Return to Video

ภาษาอังกฤษมีกี่กาลกันนะ

  • 0:07 - 0:10
    เทนส์ (กาล) ตามหลักไวยากรณ์
    คือวิธีการบอกเวลาในภาษาต่าง ๆ
  • 0:10 - 0:13
    โดยไม่ต้องระบุช่วงเวลาชัดเจน
  • 0:13 - 0:17
    แต่จะผันคำกริยา เพื่อบอกเวลา
    ที่เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นแทน
  • 0:17 - 0:20
    แล้วภาษาอังกฤษ
    มีกี่กาลล่ะ
  • 0:20 - 0:23
    หากมองผ่าน ๆ
    คำตอบนั้นก็ง่ายมาก
  • 0:23 - 0:24
    ก็ต้องมีอดีต
  • 0:24 - 0:24
    ปัจจุบัน
  • 0:24 - 0:26
    และอนาคตน่ะสิ
  • 0:26 - 0:28
    แต่ด้วยโครงสร้างไวยากรณ์
    ที่เรียกว่า "การณ์ลักษณะ"
  • 0:28 - 0:32
    ช่วงเวลาหลัก ๆ แต่ละช่วง
    จึงแยกย่อยได้ชัดเจนขึ้นอีก
  • 0:32 - 0:34
    การณ์ลักษณะแบ่ง 4 ประเภท
  • 0:34 - 0:37
    อย่างการณ์ลักษณะ
    continuous หรือ progressive
  • 0:37 - 0:40
    การกระทำจะยัง
    ดำเนินอยู่ ณ ขณะที่พูดถึง
  • 0:40 - 0:44
    การณ์ลักษณะ perfect
    จะใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้ว
  • 0:44 - 0:46
    ส่วนแบบ perfect progressive
    เป็นโครงสร้างผสมผสาน
  • 0:46 - 0:50
    ใช้กล่าวถึงส่วนที่จบไปแล้ว
    ของเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อเนื่อง
  • 0:50 - 0:52
    และประเภทสุดท้าย
    คือการณ์ลักษณะ simple
  • 0:52 - 0:56
    ซึ่งเป็นโครงสร้างเทนส์พื้นฐาน
    ของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
  • 0:56 - 1:00
    ใช้กับเหตุการณ์ที่ไม่เจาะจง
    ว่าเกิดต่อเนื่องหรือจบลงแล้ว
  • 1:00 - 1:04
    อธิบายแบบนี้คงเข้าใจยากหน่อย
    มาดูวิธีการใช้จริงกันดีกว่า
  • 1:04 - 1:07
    สมมติเพื่อนบอกคุณว่า
    ไปทำภารกิจลับทางทะเลมา
  • 1:07 - 1:10
    เพื่อหาหลักฐานของสัตว์ทะเลลึกลับ
  • 1:10 - 1:13
    ถึงแม้กาลที่ใช้จะกำหนดว่า
    เหตุการณ์หลักเกิดในอดีต
  • 1:13 - 1:15
    แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว
    เรายังใช้กาลอื่น ๆ ได้อีกมากมาย
  • 1:15 - 1:18
    เช่น หากเพื่อนเล่าว่า
    เจ้าสัตว์ลึกลับเข้าจู่โจมเรือ
  • 1:18 - 1:21
    ก็ต้องใช้ past simple
    การณ์ลักษณะพื้นฐานที่สุด
  • 1:21 - 1:23
    ซึ่งไม่ได้บอกรายละเอียดชัดเจนนัก
  • 1:23 - 1:26
    หรือตอนที่มันจู่โจม
    พวกเขากำลังนอนหลับอยู่
  • 1:26 - 1:29
    ถือเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องในช่วงเวลานั้น
  • 1:29 - 1:32
    เพื่อนคุณอาจเล่าด้วยว่า
    เดินทางออกจากเกาะแนนทักเก็ตแล้ว
  • 1:32 - 1:35
    เพื่อบอกเล่าเรื่องราว
    ที่จบไปแล้วก่อนหน้านั้น
  • 1:35 - 1:38
    นี่คือตัวอย่างของ
    การณ์ลักษณะ past perfect
  • 1:38 - 1:41
    หรือหากเล่าว่าต้องล่องเรือ
    เป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์แล้ว
  • 1:41 - 1:44
    ก็จะหมายถึงเหตุการณ์
    ที่เกิดต่อเนื่องมาจนถึงช่วงเวลานั้น
  • 1:44 - 1:49
    และหากตอนนี้ เพื่อนบอกคุณว่า
    วันนี้พวกเขายังตามหาสัตว์ลึกลับอยู่
  • 1:49 - 1:51
    นั่นก็คือการกระทำแบบ
    present simple เทนส์นั่นเอง
  • 1:51 - 1:56
    หรือหากพวกเขากำลังเตรียมตัว
    สำหรับภารกิจต่อไป ณ ขณะที่พูด
  • 1:56 - 2:00
    แถมยังสร้างเรือดำน้ำสำเร็จ
    เท่ากับว่ามีเรื่องหนึ่งจบลงแล้ว
  • 2:00 - 2:05
    และหากพวกเขาศึกษาหลักฐาน
    การพบเห็นเจ้าสัตว์ลึกลับมาระยะหนึ่งแล้ว
  • 2:05 - 2:08
    นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำมาสักระยะ
    และกำลังทำอยู่จนถึงตอนนี้
  • 2:08 - 2:11
    เราต้องใช้เทนส์
    present perfect progressive
  • 2:11 - 2:14
    แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในภารกิจต่อไป
  • 2:14 - 2:18
    เรารู้อยู่ว่ามันยังไม่เกิดขึ้น
    เพราะจะออกเดินทางในสัปดาห์หน้า
  • 2:18 - 2:20
    แบบนี้ถือเป็น future simple
  • 2:20 - 2:23
    พวกเขาจะตามหา
    เจ้าสัตว์ลึกลับนี้สักระยะหนึ่ง
  • 2:23 - 2:26
    เหตุการณ์ต่อเนื่องจึงยังเกิดต่อไป
  • 2:26 - 2:31
    เพื่อน ๆ บอกคุณด้วยว่าอีก 1 เดือนข้างหน้า
    เรือดำน้ำจะไปถึงห้วงทะเลลึก
  • 2:31 - 2:32
    เป็นการคาดเดาอย่างมั่นใจ
  • 2:32 - 2:36
    ว่าจะทำตามเป้าหมายสำเร็จ
    ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ในอนาคต
  • 2:36 - 2:39
    ซึ่งเป็นช่วงที่เพื่อนคุณ
    จะใช้เวลาสำรวจราว ๆ 3 สัปดาห์
  • 2:39 - 2:41
    จึงใช้เทนส์
    future perfect progressive นั่นเอง
  • 2:41 - 2:44
    ประเด็นสำคัญ
    ของการใช้กาลต่าง ๆ
  • 2:44 - 2:48
    อยู่ที่แต่ละประโยค
    จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาจำเพาะ
  • 2:48 - 2:51
    ไม่ว่าจะเป็น อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
  • 2:51 - 2:54
    ส่วนการณ์ลักษณะจะบอก
    เหตุการณ์เทียบจากช่วงเวลาหลัก
  • 2:54 - 2:56
    ถึงลักษณะของการกระทำ
  • 2:56 - 3:00
    รวม ๆ แล้วจึงเกิดเป็น
    12 กาลในภาษาอังกฤษ
  • 3:00 - 3:02
    แล้วภาษาอื่น ๆ ล่ะ
  • 3:02 - 3:03
    ภาษาฝรั่งเศส
  • 3:03 - 3:04
    ภาษาสวาฮีลี
  • 3:04 - 3:07
    และภาษารัสเซีย
    จะคล้ายกับภาษาอังกฤษ
  • 3:07 - 3:10
    ส่วนภาษาอื่น ๆ จะบอก
    และแบ่งช่วงเวลาต่างออกไป
  • 3:10 - 3:13
    บางภาษามีกาลน้อย
    อย่างภาษาญี่ปุ่น
  • 3:13 - 3:17
    ที่จะแบ่งช่วงเวลาในอดีต
    ออกจากช่วงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อดีต
  • 3:17 - 3:18
    ภาษาบูลิและตูกังเบสี
  • 3:18 - 3:22
    จะแบ่งแยกเฉพาะอนาคต
    และที่ไม่ใช่อนาคตเท่านั้น
  • 3:22 - 3:26
    ภาษาจีนกลางไม่ผันกริยาตามกาล
    มีเฉพาะการณ์ลักษณะเท่านั้น
  • 3:26 - 3:32
    ตรงกันข้าม ภาษายากวา
    กลับแบ่งกาลอดีตเป็นหลายระดับ
  • 3:32 - 3:36
    แยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง
    หลายสัปดาห์ หรือหลายปี
  • 3:36 - 3:40
    บางภาษา กาลจะใช้ร่วมกับคำแสดงอารมณ์
    เพื่อแสดงความเร่งด่วน
  • 3:40 - 3:41
    ความจำเป็น
  • 3:41 - 3:43
    หรือความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
  • 3:43 - 3:46
    การแปลภาษาจึงเป็นเรื่องยาก
    แต่ก็ไม่ถึงกับแปลไม่ได้หรอกนะ
  • 3:46 - 3:50
    คนที่พูดภาษาที่ไม่มีกาลชัดเจน
    ก็ยังเล่าเรื่องราวได้
  • 3:50 - 3:54
    ด้วยการใช้กริยาช่วย
    อย่างคำว่า would หรือ did
  • 3:54 - 3:56
    หรือไม่ก็จะระบุช่วงเวลาไปเลย
  • 3:56 - 3:58
    ความแตกต่างของภาษาต่าง ๆ
  • 3:58 - 4:02
    เป็นเพียงวิธีการบอกเล่า
    เรื่องเดียวกันที่แตกต่างรึเปล่า
  • 4:02 - 4:06
    หรือโครงสร้างที่ต่างกัน
    สะท้อนแนวคิดที่คนเรามีต่อโลกต่างกัน
  • 4:06 - 4:08
    ไม่เว้นแม้กระทั่ง เวลา
  • 4:08 - 4:12
    ถ้าเช่นนั้น ยังมีการรับรู้เวลา
    แบบอื่น ๆ อีกกี่วิธีกันนะ
Title:
ภาษาอังกฤษมีกี่กาลกันนะ
Description:

เข้าชมเว็บไซต์ของเราได้ที่ https://www.patreon.com/teded

ดูบทเรียนทั้งหมดได้ที่ https://ed.ted.com/lessons/how-many-verb-tenses-are-there-in-english-anna-ananichuk

ในแต่ละภาษาเช่นภาษาอังกฤษมีกี่กาล (tense) กันนะ ที่น่าจะชัดเจนก็คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่มันไม่ง่ายเช่นนั้น แอนนา อนานิชุค อธิบายว่าทำไมเราควรขอบคุณสิ่งที่เรียกว่า การณ์ไวยากรณ์ ซึ่งห้วงของเวลาต่าง ๆ ได้ถูกแบ่งแยกเพิ่มขึ้นไปอีก

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TED-Ed
Duration:
04:28

Thai subtitles

Revisions