วิธีรับมือวัฒนธรรมความเกลียด
-
0:01 - 0:04คนมักบอกว่า...ฉันเป็นคนดี
-
0:06 - 0:10ถึงจุดที่มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์
บุคคลและวิชาชีพฉันไปแล้ว -
0:10 - 0:14ว่า ฉันช่างดีเหลือเกิน
เข้ากับใครต่อใครได้ดีไปหมด -
0:14 - 0:18แม้แต่กับศัตรูตัวฉกาจของฉันเอง
-
0:19 - 0:21เหมือนเป็น "เรื่องถนัด" ขึ้นชื่อของฉันเลย
-
0:21 - 0:24(เสียงหัวเราะ)
-
0:24 - 0:27แต่ สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้เลย...
-
0:29 - 0:31คือ ฉันเคยเป็นอันธพาลมาก่อน
-
0:33 - 0:35พูดตรง ๆ ฉันเองก็ไม่ได้นึกถึงมันมากนัก
-
0:35 - 0:39ฉันฝังความทรงจำทิ้งไปนานหลายปีแล้ว
-
0:39 - 0:42กระนั้น ยังมีหลายอย่างที่ยังจำได้แบบจาง ๆ
-
0:42 - 0:45ชัดเจนว่า...
การปฏิเสธความจริงก็เป็นอีกสิ่งที่ฉันถนัด -
0:45 - 0:46(เสียงหัวเราะ)
-
0:46 - 0:49แต่ยิ่งคนเริ่มชมฉันมากขึ้น
-
0:49 - 0:51ว่าฉันเป็นนักเสรีนิยม
ที่สามารถเข้ากับนักอนุรักษ์นิยมได้ดี -
0:51 - 0:54และยิ่งฉันเขียนบทความเกี่ยวกับการเป็นคนดี
-
0:54 - 0:57และขึ้นพูดเกี่ยวกับการเป็นคนดีมากเท่าไหร่
-
0:57 - 1:01ฉันกลับยิ่งรู้สึกถึงความเสแสร้ง
คืบคลานในตัวฉันมากขึ้นเท่านั้น -
1:03 - 1:05ถ้าหากจริง ๆ แล้ว ฉันเป็นคนใจร้ายล่ะ
-
1:08 - 1:11ตอนฉันอายุได้ 10 ขวบ
-
1:12 - 1:15ในชั้นเรียนของฉันที่โรงเรียน
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ วิคกี้ -
1:15 - 1:17(เสียงถอนหายใจ)
-
1:17 - 1:18ฉันทรมานเธอ
-
1:20 - 1:21อย่างไร้ความปราณี
-
1:23 - 1:25คือ ทุกคนก็ทำ
-
1:25 - 1:26แม้แต่ครูยังหาเรื่องเธอเลย
-
1:28 - 1:30นั่นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
ใช่ไหมล่ะ -
1:31 - 1:34วิคกี้เป็นเด็กมีปัญหาอย่างชัดเจน
-
1:34 - 1:37เธอตบตีตัวเองจนบางทีเลือดออกจมูก
-
1:37 - 1:38และยังมีปัญหาเรื่องสุขอนามัย
-
1:38 - 1:40อย่างหนักเลยล่ะ
-
1:41 - 1:43แต่แทนที่จะเข้าไปช่วยเด็กผู้หญิงคนนี้
-
1:43 - 1:46ที่กำลังทุกข์ทรมานจาก
ความยากลำบากในชีวิตเธอ -
1:48 - 1:50เรากลับตั้งชื่อเธอ
"วิคกี้จอมเหนียวหนึบ" -
1:52 - 1:54ฉันเรียกเธอว่า "วิคกี้จอมเหนียวหนึบ"
-
1:57 - 2:01ความทรงจำหนึ่งที่แจ่มชัดที่สุด
คือ การไปยืนในโถงทางเดินโล่ง ๆ -
2:01 - 2:03นอกห้องเรียนเกรด 5 (ประถมศึกษาปีที่ 5)
-
2:03 - 2:06รอให้วิคกี้ออกมาจากห้องน้ำ
-
2:06 - 2:09โดยฉันยืนถือคลิปบอร์ด ปากกา
และแบบสอบถามที่ฉันสร้างขึ้นมา -
2:09 - 2:11ถามเกี่ยวกับการเลือกใช้แชมพูสระผม
-
2:11 - 2:14เหมือนฉันกำลังทำวิจัย
วิชาวิทยาศาสตร์อะไรทำนองนั้น -
2:14 - 2:16พอวิคกี้ออกมาจากห้องน้ำ
-
2:16 - 2:19ฉันรีบกระโจนเข้าหาเธอ
และถามว่าเธอใช้แชมพูอะไร -
2:19 - 2:21ทีนี้ ลองนึกภาพดูว่า
-
2:21 - 2:23ฉันจำชื่อครูไม่ได้สักคน
-
2:23 - 2:27ฉันจำชื่อหนังสือที่อ่านปีนั้นไม่ได้สักเล่ม
-
2:27 - 2:29ฉันจำอะไรแทบไม่ได้เลยจากสมัยเรียนเกรดห้า
-
2:29 - 2:32แต่ฉันจำได้ว่า
วิคกี้บอกฉันว่าเธอใช้แชมพูยี่ห้อไวท์เรน -
2:33 - 2:34ชัดอย่างกับเมื่อวานนี้
-
2:34 - 2:36เหมือนพึ่งเกิดขึ้น
-
2:37 - 2:38พอนักเรียนกรูออกจากห้อง
-
2:38 - 2:41ฉันวิ่งไปตามโถงทางเดิน
ตะโกนใส่คนอื่นๆ ว่า -
2:41 - 2:43"วิคกี้จอมเหนียวหนึบ ใช้แชมพูยี่ห้อไวท์เรน
-
2:43 - 2:45อย่าใช้...แชมพูยี่ห้อไวท์เรนกันนะ
-
2:45 - 2:48ไม่งั้น จะเหม็นเหมือนวิคกี้จอมเหนียวหนึบ"
-
2:51 - 2:53ฉันลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว
-
2:53 - 2:55ในที่สุด พอฉันเริ่มนึกออก
-
2:55 - 2:56ฉันต้องการรู้เพิ่มทันที
-
2:56 - 2:59ฉันติดต่อเพื่อน ๆ
และใช้โซเชียลมีเดียในที่สุด -
2:59 - 3:01ทำทุกวิถีทาง เพื่อตามหาวิคกี้
-
3:01 - 3:04ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเธอไม่เป็นไร
-
3:04 - 3:06ว่าฉันไม่ได้ทำให้ชีวิตเธอพังย่อยยับ
-
3:07 - 3:09(เสียงถอนหายใจ)
-
3:09 - 3:10แต่ฉันนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็วว่า
-
3:10 - 3:13ฉันไม่ได้แค่พยายามคิดให้ตก
ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิคกี้กันแน่ -
3:13 - 3:16แต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันเองต่างหาก
-
3:18 - 3:19ตอนฉันอายุ 10 ขวบ
-
3:19 - 3:24ฉันปฏิบัติกับคนอื่นราวกับของไร้ค่า
-
3:25 - 3:26ราวกับว่าฉันดีกว่าเธอ
-
3:27 - 3:29และเธอเป็นเศษขยะ
-
3:30 - 3:32คนดี ๆ พรรค์ไหนเขาทำเรื่องแบบนั้นกัน
-
3:33 - 3:34ฉันรู้ ตอนนั้นฉันก็แค่เด็กคนหนึ่ง
-
3:34 - 3:36แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนที่ทำ
-
3:36 - 3:38เด็กส่วนใหญ่เขาไม่ทำกัน จริงไหม
-
3:39 - 3:42หรือจริง ๆ แล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนดีอะไรเลย
-
3:42 - 3:44ก็แค่ปีศาจที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
-
3:46 - 3:51จากนั้น ฉันเริ่มสังเกตว่า
ตัวเองมีแรงกระตุ้นร้าย ๆ พวกนี้ -
3:51 - 3:53คอยคิดแต่เรื่องใจร้าย ๆ
-
3:53 - 3:54คอยอยากจะพูดมันออกมา
-
3:56 - 3:59ยอมรับว่าความคิดร้าย ๆ ส่วนใหญ่ของฉัน
มักเกี่ยวกับนักอนุรักษ์นิยม -
3:59 - 4:04(เสียงหัวเราะ)
-
4:04 - 4:05แต่ไม่ใช่แค่นักอนุรักษ์นิยม
-
4:05 - 4:09ฉันพบว่า
ยังมีนักเสรีนิยมสายกลางจอมเหยาะแหยะ -
4:10 - 4:11และนายธนาคารวอลล์สตรีทหน้าเลือด
-
4:11 - 4:13และพวกหวาดกลัวอิสลาม
-
4:13 - 4:14และพวกขับรถช้าทั้งหลาย
-
4:14 - 4:17เพราะฉันล่ะเกลียดคนขับช้าเป็นเต่าจริง ๆ
-
4:17 - 4:19(เสียงหัวเราะ)
-
4:19 - 4:22และขณะที่ฉันรู้ตัวว่า
กำลังตกอยู่ในภวังค์ความเสแสร้งพวกนี้ -
4:22 - 4:26ไม่ว่าเพราะสังเกตเห็นมันเอง
หรือเพราะอาการมันหนักข้อขึ้น -
4:26 - 4:28โดยเฉพาะช่วงสองสามปีหลังนี้
-
4:28 - 4:30และขณะที่ฉันรู้สึกเกลียดชังมากขึ้น
-
4:30 - 4:33ถึงขั้นเกรี้ยวกราดเลยก็ว่าได้
-
4:33 - 4:36ฉันสังเกตว่า โลกรอบตัวฉันเหมือนจะยิ่ง
ทวีความเกลียดชังรุนแรงตามไปด้วย -
4:36 - 4:38เหมือนมีคลื่นใต้น้ำแห่ง
ความเกลียดชังพัดมาเรื่อย ๆ -
4:38 - 4:41ผุดขึ้นมารายล้อมตัวเรา
-
4:41 - 4:42และไหลบ่าเข้ามามากขึ้น
-
4:44 - 4:46ฉะนั้น ฉันว่า ข้อดีของมัน
-
4:46 - 4:52คือการที่ฉันตระหนักได้ว่าความเกลียดชัง
ไม่ใช่แค่ปัญหาของฉันคนเดียว -
4:52 - 4:55จะว่าไป
ก็เป็นข้อดีที่เห็นแก่ตัวที่สุดก็ว่าได้ -
4:55 - 4:56(เสียงหัวเราะ)
-
4:57 - 5:02เพราะทีนี้ ไม่เพียงแต่ความเกลียดชังและ
ความโหดร้ายของฉันที่ต้องพยายามคิดให้ตก -
5:02 - 5:06ฉันกลับมีโลกแห่งความเกลียดชังทั้งใบ
ที่อยากสะสาง -
5:06 - 5:08ทำความเข้าใจ และแก้ไขเสีย
-
5:11 - 5:15ดังนั้น ฉันเลยทำสิ่งที่คนฉลาด ๆ ทั้งหลาย
มักทำกัน เมื่อพวกเขามีปัญหา -
5:16 - 5:17ที่พวกเขาอยากทำความเข้าใจ
-
5:17 - 5:18ฉันเลยเขียนหนังสือออกมา
-
5:18 - 5:20(เสียงหัวเราะ)
-
5:21 - 5:23ฉันเขียนหนังสือเกี่ยวกับความเกลียดชัง
-
5:23 - 5:25ระวังสปอยล์นะ
-
5:25 - 5:27ฉันต่อต้านมันล่ะ
-
5:27 - 5:29(เสียงหัวเราะ)
-
5:29 - 5:32มาถึงจุดนี้ คุณอาจกำลังคิดกับตัวเองว่า
-
5:32 - 5:34"ทำไมต้องมากังวลเรื่องความเกลียดล่ะ
-
5:34 - 5:35คุณไม่ได้เกลียดวิคกี้นี่
-
5:35 - 5:37แกล้งคนไม่ใช่ความเกลียดชังเสียหน่อย"
-
5:38 - 5:40จริงหรือ
-
5:41 - 5:43กอร์ดอน ออลพอร์ต
(Gordon Allport) -
5:43 - 5:47นักจิตวิทยาผู้ริเริ่มการศึกษา
เรื่องความเกลียดชัง ช่วงต้นทศวรรษ 1900 -
5:47 - 5:49พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า "มาตรวัดความอคติ"
-
5:49 - 5:55ปลายหนึ่ง เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
และเหตุรุนแรงจากความอคติอื่น ๆ -
5:55 - 5:57แต่อีกปลายหนึ่ง
-
5:57 - 6:00เป็นเรื่องอย่างการเชื่อว่าคนในกลุ่มของคุณ
-
6:00 - 6:03โดยเนื้อแท้แล้ว เหนือกว่าคนนอกกลุ่มของคุณ
-
6:03 - 6:08หรือหลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
กับคนกลุ่มอื่น -
6:10 - 6:11นั่นไม่ใช่ความเกลียดหรือ
-
6:12 - 6:14ฉันว่ามันไม่ใช่เหตุบังเอิญนะ
-
6:14 - 6:17ที่ฉันเป็นเด็กรวยที่คอยหาเรื่องเด็กจน
-
6:19 - 6:23หรือการที่วิคกี้นั้น
กลายเป็นเกย์ไปในที่สุด -
6:25 - 6:29เด็กจน และ เด็กที่เป็นเกย์นั้น
มีแนวโน้มจะถูกรังแกมากกว่า -
6:29 - 6:32แม้จากกลุ่มเด็กที่
กลายเป็นเกย์ในตอนท้ายเหมือนกันก็ตาม -
6:34 - 6:37ฉันรู้ว่า ความคิดฉันสมัยสิบขวบมันเยอะไปหมด
-
6:37 - 6:40ไม่ได้จะบอกว่า
ความเกลียดคือเหตุผลเดียวที่ฉันแกล้งวิคกี้ -
6:40 - 6:43หรือว่าแม้แต่จะตั้งใจเกลียดอะไรทั้งนั้น
-
6:43 - 6:44ความจริงก็คือ
-
6:44 - 6:49คนที่โดนเราเลือกปฏิบัติ
ในนโยบายสาธารณะ และในวัฒนธรรมของเรานั้น -
6:49 - 6:54ยังมักเป็นกลุ่มคนที่มีแนวโน้ม
จะโดนแกล้งในโรงเรียนมากที่สุดอีกด้วย -
6:56 - 6:58ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ
-
7:00 - 7:01นั่นคือความเกลียด
-
7:04 - 7:06ฉันขอนิยามความเกลียดแบบกว้าง ๆ
-
7:07 - 7:10เพราะฉันคิดว่า เราเจอปัญหาชิ้นโตเข้าแล้ว
-
7:11 - 7:15และเราจำเป็นต้องแก้ไขให้หมด
ไม่ใช่แค่ปัญหาร้ายแรงที่สุดเท่านั้น -
7:15 - 7:16ฉันขอยกตัวอย่าง
-
7:16 - 7:19เราทุกคนคงเห็นด้วยกับการเดินขบวนตามท้องถนน
-
7:19 - 7:22เรียกร้องให้ริดรอนสิทธิจากกลุ่มคนบางกลุ่ม
-
7:22 - 7:24เพียงเพราะสีผิวและเพศของพวกเขา
-
7:24 - 7:26ทุกคนเห็นด้วยว่ามันคือความเกลียด ใช่ไหม
-
7:28 - 7:31แล้วหาก คุณเชื่อว่าคนกลุ่มนั้นต่ำต้อยกว่า
-
7:33 - 7:34แต่ไม่ได้พูดออกมาล่ะ
-
7:36 - 7:37ใช่ความเกลียดไหม
-
7:38 - 7:41แล้วถ้าเกิดคุณเชื่อว่า
คนกลุ่มนั้นต่ำต้อยกว่า -
7:41 - 7:44แต่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ว่าตัวคุณเชื่ออย่างนั้น -
7:44 - 7:45หรือที่เรียกว่า อคติโดยนัย
-
7:46 - 7:47นั่นใช่ความเกลียดไหม
-
7:48 - 7:50คือพวกมันมีต้นตอเดียวกัน ไม่ใช่หรือ
-
7:50 - 7:53ลองดูรูปแบบในอดีตของ
การเหยียดผิวและการกีดกันทางเพศ -
7:53 - 7:56ที่ปรับแต่งหน้าประวัติศาสตร์
และยังกัดกินสังคมเรามาจนวันนี้สิ -
7:56 - 7:58ไม่ใช่ความเกลียดอย่างนั้นหรือ
-
7:59 - 8:01ฉันไม่ได้บอกว่ามันเหมือนกันหมดนะ
-
8:01 - 8:03เหมือนกับที่ฉันไม่ได้กำลังบอกว่า
-
8:03 - 8:06การเป็นอันธพาล ชั่วร้ายเท่ากับการเป็นนาซี
-
8:06 - 8:10เหมือนกับที่ฉันไม่ได้บอกว่าการเป็นนาซี
คือเรื่องเดียวกับการไปต่อยนาซีคนอื่น -
8:11 - 8:16(เสียงหัวเราะ)
-
8:16 - 8:20แต่ การเกลียดนาซีเองก็ยังถือ
เป็นความเกลียดชัง ใช่ไหม -
8:21 - 8:24แล้วการเกลียดคนที่ไม่ได้รู้แจ้งเท่าคุณล่ะ
-
8:25 - 8:27เห็นไหมคะ สิ่งที่ฉันเรียนรู้มา
-
8:29 - 8:31คือ เราทุกคนต่อต้านความเกลียดชัง
-
8:31 - 8:33เราต่างคิดว่าความเกลียดชัง...เป็นปัญหา
-
8:34 - 8:36เราคิดว่ามันเป็นปัญหาคนอื่น
-
8:37 - 8:38ไม่ใช่ปัญหาเรา
-
8:39 - 8:40คนอื่นเต็มไปด้วยความเกลียด
-
8:41 - 8:43ถ้าฉันคิดว่าคนที่โหวตต่างจากฉัน
-
8:43 - 8:47เป็นตัวประหลาดเหยียดผิวโง่ ๆ ที่ไม่คู่ควร
แก่เรียกตัวเองเป็นชาวอเมริกันล่ะ -
8:47 - 8:48ก็ได้ กรณีนั้น ฉันไม่ดีจริง
-
8:48 - 8:50เข้าใจได้
-
8:50 - 8:51(เสียงหัวเราะ)
-
8:51 - 8:54ฉันไม่ได้เต็มไปด้วยความเกลียดหรอก
ก็แค่ทำถูกต้องเฉย ๆ ใช่ไหมล่ะ -
8:54 - 8:56(เสียงหัวเราะ)
-
8:56 - 8:57ผิดสิ
-
8:59 - 9:02เรา ทุกคน เกลียดกันทั้งนั้น
-
9:03 - 9:07ฉันไม่ได้จะสื่อเป็นนามธรรมนะ
-
9:07 - 9:09ฉันหมายถึงพวกเราทุกคนเนี่ยแหละ
-
9:11 - 9:12ฉัน และ คุณ
-
9:14 - 9:19การที่เราล้วนมองว่าตัวเองเดินอยู่บนหนทาง
แห่งความเสแสร้งว่าเราเหนือชั้นกว่า -
9:19 - 9:22ว่าพวกเขาต่างหากที่เต็มไปด้วยความเกลียด
เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียหน่อย -
9:22 - 9:26แสดงให้เห็นถึงต้นตอหลักของความเกลียดชัง
-
9:26 - 9:30ว่าตัวเรานั้นดีตั้งแต่พื้นฐาน แต่คนอื่นไม่
-
9:31 - 9:33สิ่งนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนได้แล้ว
-
9:34 - 9:38ฉะนั้น ด้วยความพยายามจะทำเข้าใจ
และแก้ไขปัญหาความเกลียดชัง -
9:38 - 9:41ฉันไล่อ่านหนังสือทุกเล่มและ
งานวิจัยทุกชิ้นเท่าที่หาได้ -
9:41 - 9:45แล้วยังเข้าไปพูดคุยกับอดีตนาซี
-
9:45 - 9:46และอดีตผู้ก่อการร้าย
-
9:46 - 9:49และอดีตนักฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายราย
-
9:49 - 9:53เพราะฉันคิดขึ้นได้ว่า ถ้าพวกเขาสามารถ
หาทางหลุดพ้นจากความเกลียดได้ -
9:53 - 9:55พวกเราที่เหลือก็ทำได้เช่นกัน
-
9:56 - 10:00ขอยกตัวอย่างหนึ่งของอดีตผู้ก่อการร้าย
ที่ฉันมีโอกาสใช้เวลาทำความรู้จัก -
10:00 - 10:01ในแถบเวสต์แบงค์
-
10:02 - 10:05เมื่อ บัสซัม อะรามิน อายุได้ 16 ปีนั้น
-
10:06 - 10:10เขาพยายามระเบิดยานพาหนะคุ้มกัน
กองทัพอิสราเอลด้วยระเบิดมือ -
10:12 - 10:14เขาล้มเหลว โชคยังดี
-
10:14 - 10:17แต่ยังต้องโทษขังคุก 7 ปี
-
10:17 - 10:20ตอนติดคุก พวกเขาฉายหนัง
เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวให้ดู -
10:20 - 10:21ก่อนหน้านั้น
-
10:21 - 10:24บัสซัมคิดว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว
เป็นแค่ตำนาน -
10:24 - 10:26เขาไปดูหนัง
-
10:26 - 10:29เพราะคิดว่า การได้ดูชาวยิวถูกฆ่า
น่าจะสนุกดี -
10:30 - 10:34แต่พอได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เขาถึงกับร้องไห้ไม่หยุด -
10:36 - 10:37ในที่สุดหลังออกจากคุก
-
10:37 - 10:41บัสซัมไปเรียนต่อจนจบปริญญาโทด้าน
การศึกษาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว -
10:41 - 10:45และก่อตั้งองค์กรที่นำ
อดีตทหารหน่วยรบปาเลสไตน์ -
10:45 - 10:47และอดีตทหารหน่วยรบอิสราเอลมารวมตัวกัน
-
10:48 - 10:51เพื่อพยายามหาข้อตกลงร่วมกัน
-
10:52 - 10:56จากปากของบัสซัมเอง
เขาสารภาพว่า เคยเกลียดชาวอิสราเอล -
10:57 - 11:00แต่ จากการทำความรู้จักและ
เรียนรู้เรื่องราวของชาวอิสราเอล -
11:00 - 11:02และทำงานร่วมกันเพื่อสันติภาพนี้เอง
-
11:02 - 11:04จึงเอาชนะความเกลียดมาได้
-
11:06 - 11:09บัสซัมบอกว่า เขายังคง
ไม่เกลียดชาวอิสราเอล -
11:10 - 11:12แม้ภายหลังจากที่ทหารอิสราเอล
-
11:13 - 11:16ยิง อาบีร์ ลูกสาววัย 12 ขวบของเขาเสียชีวิต
-
11:16 - 11:17ขณะที่เธอกำลังเดินไปโรงเรียน
-
11:20 - 11:22(เสียงถอนหายใจ)
-
11:22 - 11:25บัสซัมยังให้อภัยทหาร
ที่ฆ่าลูกสาวเขา -
11:26 - 11:28เขาสอนฉันว่าทหารคนนั้น
-
11:30 - 11:34ก็เป็นแค่อีกผลผลิตหนึ่ง
ของระบบความเกลียดชัง เหมือนกับที่เขาเป็น -
11:40 - 11:42ถ้าอดีตผู้ก่อการร้ายคนหนึ่ง
-
11:44 - 11:48ถ้าแม้แต่ผู้ก่อการร้ายยังสามารถเรียนรู้
ที่จะหยุดเกลียด -
11:48 - 11:51และยังคงไม่เกลียดได้
แม้ลูกเขาจะถูกฆ่าตาย -
11:51 - 11:55แน่นอนว่าพวกเราที่เหลือ
ก็สามารถหยุดนิสัยของเรา -
11:55 - 11:57ที่มักทำตัวแย่ ๆ
และลดคุณค่าความเป็นคนต่อกันได้เช่นกัน -
11:57 - 12:01และฉันบอกได้เลยว่า
มีอีกหลายกรณีเหมือนบัสซัมอยู่ทั่วโลก -
12:01 - 12:03แถมยังมีงานวิจัยอีกหลายต่อหลายชิ้น
-
12:03 - 12:08ที่บอกว่า ไม่จริง มนุษย์เราไม่ได้
ถูกออกแบบหรือเกิดมาเพื่อเกลียด -
12:08 - 12:11แต่ถูกโลกรอบตัวเราสอนให้เกลียดต่างหาก
-
12:11 - 12:13ฉันรับรองได้เลย
-
12:13 - 12:16ไม่มีพวกเราคนไหนออกมาจากท้องแม่
แล้วเกลียดคนดำหรือพรรครีพับลิกันทันทีหรอก -
12:16 - 12:21ไม่มีส่วนไหนเลยของดีเอ็นเอเรา
ที่ทำให้เราเกลียดชาวมุสลิมหรือชาวเม็กซิกัน -
12:22 - 12:23ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
-
12:23 - 12:26เราทุกคนก็เป็นผลิตผลหนึ่ง
ของวัฒนธรรมรอบตัวเรา -
12:28 - 12:30แต่ข่าวดีก็คือ
-
12:30 - 12:33เราต่างก็เป็นคนที่
กำหนดทิศทางของวัฒนธรรมนั่นขึ้นมา -
12:34 - 12:36ซึ่งแปลว่า เราสามารถเปลี่ยนมันได้
-
12:37 - 12:42ขั้นตอนแรกคือ
การเริ่มรับรู้ถึงความเกลียดในตัวเราเอง -
12:42 - 12:44เราต้องตามตัวเองให้ทัน
-
12:44 - 12:46ตามความคิดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ทุกรูปแบบ -
12:46 - 12:48ในตัวเราทุกคน...
-
12:50 - 12:52และพยายามท้าทาย
ความคิดและสมมติฐานของเรา -
12:52 - 12:53นั่นไม่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนแน่
-
12:53 - 12:55บอกตอนนี้ได้เลยว่า
-
12:55 - 12:58มันต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
แต่เราจำเป็นต้องทำให้จงได้ -
12:58 - 13:00ต่อมาขั้นที่ 2
-
13:00 - 13:03ถ้าเราอยากท้าทายความเกลียดชัง
ในสังคมของเราแล้วล่ะก็ -
13:03 - 13:07เราจำเป็นต้องส่งเสริมนโยบาย
สถาบัน และแนวปฏิบัติ -
13:07 - 13:10ที่จะเชื่อมโยงเราเข้าเป็นชุมชน
-
13:10 - 13:13เช่น เพื่อนบ้านและโรงเรียน
ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ -
13:13 - 13:15จะว่าไปนั่นคือเหตุผลที่สนับสนุน
-
13:15 - 13:16การรวมความหลากหลาย
-
13:16 - 13:18ไม่ใช่เพียงเพราะ
เป็นการกระทำที่ถูกต้อง -
13:18 - 13:22แต่เพราะการรวมความต่างนั้น
ต่อสู้กับความเกลียดอย่างเป็นระบบ -
13:22 - 13:24มีงานวิจัยหลายชิ้น
ว่าวัยรุ่นที่เข้าร่วม -
13:24 - 13:28ชั้นเรียนและกิจกรรมที่มีหลายเชื้อชาติ
ลดความอคติทางเชื้อชาติลงได้ -
13:28 - 13:32และการที่เด็กเข้าชั้นเรียนแบบนี้
ตั้งแต่อนุบาล -
13:32 - 13:34และประถมนั้น
-
13:34 - 13:36ช่วยลดการเกิดความอคติได้ตั้งแต่แรกทีเดียว
-
13:37 - 13:40แต่ความจริงในหลายวิธี
และหลายที่รอบโลก -
13:41 - 13:43เราถูกแยกออกจากกันและกัน
-
13:45 - 13:47ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา...
-
13:47 - 13:51สามในสี่ ของชาวผิวขาว
ไม่มีเพื่อนชาวผิวสีเลยสักคนเดียว -
13:53 - 13:57ดังนั้น นอกจากการส่งเสริม
วิธีแก้ปัญหาเชิงรุกเหล่านั้นแล้ว -
13:57 - 14:01สิ่งอื่นที่เราต้องทำ
คือ ยุติความเกลียดชังในสถาบันต่างๆของเรา -
14:01 - 14:02และนโยบายทั้งหลาย
-
14:02 - 14:07ไม่ให้อยู่ถาวร
ทั้งการลดคุณค่าความเป็นคน ความแตกต่าง -
14:07 - 14:09การแบ่งพวก
และความเกลียด -
14:09 - 14:15ดังเช่น ระบบการคุกคามทางเพศ
และการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน -
14:15 - 14:19หรือความไม่สมดุลทางเชื้อชาติ
-
14:19 - 14:22และความอคติทางเชื้อชาติที่ฝังรากลึก
ในระบบ "ยุติธรรม" ทางอาญาของเรา -
14:23 - 14:24เราต้องเปลี่ยนแปลงมัน
-
14:24 - 14:26เช่นเดิม มันไม่เปลี่ยนกันชั่วข้ามคืนแน่
-
14:26 - 14:28แต่การเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้น
-
14:30 - 14:31ทีนี้
-
14:32 - 14:34เมื่อเราเชื่อมโยงเข้าหากัน
-
14:35 - 14:38ภายในพื้นที่เชื่อมต่อเหล่านี้
-
14:39 - 14:41ด้วยระบบเชื่อมต่อที่เอื้ออำนวยมากขึ้น
-
14:43 - 14:45เราต้องเปลี่ยนวิธีที่เราคุยกัน
-
14:47 - 14:48เชื่อมโยงหากันและกัน
-
14:48 - 14:54ผูกมิตรกับความโอบอ้อมอารี
และการเปิดใจกว้าง -
14:54 - 14:55ความเมตตา และความเห็นอกเห็นใจ
-
14:55 - 14:56แต่ไม่ใช่ความเกลียด
-
14:58 - 14:59แค่นั้นเอง
-
14:59 - 15:00แค่นั้นเลย
-
15:00 - 15:05(เสียงปรบมือ)
-
15:05 - 15:07ฉันแก้หมดแล้ว ใช่ไหม
-
15:07 - 15:08แค่นี้เอง
-
15:08 - 15:09น่าจะประมาณนี้
-
15:09 - 15:10มีปลีกย่อยอีกนิด
-
15:10 - 15:12แต่ที่ต้องทำทั้งหมดก็ประมาณนี้แหละ
-
15:12 - 15:14ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น ใช่ไหมล่ะ
-
15:16 - 15:17แต่มันยากนะ
-
15:18 - 15:23ความรู้สึกเกลียดที่เรามี
ต่อคนเฉพาะกลุ่ม -
15:24 - 15:27เพราะตัวตนที่เขาเป็น
หรือสิ่งที่เขาเชื่อนั้น -
15:27 - 15:30ช่างฝังแน่นในจิตใจของเรา
และในสังคมเรา -
15:30 - 15:32จนอาจรู้สึกเลี่ยงไม่ได้
-
15:33 - 15:34และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยน
-
15:37 - 15:39การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้
-
15:41 - 15:46แค่หันไปดูผู้ก่อการร้าย
ที่กลายเป็นนักกิจกรรมเพื่อสันติภาพสิ -
15:47 - 15:53หรือดูอันธพาลผู้เรียนรู้ที่จะ
ขอโทษเหยื่อของเธอก็ได้ -
15:55 - 16:00ตลอดเวลาที่ฉันเดินทางไป
ไปทั่วตะวันออกกลางและรวันดา -
16:01 - 16:02และทั่วสหรัฐอเมริกานั้น
-
16:02 - 16:06การได้ฟังเรื่องราวเหลือเชื่อ
ของคนในชุมชนต่าง ๆ -
16:06 - 16:09ที่ทิ้งความเกลียดในอดีตทุกอย่างไว้ข้างหลัง
-
16:09 - 16:10ตอนนั้น ฉันยังคงหาวิคกี้ต่อไป
-
16:11 - 16:14มันยากเสียจนฉันต้องจ้างนักสืบเอกชน
-
16:14 - 16:15เขาหาเธอจนเจอ
-
16:15 - 16:17คือทำนองว่าหาเจอ
-
16:17 - 16:22ที่จริงคือฉันมารู้ชัดอีกที
ว่าบุคคลที่ฉันกำลังเรียกว่าวิคกี้อยู่นั้น -
16:22 - 16:26ได้ทุ่มเทสุดตัว
เพื่อซ่อนตัวตนของเธอ -
16:29 - 16:32อย่างไรก็ตาม หนึ่งปี
หลังจากที่ฉันเริ่มออกเดินทาง -
16:35 - 16:36ฉันเขียนจดหมายขอโทษวิคกี้
-
16:38 - 16:39และไม่กี่เดือนให้หลัง
-
16:41 - 16:42เธอเขียนตอบมา
-
16:43 - 16:45(เสียงถอนหายใจ)
-
16:45 - 16:47พูดตามตรงนะ
-
16:47 - 16:49ฉันอยากได้รับการให้อภัย
-
16:53 - 16:54แต่เปล่าเลย
-
16:54 - 16:55(เสียงถอนหายใจ)
-
16:56 - 16:59คือเธอเสนอการให้อภัยแบบมีเงื่อนไข
-
16:59 - 17:00เธอเขียนมาว่า
-
17:01 - 17:06"ข้อความแบบที่เธอส่งมา
ไม่สามารถทำให้เธอหลุดพ้น -
17:06 - 17:07จากการกระทำในอดีตได้
-
17:07 - 17:10ทางเดียวที่จะทำได้คือ
จงทำให้โลกนี้ดีกว่าเดิม -
17:10 - 17:13ป้องกันไม่ให้คนอื่นทำแบบเดียวกันอีก
-
17:14 - 17:16และส่งเสริมความเมตตากรุณา"
-
17:18 - 17:19วิคกี้พูดถูก
-
17:22 - 17:23นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันมาที่นี่
-
17:24 - 17:25ขอบคุณค่ะ
-
17:25 - 17:32(เสียงปรบมือ)
- Title:
- วิธีรับมือวัฒนธรรมความเกลียด
- Speaker:
- แซลลี่ โคห์น (Sally Kohn)
- Description:
-
เราต่างต่อต้านความเกลียด ใช่ไหม เราเห็นด้วยว่ามันเป็นปัญหา แต่เป็นปัญหาคนอื่น ไม่ใช่ปัญหาเรา...ก็แค่นั้น! แต่แซลลี่ โคห์นค้นพบว่า เราทุกคนเกลียดกันทั้งนั้น...แนบเนียนบ้าง...โจ่งแจ้งบ้าง และในขณะที่เธอเผชิญหน้ากับเรื่องราวความยากลำบากในชีวิต เธอยังได้แบ่งปันความคิดว่าเราสามารถตระหนัก ท้าทาย และ เยียวยาความเกลียดชัง ทั้งในสถาบันต่างๆ และในตัวเราได้อย่างไรบ้าง
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 17:46
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for What we can do about the culture of hate | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What we can do about the culture of hate | ||
Sritala Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for What we can do about the culture of hate | ||
Suthanan Traisutcha edited Thai subtitles for What we can do about the culture of hate | ||
Suthanan Traisutcha edited Thai subtitles for What we can do about the culture of hate | ||
Suthanan Traisutcha edited Thai subtitles for What we can do about the culture of hate | ||
Suthanan Traisutcha edited Thai subtitles for What we can do about the culture of hate | ||
Suthanan Traisutcha edited Thai subtitles for What we can do about the culture of hate |