่ว่าจะเป็น NetScape ซึ่งเป็น Browser ที่ฮิตที่สุดในยุคนั้น
-
ซึ่ง NetScape เนี่ยนะคะ ก็เป็นตัวพ่อของอินเทอร์เน็ตในยุคปัจจุบันนี้ที่เราใช้กันอยู่นี่แหละค่ะ
-
เห็นมั้ยคะว่าตอนนี้ ทุกอย่างเริ่มใช้ง่ายขึ้นละ
-
ดังนั้น ช่วงปี 1991-1995
-
ก็เลยทำให้อินเทอร์เน็ตนะคะ บูมขึ้นมาทั่วโลกเลย
-
อินเทอร์เน็ตเริ่มเข้าถึงครัวเรือนแล้ว
-
คนเริ่มรู้สึกว่าฉันไม่ต้องเป็นนักวิจัย ฉันก็ใช้อินเทอร์เน็ตได้นี่นา
-
มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
-
ดังนั้น เมื่อมีคนใช้ ก็ต้องมีผู้ให้บริการใช่มั้ยคะ
-
เครือข่ายโทรศัพท์บ้านต่าง ๆ ก็เลยหันมาให้บริการอินเทอร์เน็ตกันค่ะ
-
โดยเป็นอินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์
-
หรือที่เราเรียกว่า Dial-up internet access นั่นเอง
-
หลายคนน่าจะเคยได้ยินกันแหละที่เขาล้อ ๆ กันว่า
-
สมัยปี 90 เวลาจะต่อเน็ตมันจะดังแบบ แอด อี๊แอดแอด อะไรหนวกหู ๆ นั่นแหละค่ะ
-
นั่นคือการ Dial-up internet access นั่นเอง
-
คือแปลว่าทุกครั้งที่จะต่ออินเทอร์เน็ตเนี่ย
-
จะต้องเหมือนกับ ต่อโทรศัพท์ขึ้นมาครั้งนึงอะ
-
เด็ก ๆ หลายคนคงไม่รู้นะคะ
-
สมัยก่อนเราไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตพร้อมโทรศัพท์บ้านได้นะ
-
คือทุกครั้งที่เราใช้อินเทอร์เน็ต ต้องไม่มีใครโทรเข้าบ้านเลย
-
ถ้ามีใครโทรเข้าบ้านเนี่ยนะ เน็ตหลุด
-
แล้วจะก่อให้เกิดความหัวร้อนหนักมากในหลาย ๆ คนที่เล่นเกม
-
แน่นอนว่าทุกครั้งที่มนุษย์เกิดความหัวร้อน มนุษย์ก็จะต้องพยายามแก้ไขปัญหานี้
-
ดังนั้นหลังจาก Dial-up internet access ก็เลยมีการพัฒนาอินเทอร์เน็ตอีกแบบนึงขึ้นมา
-
ก็คืออินเทอร์เน็ตแบบ DSL นั่นเอง
-
ซึ่งเขาเปลี่ยนความถี่ให้ต่างกับโทรศัพท์บ้านแล้ว
-
ดังนั้นก็เลยสามารถใช้โทรศัพท์บ้านไปพร้อมกันอินเทอร์เน็ตได้ค่ะ
-
และใน DSL นะคะ ก็แบ่งเป็นเทคโนโลยีแบบย่อย ๆ เยอะมาก
-
ไม่ว่าจะเป็นแบบ ADSL
-
อะไรที่หลาย ๆ คนก็ยังใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ
-
ไม่ไกลตัวเลยเนอะ
-
จนในที่สุดนะคะ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตก็พัฒนากันมาเรื่อย ๆ
-
อย่างล่าสุดที่เห็นก็มีแบบ ใยแก้วนำแสงอะไรแล้วเนี่ยนะ
-
ซึ่งทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตบ้านง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ
-
แต่เราออกจากอินเทอร์เน็ตบ้านกันมาดีกว่า
-
เพราะเชื่อว่า คนใช้อินเทอร์เน็ตบ้านน้อยมากค่ะ
-
แทบทุกคนใช้อินเทอร์เน็ตจากมือถือกันแล้วใช่มั้ยคะ
-
มาดูฝั่งอินเทอร์เน็ตจากมือถือดีกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอินเทอร์เน็ตมือถือบ้าง
-
เราน่าจะเคยได้ยินกันใช่ม้ัยคะ พัฒนาการจาก 1G 2G 3G 4G
-
แน่นอนทุกคนเคยได้ยินคำว่า G
-
แต่รู้มั้ยคะว่า G เนี่ย ย่อมาจาก
-
Generation นั่นเอง
-
ดังนั้น 1 2 3 4 ก็คือบอกถึงยุคต่าง ๆ ที่เปลี่ยนผ่านค่ะ
-
เริ่มจาก 1G นะคะ ไม่เกี่ยวกับเราเท่าไหร่เพราะไม่ได้มีอินเทอร์เน็ตใช้ค่ะ
-
เป็นการพูดคุยสื่อสารอย่างเดียวผ่านสัญญาณ analog นะคะ
-
ส่วน 2G เนี่ยนะคะ เริ่มเป็นสัญญาณแบบ digital
-
แล้วก็ส่งข้อมูลกันเนี่ย จากเดิมใช้คลื่นวิทยุ เปลี่ยนมาเป็นคลื่นไมโครเวฟ
-
และเริ่มส่งข้อมูลอื่น ๆ นอกจากเสียงพูดกันได้นิดหน่อย
-
เช่นเริ่มส่ง message ได้ละ
-
และที่สำคัญเริ่มต่อเน็ตได้แล้วนะคะ
-
แต่ก็ยังต้องใช้ระบบ dial-up internet access อยู่
-
ก็คือเหมือนกับโทรศัพท์บ้านนั่นแหละค่ะ
-
แต่ว่าในช่วง 2G นะคะ
-
จะบอกว่ามันไม่ใช่ 2G ธรรมดา แต่มันแบ่งย่อยออกเป็นละเอียดยิบเลย
-
ไม่ว่าจะเป็น 2.5G 2.75G
-
ซึ่งในยุค 2.5 2.75 เนี่ยนะคะ
-
โทรศัพท์จะเริ่มเป็นจอสี เริ่มถ่ายรูปได้เริ่มอะไรได้แล้วนะคะ
-
ที่สำคัญเริ่มส่งข้อความจากภาพและเสียงได้แล้วนะ
-
ผ่านระบบ MMS อะไรต่าง ๆ
-
รวมถึงถ้าใครเคยใช้ EDGE นะคะ
-
EDGE เนี่ยอยู่ในยุค 2.5 2.75G เนี่ยแหละค่ะ
-
ก่อนที่จะพัฒนามาเป็น 3G นะคะ
-
3G นี่คือการย่อ High-speed internet แบบเน็ตบ้านเนี่ยนะคะ เข้ามาอยู่ในมือถือ
-
แล้วก็เป็นยุคแรก ๆ เลยที่
-
เริ่มเน็ตมือถือแบบ always-on
-
เรียกได้ว่าเป็นจุดที่อินเทอร์เน็ตบ้านกับอินเทอร์เน็ตมือถือ มาเจอกันเรียบร้อยแล้วค่ะ
-
และในที่สุดทุกสิ่งอย่างนี้ ก็พัฒนามาเป็น
-
4G ที่เราใช้กันปัจจุบันนั่นเอง
-
ก็คือเป็นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงค่ะ
-
เอาจริง ๆ กว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตให้เราดูวิดีโอกันอยู่ทุกวันเนี้ย
-
โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตในมือถือ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากนะคะ
-
มีเทคโนโลยีอะไรหลาย ๆ อย่างอยู่ภายในแค่มือถือเครื่องเล็ก ๆ เนี่ย
-
เพื่อที่จะทำให้ทุกคนนะคะ สามารถใช้เน็ต
-
ตั้งแต่เรื่องราวของการคำนวณเสาสัญญาณ
-
ว่าแบบเสาสัญญาณจะต้องปักตรงไหน
-
ปักใกล้กันหรือเปล่า
-
จะต้องปักความแรงเท่าไหร่
-
คลื่นความถี่ก็มีต่างกันไปอีก
-
จะคลื่น 2300
-
หรือว่าจะเป็นคลื่น 900
-
แล้วเมื่อไหร่เราจะต้องสลับสัญญาณ
-
อ่าวตอนนี้ต่อเสานี้อยู่
-
แล้วถ้าเรานั่งอยู่ในรถแล้วใช้เน็ตไปด้วย
-
มันจะต้องข้ามไปต่อสัญญาณตรงนั้นม้ัย
-
เห็นปะ แค่เท่าที่พูดคร่าว ๆ มาก ๆ ยังแบบ
-
ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีมากมาย ต้องใช้วิศวกร ต้องใช้อะไรมายำรวมกัน
-
เพื่อให้เราใช้เน็ต 4G ได้นะคะ
-
นี่แค่ 4G ธรรมดานะคะ
-
แล้วรู้ป่าวว่าตอนนี้มันมี 4G แบบใหม่เกิดขึ้นในโลกแล้วนะ
-
คือเป็น 4G ที่ใช้เทคโนโลยีสูงกว่า 4G ที่เราใช้กันปกติค่ะ
-
คือบอกเลยว่าทั้งหมดที่ผ่านมาเนี่ย
-
เวลาเราใช้เทคโนโลยี 4G นะคะ
-
มันเกิดจากการคิดเมื่อประมาณ 50 60 ปีที่แล้ว
-
ที่วิวเล่ามาทั้งหมดเนี่ยแหละ
-
คือ เวลารับส่งสัญญาณ เขาก็รับส่งเท่ากัน
-
สมัยก่อน เวลาส่งเมลไป
-
คนส่งเมลกลับมา
-
เมลไปใหญ๋แค่ไหน คนก็เมลกับกันใหญ่พอ ๆ กันแหละ
-
หรือว่าคุยโทรศัพท์ไป คุยโทรศัพท์ตอบมา
-
มันก็ใหญ่พอ ๆ กันแหละ
-
ดังนั้น Common sense ที่ผ่านมาทั้งหมดนะคะ
-
เขาก็จะแบ่งแบบ
-
ส่งข้อมูล 50% รับข้อมูล 50%
-
เอาเท่า ๆ กันไว้แหละ
-
นึกสภาพถ้าเป็นถนนเนี่ย
-
สองเลนแรกขับออกจากเมือง
-
อีกสองเลนหลังขอบเข้าเมืองมาค่ะ
-
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ฟังดู make sense ใช่ปะ
-
เอ้า ก็มี 100% ก็เอาออก 50 เอาเข้า 50
-
ใช่ มัน make sense
-
แต่มัน make sense เมื่อ 60 ปีที่แล้ว มันไม่ make sense ตอนนี้แล้ว
-
ลองนึกถึงพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของเราตอนนี้ดูสิคะ
-
ตอนนี้เชื่อว่าหลายคนน่าจะแบบ นั่งอิเหละเขละขละอยู่บนโซฟา นั่งดูคลิปนี้อยู่
-
หรือว่านั่งอยู่ในรถกำลังเดินทาง
-
ตอนนี้คุณใช้มือถือทำอะไร
-
ดาวน์โหลดข้อมูลรัว ๆ
-
ไม่ว่าจะเป็นการดูวิดีโอ หรือการไถ Facebook เนี่ย
-
มันคือการรับข้อมูลเข้ามาในเครื่องเราใช่มั้ยคะ
-
ตอนนี้รับ ๆ ๆ ๆ รับอย่างเดียว
-
ผ่านไปอีกประมาณ 4 ชั่วโมง
-
เดินทางไปดูคอนเสิร์ต
-
ทำอะไร live live รัว ๆ
-
อัปสตอรี อัป ๆ ๆ ๆ
-
เห็นมั้ย ช่วงนั้นอะ เป็นช่วงที่เราทำอะไร
-
ส่งออกข้อมูลรัว ๆ
-
ในตอนที่เราทำอะไรต่าง ๆ เนี่ย เราไม่ได้เป็นคนเดียวที่ทำไง
-
ที่ผ่านมาตลอด 60 ปีเนี่ยนะคะ
-
การแบ่งช่องสัญญาณให้มันเท่ากันเนี่ย มันดู make sense ใช่มะ
-
แต่จากพฤติกรรมที่วิวบอกเมื่อกี้ เห็นได้ชัดว่า มันไม่ make sense แล้ว
-
เพราะมันจะทำให้อินเทอร์เน็ตช้า เพราะทุกคนแย่งกันดาวน์โหลดหรือว่าแยกกันอัปโหลดในเวลาเดียวกันค่ะ
-
ดังนั้นนะคะ ก็เลยเกิดเทคโนโลยีอีกตัวนึงขึ้นมาใหม่
-
เพื่อที่จะมารองรับพฤติกรรมการใช้แบบนี้แหละ
-
เราเรียกว่า TDD นั่นเอง
-
เทคโนโลยี TDD เนี่ยนะคะ เป็นเทคโนโลยีใหม่ค่ะ
-
มากับคลื่น 2300 เท่านั้น
-
ซึ่งตอนนี้นะคะ คลื่น 2300 ก็มีแค่ dtac ให้บริการร่วมกับ TOT อยู่ค่ะ
-
เขาก็เลยเอาเทคโนโลยี TDD ตัวนี้เนี่ยนะคะ เข้ามาในประเทศไทยค่
-
แล้วก็ใช้ชื่อว่า dtac TURBO นั่นเอง
-
ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้นะคะ จะทำให้เราใช้เน็ตได้ลื่นขึ้นค่ะ
-
คือสมัยก่อนค่ะ เรา fix กันใช่มั้ยว่ารับข้อมูล 50% ส่งออกข้อมูล 50%
-
เหมือนที่เมื่อกี้วิวเปรียบเป็นถนน
-
ออกนอกเมืองสองเลน เข้าเมืองสองเลนใช่มั้ยคะ
-
พอมีเทคโนโลยีตัวนี้เข้ามา ก็เหมือนกับว่า เราลบลูกศรออกไป
-
ไม่มีเขียนแล้วว่า ออกสองเข้าสอง
-
แต่มีตำรวจจราจรค่ะ ถือกรวย
-
ออกเสียงให้ชัดนะ
-
ถือกรวยจราจรเนี่ยมา
-
แล้วก็คอยดูว่า อะ ตอนเช้าเนี่ย รถเข้าเมืองเยอะ
-
เพราะว่าทุกคนมาทำงาน
-
ดังนั้นเราแบ่งมั้ย สามเลนเข้าเมือง หนึ่งเลนออกจากเมือง
-
ส่วนตอนเย็นเนี่ย ทุกคนกลับบ้าน
-
เอากรวยย้ายที่มาใหม่
-
ให้ทุกคนออกจากเมืองสามเลน แล้วก็เข้าเมืองแค่เลนเดียวแทน
-
เช่นเดียวกับถนนเลยค่ะ
-
เทคโนโลยีตัวเนี้ย จะทำให้ปรับช่องสัญญาณ
-
เช่นเวลาที่แบบ วิวเพิ่งอัปวิดีโอใหม่ ๆ
-
ทุกคนอยากดูคลิปวิดีโอช่อง Point of View ใช่มั้ยคะ
-
ดังนั้น เขาก็จะเปิดช่องสัญญาณให้ดาวน์โหลดข้อมูลเนี่ย เยอะกว่า
-
หรือว่าช่วงไหนเนี่ย เราไปงานคอนเสิร์ตพร้อม ๆ กัน
-
ทุกคนอยาก live
-
เฮ้ยช่วงนี้ทุกคนอยากอัปโหลดข้อมูล
-
อยาก live อยากอัปสตอรี่
-
ดังนั้นเปิดช่องให้อัปโหลดข้อมูล ใหญ่กว่าช่องให้ดาวน์โหลดข้อมูลแล้วกันค่ะ
-
ตื่นเต้นกันมั้ย สำหรับวิวเนี่ย ตื่นเต้นมาก
-
แล้วทำยังไงฉันถึงจะได้รู้ว่าฉันมีสิทธิ์ใช้ dtac TURBO ตัวนี้
-
ตรวจสอบไม่ยากเลยนะคะ มาดูไปตามวิวทีละข้อเลยค่ะ
-
ข้อแรกสำคัญมาก คุณต้องใช้ dtac ก่อน
-
การให้บริการอันนี้มันให้บริการอยู่บนคลื่น 2300
-
ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้ dtac อดนะคะ
-
สำหรับใครที่ใช้ dtac ลองมองไปที่มือถือของตัวเอง
-
ที่มันจะเขียนปกติว่า เราใช้สัญญาณ dtac
-
ถ้ามันมี dtac-T
-
แปลว่าตอนนี้คุณกำลังใช้สัญญาณ dtac TURBO อยู่แล้วค่ะ
-
ข้อที่สองคือตัวมือถือของเราเนี่ย มันต้องรับสัญญาณนี้ได้ก่อน
-
คือถ้าเป็นโทรศัพท์รุ่นที่เก่ามาก ๆ เนี่ย บางทีเทคโนโยียังไม่ถึงก็ยังรับไม่ได้
-
แต่สำหรับโทรศัพท์รุ่นใหม่ ๆ รับได้กันเกือบหมดแล้วค่ะ
-
ข้อที่สามค่ะ แถว ๆ ที่เราจะไปใช้เน็ตเนี่ย ต้องมีเสาสัญญาณคลื่น 2300 ก่อน
-
ซึ่งไม่ต้องห่วงนะคะ สำหรับใครที่แบบ อยู่ใจกลางเมือง
-
หรือตามหัวเมืองใหญ่ ๆ
-
หรือในที่ชุมชนที่แบบ คนเยอะ ๆ เนี่ย
-
เสาสัญญาณ dtac TURBO เนี่ย ไปถึงหมดแล้วนะคะ
-
เพราะว่าเทคโนโลยีตัวนี้มันเหมาะกับที่ที่คนเยอะ ๆ
-
จะได้ระบายความแออัดของการใช้เน็ต
-
ส่วนใครที่ไม่ได้อยู่ใกล้เสาสัญญาณ ไม่ต้องห่วงนะคะ
-
ได้ข่าวมาว่า ตอนนี้ dtac กำลังเร่งปักเสามาก ๆ เลยนะ
-
แล้วก็แบบ เสาขึ้นเร็วมากเลยจริง ๆ นะคะ
-
ข้อสุดท้ายค้ะ ก็คือ SIM Card ของเรานั่นเอง
-
SIM Card เนี่ย ถ้ามันเก่ามาก ๆ แล้วจะเป็นเทคโนโลยีที่ล้าหลัง
-
ที่แบบ ยังรับสัญญาณตัวนี้ไม่ได้นะคะ
-
อย่าลืมไปเปลี่ยนกัน เปลี่ยนได้ฟรีเลยนะคะที่ dtac hall
-
เข้าไปถึงแล้วแบบ ขอเปลี่ยนซิมจ้า เท่านั้นเลยนะคะ
-
อะ ฟังมาสี่ขั้นตอนแล้ว
-
เชื่อว่าหลายคนก็ยังแบบ แล้วฉันต้องไปเช็กทุกอย่างเองเลยหรอ
-
มีวิธีเช็กง่าย ๆ เลยค่ะ
-
สามารถหยิบมือถือขึ้นมาตอนนี้เลย
-
แล้วก็กดปุ่ม *2300# แล้วโทรออก
-
แล้วเดี๋ยวมันจะบอกเราอย่างมหัศจรรย์เลยค่ะว่า
-
อ๋อตอนนี้คุณมีสิทธิ์ใช้ dtac TURBO แล้วนะ อะไรอย่างนี้
-
เป็นการตรวจสิทธิ์ของตัวเองนะคะ
-
อย่าพลาดนะ เพราะมันก็ไม่ได้เก็บค่าบริการอะไรเพิ่มไง
-
คือใช้ dtac อยู่แล้ว
-
ถ้าเกิดไม่ตรวจสอบ เสียสิทธิ์นะจ๊ะทุกคน
-
แล้วทั้งหมดนี้นะคะก็คือประวัติศาสตร์ของอินเทอร์เน็ต
-
ไล่ตั้งแต่สมัยสงครามเย็น จนกระทั่งทุกคนนำมาใช้ดูคลิปนี้ค่ะ
-
ถ้าใครมีความเห็นเพิ่มเติมอะไรยังไง
-
อยากให้ความรู้เพิ่ม
-
หรืออยากขอเรื่องไหนเป็นพิเศษ
-
คอมเมนต์มาคุยกันด้านล่างได้เลยค่ะ
-
และที่สำคัญนะคะ
-
อย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อน ๆ มาดูด้วยกันค่ะ
-
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ
-
บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ
-
นี่ เดี๋ยวหลายคนจะไม่เชื่อนะคะว่าใช้จริง
-
ได้ใช้แล้วเห็นมั้ย ตรงนี้
-
มันขึ้นว่า dtac-T 4G นะคะ
-
แปลว่าได้ใช้ dtac TURBO แล้ว
-
น่อ สัญญาณเต็ม
-
ถึงคนข้างหลังจะเยอะแค่ไหนก็ตาม
-
มันก็แบบ ลื่นปรื๊ดเลย
-
อยากรู้ว่าตัวเองได้ใช้รึยัง ลองเช็กกันดูได้นะคะ
-
รีบกดเร็ว *2300#
-
อย่าลืมเช็กนะ
-
เค วันนี้ไปแล้วค่ะ
-
บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ