รู้กันไหมคะว่าในอดีตเคยมีโรคระบาด ครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Black Death และทำให้คนตายไป เกินหนึ่งร้อยล้านคนค่ะ สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ ในตอนที่วิวกำลังอัดคลิปนี้อยู่นะคะ มีเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ เหตุการณ์นึงเพิ่งจะเกิดขึ้นค่ะ ก็คือ WHO หรือว่าองค์การอนามัยโลกนะคะ เพิ่งจะประกาศให้ COVID-19 หรือว่าไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่เนี่ยนะคะ เป็นโรคระบาดที่เรียกได้ว่าระบาดไปทั่วโลกค่ะ ดังนั้นค่ะ จากเหตุการณ์นี้ทำให้วิว นึกถึงเหตุการณ์นึงในอดีต นั่นก็คือเหตุการณ์ Black Death นั่นเองค่ะ เพราะว่าเป็นเหตุการณ์โรคระบาด ที่กระจายไปทั่วโลกเหมือนกันนะคะ และที่สำคัญเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่มี คนตายจำนวนเยอะมากๆๆๆเลยทีเดียวค่ะ ดังนั้นวิวก็เลยคิดว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตเนี่ย มันก็ช่วยให้เราเข้าใจปัจจุบันได้มากขึ้น วันนี้วิวก็เลยอยากชวนทุกคนมาคุยเรื่อง Black Death กันค่ะ แต่ก่อนที่เราจะไปฟังเรื่อง Black Death กันเนี่ยนะคะ ใครที่ชื่นชอบที่จะฟังเรื่องราวที่ทั้ง สนุกแล้วก็ได้สาระไปพร้อมกันเนี่ย อย่าลืมกดติดตามวิวให้ครบทุกช่องทางค่ะ เพราะว่าแต่ละช่องทางเนี่ย เนื้อหาก็ไม่เหมือนกันเลยนะคะ เอาล่ะ พอแล้วเลิกโฆษณา เข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ สำหรับตอนนี้พร้อมจะไปฟังเรื่องราว ที่ทั้งสนุกแล้วก็ได้สาระกันรึยังคะ ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ Black Death หรือว่าความตายสีดำเนี่ยนะคะก็คือ การระบาดของกาฬโรคซึ่งเป็นโรคระบาด ร้ายแรงมากๆนะคะ ในช่วงเวลานึงค่ะ ซึ่งถามว่าโรคนี้เกิดจากอะไร ก็ต้องบอกว่าเกิดจากเห็บค่ะ แล้วก็เป็นเห็บที่อาศัยอยู่ใน สัตว์ประเภทสัตว์ฟันแทะนะคะ ประเภทพวกหนู กระรอก อะไรประมาณอย่างนี้ค่ะ โดยในสมัยแรกๆนะคะที่กาฬโรคระบาดเนี่ย เขาก็ไม่ได้เรียกมันว่า Black Death หรอกค่ะ เพราะว่าคำว่า Black Death เนี่ย เป็นคำที่เกิดขึ้นในสมัยหลังนะคะ ช่วงประมาณศตวรรษที่ 16 ค่ะ มีนักประวัติศาสตร์ชาว สแกนดิเวียคนนึงใช้คำนี้ขึ้นมาค่ะ แต่คำนี้ก็ยังไม่ได้ฮิตในยุคสมัยนั้นนะคะ มาฮิตอีกรอบนึงในช่วง ศตวรรษที่ 19 ค่ะ เมื่อเกิดโรคระบาดครั้งใหม่ขึ้นมา คนก็กลับไปศึกษาเรื่อง Black Death กันนะคะ ว่าแบบเออ ตอนนี้เราก็มีโรคระบาด ตอนนั้นจะเป็นยังไงนะ เหมือนกับที่วิวทำคลิปนี้เป๊ะเลยก็คือ ตอนนี้เรามีโรคระบาด ดังนั้นเราก็ควรจะไป ศึกษาโรคระบาดในอดีตนะคะ คนในช่วงศตวรรษที่ 19 ค่ะ ก็เลยฮิตคำว่า Black Death ขึ้นมานะคะแล้วก็ เรียกเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า Black Death ตั้งแต่นั้นมาค่ะ ทีนี้พูดกันมาว่า Black Death เอ่อ Black Death นี่มีอาการยังไง แล้วมันน่ากลัวขนาดไหน ก็ต้องบอกว่าน่ากลัวมากๆค่ะ เพราะว่าในยุคสมัยนั้นนะคะ คนที่รับเชื้อเข้าไปเนี่ย ตายได้ภายใน 5-6 วันเลยทีเดียวนะคะ คือคนที่ได้รับเชื้อเข้าไปจากการโดนเห็บกัดเนี่ย ก็จะมีอาการดังนี้ค่ะ อย่างแรกเลยนะคะก็คือเป็นไข้แน่นอนค่ะ แล้วก็ปวดเนื้อปวดตัวนะคะ รู้สึกว่าสู้แสงจ้าไม่ได้ เวียนหัว อะไรต่างๆค่ะ หลังจากนั้นนะคะ อาการที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ต่อมน้ำเหลืองของเขามันก็จะโตขึ้นมาค่ะ ขนาดเท่าไข่ไก่เลยทีเดียวนะ หลังจากนั้นถามว่ามันหยุดหรือยัง มันก็ยังไม่หยุดค่ะ มันก็จะโตขึ้นเรื่อยๆๆๆ จนกระทั่งในที่สุดมันก็จะแตกออกมาค่ะ ซึ่งถ้ารักษาประคองอาการกันดีๆเนี่ยนะคะ ก็จะสามารถหายได้ใน 10 วันค่ะ แต่อย่างไรก็ตามนะคะ คนในสมัยนั้นน่ะ เทคโนโลยีไม่ถึงด้วย ความรู้ก็ไม่ถึง อะไรต่างๆ คนก็เลยมักจะหมดแรง แล้วก็ตายไปภายใน 5-6 วันนี่เองค่ะ ด้วยอาการ หนึ่งคือเหนื่อยล้าก่อนเลย คือสู้ไม่ไหวแล้วนะคะ สองนะคะก็คือหัวใจล้มเหลวค่ะ และสามก็คือเลือดออกที่อวัยวะภายในค่ะ ซึ่งถ้าใครเล่นเกม Plague Inc. นี่จะรู้ว่า นี่เป็นคอมโบที่ทำให้คนตายเร็วมากนะคะ ซึ่งวิวใช้ประจำเลยนะ ทีนี้ถามว่าแล้วมันระบาดกันได้ยังไงนะคะ ก็ต้องบอกกาฬโรคเนี่ย มันไม่ได้ระบาดครั้งเดียวในโลกค่ะ มันระบาดมาหลายครั้งมากๆนะคะ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ส่วนมากก็จะ แบ่งการระบาดออกเป็นทั้งหมด 3 ช่วงเวลาด้วยกันค่ะ ในช่วงเวลาแรกเนี่ยนะคะ เกิดขึ้นในช่วงยุคกลางตอนต้นค่ะ ที่บริเวณอาณาจักรโรมันตะวันออกนะคะ ก็คือศูนย์กลางอยู่ที่ กรุงคอนสแตนติโนเปิลนั่นเองนะคะ ทีนี้ถามว่าเริ่มมาจากไหน เขาก็เชื่อกันว่าเชื้อโรคตัวนี้ เริ่มมาจากที่ประเทศจีนนะคะ อย่างไรก็ตาม กรุงคอนสแตนติโนเปิล ไม่ได้รับมาโดยตรงจากจีนค่ะ เขารับมาผ่านการค้าขายกับประเทศอียิปต์นะคะ คือกรุงคอนสแตนติโนเปิลเนี่ย มีการนำเข้าพวกธัญพืชต่างๆจากอียิปต์ค่ะ ทีนี้ตอนที่นำเข้าเข้ามาเนี่ย มันก็จะต้องมีพวกหนูพวกอะไร ที่มีเห็บเนี่ยติดตัวมาด้วยใช่ไหมคะ แล้วก็มาบึ้มที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลนะคะ เพราะว่าเป็นเมืองใหญ่ที่มีหนู อยู่ปริมาณเยอะมากๆเลยค่ะ นักประวัติศาสตร์คาดการณ์กันว่า ในช่วงพีกของโรคนี้เนี่ย มีคนในกรุงคอนสแตนติโนเปิลตายไปวันละ 10,000 คนเลยทีเดียวค่ะ และแน่นอนว่ามันก็จะต้องกระจายจาก กรุงคอนสแตนติโนเปิลไปทั่วยุโรปนะคะ เขาคาดการณ์กันว่า จากเหตุการณ์นี้ทำให้คนในยุโรปตายไปประมาณ หนึ่งร้อยล้านคนเลยทีเดียว และถือว่าเป็นประชากรประมาณ 50% ของคนยุโรปทั้งหมดค่ะ ในช่วงปีค.ศ. 541 ถึงปีค.ศ. 700 นะคะ และนี่ก็คือการระบาดในช่วงแรกค่ะ ผ่านมันไปอย่างเร็วๆเนอะเพราะว่า เราจะไปโฟกัสกันที่การระบาดในครั้งที่สอง ที่ถือว่าเป็นการระบาดครั้งใหญ่มากๆ ในสมัยนั้นเนี่ยถึงขั้นเรียกว่า The Great Plague หรือว่าการระบาดครั้งใหญ่เลยนะ ซึ่งการระบาดครั้งนี้ก็คือ การระบาดที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดได้รับการ ขนานนามว่าเป็น Black Death นั่นเองค่ะ การระบาดครั้งนี้นะคะเกิดขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 14 - 17 ค่ะ ก็แน่นอนนะคะ ต้นกำเนิดก็ยังเริ่มมาจากที่ประเทศจีนค่ะ คือเขาเชื่อกันว่ามันเกิดขึ้นที่ มณฑลหูเป่ย ประเทศจีนนะคะ ในปีค.ศ. 1334 นั่นเอง จากการระบาดครั้งนี้ทำให้ คนในมณฑลหูเป่ยเนี่ยนะคะ ตายไปถึง 90% ของประชากรทั้งหมดค่ะ ก็ตายไปประมาณห้าล้านคนเลยทีเดียวนะคะ เขาก็สันนิษฐานกันว่าเกิดจาก ภัยพิบัติธรรมชาติค่ะ ในช่วงนั้นอาจจะมีน้ำท่วม มีแผ่นดินไหว มีความแห้งแล้งอะไรต่างๆ ทำให้สัตว์ประเภทหนูซึ่งมันซุกซ่อนตัวอยู่เนี่ย เกิดออกมารวมตัวกันค่ะ พอออกมารวมตัวกัน แน่นอนว่าก็จะต้องพา เห็บ ซึ่งเป็นที่มาของโรคมาด้วยนะคะ ทีนี้พอคนในมณฑลหูเป่ยติดนะคะ แน่นอนว่ามันก็จะต้องแพร่กระจายไปที่อื่นอีกค่ะ ถามว่าแพร่กระจายไปผ่านอะไร ก็ผ่านเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้านั่นเองนะคะ ทีนี้มันก็แพร่กระจายจากจีนใช่ไหมคะ ไปตามทางก็ไปบริเวณรัสเซีย ไปบริเวณเอเชียใต้หรือว่าอินเดียนะคะ หลังจากนั้นค่ะ เมื่อมาถึงอินเดียแล้วก็จะต้องไปถึงที่ ตะวันออกกลางนั่นเองนะคะ หลังจากที่ค่อยๆเดินทางจากจีนมาในช่วง ปีค.ศ. 1334 เรื่อยมาเรื่อยๆเนี่ยนะคะ ในปีค.ศ. 1347 ค่ะ สังเกตว่าใช้เวลาร่วมสิบปีเลยเนี่ยนะ มันก็มาถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิลค่ะ และในกรุงคอนสแตนติโนเปิลก็ยังเป็น เมืองใหญ่ที่มีประชากรมากอยู่นะคะ บวกกับว่าเป็นเมืองท่าการค้า ที่มีการค้าขายทางเรือค่ะ ดังนั้นจากเดิมที่มันแพร่กระจายกัน ผ่านทางบกเนี่ยนะคะ มันก็กลายเป็นแพร่กระจายทางเรือไปด้วยค่ะ ทำให้โรคระบาดนี้นะคะ เดินทางเข้าไปในยุโรปในที่สุดค่ะ หลังจากที่เข้าไปในยุโรปแล้วเนี่ยนะคะ เขาก็บอกว่ามีเหตุการณ์นึงซึ่งน่ากลัวมากๆค่ะ ก็คือที่เมืองท่าของเมืองซิซิลีเนี่ยนะคะ เกิดอยู่ดีๆก็มีเรือ 12 ลำค่ะแล่นเข้ามาเทียบท่า และในเรือนั้นเนี่ยนะคะเรียกได้ว่า เป็นคนตายเกือบหมดเลย คือมีคนเหลืออยู่น้อยมากๆ แต่ว่าก็เป็นคนที่เหลืออยู่ตัวเปื่อยๆอะ คือเรียกได้ว่าป่วยใกล้ตายแล้วนะคะ ดังนั้นเมื่อเรือ 12 ลำนี้ที่บรรทุกศพติดเชื้อมาเต็มที่ บวกกับคนป่วยมาเต็มที่เนี่ย จอดที่เมืองซิซิลีค่ะ โรคมันก็เลยแพร่กระจายในที่สุดนะคะ และนี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่เขาสันนิษฐานกันว่า ทำให้โรคนี้แพร่กระจายเข้าไปใน ยุโรปตะวันตกในที่สุดนะคะ หลังจากเหตุการณ์นั้นค่ะ การระบาดก็เกิดขึ้นรวดเร็วขึ้นนะคะ คือในช่วงเดือนมกราคม ปีค.ศ. 1348 นะคะ โรคระบาดนี้ก็เข้าไปที่อิตาลีค่ะ ก็เข้าไปที่เมืองฟลอเรนซ์ เมืองปิซา เมืองเวนิส ชื่อคุ้นขนาดนี้แปลว่าเป็น เมืองที่เจริญรุ่งเรืองจากการค้าขายค่ะ หลังจากนั้นมันก็เลยแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเลยนะคะ ก็แพร่กระจายไปที่ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ สก็อตแลนด์อะไรต่างๆ ไปตามปีเรื่อยๆค่ะ ทีนี้ถามว่าการระบาดครั้งนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหนนะคะ ก็ต้องบอกว่ายิ่งใหญ่ขนาดที่ ประชากรสองในสามของอิตาลีเนี่ย ตายเรียบเลยค่ะ ซึ่งเราจะรู้เรื่องโรคระบาดนี้ ได้อย่างดีเยี่ยมเลยนะคะ จากผู้ชายชาวฟลอเรนซ์คนนึงค่ะ ชื่อว่าคุณ Giovanni Boccaccio เขาจดบันทึกเรื่องราวโรคระบาดครั้งนี้ ไว้อย่างละเอียดยิบเลยนะคะ ทีนี้โรคระบาดนี่ก็ระบาดไปเรื่อยๆนะคะ จนกระทั่งปีค.ศ. 1350 ค่ะ โรคก็เหมือนจะเบาบางลงค่ะ แต่ว่าถึงจุดนี้ ชาวยุโรปเนี่ยนะคะ ก็ตายไปถึง 25 ล้านคนแล้วทีเดียว แต่ถามว่าบอกว่าเบาลงเนี่ย มันหยุดระบาดไหมนะคะ ก็ต้องบอกว่าจริงๆมันไม่ได้หยุดระบาดค่ะ มันก็ยังระบาดกลับมา กลับมา กลับมา คือต้องบอกว่าโรคระบาดครั้งนั้น เป็นการระบาดที่ต่อเนื่องยาวนานมากๆ หลายครั้งมันเหมือนจะดีขึ้นตอนช่วงหน้าหนาว เหมือนแบบอ๊ะ เข้าหน้าหนาวแล้วโรคระบาดจะหยุด แต่ว่าพอหมดหน้าหนาวเนี่ยนะคะ โรคระบาดเหล่านี้ก็กลับมาอีกรอบค่ะ ก็ติดซ้ำๆๆๆไปอย่างนั้นนะคะ จะเห็นว่ามันเป็นการระบาดที่ระบาดต่อเนื่อง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 - 17 เลยทีเดียวนะทุกคน ทีนี้เราอย่าเพิ่งไปถึงตรงนั้นเลยค่ะ กลับมาที่การระบาดครั้งใหญ่ของเราก่อนดีกว่า วิวอาจจะไม่ได้อยากเจาะลึกว่า มันมีเส้นทางการระบาดอะไรยังไงนะคะ แต่อยากให้ดูเอฟเฟกต์ของ การระบาดทางนั้นมากกว่าค่ะว่า มันส่งผลกระทบอะไรต่อ มนุษยชาติของเราบ้างนะคะ ถามว่าการระบาดในช่วง Black Death กับ โรคระบาดในสมัยปัจจุบันนี้มันแตกต่างกันยังไง มีสองจุดค่ะที่แตกต่างกันมากๆ ก็คือ จำนวนคนตาย กับ ความเร็วของการแพร่กระจายนั่นเอง คือในสมัยก่อนนะคะ จะเห็นว่ามีโรคระบาดขึ้นมาทีนึงเนี่ย คนตายห้าล้าน คนตายสิบล้าน เพราะว่าเทคโนโลยีมันยังไม่ถึงไงคะ ดังนั้นมันก็ไม่ได้มีการป้องกันโรคที่ดีพอค่ะ ทำให้มีโรคระบาดขึ้นมาครั้งนึงเนี่ย คนตายจำนวนเยอะมากเลยนะคะ และอีกจุดที่ต่างกันก็คือ ความเร็วของการระบาดค่ะ จะเห็นว่าตอนที่วิวพูดปีๆๆมาเนี่ย กว่าจะข้ามจากประเทศนึงไปอีกประเทศนึงเนี่ย บางทีมันใช้เวลาเป็นปี เป็นปี เป็นสิบปี ยี่สิบปีเลยนะคะ ถามว่าทำไม เพราะว่าในยุคสมัยนั้นค่ะ คนยังไม่ค่อยได้เดินทางข้ามเมือง เดินทางไปที่ต่างๆค่ะ จะมีก็มีแค่พวกพ่อค้า มีพวกอะไร ดังนั้นการระบาดนี่ก็เลยข้ามเมือง ได้ช้ามากๆเลยทีเดียวค่ะ ปัญหาอีกอย่างนึงนะคะที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นเนี่ยก็คือ คนเรายังไม่ได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ขึ้นมานะคะ ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาของโรคนี่คืออะไร แบคทีเรียคืออะไร ยังไม่รู้จักค่ะ คนก็เลยสันนิษฐานกันไปต่างๆนานานะคะว่า เอ๊ โรคนี้เกิดจากอะไร บางคนก็บอกว่าเกิดจากการเรียงตัวของดาวเคราะห์ ทำให้เกิดเคราะห์ร้ายอะไรต่างๆ โรคระบาดก็เลยเกิดขึ้น บางคนก็บอกว่าโอ๊ย สงสัยอากาศไม่ดี คือเขาใช้คำว่า bad air ประมาณนี้นะ ส่วนบางคนหนักกว่านั้นอีกนะคะ ก็เป็นช่วงยุคกลางอะนะ นับถือพระเจ้าอยู่แล้ว ก็บอกว่านี่แหละ พระเจ้าลงโทษพวกเรา พวกเราจะต้องไถ่บาปนะคะ คนก็เลยออกมาไถ่บาปกันเต็มเลย ถามว่าไถ่ยังไง คนในยุคนั้นนะคะก็คล้ายๆกับตอนต้น ของเทวาซาตาน Angels & Demons ก็คือต้องทรมานตัวเองในที่สาธารณะนะคะ ด้วยการเอาแส้มาแล้วก็ฟาดตัวเองเปรี๊ยะๆๆๆ เป็นการไถ่บาปให้กับพระเจ้าค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องสาเหตุนะคะที่เดากันมั่ว เรื่องการติดต่อนี่ก็เดากันมั่วเหมือนกัน เดากันไปถึงขนาดที่ว่า สงสัยว่าถ้าเรามองตาคนป่วยเนี่ยนะ เราจะติดต่อกันไหมนะ หรือบางคนก็บอกว่าโอ๊ย มันจะต้องติดต่อจากคนที่ ใส่รองเท้าหัวแหลมแน่ๆเลย ถ้าแกใส่รองเท้าหัวแหลมเนี่ย แกจะเป็นตัวแพร่เชื้อ บางคนก็บอกว่าเนี่ยนะ ถ้าขยับตัวเยอะๆเนี่ย โรคมันก็จะกำเริบอีก ดังนั้นฉันต้อง นอนอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ขยับตัว ส่วนวิธีการรักษานี่บอกเลยว่าแฟนตาซีกว่าอีกค่ะ คือจินตนาการกันหนักมากนะ บอกว่า ให้กินพวกแร่ต่างๆเนี่ยเอามาบด หรือว่าบางคนก็บอกว่าให้เอาเนื้อนกพิราบเนี่ยนะ เอามาขัดถูตามตัว มันก็จะทำให้หาย ซึ่งก็... บางคนก็บอกว่าต่อมน้ำเหลือง ที่มันโตขึ้นมาเนี่ย จะต้องเจาะทิ้ง ให้มันแตกบึ้มออกมาไวๆ จะได้หายไวๆนะคะ ส่วนบางคนหนักกว่านั้นอีกค่ะก็บอกว่า ต้องเอาตัวไปแช่อยู่ในน้ำส้มสายชูนะ มันก็จะทำให้หายไว ก็เรียกได้ว่ามีทฤษฎีต่างๆออกมา มากมายเต็มไปหมดเลยค่ะ แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ทฤษฎีต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วทำร้ายตัวเองที่เป็นคนป่วยนะคะ แต่ทฤษฎีที่ไปทำร้ายคนอื่นก็มีเหมือนกัน มันมีการโทษกันต่างๆนานาว่า เนี่ยนะ โรคมันจะต้องเกิดมาจาก กลุ่มคนแบบพวกแกแน่ๆเลย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่จะต้องซวยนะคะก็คือ พวกชนชายขอบต่างๆค่ะ ไม่ว่าจะเป็นพวกยิว ก็จะแบบ โรคนี้มันจะต้องเกิดจากไอ้พวกชาวยิวแน่นอน หรือว่าพวกผู้หญิงโสเภณีเนี่ย ก็จะโดนเหมือนกันประมาณว่า แหม ไอ้ผู้หญิงโสเภณี พวกนี้นี่แหละที่เป็นคนทำให้ติด ก็คือมีข่าวลือต่างๆเกิดขึ้นมากมายนะคะ ทุกครั้งที่เรายังไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เราก็จะคิดนู่นคิดนี่แล้วก็ลือกันไป เหมือนตอนที่โรคเอดส์เกิดขึ้นแรกๆก็จะเห็นว่า มีข่าวลือเกิดขึ้นเยอะมากนะคะ เช่นแบบ ถ้ากินข้าวจานเดียวกันจะติดโรค อะไรประมาณนี้ แต่ว่าเมื่อเทคโนโลยีมันพัฒนามา เราเข้าใจโรคมากขึ้น เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆหายไปเองนะคะ ฟังตอนนี้อาจจะไม่เมกเซนส์ แต่นึกสภาพสมัยยุคกลาง ตอนที่เรายังไม่มีกล้องจุลทรรศน์ เราไม่รู้จักแบคทีเรีย ก็ไม่แปลกเลยที่คนในสมัยนั้น จะจินตนาการไปแบบนี้ค่ะ ทีนี้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นอีก พอคนมันจะตายวันตายพรุ่งแบบ คนตายไปแล้ว 90% ของประเทศอย่างนี้ คนมันก็เลยรู้สึกว่าเออ อยู่ไปก็เท่านั้นน่ะ ฉันทำตามใจชอบฉันดีกว่า คนก็เลยละทิ้งพวกศีลธรรมอะไรต่างๆ ทิ้งหมดเลยนะคะ อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปขโมยของก็ขโมย อยากมีอะไรกันในที่สาธารณะก็มี บางคนนี่ก็กินเหล้าแล้วก็เมาตลอดเวลาเลยนะคะ ถามว่าเวลาทำผิด มีใครมาจับไหม ก็ไม่มีไง เพราะว่าพวกผู้รักษากฎหมายเนี่ย ก็ติดโรคแล้วก็ตายไปกันหมดแล้ว นอกจากนี้อีกเอฟเฟกต์นึงที่หนักมากๆเลย ก็คือเรื่องของศาสนาคริสต์นั่นเอง เราจะรู้กันได้นะคะว่าในช่วงยุคกลางเนี่ย ศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นแบบ จุดศูนย์กลางของชีวิตทุกคนในสมัยนั้นเลยนะ เขาเชื่อในพระเจ้ากันมากๆค่ะ ทีนี้เกิดโรคระบาดใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเราเลยล่ะ พระเจ้ามีจริงรึเปล่านะคะ ดังนั้นหลายๆคนก็เลย เลิกนับถือพระเจ้าซะอย่างนั้นเลย และเขาบอกว่าการระบาดของโรคครั้งนี้ คือหนึ่งในสาเหตุเลยนะคะที่ทำให้ ยุคกลางเนี่ยสิ้นสุดค่ะ คือคนไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว ก็เลยเกิดการปฏิรูปศาสนา ในช่วงเวลาต่อมานั่นเองค่ะ นอกจากนี้นะคะ คนบางคนในยุคนั้น ก็พยายามเอาตัวรอดค่ะ ด้วยการเอาตัวเองออกไปจากที่ชุมชน ประมาณว่าฉันไม่อยู่ตรงนั้นแล้วจ้า ไปอยู่แบบกักตัวเองอยู่คนเดียว เพื่อที่จะได้ไม่ติดโรค บางคนนี่ก็สถาบันครอบครัว แตกกระสานซ่านเซ็นเลยทีเดียว เพราะว่าทุกคนในครอบครัวเนี่ย ฉันไม่สนใจญาติฉันละ ฉันจะต้องเอาตัวฉันให้รอดก่อน และบางคนที่มีญาติติดเนี่ย ก็เอาญาติเนี่ยไปขังไว้นะคะ แล้วก็พยายามไม่บอกใครว่าเป็นโรค เพราะว่ากลัวจะโดนคนรังเกียจ นอกจากนี้นะคะ อีกเรื่องนึงที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นเรื่องใหญ่มากๆในยุคนั้นเลยค่ะ ก็คือเรื่องของศพนั่นเอง เพราะว่าคนตายเยอะขนาดนี้ คิดว่าฝังกันทันไหม คือคนที่ยังรอดอยู่ก็มีทั้งป่วย ทั้งไม่ป่วย ทั้งอะไรต่างๆ มีทั้งกล้าออกมา ทั้งไม่กล้าออกมา ดังนั้นแน่นอนว่าฝังศพกันไม่ทันค่ะ ก็เลยจะเกิดเหตุการณ์ที่มี การรวบศพหลายๆๆๆศพเนี่ยนะคะ แล้วก็เอาไปฝังรวมเป็นหลุมเดียวกันเนี่ย เกิดขึ้นเยอะแยะเต็มไปหมดเลยค่ะ นอกจากนี้นะคะ บอกเลยว่ามีศัพท์คำนึงค่ะ ซึ่งเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้นี่แหละ ก็คือศัพท์คำว่า Quarantine นะคะ ซึ่งแปลว่า การกักกัน การกักตัว นั่นเองค่ะ คือในยุโรปเนี่ย แน่นอนว่าเขาก็จะต้อง มีความพยายามในการจำกัดโรคใช่ไหม หลังๆเนี่ยเขาเริ่มรู้แล้วว่า เฮ้ย โรคมันมากับเรือ มันมากับคนป่วยอะไรอย่างนี้ เขาก็เลยมีการกักเรือไว้ค่ะ ประมาณว่า เฮ้ย ถ้าเรือเดินทางมาถึงท่าเรือนะ ห้ามเรือเข้าจอดที่ท่าเรือ ต้องจอดอยู่ข้างนอกเป็นระยะเวลา ทั้งหมด 40 วัน เอาให้ปลอดโรคก่อน ซึ่งคำว่า 40 ในภาษาอิตาเลียน มันดันเป็นคำว่า Quaranta ค่ะ ดังนั้นคำว่า Quaranta นะคะ ก็เลยพัฒนาจนกลายมาเป็นคำว่า Quarantine ที่แปลว่าการกักตัวนั่นเองนะคะ ส่วนอีกอย่างนึงที่ทุกคนจะคุ้นกัน จากคำว่า Black Death ก็คือ หน้ากากนะคะ ที่คนที่เป็นพวกหมอ ที่เป็นคนมีหน้าที่ จัดการผู้ป่วยเนี่ยจะชอบใส่กัน ก็คือหน้ากากสีดำๆ ที่มีจะงอยปากเป็นรูปนกค่ะ ต้องบอกว่าอันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแรกๆ ที่เขาเริ่มระบาดกันในช่วงศตวรรษที่ 14 นะ แต่เพิ่งจะมาเกิดในช่วงศตวรรษที่ 16 - 17 นะคะ ซึ่งถามว่าทำไมจะต้องเป็นรูปนกเนี่ย ก็เพราะว่าพวกคนที่จะต้องเข้าไป จัดการกับคนป่วยอะไรต่างๆ เค้าก็ยังไม่ได้มีความรู้ขนาดนั้น เค้าเชื่อว่าโรคพวกนี้มันติดจาก bad air ไง คืออากาศที่แย่ ถ้าเราสูดดมเอาโรคนี้เข้าไป เราอาจจะติดก็ได้นะ ดังนั้นก็เลยต้องทำหน้ากากนะคะ ให้มีจะงอยยาวๆออกมาค่ะ แล้วก็เอาพวกเครื่องหอมหรือ เอาสมุนไพรอะไรต่างๆยัดเข้าไปนะคะ เพื่อหนึ่งค่ะ คือดับกลิ่น กับสองคือเพื่อกรองอากาศนะคะ ให้อากาศมันบริสุทธิ์ขึ้นนั่นเองค่ะ นอกจากนี้นะคะ ขออนุญาตย้อนกลับ ไปที่ศตวรรษที่ 14 อีกครั้งนึงค่ะ จะบอกว่าเขาสันนิษฐานกันว่า การระบาด Black Death ครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับประเทศไทยของเราด้วยนะคะ เพราะว่าในช่วงศตวรรษที่ 14 เนี่ย ตรงกับยุคสมัยของใครรู้ไหม ตรงกับยุคสมัย ก่อนกรุงศรีอยุธยาตั้งขึ้นค่ะ ซึ่งในตอนนั้นเนี่ยถ้าใครเรียน ประวัติศาสตร์ไทยมาก็จะรู้ว่า สาเหตุที่มีการตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นเนี่ย เพราะว่าพระเจ้าอู่ทอง อพยพหนีโรคระบาดมานะคะ มาตั้งเมืองอยู่บริเวณบึงพระรามใช่ไหม ทีนี้เค้าก็สันนิษฐานกันว่า มันอาจจะเป็น Black Death ที่แพร่เชื้อมาจากประเทศจีนก็ได้นะคะ ดังนั้น เป็นไปได้มากๆเลยที่พระเจ้าอู่ทอง ย้ายเมืองหนีกาฬโรคนี่ล่ะค่ะ และทั้งหมดนี้นะคะก็คือการระบาดใน phase ที่สองค่ะ มาถึง phase ที่สามกันดีกว่า เอาจริงๆจะบอกว่า phase ที่สามก็แบ่งยากนิดนึงนะ เพราะว่าหลังจากการระบาดใน phase ที่สองเนี่ย ที่วิวบอกว่าเริ่มจากศตวรรษที่ 14 ก็ไล่ลงมาถึงศตวรรษที่ 17 ไล่ลงมาเรื่อยๆ มันก็เหมือนไม่ได้มี ช่วงที่มันหยุดพักจริงๆจังๆขนาดนั้นค่ะ อย่างในช่วงปีค.ศ. 1665 - 1666 เนี่ย ก็มีการระบาดครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นในลอนดอนนะคะ ซึ่งตอนนั้นเนี่ยทำให้ประชากรชาวลอนดอน ตายไปถึง 70% เลยทีเดียวนะคะ จากที่มีประชากร 450,000 คนในเมือง ก็เหลือแค่ 60,000 คนนะคะ ก็ตายไปเยอะมากนะทุกคน ส่วน phase ที่สามเนี่ยถามว่าเขานับกันตอนไหน ส่วนมากนี่เขาจะนับกันอยู่ในช่วง ศตวรรษที่ 19 - 20 อะนะ แล้วก็นับว่าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยนะคะ ที่มีการระบาดครั้งยิ่งใหญ่แบบระดับโลกเลย ซึ่งถามว่าเริ่มต้นขึ้นที่ไหน ก็ประเทศจีนอีกแล้วค่ะ ที่มณฑลยูนนานนะคะ ในปีค.ศ. 1855 นั่นเอง คราวนี้มีคนตายไปทั้งหมดประมาณ 12 ล้านคนค่ะ แต่ว่าข้อนึงที่แตกต่างจากคราวก่อนๆก็คือ ในศตวรรษที่ 17 เนี่ยเรามีการค้นพบ กล้องจุลทรรศน์แล้วก็แบคทีเรียเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเรารู้แล้วนะว่า เฮ้ย มันมีสิ่งที่เรียกว่าแบคทีเรียอยู่ มันก็ให้เกิดโรคนู้นโรคนี้นะ ดังนั้นนะคะก็เลยมีแพทย์ชาวฝรั่งเศสคนนึงค่ะ ชื่อว่า Alexandre Emile Jean Yersin นะคะ เค้าค้นพบแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของ กาฬโรคนะคะในปีค.ศ. 1894 ค่ะ ดังนั้นการค้นพบของเขาเนี่ยก็นำไปสู่ การผลิตวัคซีนอะไรต่างๆขึ้นมา เพื่อรักษาโรคนี้นะคะ ในปีค.ศ. 1897 ในที่สุดค่ะ ในปัจจุบันเนี่ยนะคะ กาฬโรคสามารถรักษาให้หายได้ค่ะ ถ้าตรวจพบได้อย่างรวดเร็วนะ แล้วก็เอาจริงๆในสมัยปัจจุบันเนี่ย เราไม่ค่อยค้นพบการระบาดของโรคนี้แล้วนะ แต่ถามว่ามีไหม ก็ยังมีค่ะ อย่างรอบล่าสุดตอนปีค.ศ. 2009 เนี่ย ก็มีการระบาดของโรคนี้กลับมาอีกครั้งนะคะ ในมณฑลชิงไห่ ประเทศจีนค่ะ แต่ว่ารอบนี้ก็มีคนตายไปแค่ ทั้งหมด 9 คนด้วยกันนะคะ เพราะว่าเทคโนโลยีมันพัฒนาไปแล้วน่ะนะ ส่วนในไทยเนี่ย นอกจากที่ เขาสันนิษฐานกันตอนต้นอยุธยาเนี่ยนะคะ ก็ยังมีมาเรื่อยๆค่ะ อย่างตอนในสมัยช่วงรัชกาลที่ 5 เนี่ยนะคะ ก็มีบันทึกไว้ว่ามันมีการระบาดที่ซัวเถานะ ดังนั้นไทยก็เลยมีการออกกฎประมาณว่า ถ้ามีเรือเดินทางมาจากซัวเถา ห้ามจอดเทียบท่าที่ไทย แต่การระบาดอย่างเป็นทางการในไทยเนี่ย เกิดขึ้นในปีค.ศ. 1904 ค่ะ ถามว่าเกิดที่ไหน เกิดขึ้นที่โกดังสินค้าตรงกรุงธนบุรีนะคะ ก็มาจากพ่อค้าชาวอินเดียค่ะ ซึ่งเขาเดินทางไปค้าขายที่บอมเบย์มา พอไปค้าขายที่นั่นก็แพร่มาสู่ประเทศไทยค่ะ และแน่นอนว่ามันก็จะต้อง แพร่กระจายจากกรุงธนบุรีนะคะ ไปทั่วไปหมดเลยค่ะ แต่ว่าในครั้งนั้นเนี่ย ไม่ได้มีการบันทึกนะคะว่าเสียชีวิตไปเท่าไหร่ หลังจากครั้งนั้นก็ยังมีการระบาด มาอีกหลายครั้งนะคะ ไม่ว่าจะเป็นปีค.ศ. 1913 นี่ก็มีการระบาดที่นครปฐมค่ะ รอบนั้นเนี่ยมีคนตายไปทั้งหมด 300 คนด้วยกันนะคะ หลังจากปีค.ศ. 1913 ก็มาระบาดอีกครั้งนึงค่ะก็คือ ในปีค.ศ. 1952 นั่นเอง และครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายนะคะ ที่มีการบันทึกไว้ว่า มีโรคนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยค่ะ ก็มีคนป่วยแค่ 2 คน แล้วก็ตายไป 1 คนด้วยกันนะคะ และทั้งหมดนี้นะคะก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับ Black Death ที่วิวรวบรวมมาฝากทุกคนค่ะ หลายๆครั้งเราจะเห็นว่า คนเนี่ยบอกว่าเราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อที่เราจะได้เห็นปัจจุบัน เอาจริงๆเราในปัจจุบันที่ อยู่ท่ามกลางโรค COVID-19 เราก็จะเห็นว่า เฮ้ย มันดูเป็นไปได้ไหมที่มันจะหาย มันจะเป็นยังไง เป็นอะไรต่อไป แต่ถ้าเราดูแพตเทิร์นกันดีๆเนี่ย เราก็จะเห็นว่าเออ โรคระบาดในอดีต กับโรคระบาดในปัจจุบันเนี่ย มันมีแพตเทิร์นที่ใกล้เคียงกันมากๆค่ะ ก็คือเริ่มจากตอนที่ไม่เข้าใจ จนในที่สุดก็สามารถรักษาหายได้ แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างไปก็คือ ปัจจัยต่างๆภายนอกที่มันแตกต่างกันไปค่ะ ในสมัยโบราณเนี่ยมันอาจจะมี เทคโนโลยีอะไรต่างๆทางการแพทย์ที่แย่กว่า ทำให้การรักษาเกิดขึ้นช้ากว่า ทำให้คนตายมากกว่า ปัจจุบันอาจจะรักษาได้เร็วกว่า แต่สิ่งที่แตกต่างไปก็คือ ปัจจุบันเนี่ยเรามีการเดินทาง ดังนั้นนี่ก็คือจุดที่แตกต่างกัน ระหว่างอดีตกับปัจจุบันนั่นเองค่ะ เป็นยังไงบ้างคะดูคลิปนี้กันไปแล้ว มีความคิดเห็นอะไรยังไงบ้าง เชื่อว่าวิวเนี่ยพูดข้ามๆไป อาจจะข้ามไปหลายประเด็นมากๆ และหลายคนน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าวิวมากๆเลยนะคะ ดังนั้นสามารถคอมเมนต์ เพิ่มเติมให้วิวด้านล่างได้เลยค่ะ ส่วนใครที่ชื่นชอบคลิปนี้นะคะอย่าลืม กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิวแล้วก็ กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆมาดูด้วยกันค่ะ สำหรับวันนี้ลาไปก่อนนะคะทุกคน บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ อะ คลิปนี้อาจจะมึนๆนิดนึงนะคะทุกคน ถ้าใครตามโซเชียลมีเดียอื่นๆ ทั้งหมดทุกช่องทางของวิวเนี่ยจะเห็นว่า คลิปนี้เป็นคลิปที่ประกอบไปด้วย วิบากกรรมจำนวนมากตั้งแต่ หนึ่ง จะอัดคลิปปุ๊บ ข้างบ้านเชิดสิงโตนะคะ หลังจากนั้นก็อัดขึ้นมาได้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือลืมเปิดไมค์ค่ะ วิวยืนพูดคนเดียวอยู่หน้ากล้องแบบไม่มีไมค์ อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงด้วยกันนะคะทุกคน ถ้ามีอะไรมึนๆไปบ้างก็ขออภัยไว้ล่วงหน้านะ สำหรับวันนี้ลาไปก่อนละกันค่ะ บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ