1 00:00:01,163 --> 00:00:03,429 กาลครั้งหนึ่งมันมีดวงดาว 2 00:00:04,082 --> 00:00:06,804 เหมือนกับสิ่งอื่น ๆ มันถือกำเนิดขึ้น 3 00:00:06,828 --> 00:00:10,609 เติบโตจนมีขนาดเป็น 30 เท่าของดวงอาทิตย์ 4 00:00:10,633 --> 00:00:12,926 และอยู่มาเป็นเวลานาน 5 00:00:13,475 --> 00:00:14,843 แต่นานแค่ไหนนั้น 6 00:00:14,867 --> 00:00:16,606 ไม่มีใครคนไหนบอกได้ 7 00:00:17,162 --> 00:00:18,941 เหมือนกับทุก ๆ อย่างในชีวิต 8 00:00:18,965 --> 00:00:22,414 มันเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของดวงดาว 9 00:00:22,438 --> 00:00:25,015 เมื่อหัวใจของมัน แกนชีวิตของมัน 10 00:00:25,039 --> 00:00:26,505 กำลังจะหมดพลังงาน 11 00:00:26,905 --> 00:00:28,212 แต่นั่นไม่ใช่จุดจบ 12 00:00:28,236 --> 00:00:31,762 มันเปลี่ยนเป็นซุปเปอร์โนวา และในกระบวนการนั้น 13 00:00:31,786 --> 00:00:34,440 มีการปลดปล่อยพลังงานปริมาณมหาศาล 14 00:00:34,464 --> 00:00:37,172 ที่สว่างกลบทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล 15 00:00:37,196 --> 00:00:39,530 และการส่องแสงนั้น ในเพียงหนึ่งวินาที 16 00:00:39,554 --> 00:00:43,627 ให้พลังงานปริมาณเท่ากับ ที่ดวงอาทิตย์ของเราปลดปล่อยใน 10 วัน 17 00:00:43,651 --> 00:00:46,922 และมันพัฒนาบทบาทใหม่ของมันในกาแล็กซี 18 00:00:47,783 --> 00:00:50,257 การระเบิดซุปเปอร์โนวาเป็นอะไรที่รุนแรงมาก 19 00:00:50,638 --> 00:00:54,858 แต่ซุปเปอร์โนวาที่ปลดปล่อยรังสีแกมมา เป็นอะไรที่สุดยอดยิ่งกว่า 20 00:00:55,417 --> 00:00:57,706 ในกระบวนการ ของกลายเป็นซุปเปอร์โนวาดังกล่าว 21 00:00:57,730 --> 00:01:01,153 ส่วนภายในของดวงดาวยุบตัว ภายใต้น้ำหนักของมัน 22 00:01:01,177 --> 00:01:04,065 และมันเริ่มที่จะหมุนเร็วกว่าเดิม 23 00:01:04,089 --> 00:01:07,954 เหมือนกับนักสเก็ตน้ำแข็ง ตอนที่พวกเขาหุบแขนให้ใกล้ลำตัว 24 00:01:08,592 --> 00:01:13,050 ในแบบเดียวกัน มันเริ่มที่จะหมุนอย่างรวดเร็ว 25 00:01:13,074 --> 00:01:14,634 และเพิ่มสนามแม่เหล็กของมัน อย่างทรงพลัง 26 00:01:15,011 --> 00:01:18,100 มวลรอบดวงดาวถูกลากไปรอบ ๆ 27 00:01:18,124 --> 00:01:21,442 และพลังงานบางส่วนจากการหมุน ถูกส่งผ่านไปยังมวลนั้น 28 00:01:21,466 --> 00:01:24,874 และสนามแม่เหล็กก็ยิ่งถูกทำให้เพิ่มขึ้นอีก 29 00:01:25,477 --> 00:01:31,239 ในแบบเดียวกัน ดาวของเรามีพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะส่องสว่างบดบังทั้งกาแล็กซี 30 00:01:31,263 --> 00:01:33,566 ด้วยความสว่างและรังสีแกมมาที่ถูกปลดปล่อยออกมา 31 00:01:34,119 --> 00:01:36,608 ดาวของฉัน ดาวที่อยู่ในเรื่องราวนี้ 32 00:01:36,632 --> 00:01:39,280 เป็นสิ่งที่รู้จักกันว่า แมกนีตา (magnetar) 33 00:01:39,304 --> 00:01:40,985 และฉันจะบอกให้พวกคุณทราบว่า 34 00:01:41,009 --> 00:01:44,890 สนามแม่เหล็กของแมกนีตา คือประมาณ 1,000 พันล้านเท่า 35 00:01:44,914 --> 00:01:46,683 ของสนามแม่เหล็กโลก 36 00:01:47,953 --> 00:01:50,609 มันเป็นปรากฏการณ์ที่ทรงพลังที่สุด ที่เคยถูกตรวจวัดมาโดยนักดาราศาสตร์ 37 00:01:50,633 --> 00:01:52,888 ที่เรียกว่า การระเบิดรังสีแกมมา 38 00:01:52,912 --> 00:01:56,519 เพราะว่าเราสังเกตพวกมัน ในฐานะการระเบิดเป็นส่วนใหญ่ 39 00:01:56,543 --> 00:01:59,076 ซึ่งการระเบิดที่รุนแรงส่วนใหญ่ ถูกวัดค่ารังสีแกมมาได้ 40 00:01:59,886 --> 00:02:04,091 ดาวของเรา อย่างดาวในเรื่องนี้ที่กลายเป็นแมกนีตา 41 00:02:04,115 --> 00:02:06,186 ถูกตรวจจับการระเบิดของรังสีแกมมาได้ 42 00:02:06,210 --> 00:02:08,770 ระหว่างช่วงของการระเบิดที่ทรงพลังที่สุด 43 00:02:10,167 --> 00:02:15,468 แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าการระเบิดของรังสีแกมมา จะเป็นปรากฏการณ์ที่รุนแรงที่สุด 44 00:02:15,492 --> 00:02:17,581 ที่ถูกวัดได้โดยนักดาราศาสตร์ 45 00:02:17,605 --> 00:02:20,242 คุณไม่สามารถเห็นพวกมันได้ด้วยตาเปล่า 46 00:02:20,266 --> 00:02:22,594 เราต้องพึ่งพาวิธีการอื่น ๆ 47 00:02:22,618 --> 00:02:25,407 เพื่อที่จะศึกษารังสีแกมมา 48 00:02:25,431 --> 00:02:27,278 เราไม่สามารถเห็นพวกมันได้ด้วยตาเปล่า 49 00:02:27,302 --> 00:02:30,372 เราเห็นแต่ส่วนเล็กกระจิ๋ว 50 00:02:30,396 --> 00:02:34,122 ของสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เราเรียกว่า แสงที่ตามองเห็นได้ เท่านั้น 51 00:02:34,146 --> 00:02:36,418 และนอกเหนือจากนั้น เราต้องพึ่งพาวิธีอื่น ๆ 52 00:02:36,442 --> 00:02:41,702 แต่ถึงกระนั้น ในฐานะนักดาราศาสตร์ เราศึกษาช่วงแสงที่กว้างกว่านั้น 53 00:02:41,726 --> 00:02:44,490 และเราพี่งพาวิธีการอื่นเพื่อทำสิ่งนั้น 54 00:02:44,514 --> 00:02:47,090 มันมีหน้าตาแบบภาพที่ฉาย 55 00:02:47,812 --> 00:02:49,544 คุณจะเห็นจุดประ 56 00:02:49,568 --> 00:02:51,493 นั่นคือโค้งของแสง 57 00:02:51,517 --> 00:02:55,066 มันเป็นจุดประของความเข้ม ของแสงในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ 58 00:02:55,090 --> 00:02:57,554 มันเป็นโค้งของรังสีแกมมา 59 00:02:58,013 --> 00:03:01,705 นักดาราศาสตร์ที่มีสายตาปกติ พึ่งพาจุดประนี้ 60 00:03:01,729 --> 00:03:06,401 เพื่อที่จะคาดเดาว่า แสงมีความเข้ม เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ 61 00:03:06,933 --> 00:03:12,449 ทางซ้ายมือ คุณจะเห็นความเข้มแสง ที่ปราศจากการระเบิด 62 00:03:12,473 --> 00:03:16,628 และทางขวามือ คุณจะเห็นความเข้มแสง ที่เกิดจากการระเบิด 63 00:03:18,381 --> 00:03:22,082 ตอนแรก ๆ ในช่วงการทำงานของฉัน ฉันสามารถเห็นจุดประเหล่านี้ได้ 64 00:03:22,562 --> 00:03:25,290 แต่ตอนนี้ ฉันสูญเสียการมองเห็น 65 00:03:25,314 --> 00:03:28,466 ฉันสูญเสียการมองเห็นอย่างสมบูรณ์ เพราะว่าโรคที่เป็นมานาน 66 00:03:28,490 --> 00:03:32,175 และด้วยสาเหตุนี้ ฉันเสียโอกาสที่จะได้เห็นจุดประนี้ 67 00:03:33,208 --> 00:03:35,965 และโอกาสที่จะทำงานด้านฟิสิกส์ของฉัน 68 00:03:37,672 --> 00:03:40,127 มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง สำหรับฉันในหลาย ๆ แง่มุม 69 00:03:41,295 --> 00:03:45,540 และในด้านการงาน มันทำให้ฉันไม่มีทาง ที่จะทำงานด้านวิทยาศาสตร์นี้ได้ 70 00:03:45,564 --> 00:03:50,179 ฉันอยากที่จะเข้าถึงและศึกษา แสงที่ทรงพลังนี้อย่างใกล้ชิด 71 00:03:50,203 --> 00:03:52,889 และค้นหาคำตอบทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์ 72 00:03:52,913 --> 00:03:56,375 ฉันต้องการที่จะสัมผัสกับความน่าทึ่ง ความน่าตื่นเต้น 73 00:03:56,399 --> 00:04:00,848 ความสุขจากการได้ตรวจสอบ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่นี้ 74 00:04:01,352 --> 00:04:04,652 ฉันครุ่นคิดพิจาณาอย่างหนักและยาวนาน 75 00:04:04,676 --> 00:04:08,361 เมื่อฉันตระหนักขึ้นมาว่า โค้งของแสงคืออะไร 76 00:04:08,385 --> 00:04:12,226 มันคือตารางของจำนวน ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นจุดประที่แสดงให้เห็นได้ 77 00:04:12,861 --> 00:04:14,762 ฉะนั้น ฉันกับเพื่อนร่วมงาน 78 00:04:14,786 --> 00:04:18,994 ทำงานด้วยกันอย่างหนัก และเราแปลงจำนวนเหล่านั้นเป็นเสียง 79 00:04:19,765 --> 00:04:21,769 ฉันสามารถเข้าถึงข้อมูล 80 00:04:21,793 --> 00:04:26,806 และทุกวันนี้ ฉันสามารถที่จะทำงานด้านฟิสิกส์ ได้ในระดับที่ดีที่สุดสำหรับนักดาราศาสตร์ 81 00:04:26,830 --> 00:04:27,981 โดยใช้เสียง 82 00:04:28,005 --> 00:04:30,633 และสิ่งที่เราสามารถทำได้ 83 00:04:30,657 --> 00:04:31,810 ส่วนใหญ่โดยการมอง 84 00:04:31,834 --> 00:04:33,178 มาเป็นเวลาหลายร้อยปี 85 00:04:33,202 --> 00:04:35,544 ตอนนี้ สามารถถูกทำได้โดยใช้เสียง 86 00:04:35,892 --> 00:04:36,929 (เสียงปรบมือ) 87 00:04:36,953 --> 00:04:38,655 การฟังเสียงระเบิดของรังสีแกมมา 88 00:04:38,679 --> 00:04:40,999 ที่คุณเห็นบน -- (เสียงปรบมือ) 89 00:04:41,023 --> 00:04:42,174 ขอบคุณค่ะ 90 00:04:42,198 --> 00:04:44,906 การได้ยินการระเบิดที่คุณเห็นบนภาพฉายนี้ 91 00:04:44,930 --> 00:04:47,525 นำมาซึ่งอะไรบางอย่าง ที่เป็นมากกว่าการระเบิดที่ชัดเจน 92 00:04:47,973 --> 00:04:49,908 ตอนนี้ ฉันกำลังจะเปิดเสียงการระเบิดให้คุณฟัง 93 00:04:49,932 --> 00:04:51,986 มันไม่ใช่ดนตรี มันเป็นเสียง 94 00:04:53,264 --> 00:04:56,515 (เสียงบี๊บดิจิตัล) 95 00:04:56,539 --> 00:04:59,830 นี่คือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ที่ถูกเปลี่ยนเป็นเสียง 96 00:04:59,854 --> 00:05:01,088 และมันถูกจัดวางในรูปแบบของระดับเสียง 97 00:05:01,112 --> 00:05:03,531 กระบวนการนี้เรียกว่า โซนิฟิเคชัน 98 00:05:06,958 --> 00:05:09,268 ฉะนั้น การฟังเสียงนี้นำมาซึ่งอะไรบางอย่าง 99 00:05:09,292 --> 00:05:10,641 นอกเหนือไปจากการระเบิดที่ชัดเจน 100 00:05:10,665 --> 00:05:15,186 เมื่อฉันศึกษาบริเวณที่มีความถี่ต่ำมาก ๆ 101 00:05:15,210 --> 00:05:20,082 หรือช่วงโทนเสียงต่ำ -- ฉันกำลังซูมเข้าไป ในส่วนเสียงต่ำนะคะ 102 00:05:21,500 --> 00:05:27,019 เราพบกับลักษณะการสั่นพ้องของก๊าซ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางไฟฟ้า 103 00:05:27,043 --> 00:05:28,645 อย่างเช่น พายุสุริยะ 104 00:05:28,669 --> 00:05:31,172 และฉันอยากให้คุณได้ยินในสิ่งที่ฉันได้ยิน 105 00:05:31,196 --> 00:05:34,977 คุณจะได้ยินระดับความดังของเสียง ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว 106 00:05:35,001 --> 00:05:37,764 และเพราะว่า คุณมีการมองเห็นที่สมบูรณ์ ฉันจะให้เส้นสีแดงกับคุณ 107 00:05:37,788 --> 00:05:41,727 เพื่อบ่งบอกว่า ความเข้มของแสงค่าใด ที่ถุกเปลี่ยนเป็นเสียง 108 00:05:43,672 --> 00:05:46,086 (เสียงหึ่ง ๆ ดิจิตัล และเสียงผิวปาก) 109 00:05:46,110 --> 00:05:49,404 เสียง (ผิวปาก) นี้ คือเสียงกบที่บ้าน อย่างสนใจนะคะ 110 00:05:49,428 --> 00:05:51,274 (เสียงหัวเราะ) 111 00:05:51,298 --> 00:05:56,525 (เสียงหึ่ง ๆ ดิจิตัล และเสียงผิวปาก) 112 00:05:56,549 --> 00:05:58,421 ฉันคิดว่าคุณได้ยินแล้ว ใช่ไหมคะ 113 00:05:59,503 --> 00:06:00,780 ฉะนั้น สิ่งที่เราพบ 114 00:06:00,804 --> 00:06:05,718 คือการระบิดที่ยาวนานพอ ที่จะทำให้เกิดการสั่นพ้องของคลื่น 115 00:06:05,742 --> 00:06:09,959 ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดย การแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างอนุภาค 116 00:06:09,983 --> 00:06:11,301 ที่อาจถูกกระตุ้น 117 00:06:11,325 --> 00:06:12,706 ที่ขึ้นอยู่กับปริมาณ 118 00:06:13,151 --> 00:06:16,241 คุณคงจำที่ฉันพูดได้ว่า มวลรอบ ๆ ดวงดาว 119 00:06:16,265 --> 00:06:17,921 ถูกลากไปรอบ ๆ ใช่ไหมค่ะ 120 00:06:17,945 --> 00:06:21,759 มันส่งผ่านพลังงานด้วย การกระจายความถี่และสนาม 121 00:06:21,783 --> 00:06:23,505 ที่ถูกกำหนดโดยมิติ 122 00:06:24,434 --> 00:06:28,384 คุณอาจจำได้ว่าเรากำลังพูดถึงดาวขนาดยักษ์ 123 00:06:28,408 --> 00:06:31,576 ที่กลายเป็นสนามแม่เหล็กแมกนีตาที่รุนแรง 124 00:06:32,264 --> 00:06:36,637 ถ้าหากนี่เป็นจริงล่ะก็ สิ่งที่ออกมาจากการระเบิดของดวงดาว 125 00:06:36,661 --> 00:06:39,144 อาจเกี่ยวข้องกับการระเบิดของรังสีแกมมา 126 00:06:39,168 --> 00:06:40,736 แล้วนั่นหมายความว่าอย่างไร 127 00:06:40,760 --> 00:06:43,727 การก่อกำเนิดของดวงดาวอาจเป็นส่วนสำคัญ 128 00:06:43,751 --> 00:06:45,265 ของการระเบิดซุปเปอร์โนวา 129 00:06:46,047 --> 00:06:50,434 การฟังการระเบิดของรังสีแกมมานี้ ทำให้เรารู้ว่า 130 00:06:50,458 --> 00:06:53,257 การใช้เสียงเป็นส่วนขยายของการแสดงภาพ 131 00:06:53,281 --> 00:06:55,506 อาจยังเป็นการช่วยนักดาราศาสตร์ที่สายตาปกติ 132 00:06:55,530 --> 00:06:57,980 ในการค้นหารายละเอียดจากข้อมูล ให้ได้มากกว่าเดิม 133 00:06:58,562 --> 00:07:03,880 ในเวลาเดียวกัน ฉันทำการวิเคราะห์การวัด จากกล้องโทรทัศน์อื่น ๆ 134 00:07:03,904 --> 00:07:06,107 และประสบการณ์ของฉันแสดงให้เห็นว่า 135 00:07:06,131 --> 00:07:10,345 เมื่อคุณใช้เสียงเป็นส่วนขยายในการแสดงภาพ 136 00:07:10,369 --> 00:07:13,285 ตอนนี้ นักดาราศาสตร์ได้รายละเอียดมากกว่า 137 00:07:13,309 --> 00:07:16,176 จากชุดข้อมูลที่เข้าถึงได้มากกว่า 138 00:07:17,086 --> 00:07:20,830 และความสามารถในการแปลงข้อมูลไปเป็นเสียง 139 00:07:20,854 --> 00:07:23,931 ให้อำนาจในการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ต่อวงการดาราศาสตร์ 140 00:07:24,381 --> 00:07:28,322 และข้อเท็จจริงที่ว่าศาสตร์ ที่ใช้การมองเป็นส่วนใหญ่อาจได้รับการพัฒนา 141 00:07:28,346 --> 00:07:33,019 เพื่อที่จะรวบรวมใครก็ตามที่มีความสนใจ ในการศึกษาสิ่งที่อยู่ในท้องฟ้าเบื้องบน 142 00:07:33,043 --> 00:07:34,552 เป็นอะไรที่เป็นขวัญกำลังใจมาก 143 00:07:35,390 --> 00:07:37,279 เมื่อฉันสูญเสียการมองเห็นไป 144 00:07:37,303 --> 00:07:39,379 ฉันสังเกตว่า ฉันไม่อาจเข้าถึงข้อมูล 145 00:07:39,403 --> 00:07:42,029 ได้ทั้งคุณภาพและปริมาณ เท่ากับนักดาราศาสตร์อื่น ๆ 146 00:07:42,053 --> 00:07:43,449 ที่มีสายตาปกติสมบูรณ์ 147 00:07:44,220 --> 00:07:47,700 ไม่จนกระทั่งเราสร้างนวัตตกรรม ด้วยกระบวนการสั่นของเสียง 148 00:07:47,724 --> 00:07:51,676 ที่ทำให้ฉันได้รวบรวมเอาความหวังกลับมา ว่าจะเป็นคนของศาสตร์แขนงนี้ที่ทำงานได้ 149 00:07:51,700 --> 00:07:54,310 ที่ฉันได้ทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งของมัน 150 00:07:55,429 --> 00:07:59,880 ถึงอย่างนั้น การเข้าถึงข้อมูล ไม่ใช่เพียงหัวข้อหนึ่งในดาราศาสตร์ 151 00:07:59,904 --> 00:08:02,088 ที่มีความสำคัญ 152 00:08:02,602 --> 00:08:05,126 สถานการณ์ก็คือ 153 00:08:05,150 --> 00:08:08,119 เรื่องของร่างกายและวิทยาศาสตร์ กำลังเดินหน้าไปไม่ทันกัน 154 00:08:08,825 --> 00:08:11,477 ร่างกายเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ -- 155 00:08:11,501 --> 00:08:14,866 ทุกคนอาจมีความพิการได้ไม่ตอนใดก็ตอนหนึ่ง 156 00:08:14,890 --> 00:08:17,128 ยกตัวอย่างเช่น ลองคิดถึง 157 00:08:17,152 --> 00:08:19,939 นักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ ณ จุดสูงสุดของหน้าที่การงาน 158 00:08:19,963 --> 00:08:22,803 จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ถ้าพวกเขาเกิดพิการ 159 00:08:22,827 --> 00:08:25,244 พวกเขาจะรู้สึกว่าสื่อสารกับคนอื่นไม่ได้ อย่างที่ฉันเคยเป็นหรือเปล่า 160 00:08:25,839 --> 00:08:29,029 การเข้าถึงข้อมูลให้อำนาจกับเราในการเติมเต็ม 161 00:08:29,499 --> 00:08:33,099 มันทำให้เรามีโอกาสที่เท่าเทียม ในการแสดงพรสวรรค์ของเรา 162 00:08:33,123 --> 00:08:35,986 และเลือกว่าเราอยากจะเป็นอะไร 163 00:08:36,010 --> 00:08:39,318 ขึ้นอยู่กับความสนใจ และไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น 164 00:08:40,294 --> 00:08:44,661 เมื่อเราให้โอกาสกับคนเพื่อที่พวกเขา จะประสบความสำเร็จโดยไม่มีข้อจำกัด 165 00:08:44,685 --> 00:08:49,243 นั่นจะนำมาซึ่งการเติมเต็มให้กับบุคคล และชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง 166 00:08:49,267 --> 00:08:51,700 และฉันคิดว่า การใช้เสียง ในวงการดาราศาสตร์ 167 00:08:51,724 --> 00:08:55,201 จะช่วยเราให้ไปถึงสิ่งนั้น และให้เราได้มีส่วนร่วมกับวิทยาศาสตร์ 168 00:08:56,119 --> 00:09:00,651 ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ บอกฉันว่า การศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคความเข้าใจ 169 00:09:00,675 --> 00:09:04,252 เพื่อที่จะศึกษาข้อมูลดาราศาสตร์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิชาดาราศาสตร์ 170 00:09:04,276 --> 00:09:07,476 เพราะว่าไม่มีนักดาราศาสตร์ตาบอดในวงการ 171 00:09:07,500 --> 00:09:10,904 ชาวแอฟริกันใต้กล่าวว่า "เราต้องการ คนที่มีความพิการ 172 00:09:10,928 --> 00:09:12,904 ให้มีส่วนร่วมกับศาสตร์นี้" 173 00:09:12,928 --> 00:09:14,254 ตอนนี้ ฉันกำลังทำงาน 174 00:09:14,278 --> 00:09:17,010 ที่หอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์แอฟริกาใต้ 175 00:09:17,034 --> 00:09:20,119 ที่หน่วยดาราศาสตร์เพื่อการพัฒนา 176 00:09:20,436 --> 00:09:25,177 ที่นั่น เราทำงานศึกษาเทคนิคการสั่นของเสียง และวิธีการวิเคราะห์ 177 00:09:25,201 --> 00:09:28,647 เพื่อสร้างความตระหนักให้กับนักเรียน ที่ โรงเรียนแอทโลน เพื่อคนตาบอด 178 00:09:29,603 --> 00:09:32,089 นักเรียนเหล่านี้ จะได้เรียนดาราศาสตร์วิทยุ 179 00:09:32,113 --> 00:09:35,351 และพวกเขาจะได้เรียนวิธีการสั่นของเสียง 180 00:09:35,375 --> 00:09:39,846 เพื่อที่จะศึกษาปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ อย่างเช่นการปลดปล่อยพลังงาน 181 00:09:39,870 --> 00:09:42,306 จากดวงอาทิตย์ ที่รู้จักกันว่า การปลดปล่อยมวลจากดวงอาทิตย์ 182 00:09:43,194 --> 00:09:44,953 สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเด็กนักเรียนเหล่านี้ -- 183 00:09:44,977 --> 00:09:48,774 นักเรียนเหล่านี้มีความพิการหลากหลาย และต้องหาวิธีการต่าง ๆ 184 00:09:48,798 --> 00:09:50,674 ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ -- 185 00:09:50,698 --> 00:09:53,537 สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากนักเรียนเหล่านี้ จะมีผลกระทบโดยตรง 186 00:09:53,561 --> 00:09:56,718 ในการทำสิ่งต่าง ๆ ในระดับมืออาชีพ 187 00:09:56,742 --> 00:09:58,801 ฉันเรียกมันอย่างถ่อมตนว่าการพัฒนา 188 00:09:58,825 --> 00:10:01,081 และมันกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ 189 00:10:02,350 --> 00:10:05,728 ฉันคิดว่าวิทยาศาสตร์มีไว้สำหรับทุกคน 190 00:10:06,275 --> 00:10:07,723 มันเป็นของคนทั่วไป 191 00:10:07,747 --> 00:10:09,998 และมันต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ 192 00:10:10,022 --> 00:10:12,235 เพราะว่าเราทุกคนล้วนเป็นผู้สำรวจตามธรรมชาติ 193 00:10:12,956 --> 00:10:18,136 ฉันคิดว่า ถ้าเราจำกัดคนที่มีความพิการ 194 00:10:18,171 --> 00:10:20,000 จากการมีส่วนร่วมในวิทยาศาสตร์ 195 00:10:20,024 --> 00:10:23,672 มันจะเป็นการตัดสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ และสังคมของเรา 196 00:10:23,696 --> 00:10:27,142 ฉันฝันถึงระดับหนึ่ง ของสนามแข่งขันในวงการวิทยาศาสตร์ 197 00:10:27,166 --> 00:10:32,154 ที่คนจะส่งเสริมความเคารพ และเคารพซึ่งกันและกัน 198 00:10:32,178 --> 00:10:35,266 ที่ซึ่งทุกคนแลกเปลี่ยนวิธีการ และการค้นพบด้วยกัน 199 00:10:35,810 --> 00:10:40,107 ถ้าหากคนที่มีความพิการ ได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์ 200 00:10:40,131 --> 00:10:44,840 การระเบิด การปะทุความรู้อันยิ่งใหญ่ ก็จะเกิดขึ้น 201 00:10:44,864 --> 00:10:46,341 ฉันมั่นใจค่ะ 202 00:10:49,251 --> 00:10:51,100 (เสียงบี๊บดิจิตัล) 203 00:10:51,124 --> 00:10:52,988 นี่คือเสียงแห่งการระเบิดอันยิ่งใหญ่ 204 00:10:54,420 --> 00:10:55,571 ขอบคุณค่ะ 205 00:10:55,595 --> 00:10:56,746 ขอบคุณค่ะ 206 00:10:56,770 --> 00:11:02,442 (เสียงปรบมือ)