1 00:00:00,000 --> 00:00:03,000 ผมมีคำถามหนึ่งครับ 2 00:00:03,000 --> 00:00:05,000 คุณนับถือศาสนาหรือเปล่า 3 00:00:05,000 --> 00:00:07,000 ขอให้ยกมือตอนนี้เลยครับ 4 00:00:07,000 --> 00:00:10,000 ถ้าคุณคิดว่าตัวเองนับถือศาสนา 5 00:00:10,000 --> 00:00:13,000 โอเค ผมว่ามีประมาณสามหรือสี่เปอร์เซ็นต์ 6 00:00:13,000 --> 00:00:16,000 ผมไม่รู้เลยนะว่ามีงาน TED มีผู้ศรัทธาศาสนาเยอะขนาดนี้ 7 00:00:16,000 --> 00:00:18,000 (เสียงหัวเราะ) 8 00:00:18,000 --> 00:00:20,000 โอเค ทีนี้อีกคำถามหนึ่งครับ 9 00:00:20,000 --> 00:00:22,000 คุณคิดว่าตัวเองสนใจจิตวิญญาณ 10 00:00:22,000 --> 00:00:24,000 ไม่ว่าจะโดยรูปแบบหรือวิธีอะไรก็ตาม ยกมือหน่อยครับ 11 00:00:24,000 --> 00:00:27,000 โอเค นั่นคือเสียงข้างมาก 12 00:00:27,000 --> 00:00:29,000 วันนี้ผมจะพูดถึง 13 00:00:29,000 --> 00:00:31,000 เหตุผลหลัก หรือหนึ่งในเหตุผลหลัก 14 00:00:31,000 --> 00:00:33,000 ที่คนเราส่วนใหญ่คิดว่าตัวเอง 15 00:00:33,000 --> 00:00:35,000 สนใจเรื่องจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปไหน 16 00:00:35,000 --> 00:00:38,000 วันนี้ผมจะพูดถึงการข้ามพ้นตัวตน 17 00:00:38,000 --> 00:00:41,000 มันแค่เป็นข้อเท็จจริงพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ 18 00:00:41,000 --> 00:00:44,000 ที่ว่าบางทีตัวเราดูจะมลายหายไป 19 00:00:44,000 --> 00:00:46,000 และเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น 20 00:00:46,000 --> 00:00:49,000 เราก็รู้สึกถึงความปีติ 21 00:00:49,000 --> 00:00:51,000 และเราก็ควานหาอุปมาอุปไมยทั่วทุกทิศ 22 00:00:51,000 --> 00:00:53,000 เพื่ออธิบายความรู้สึกนี้ 23 00:00:53,000 --> 00:00:55,000 เราพูดว่า ใจเราสูงขึ้น 24 00:00:55,000 --> 00:00:57,000 หรือลิงโลดใจ 25 00:00:57,000 --> 00:01:00,000 ทีนี้ ยากมากๆ ครับที่จะคิดเรื่องนามธรรมแบบนี้ 26 00:01:00,000 --> 00:01:02,000 โดยไม่ใช้อุปมาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม 27 00:01:02,000 --> 00:01:05,000 ดังนั้นวันนี้ผมจะใช้อุปมาเรื่องหนึ่ง 28 00:01:05,000 --> 00:01:08,000 ลองคิดถึงจิตใจของเรา ว่าเปรียบเสมือนบ้านที่มีหลายห้อง 29 00:01:08,000 --> 00:01:11,000 เราไม่คุ้นเคยเลยกับห้องส่วนใหญ่ในบ้าน 30 00:01:11,000 --> 00:01:14,000 แต่บางทีมันก็เหมือนกับว่า อยู่ดีๆ ประตูก็โผล่ขึ้นมา 31 00:01:14,000 --> 00:01:16,000 จากที่ไหนก็ไม่รู้ 32 00:01:16,000 --> 00:01:19,000 มันเปิดไปสู่บันได 33 00:01:19,000 --> 00:01:21,000 เราปีนบันไดขึ้นไป 34 00:01:21,000 --> 00:01:25,000 แล้วก็เข้าสู่ภวังค์ที่ต่างจากการรู้ตัวปกติ 35 00:01:25,000 --> 00:01:27,000 ในปี 1902 36 00:01:27,000 --> 00:01:29,000 วิลเลียม เจมส์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ 37 00:01:29,000 --> 00:01:32,000 เขียนถึงประสบการณ์ทางศาสนา ว่ามีมากมายหลายรูปแบบ 38 00:01:32,000 --> 00:01:34,000 เขาสะสมกรณีศึกษาทุกประเภท 39 00:01:34,000 --> 00:01:36,000 อ้างอิงปากคำของคนหลายแบบ 40 00:01:36,000 --> 00:01:38,000 ที่มีประสบการณ์แตกต่างกัน 41 00:01:38,000 --> 00:01:40,000 คนคนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นที่สุด 42 00:01:40,000 --> 00:01:42,000 คือชายหนุ่มคนนี้ เขาชื่อ สตีเฟน แบรดลีย์ 43 00:01:42,000 --> 00:01:45,000 ซึ่งคิดว่าเขาได้พบเจอพระเยซูในปี 1820 44 00:01:45,000 --> 00:01:48,000 แบรดลีย์เล่าถึงประสบการณ์ว่าอย่างนี้ครับ 45 00:01:51,000 --> 00:01:53,000 (เสียงดนตรี) 46 00:01:54,000 --> 00:01:57,000 (คลิปวีดีโอ) สตีเฟน แบรดลีย์: ผมคิดว่ามองเห็นพระเยซู 47 00:01:57,000 --> 00:01:59,000 ปรากฏกายประมาณหนึ่งวินาทีในห้อง 48 00:01:59,000 --> 00:02:01,000 ท่านยื่นแขนสองข้าง 49 00:02:01,000 --> 00:02:04,000 ดูเหมือนจะบอกผมว่า "มาสิ" 50 00:02:04,000 --> 00:02:07,000 วันต่อมาผมปลื้มปีติจนตัวสั่น 51 00:02:07,000 --> 00:02:10,000 ปรีดาปราโมทย์เสียจนเอ่ยว่าผมอยากตาย 52 00:02:10,000 --> 00:02:13,000 โลกนี้ไม่มีที่ทางอีกแล้วในเสน่หาของผม 53 00:02:13,000 --> 00:02:15,000 ก่อนหน้านี้ 54 00:02:15,000 --> 00:02:17,000 ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวและเต็มไปด้วยทิฐิมานะ 55 00:02:17,000 --> 00:02:20,000 แต่ตอนนี้ผมอยากให้มนุษยชาติมีสวัสดิภาพ 56 00:02:20,000 --> 00:02:22,000 และรู้สึกถึงก้นบึ้งของจิตใจว่า 57 00:02:22,000 --> 00:02:25,000 ให้อภัยศัตรูตัวร้ายที่สุดของผมได้ 58 00:02:26,000 --> 00:02:28,000 โจนาธาน ไฮด์ท์: ดังนั้นสังเกตนะครับว่า 59 00:02:28,000 --> 00:02:30,000 ตัวตนที่คิดเล็กคิดน้อย ยึดมั่นในศีลธรรมของแบรดลีย์ 60 00:02:30,000 --> 00:02:32,000 ตายจากไประหว่างปีนบันไดทางจิตวิญญาณ 61 00:02:32,000 --> 00:02:34,000 และในระดับที่สูงกว่านี้ 62 00:02:34,000 --> 00:02:37,000 เขากลายเป็นคนเปี่ยมความรักและให้อภัย 63 00:02:38,000 --> 00:02:40,000 ศาสนาต่างๆ ในโลกนี้ได้ค้นพบวิธีมากมาย 64 00:02:40,000 --> 00:02:42,000 ที่จะช่วยให้ผู้คนปีนบันได 65 00:02:42,000 --> 00:02:44,000 บางคนระงับอัตตาด้วยการนั่งสมาธิ 66 00:02:44,000 --> 00:02:46,000 บางคนใช้ยาหลอนประสาท 67 00:02:46,000 --> 00:02:50,000 ภาพนี้มาจากม้วนหนังแอซเทค สมัยศตวรรษที่ 16 68 00:02:50,000 --> 00:02:53,000 แสดงภาพชายผู้หนึ่งกำลังจะกินเห็ดขี้ควาย 69 00:02:53,000 --> 00:02:57,000 ขณะเดียวกันเขาถูกพระเจ้ากระชากขึ้นบันได 70 00:02:57,000 --> 00:02:59,000 คนอื่นใช้วิธีเต้นระบำ หมุนตัวและเดินจงกรม 71 00:02:59,000 --> 00:03:01,000 เพื่อหนุนเสริมการก้าวข้ามตัวตน 72 00:03:01,000 --> 00:03:04,000 แต่คุณไม่ต้องอาศัยศาสนาก็ปีนบันไดได้ 73 00:03:04,000 --> 00:03:07,000 หลายคนค้นพบการก้าวข้ามตัวตนในธรรมชาติ 74 00:03:07,000 --> 00:03:10,000 คนอื่นก้าวข้ามตัวตนในงานปาร์ตี้สุดเหวี่ยง 75 00:03:10,000 --> 00:03:13,000 แต่ที่ที่ประหลาดที่สุดคือที่นี่ครับ -- 76 00:03:13,000 --> 00:03:15,000 สงคราม 77 00:03:15,000 --> 00:03:17,000 หนังสือสงครามหลายเล่มพูดเรื่องเดียวกันเลย 78 00:03:17,000 --> 00:03:19,000 บอกว่าไม่มีอะไรที่ทำให้คนมาร่วมแรงร่วมใจกัน 79 00:03:19,000 --> 00:03:21,000 ได้ทัดเทียมสงคราม 80 00:03:21,000 --> 00:03:24,000 และการนำพวกเขามารวมกันก็เปิดโอกาส 81 00:03:24,000 --> 00:03:27,000 ให้คนมีประสบการณ์ก้าวข้ามตัวตนชนิดวิเศษ 82 00:03:27,000 --> 00:03:29,000 ผมจะเปิดให้คุณฟังเนื้อหาบางส่วน 83 00:03:29,000 --> 00:03:31,000 จากหนังสือเล่มหนึ่งโดย เกล็น เกรย์ 84 00:03:31,000 --> 00:03:34,000 เกรย์เป็นทหารในกองทัพอเมริกัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 85 00:03:34,000 --> 00:03:37,000 หลังสงครามสิ้นสุดลง เขาไปสัมภาษณ์ทหารอื่นจำนวนมาก 86 00:03:37,000 --> 00:03:39,000 เขียนถึงประสบการณ์ของคนที่ผ่านสนามรบ 87 00:03:39,000 --> 00:03:41,000 ย่อหน้าหลักว่าอย่างนี้ครับ 88 00:03:41,000 --> 00:03:44,000 เขาอธิบายบันไดไว้อย่างนี้ 89 00:03:46,000 --> 00:03:48,000 (คลิปวีดีโอ) เกล็น เกรย์: ทหารผ่านศึกหลายคนจะยอมรับ 90 00:03:48,000 --> 00:03:51,000 ว่าประสบการณ์การออกแรงร่วมกันในสนามรบ 91 00:03:51,000 --> 00:03:54,000 คือจุดสุดยอดในชีวิตของพวกเขา 92 00:03:54,000 --> 00:03:57,000 "ผม" แปรเปลี่ยนเป็น "เรา" โดยไม่รู้สึกตัว 93 00:03:57,000 --> 00:03:59,000 "ของผม" กลายเป็น "ของเรา" 94 00:03:59,000 --> 00:04:01,000 และศรัทธาของปัจเจก 95 00:04:01,000 --> 00:04:04,000 ก็สูญเสียความสำคัญหลักไป 96 00:04:04,000 --> 00:04:06,000 ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่อะไรด้อยไปกว่า 97 00:04:06,000 --> 00:04:09,000 คำมั่นสัญญาแห่งความเป็นนิรันดร์ 98 00:04:09,000 --> 00:04:12,000 ซึ่งทำให้การเสียสละตัวตนในเวลาแบบนี้ 99 00:04:12,000 --> 00:04:15,000 ง่ายดายเหลือเกิน 100 00:04:15,000 --> 00:04:18,000 ผมอาจล้มลง แต่ผมไม่ตาย 101 00:04:18,000 --> 00:04:21,000 เพราะสิ่งที่เป็นจริงในตัวผมแล่นต่อไปข้างหน้า 102 00:04:21,000 --> 00:04:23,000 ดำรงอยู่ต่อไปในสหาย 103 00:04:23,000 --> 00:04:25,000 ที่ผมอุทิศชีวิตให้ 104 00:04:27,000 --> 00:04:30,000 โจนาธาน ไฮด์ท์: ฉะนั้นจุดร่วมของกรณีเหล่านี้ 105 00:04:30,000 --> 00:04:33,000 คือดูเหมือนอัตตาจะเบาบางลง หรือมลายหายไป 106 00:04:33,000 --> 00:04:35,000 และมันก็ทำให้เรารู้สึกดี รู้สึกดีมากจริงๆ 107 00:04:35,000 --> 00:04:38,000 ในทางที่แตกต่างจากความรู้สึกอื่นๆ ในชีวิตปกติของเราอย่างสิ้นเชิง 108 00:04:38,000 --> 00:04:41,000 รู้สึกตัวเบาเหมือนลอยสู่ฟ้า 109 00:04:41,000 --> 00:04:44,000 ความคิดที่ว่าเราเคลื่อนตัวสูงขึ้นนั้น เป็นหัวใจในข้อเขียน 110 00:04:44,000 --> 00:04:47,000 ของ เอมิล เดิร์กไฮม์ นักสังคมวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ 111 00:04:47,000 --> 00:04:49,000 เดิร์กไฮม์เรียกเราว่า "โฮโม ดูเพล็กซ์" ด้วยซ้ำ 112 00:04:49,000 --> 00:04:51,000 แปลว่ามนุษย์สองระดับ 113 00:04:51,000 --> 00:04:54,000 เขาเรียกระดับล่างว่า ระดับโลกียะ (profane) 114 00:04:54,000 --> 00:04:57,000 โลกียะคือขั้วตรงข้ามของศักดิ์สิทธิ์ (sacred) 115 00:04:57,000 --> 00:04:59,000 แปลว่าปกติหรือธรรมดา 116 00:04:59,000 --> 00:05:02,000 และในชีวิตธรรมดาของเรา เราก็ดำรงอยู่ในฐานะปัจเจก 117 00:05:02,000 --> 00:05:05,000 เราอยากตอบสนองต่อความต้องการส่วนตัว 118 00:05:05,000 --> 00:05:07,000 พยายามบรรลุเป้าหมายส่วนตัว 119 00:05:07,000 --> 00:05:09,000 แต่บางครั้งก็เกิดเหตุไม่ปกติ 120 00:05:09,000 --> 00:05:11,000 ที่จุดชนวนให้เราเปลี่ยนแปลง 121 00:05:11,000 --> 00:05:13,000 ปัจเจกชนมารวมตัวกัน 122 00:05:13,000 --> 00:05:16,000 เป็นทีม ขบวนการ หรือชาติ 123 00:05:16,000 --> 00:05:19,000 ซึ่งเป็นมากกว่าผลรวมขององค์ประกอบมาก 124 00:05:19,000 --> 00:05:22,000 เดิร์กไฮม์เรียกระดับนี้ว่า ระดับศักดิ์สิทธิ์ 125 00:05:22,000 --> 00:05:24,000 เพราะเขาเชื่อว่าฟังก์ชั่นของศาสนา 126 00:05:24,000 --> 00:05:26,000 คือการทำให้คนมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม 127 00:05:26,000 --> 00:05:29,000 เป็นชุมชนศีลธรรม 128 00:05:29,000 --> 00:05:32,000 เดิร์กไฮม์เชื่อว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เราสามัคคีกัน 129 00:05:32,000 --> 00:05:34,000 ล้วนมีกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์ 130 00:05:34,000 --> 00:05:36,000 และเมื่อผู้คนมาล้อมวง 131 00:05:36,000 --> 00:05:38,000 รอบวัตถุหรือคุณค่าศักดิ์สิทธิ์ 132 00:05:38,000 --> 00:05:41,000 พวกเขาจะทำงานเป็นทีม และต่อสู้เพื่อปกป้องมัน 133 00:05:41,000 --> 00:05:43,000 เดิร์กไฮม์เขียนถึง 134 00:05:43,000 --> 00:05:45,000 อารมณ์ร่วมชุดหนึ่งที่เข้มข้นมาก 135 00:05:45,000 --> 00:05:48,000 ซึ่งก่อให้เกิดปาฏิหาริย์แห่ง "จากหลากหลายกลายเป็นหนึ่ง" 136 00:05:48,000 --> 00:05:50,000 ทำให้ปัจเจกมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน 137 00:05:50,000 --> 00:05:53,000 ลองนึกถึงอารมณ์เบิกบานรวมหมู่ ในสหราชอาณาจักร 138 00:05:53,000 --> 00:05:56,000 ในวันที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง 139 00:05:56,000 --> 00:05:59,000 นึกถึงความโกรธแค้นร่วมในจัตุรัสตาฮีร์ 140 00:05:59,000 --> 00:06:02,000 ที่โค่นเผด็จการลงได้ 141 00:06:02,000 --> 00:06:04,000 และนึกถึงความโศกเศร้ารวมหมู่ 142 00:06:04,000 --> 00:06:06,000 ในสหรัฐอเมริกา 143 00:06:06,000 --> 00:06:09,000 ที่เราทุกคนรู้สึก และทำให้เราทุกคนสามัคคีกัน 144 00:06:09,000 --> 00:06:12,000 หลัง 9/11 145 00:06:12,000 --> 00:06:15,000 ทีนี้ ผมจะสรุปว่าเราอยู่ตรงไหน 146 00:06:15,000 --> 00:06:17,000 ผมกำลังบอกว่า ศักยภาพที่จะข้ามพ้นตัวตนนี้ 147 00:06:17,000 --> 00:06:20,000 เป็นเพียงลักษณะพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ 148 00:06:20,000 --> 00:06:22,000 ผมอยากยกอุปมาเรื่อง 149 00:06:22,000 --> 00:06:24,000 บันไดวนในจิตของเรา 150 00:06:24,000 --> 00:06:26,000 ผมกำลังบอกว่า เราคือ โฮโม ดูเพล็กซ์ 151 00:06:26,000 --> 00:06:29,000 และบันไดวนอันนี้ก็พาเราขึ้นจากระดับโลกียะ 152 00:06:29,000 --> 00:06:31,000 ไปสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ 153 00:06:31,000 --> 00:06:33,000 เมื่อเราปีนบันไดอันนี้ 154 00:06:33,000 --> 00:06:35,000 ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนก็มลายหายไป 155 00:06:35,000 --> 00:06:37,000 เราเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนน้อยลงมาก 156 00:06:37,000 --> 00:06:39,000 และรู้สึกเสมือนว่าเราดีกว่าเก่า มีคุณธรรมกว่าเก่า 157 00:06:39,000 --> 00:06:42,000 ใจสูงกว่าเดิม 158 00:06:42,000 --> 00:06:45,000 ฉะนั้น คำถามมูลค่าล้านเหรียญ 159 00:06:45,000 --> 00:06:47,000 สำหรับนักวิทยาศาสตร์สังคมอย่างผมคือ 160 00:06:47,000 --> 00:06:49,000 บันไดวนที่ว่านี้ 161 00:06:49,000 --> 00:06:52,000 เป็นส่วนหนึ่งในวิวัฒนาการของมนุษย์หรือไม่? 162 00:06:52,000 --> 00:06:55,000 มันเป็นผลผลิตของกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ 163 00:06:55,000 --> 00:06:57,000 เหมือนกับที่มือของเราวิวัฒน์มา 164 00:06:57,000 --> 00:07:00,000 หรือว่ามันเป็นบั๊ก เป็นข้อผิดพลาดในระบบ -- 165 00:07:00,000 --> 00:07:02,000 เรื่องศาสนาทั้งหมดนี่เป็นแค่อะไรสักอย่าง 166 00:07:02,000 --> 00:07:05,000 ที่เกิดเมื่อเส้นประสาทสมองบังเอิญแล่นทับกัน -- 167 00:07:05,000 --> 00:07:07,000 เส้นเลือดในสมองของจิลอุตตันกะทันหัน แล้วเธอก็มีประสบการณ์ทางศาสนา 168 00:07:07,000 --> 00:07:09,000 มันเป็นแค่ข้อผิดพลาดหรือเปล่า? 169 00:07:09,000 --> 00:07:13,000 นักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ศึกษาศาสนาเชื่อเช่นนั้น 170 00:07:13,000 --> 00:07:15,000 ยกตัวอย่างเช่น ลัทธิใหม่ของผู้ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง (New Atheists) 171 00:07:15,000 --> 00:07:17,000 เถียงว่าศาสนาคือชุดอนุสรณ์ (มีม, meme) 172 00:07:17,000 --> 00:07:19,000 เป็นมีมแบบพยาธิ 173 00:07:19,000 --> 00:07:21,000 ที่คืบคลานบุกรุกเข้าไปในจิตของเรา 174 00:07:21,000 --> 00:07:24,000 ทำให้เราทำอะไรเพี้ยนๆ ทางศาสนาทุกรูปแบบ 175 00:07:24,000 --> 00:07:26,000 เรื่องที่ทำลายล้างตัวเอง อย่างเช่นระเบิดพลีชีพ 176 00:07:26,000 --> 00:07:28,000 เพราะจะว่าไป 177 00:07:28,000 --> 00:07:30,000 มันจะดีต่อเราได้อย่างไร 178 00:07:30,000 --> 00:07:32,000 ไอ้การสูญเสียตัวตนนี่? 179 00:07:32,000 --> 00:07:34,000 มันจะเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร 180 00:07:34,000 --> 00:07:36,000 ถ้าให้สิ่งมีชีวิตใดก็ตาม 181 00:07:36,000 --> 00:07:39,000 ข้ามพ้นประโยชน์ส่วนตัว? 182 00:07:39,000 --> 00:07:41,000 โอเค ผมจะแสดงให้ดูครับ 183 00:07:41,000 --> 00:07:43,000 ในหนังสือเรื่อง "การลงมาของมนุษย์" 184 00:07:43,000 --> 00:07:45,000 ชาร์ลส์ ดาร์วิน เขียนไว้มากมาย 185 00:07:45,000 --> 00:07:47,000 ถึงวิวัฒนาการของศีลธรรม -- 186 00:07:47,000 --> 00:07:50,000 มันมาจากไหน ทำไมเราถึงมี 187 00:07:50,000 --> 00:07:52,000 ดาร์วินตั้งข้อสังเกตว่า คุณธรรมของเราหลายข้อ 188 00:07:52,000 --> 00:07:54,000 มีประโยชน์น้อยมากต่อตัวเราเอง 189 00:07:54,000 --> 00:07:56,000 แต่มีประโยชน์มหาศาลต่อกลุ่มของเรา 190 00:07:56,000 --> 00:07:58,000 เขาเขียนถึงกรณีที่ 191 00:07:58,000 --> 00:08:00,000 มนุษย์ดึกดำบรรพ์สองเผ่า 192 00:08:00,000 --> 00:08:02,000 มาพบปะและแข่งขันกัน 193 00:08:02,000 --> 00:08:05,000 ดาร์วินบอกว่า "ถ้าหากเผ่าหนึ่งมี 194 00:08:05,000 --> 00:08:07,000 สมาชิกจำนวนมากที่กล้าหาญ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น 195 00:08:07,000 --> 00:08:09,000 และซื่อสัตย์ต่อเผ่า 196 00:08:09,000 --> 00:08:11,000 คนที่พร้อมช่วยเหลือและปกป้องสมาชิกอื่นตลอดเวลา 197 00:08:11,000 --> 00:08:13,000 เผ่านี้จะประสบความสำเร็จมากกว่า 198 00:08:13,000 --> 00:08:15,000 และพิชิตอีกเผ่าได้" 199 00:08:15,000 --> 00:08:17,000 เขาเขียนต่อไปว่า "คนที่เห็นแก่ตัวและชอบทะเลาะวิวาท 200 00:08:17,000 --> 00:08:19,000 จะไม่มารวมตัวกัน 201 00:08:19,000 --> 00:08:21,000 และถ้าปราศจากการรวมตัวกัน 202 00:08:21,000 --> 00:08:23,000 ก็จะทำอะไรๆ ไม่ได้ผล" 203 00:08:23,000 --> 00:08:25,000 พูดอีกอย่างคือ 204 00:08:25,000 --> 00:08:27,000 ชาร์ลส์ ดาร์วิน เชื่อใน 205 00:08:27,000 --> 00:08:29,000 การคัดเลือกแบบกลุ่ม 206 00:08:29,000 --> 00:08:32,000 ความคิดนี้ถูกโต้เถียงกันอย่างร้อนแรงตลอด 40 ปีที่ผ่านมา 207 00:08:32,000 --> 00:08:35,000 แต่ปีนี้มันจะกลับมาใหม่อย่างยิ่งใหญ่ 208 00:08:35,000 --> 00:08:38,000 โดยเฉพาะหลังจากที่หนังสือใหม่ของ อี.โอ. วิลสัน ออกเดือนเมษายนนี้ 209 00:08:38,000 --> 00:08:40,000 นำเสนอด้วยหลักฐานแน่นหนาว่า 210 00:08:40,000 --> 00:08:42,000 เรา และสัตว์พันธุ์อื่นอีกบางชนิด 211 00:08:42,000 --> 00:08:44,000 เป็นผลผลิตของการคัดเลือกแบบกลุ่ม 212 00:08:44,000 --> 00:08:46,000 แต่ที่จริงเราควรคิดถึงเรื่องนี้ 213 00:08:46,000 --> 00:08:48,000 ว่าเป็นการคัดเลือกหลายระดับมากกว่า 214 00:08:48,000 --> 00:08:50,000 ลองมองอย่างนี้ครับว่า 215 00:08:50,000 --> 00:08:53,000 ภายในกลุ่มมีการแข่งขัน ระหว่างกลุ่มก็แข่งขัน 216 00:08:53,000 --> 00:08:56,000 นี่คือผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ในทีมแข่งพายเรือของมหาวิทยาลัย 217 00:08:56,000 --> 00:08:58,000 ภายในทีมนี้ 218 00:08:58,000 --> 00:09:00,000 มีการแข่งขัน 219 00:09:00,000 --> 00:09:02,000 ผู้ชายบางคนแข่งกันเอง 220 00:09:02,000 --> 00:09:05,000 ฝีพายที่ช้าที่สุด อ่อนแอที่สุด จะถูกให้ออกจากทีม 221 00:09:05,000 --> 00:09:07,000 และมีฝีพายไม่กี่คนที่จะเล่นกีฬานี้ต่อไป 222 00:09:07,000 --> 00:09:10,000 บางทีหนึ่งในนั้นอาจไปแข่งโอลิมปิกก็ได้ 223 00:09:10,000 --> 00:09:12,000 ฉะนั้นภายในทีม 224 00:09:12,000 --> 00:09:15,000 ผลประโยชน์ของแต่ละคนขัดแย้งกัน 225 00:09:15,000 --> 00:09:17,000 และบางทีอาจมีประโยชน์ก็ได้ 226 00:09:17,000 --> 00:09:19,000 ที่สมาชิกคนหนึ่ง 227 00:09:19,000 --> 00:09:21,000 จะพยายามแกล้งคนอื่น 228 00:09:21,000 --> 00:09:23,000 บางทีเขาอาจใส่ร้ายคู่แข่งคนสำคัญ 229 00:09:23,000 --> 00:09:25,000 ไปเป่าหูโค้ช 230 00:09:25,000 --> 00:09:27,000 แต่ในขณะที่การแข่งขันดำเนินไป 231 00:09:27,000 --> 00:09:29,000 ภายในเรือลำเดียวกัน 232 00:09:29,000 --> 00:09:32,000 การแข่งขันนี้ก็เกิดขึ้นระหว่างเรือเช่นกัน 233 00:09:32,000 --> 00:09:35,000 เมื่อคุณเอาฝีพายในเรือลำหนึ่งไปแข่งกับอีกลำหนึ่ง 234 00:09:35,000 --> 00:09:37,000 ทีนี้พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก นอกจากร่วมมือกัน 235 00:09:37,000 --> 00:09:40,000 เพราะพวกเขาอยู่ในเรือลำเดียวกัน 236 00:09:40,000 --> 00:09:42,000 พวกเขาจะคว้าชัยชนะได้ 237 00:09:42,000 --> 00:09:44,000 ก็ต่อเมื่อร่วมแรงร่วมใจกันเป็นทีม 238 00:09:44,000 --> 00:09:46,000 ทั้งหมดนี้อาจฟังดูซ้ำซากจำเจ 239 00:09:46,000 --> 00:09:48,000 แต่มันก็เป็นสัจธรรมของวิวัฒนาการที่ลึกซึ้ง 240 00:09:48,000 --> 00:09:50,000 ข้อโต้แย้งหลักต่อทฤษฎีการคัดเลือกแบบกลุ่ม 241 00:09:50,000 --> 00:09:52,000 ที่ผ่านมาคือ 242 00:09:52,000 --> 00:09:55,000 การอ้างว่า แน่ละ มีประโยชน์ที่คนบางคนร่วมมือกัน 243 00:09:55,000 --> 00:09:57,000 แต่ทันทีที่เกิดกลุ่มคนที่ร่วมมือกัน 244 00:09:57,000 --> 00:10:00,000 พวกเขาก็จะถูกครอบงำด้วยพวกตีตั๋วฟรี 245 00:10:00,000 --> 00:10:03,000 คนที่ฉวยโอกาสจากงานหนักของคนอื่น 246 00:10:03,000 --> 00:10:05,000 ผมจะสาธิตให้ดูนะครับ 247 00:10:05,000 --> 00:10:08,000 สมมุติว่าเรามีสิ่งมีชีวิตจิ๋วกลุ่มหนึ่ง 248 00:10:08,000 --> 00:10:11,000 มันอาจเป็นแบคทีเรีย หนูถีบจักร ไม่สำคัญว่าเป็นอะไร -- 249 00:10:11,000 --> 00:10:14,000 สมมุติต่อไปว่ากลุ่มเล็กๆ นี้วิวัฒนาการมาร่วมมือกัน 250 00:10:14,000 --> 00:10:16,000 สุดยอดเลย พวกเขาหากิน ปกป้องซึ่งกันและกัน 251 00:10:16,000 --> 00:10:19,000 ทำงานร่วมกัน สร้างความมั่งคั่ง 252 00:10:19,000 --> 00:10:21,000 คุณจะเห็นว่าในแบบจำลองนี้ 253 00:10:21,000 --> 00:10:24,000 ยิ่งพวกเขามีปฏิสัมพันธ์ก็ยิ่งสะสมแต้ม ยิ่งขยายใหญ่ 254 00:10:24,000 --> 00:10:26,000 และเมื่อขยายได้ถึงสองเท่า คุณจะเห็นว่าพวกเขาแบ่งตัวออก 255 00:10:26,000 --> 00:10:28,000 นี่คือจุดที่เริ่มผสมพันธุ์ ประชากรก็เพิ่มขึ้น 256 00:10:28,000 --> 00:10:31,000 แต่ทีนี้สมมุติว่าหนึ่งในนั้นกลายพันธุ์ 257 00:10:31,000 --> 00:10:33,000 ยีนเกิดกลายพันธุ์ขึ้นมา 258 00:10:33,000 --> 00:10:35,000 ทำให้ตัวหนึ่งเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์เห็นแก่ตัว 259 00:10:35,000 --> 00:10:37,000 ฉวยโอกาสจากตัวอื่น 260 00:10:37,000 --> 00:10:40,000 ทีนี้เมื่อสีเขียวมาปฏิสังสรรค์กับสีฟ้า 261 00:10:40,000 --> 00:10:42,000 คุณจะเห็นว่าตัวสีเขียวขยายใหญ่ สีฟ้าหดเล็กลง 262 00:10:42,000 --> 00:10:44,000 ทีนี้นี่่คือสิ่งที่เกิดขึ้น 263 00:10:44,000 --> 00:10:46,000 เราเริ่มจากสีเขียวตัวเดียว 264 00:10:46,000 --> 00:10:48,000 และขณะที่มันมีปฏิสัมพันธ์ 265 00:10:48,000 --> 00:10:51,000 มันก็จะได้ความมั่งคั่งหรือแต้มหรืออาหาร 266 00:10:51,000 --> 00:10:54,000 ไม่นานพวกที่สามัคคีกันก็ถูกกวาดล้างจนหมด 267 00:10:54,000 --> 00:10:57,000 พวกตีตั๋วฟรีเป็นใหญ่แทน 268 00:10:57,000 --> 00:11:00,000 ถ้าหากกลุ่มแก้ปัญหาพวกตีตั๋วฟรีไม่ได้ 269 00:11:00,000 --> 00:11:03,000 กลุ่มก็ไม่อาจได้ประโยชน์จากการร่วมมือกันได้ 270 00:11:03,000 --> 00:11:06,000 และกระบวนการคัดเลือกแบบกลุ่มก็เริ่มต้นไม่ได้ 271 00:11:06,000 --> 00:11:08,000 แต่ปัญหาพวกตีตั๋วฟรีมีวิธีแก้ครับ 272 00:11:08,000 --> 00:11:10,000 มันไม่ได้เป็นปัญหาที่ยากเย็นขนาดนั้น 273 00:11:10,000 --> 00:11:13,000 ที่จริงธรรมชาติก็แก้ได้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว 274 00:11:13,000 --> 00:11:15,000 วิธีแก้ที่ธรรมชาติชอบใช้ที่สุด 275 00:11:15,000 --> 00:11:18,000 คือจับทุกคนใส่เรือลำเดียวกัน 276 00:11:18,000 --> 00:11:20,000 ยกตัวอย่างเช่น 277 00:11:20,000 --> 00:11:23,000 ทำไมไมโตคอนเดรียในเซลล์ทุกเซลล์ 278 00:11:23,000 --> 00:11:25,000 ถึงได้มีรหัสพันธุกรรมของตัวเอง 279 00:11:25,000 --> 00:11:28,000 แยกต่างหากจากรหัสพันธุกรรมในนิวเคลียส? 280 00:11:28,000 --> 00:11:30,000 คำตอบคือมันเคยเป็น 281 00:11:30,000 --> 00:11:32,000 แบคทีเรียที่อยู่อย่างเป็นเอกเทศ 282 00:11:32,000 --> 00:11:34,000 มันมารวมตัวกัน 283 00:11:34,000 --> 00:11:36,000 กลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ 284 00:11:36,000 --> 00:11:39,000 ด้วยวิธีอะไรสักอย่าง อาจจะกินกันและกัน เราไม่มีวันรู้สาเหตุที่แท้จริง 285 00:11:39,000 --> 00:11:41,000 แต่เมื่อพวกมันมีเยื่อหุ้มเซลล์รอบตัว 286 00:11:41,000 --> 00:11:43,000 พวกมันอยู่ใต้เยื่อหุ้มเซลล์แผ่นเดียวกัน 287 00:11:43,000 --> 00:11:46,000 ก็แปลว่าความมั่งคั่งที่เกิดจากการแบ่งงานกันทำ 288 00:11:46,000 --> 00:11:48,000 ความยิ่งใหญ่ทั้งหมดที่สร้างจากการร่วมมือกัน 289 00:11:48,000 --> 00:11:50,000 ทั้งหมดนั้นถูกล็อคไว้ภายในเยื่อนี้ 290 00:11:50,000 --> 00:11:53,000 ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่เก่งกว่าเดิม 291 00:11:53,000 --> 00:11:55,000 ทีนี้ลองเดินแบบจำลองใหม่ 292 00:11:55,000 --> 00:11:57,000 เอาเจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่นี้ 293 00:11:57,000 --> 00:12:00,000 ลงไปในประชากรที่มีแต่พวกตีตั๋วฟรี หรือทรยศ หรือคดโกง 294 00:12:00,000 --> 00:12:03,000 แล้วดูนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น 295 00:12:03,000 --> 00:12:05,000 สิ่งมีชีวิตสุดเจ๋งนี้จะเอาอะไรก็ได้เลย 296 00:12:05,000 --> 00:12:08,000 เพราะมันใหญ่และทรงพลังและมีประสิทธิภาพ 297 00:12:08,000 --> 00:12:10,000 แย่งเอาทรัพยากร 298 00:12:10,000 --> 00:12:14,000 ไปจากตัวสีเขียว พวกทรยศคดโกง 299 00:12:14,000 --> 00:12:16,000 ไม่นานประชากรทั้งหมด 300 00:12:16,000 --> 00:12:19,000 ก็จะมีแต่สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่นี้ 301 00:12:19,000 --> 00:12:21,000 สิ่งที่ผมแสดงให้ดูไปนั้น 302 00:12:21,000 --> 00:12:23,000 บางครั้งถูกเรียกว่า การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ 303 00:12:23,000 --> 00:12:26,000 ในประวัติศาสตร์วิวัฒนาการ 304 00:12:26,000 --> 00:12:28,000 กฏของดาร์วินไม่เปลี่ยนแปลง 305 00:12:28,000 --> 00:12:31,000 แต่ตอนนี้มีผู้เล่นแบบใหม่ลงสนาม 306 00:12:31,000 --> 00:12:34,000 และสถานการณ์ก็แตกต่างไปจากเดิมมาก 307 00:12:34,000 --> 00:12:36,000 ทีนี้ การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญครั้งเดียวในธรรมชาติ 308 00:12:36,000 --> 00:12:38,000 ที่บังเอิญเกิดกับแบคทีเรียบางตัว 309 00:12:38,000 --> 00:12:40,000 มันเกิดขึ้นอีกครั้ง 310 00:12:40,000 --> 00:12:42,000 ประมาณ 120 หรือ 140 ล้านปีที่แล้ว 311 00:12:42,000 --> 00:12:45,000 เมื่อตัวต่อรักสันโดษบางตัว 312 00:12:45,000 --> 00:12:47,000 เริ่มสร้างรังที่เรียบง่าย 313 00:12:47,000 --> 00:12:50,000 และพื้นฐานมาก 314 00:12:50,000 --> 00:12:53,000 เมื่อตัวต่อหลายตัวมาอยู่ในรังเดียวกัน 315 00:12:53,000 --> 00:12:55,000 มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะร่วมมือกัน 316 00:12:55,000 --> 00:12:57,000 เพราะไม่นานมันก็ถูกสถานการณ์บังคับให้แข่งขัน 317 00:12:57,000 --> 00:12:59,000 กับรังอื่นๆ 318 00:12:59,000 --> 00:13:01,000 รังที่สามัคคีกันที่สุดคือผู้ชนะ 319 00:13:01,000 --> 00:13:03,000 ตรงตามที่ดาร์วินพูด 320 00:13:03,000 --> 00:13:05,000 ตัวต่อโบราณเหล่านี้ 321 00:13:05,000 --> 00:13:07,000 เป็นบรรพบุรุษของผึ้งและมด 322 00:13:07,000 --> 00:13:09,000 ที่ต่อมาขยายพันธุ์ไปทั่วโลก 323 00:13:09,000 --> 00:13:11,000 และเปลี่ยนแปลงชีวมณฑลของโลก 324 00:13:11,000 --> 00:13:13,000 มันเกิดขึ้นอีกครั้ง 325 00:13:13,000 --> 00:13:15,000 อย่างน่าทึ่งกว่านี้อีก 326 00:13:15,000 --> 00:13:17,000 ในช่วงห้าแสนปีที่ผ่านมา 327 00:13:17,000 --> 00:13:19,000 เมื่อบรรพบุรุษของเราเอง 328 00:13:19,000 --> 00:13:21,000 กลายเป็นสัตว์วัฒนธรรม 329 00:13:21,000 --> 00:13:24,000 มารวมตัวกันรอบเตาผิงหรือกองไฟ 330 00:13:24,000 --> 00:13:26,000 พวกเขาแบ่งงานกันทำ 331 00:13:26,000 --> 00:13:29,000 เริ่มระบายสีร่างกาย พูดภาษาถิ่นของตัวเอง 332 00:13:29,000 --> 00:13:32,000 สุดท้ายก็บูชาพระเจ้าของตัวเอง 333 00:13:32,000 --> 00:13:34,000 เมื่อพวกเขามาอยู่ในเผ่าเดียวกัน 334 00:13:34,000 --> 00:13:37,000 ก็สามารถปิดล็อกประโยชน์จากการร่วมมือกันไว้ภายใน 335 00:13:37,000 --> 00:13:39,000 และเปิดล็อกพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 336 00:13:39,000 --> 00:13:41,000 ที่ดาวเคราะห์ดวงนี้ได้รับรู้ 337 00:13:41,000 --> 00:13:43,000 นั่นคือ พลังความร่วมมือกันของมนุษย์ -- 338 00:13:43,000 --> 00:13:45,000 พลังแห่งการสรรค์สร้าง 339 00:13:45,000 --> 00:13:48,000 และทำลายล้าง 340 00:13:48,000 --> 00:13:50,000 แน่นอนครับ กลุ่มของมนุษย์สามัคคีกันเหนียวแน่น 341 00:13:50,000 --> 00:13:52,000 น้อยกว่ารังผึ้งคนละโยชน์ 342 00:13:52,000 --> 00:13:55,000 กลุ่มของมนุษย์อาจดูเหมือนรังผึ้งชั่วคราว 343 00:13:55,000 --> 00:13:57,000 แต่มักจะแตกสลายซ่านเซ็น 344 00:13:57,000 --> 00:14:00,000 พวกเราไม่ถูกบีบบังคับให้ร่วมมือกันเหมือนกับผึ้งและมด 345 00:14:00,000 --> 00:14:02,000 ที่จริง บ่อยครั้ง 346 00:14:02,000 --> 00:14:04,000 ดังที่เราได้เห็นในการปฏิวัติโลกอาหรับเมื่อไม่นานมานี้ 347 00:14:04,000 --> 00:14:08,000 ว่าความแตกแยกมักจะแล่นตามเส้นศาสนา 348 00:14:08,000 --> 00:14:11,000 อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่คนมารวมตัวกันได้ 349 00:14:11,000 --> 00:14:13,000 มารวมพลังเคลื่อนไหวในขบวนการเดียวกัน 350 00:14:13,000 --> 00:14:16,000 พวกเขาก็เขยื้อนภูเขาได้ 351 00:14:16,000 --> 00:14:19,000 ลองดูคนในรูปที่ผมกำลังฉายให้ดูสิครับ 352 00:14:19,000 --> 00:14:21,000 คุณคิดว่าพวกเขาไปที่นั่น 353 00:14:21,000 --> 00:14:23,000 เพื่อบรรลุประโยชน์ส่วนตัวหรือเปล่า? 354 00:14:23,000 --> 00:14:26,000 หรือว่าอยากบรรลุประโยชน์ส่วนรวม 355 00:14:26,000 --> 00:14:29,000 ซึ่งเรียกร้องให้พวกเขาสูญเสียตัวตน 356 00:14:29,000 --> 00:14:33,000 กลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งขององค์รวม? 357 00:14:34,000 --> 00:14:36,000 โอเค ที่ผ่านไปนั้นคือบทบรรยายของผม 358 00:14:36,000 --> 00:14:38,000 นำเสนอแบบมาตรฐาน TED 359 00:14:38,000 --> 00:14:40,000 ทีนี้ ผมจะบรรยายทั้งหมดนั้นอีกรอบ 360 00:14:40,000 --> 00:14:42,000 ในสามนาที 361 00:14:42,000 --> 00:14:45,000 ด้วยวิถีทางที่ครอบคลุมสมบูรณ์กว่า 362 00:14:45,000 --> 00:14:47,000 (เสียงดนตรี) 363 00:14:47,000 --> 00:14:49,000 (คลิปวีดีโอ) โจนาธาน ไฮด์ท์: มนุษย์เรามีประสบการณ์ทางศาสนา 364 00:14:49,000 --> 00:14:51,000 มากมายหลายรูปแบบ 365 00:14:51,000 --> 00:14:53,000 ดังที่ วิลเลียม เจมส์ อธิบาย 366 00:14:53,000 --> 00:14:56,000 รูปแบบหนึ่งที่พบบ่อยคือการปีนบันไดลับ 367 00:14:56,000 --> 00:14:58,000 และสูญเสียตัวตน 368 00:14:58,000 --> 00:15:00,000 บันไดนั้นนำเรา 369 00:15:00,000 --> 00:15:03,000 ออกจากประสบการณ์ชีวิตที่เป็นโลกียะ เรื่องปกติ 370 00:15:03,000 --> 00:15:05,000 ขึ้นสูงไปสู่ประสบการณ์ว่าชีวิตนั้นศักดิ์สิทธิ์ 371 00:15:05,000 --> 00:15:07,000 หรือเกี่ยวพันกับชีวิตอื่นอย่างลึกซึ้ง 372 00:15:07,000 --> 00:15:09,000 เราเป็น โฮโม ดูเพล็กซ์ 373 00:15:09,000 --> 00:15:11,000 ดังที่เดิร์กไฮม์อธิบาย 374 00:15:11,000 --> 00:15:13,000 และเราก็เป็น โฮโม ดูเพล็กซ์ 375 00:15:13,000 --> 00:15:15,000 เพราะเราวิวัฒนาการผ่านการคัดเลือกหลายระดับ 376 00:15:15,000 --> 00:15:18,000 ดังที่ดาร์วินอธิบาย 377 00:15:18,000 --> 00:15:20,000 ผมมั่นใจไม่ได้ว่าบันไดนี้คือการปรับตัว 378 00:15:20,000 --> 00:15:22,000 ไม่ใช่บั๊กในระบบ 379 00:15:22,000 --> 00:15:24,000 แต่ถ้ามันคือการปรับตัว 380 00:15:24,000 --> 00:15:26,000 นัยของมันก็กว้างขวางลึกล้ำ 381 00:15:26,000 --> 00:15:28,000 ถ้าหากมันคือการปรับตัว 382 00:15:28,000 --> 00:15:31,000 ก็แปลว่าเราวิวัฒนาการมานับถือศาสนา 383 00:15:31,000 --> 00:15:33,000 ผมไม่ได้หมายความว่าเราวิวัฒนาการมา 384 00:15:33,000 --> 00:15:35,000 เพื่อสังกัดศาสนาขนาดใหญ่ในระบบ 385 00:15:35,000 --> 00:15:37,000 องค์กรศาสนาถือกำเนิดไม่นานมานี้เอง 386 00:15:37,000 --> 00:15:39,000 ผมหมายความว่าเราวิวัฒนาการ 387 00:15:39,000 --> 00:15:41,000 มาเพื่อมองเห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รายรอบตัว 388 00:15:41,000 --> 00:15:43,000 และเพื่อร่วมมือกับคนอื่น ทำงานเป็นทีม 389 00:15:43,000 --> 00:15:45,000 ล้อมวงรอบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ 390 00:15:45,000 --> 00:15:47,000 คนศักดิ์สิทธิ์ และความคิดศักดิ์สิทธิ์ 391 00:15:47,000 --> 00:15:50,000 นี่คือสาเหตุที่การเมืองเป็นเรื่องของเผ่า 392 00:15:50,000 --> 00:15:53,000 การเมืองส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของโลกียะ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตน 393 00:15:53,000 --> 00:15:56,000 แต่การเมืองก็เป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน 394 00:15:56,000 --> 00:15:58,000 เป็นเรื่องของการร่วมมือกับคนอื่น 395 00:15:58,000 --> 00:16:00,000 ทำตามความคิดทางศีลธรรม 396 00:16:00,000 --> 00:16:03,000 เป็นเรื่องของการต่อสู้ชั่วนิรันดร์ ระหว่างธรรมะกับอธรรม 397 00:16:03,000 --> 00:16:06,000 และเราทุกคนก็เชื่อว่าเราอยู่ข้างธรรมะ 398 00:16:06,000 --> 00:16:08,000 ที่สำคัญที่สุดคือ 399 00:16:08,000 --> 00:16:10,000 ถ้าหากบันไดนี้มีจริง 400 00:16:10,000 --> 00:16:12,000 มันก็อธิบายได้ว่าทำไมคนเรา 401 00:16:12,000 --> 00:16:14,000 ถึงได้รู้สึกไม่พอใจเรื้อรังกับชีวิตสมัยใหม่ 402 00:16:14,000 --> 00:16:17,000 เพราะมนุษย์เราในบางระดับ 403 00:16:17,000 --> 00:16:19,000 เป็นสัตว์รวมหมู่เหมือนผึ้ง 404 00:16:19,000 --> 00:16:22,000 เราคือผึ้ง เราแหวกรังผึ้งออกมาในยุคแสงสว่าง 405 00:16:22,000 --> 00:16:25,000 เราทำลายสถาบันเก่าแก่ลง 406 00:16:25,000 --> 00:16:27,000 มอบอิสรภาพให้กับผู้ที่ถูกกดขี่ 407 00:16:27,000 --> 00:16:29,000 เราปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ที่เปลี่ยนโลก 408 00:16:29,000 --> 00:16:32,000 สร้างความมั่งคั่งและสะดวกสบายมหาศาล 409 00:16:32,000 --> 00:16:34,000 ทุกวันนี้เราบินไปมา 410 00:16:34,000 --> 00:16:36,000 เหมือนผึ้งปัจเจกที่ลิงโลดกับอิสรภาพ 411 00:16:36,000 --> 00:16:38,000 แต่บางครั้งเราก็สงสัยว่า 412 00:16:38,000 --> 00:16:40,000 มีแค่นี้หรือ? 413 00:16:40,000 --> 00:16:42,000 ฉันควรจะทำอะไรดีกับชีวิต? 414 00:16:42,000 --> 00:16:44,000 อะไรนะที่ขาดหายไป? 415 00:16:44,000 --> 00:16:46,000 สิ่งที่ขาดหายคือ เราเป็น โฮโม ดูเพล็กซ์ 416 00:16:46,000 --> 00:16:49,000 แต่สังคมฆราวาสสมัยใหม่ถูกสร้างขึ้น 417 00:16:49,000 --> 00:16:52,000 เพื่อตอบสนองตัวตนโลกียะที่ต่ำกว่าด้านเดียว 418 00:16:52,000 --> 00:16:55,000 ชั้นล่างนั่นสะดวกสบายมากจริงๆ 419 00:16:55,000 --> 00:16:58,000 มาสิ มานั่งในศูนย์บันเทิงในบ้านของฉัน 420 00:16:58,000 --> 00:17:00,000 ความท้าทายประการสำคัญของชีวิตสมัยใหม่ 421 00:17:00,000 --> 00:17:03,000 คือการหาบันไดให้เจอท่ามกลางความยุ่งเหยิง 422 00:17:03,000 --> 00:17:06,000 แล้วก็ทำอะไรสักอย่างที่ดีงาม 423 00:17:06,000 --> 00:17:09,000 เมื่อคุณปีนขึ้นไปถึงชั้นบนสุด 424 00:17:09,000 --> 00:17:12,000 ผมมองเห็นความปรารถนานี้ในลูกศิษย์ของผม ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย 425 00:17:12,000 --> 00:17:14,000 พวกเขาทุกคนอยากทำอะไรดีๆ หรือพบงานที่เกิดมาทำ 426 00:17:14,000 --> 00:17:16,000 งานที่พวกเขาจะโยนตัวเองลงไปในนั้นได้ 427 00:17:16,000 --> 00:17:19,000 พวกเขาทุกคนล้วนตามหาบันไดวนของตัวเอง 428 00:17:19,000 --> 00:17:21,000 นั่นทำให้ผมมีความหวัง 429 00:17:21,000 --> 00:17:23,000 เพราะคนเราไม่ได้เห็นแก่ตัวอย่างเดียว 430 00:17:23,000 --> 00:17:25,000 คนส่วนใหญ่อยากเลิกคิดเล็กคิดน้อย 431 00:17:25,000 --> 00:17:27,000 อยากเป็นส่วนหนึ่งของอะไรที่ใหญ่กว่าตัวเอง 432 00:17:27,000 --> 00:17:30,000 ข้อนี้อธิบายว่าทำไมคนปัจจุบันถึงยังรู้สึกกระทบใจ 433 00:17:30,000 --> 00:17:32,000 เมื่อได้ยินอุปมาเรียบง่าย 434 00:17:32,000 --> 00:17:35,000 ที่คิดขึ้นกว่า 400 ปีที่แล้ว -- 435 00:17:35,000 --> 00:17:37,000 "ไม่มีใครเป็นเกาะ 436 00:17:37,000 --> 00:17:39,000 เฉพาะของตัวเอง 437 00:17:39,000 --> 00:17:42,000 มนุษย์ทุกผู้นามคือส่วนหนึ่งของทวีป 438 00:17:42,000 --> 00:17:45,000 ส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่" 439 00:17:45,000 --> 00:17:47,000 โจนาธาน ไฮด์ท์: ขอบคุณครับ 440 00:17:47,000 --> 00:17:55,000 (เสียงปรบมือ)