WEBVTT 00:00:06.979 --> 00:00:08.722 ลองคิดไปว่าคุณกำลังชมการแข่งขันฟุตบอล 00:00:08.722 --> 00:00:11.206 มีเจ้าคนน่ารังเกียจนี่นั่งติดกับคุณ 00:00:11.206 --> 00:00:11.906 เขาส่งเสียงดังเอะอะ 00:00:11.906 --> 00:00:13.240 เขาทำเครื่องดื่มของเขาหกรดคุณ 00:00:13.240 --> 00:00:14.995 และเขาหัวเราะเย้ยหยันทีมที่คุณเชียร์ 00:00:14.995 --> 00:00:17.226 หลายวันต่อมา คุณกำลังเดินอยู่ในสวนสาธารณะ 00:00:17.226 --> 00:00:19.823 ในทันใดนั้นฝนก็เริ่มตกกระหน่ำลงมา 00:00:19.823 --> 00:00:21.130 ใครนะควรปรากฏตัวข้างๆ คุณ 00:00:21.130 --> 00:00:22.417 พร้อมกับหยิบยื่นร่มให้คุณ? 00:00:22.417 --> 00:00:25.052 เจ้าหมอนั่นเองที่คุณพบตอนชมการแข่งขันฟุตบอล 00:00:25.052 --> 00:00:26.489 คุณจะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเขา 00:00:26.489 --> 00:00:28.213 บนพื้นฐานของการพบกันครั้งที่สองนี้ 00:00:28.213 --> 00:00:29.709 หรือ คุณยังคงยึดติดอยู่กับความประทับใจแรกพบ 00:00:29.709 --> 00:00:31.907 และไม่ให้ความสำคัญแก่คนๆ นี้ 00:00:31.907 --> 00:00:34.298 การวิจัยทางจิตวิทยาสังคมชี้ให้เห็นว่า 00:00:34.298 --> 00:00:37.112 เราสร้างความประทับใจที่ยั่งยืนต่อผู้อื่นได้รวดเร็ว 00:00:37.112 --> 00:00:39.020 บนพื้นฐานพฤติกรรมของพวกเขา 00:00:39.020 --> 00:00:41.314 เราทำสิ่งนี้ได้ไม่ยากเย็น 00:00:41.314 --> 00:00:43.310 สรุปเป็นลักษณะนิสัยที่ติดตัว 00:00:43.310 --> 00:00:44.647 จากเพียงพฤติกรรมเดียว 00:00:44.647 --> 00:00:45.481 เช่น คำพูดกราดเกรี้ยว 00:00:45.481 --> 00:00:46.974 หรือ เดินซุ่มซ่าม 00:00:46.974 --> 00:00:48.733 โดยใช้ความประทับใจของเราเป็นแนวทาง 00:00:48.733 --> 00:00:50.040 เราสามารถทำนายได้แม่นยำ 00:00:50.040 --> 00:00:53.187 ว่าคนๆ นั้นจะแสดงพฤติกรรมอย่างไรในอนาคต 00:00:53.187 --> 00:00:54.075 ด้วยความรู้นี้ 00:00:54.075 --> 00:00:55.462 ชายจากการแข่งขันฟุตบอล 00:00:55.462 --> 00:00:57.293 ดูเป็นคนไม่น่าคบ เมื่อคุณพบเขาครั้งแรก 00:00:57.293 --> 00:00:59.793 คุณอาจคาดว่าจะพบพฤติกรรมเช่นนั้นอีกมากในอนาคต 00:00:59.793 --> 00:01:01.674 ถ้าเป็นดังนั้น คุณอาจเลือกหลบเลี่ยงเขา 00:01:01.674 --> 00:01:03.009 ในครั้งต่อไปที่คุณเห็นเขา 00:01:03.009 --> 00:01:05.293 อย่างไรก็ดี เราสามารถเปลี่ยนแปลงความประทับใจของเรา 00:01:05.293 --> 00:01:07.337 เมื่อได้รับข้อมูลใหม่ๆ 00:01:07.337 --> 00:01:09.873 นักวิจัยพฤติกรรมได้ระบุ 00:01:09.873 --> 00:01:12.210 แบบแผนสอดคล้องที่ดูจะช่วยนำทาง 00:01:12.210 --> 00:01:14.627 กระบวนการปรับความประทับใจขึ้นใหม่ 00:01:14.627 --> 00:01:17.014 ในมุมมองหนึ่ง การเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบางคน 00:01:17.014 --> 00:01:19.714 ในด้านลบมากๆ และผิดทำนองคลองธรรม 00:01:19.714 --> 00:01:21.435 โดยทั่วไปมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า 00:01:21.435 --> 00:01:25.521 การเรียนรู้ข้อมูลในด้านบวกมากๆ และถูกทำนองคลองธรรม 00:01:25.521 --> 00:01:27.796 ดังนั้นจึงเป็นโชคไม่ดีสำหรับเพื่อนใหม่ 00:01:27.796 --> 00:01:28.821 จากการแข่งขันฟุตบอลของเรา 00:01:28.821 --> 00:01:30.243 พฤติกรรมไม่ดีระหว่างชมการแข่งขันของเขา 00:01:30.243 --> 00:01:33.070 อาจบดบังพฤติกรรมดีของเขาที่สวนสาธารณะ 00:01:33.070 --> 00:01:35.628 งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าอคตินี้เกิดขึ้น 00:01:35.628 --> 00:01:38.828 เพราะว่าพฤติกรรมผิดทำนองคลองธรรมช่วยบ่งบอก 00:01:38.828 --> 00:01:39.875 หรือเผยให้รู้ถึง 00:01:39.875 --> 00:01:42.043 ลักษณะนิสัยแท้จริงของบุคคลได้ดีกว่า 00:01:42.043 --> 00:01:43.877 ดังนั้นโดยตรรกะนี้ 00:01:43.877 --> 00:01:46.253 สิ่งไม่ดีจึงมีอิทธิพลมากกว่าสิ่งดีเสมอ 00:01:46.253 --> 00:01:47.923 เมื่อมีการปรับความประทับใจขึ้นใหม่ 00:01:47.923 --> 00:01:49.754 แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป 00:01:49.754 --> 00:01:51.882 รูปแบบการเรียนรู้บางอย่างดูเหมือนไม่ 00:01:51.882 --> 00:01:54.208 นำไปสู่อคติแง่ลบชนิดนี้ 00:01:54.208 --> 00:01:57.431 เช่น การเรียนรู้เกี่ยวกับความสามารถ และสมรรถภาพของผู้อื่น 00:01:57.431 --> 00:01:58.297 เป็นต้น 00:01:58.297 --> 00:01:59.880 อคตินี้ถูกพลิกกลับ 00:01:59.880 --> 00:02:01.348 โดยแท้จริงแล้วข้อมูลด้านบวก 00:02:01.348 --> 00:02:03.631 ได้รับน้ำหนักมากกว่า 00:02:03.631 --> 00:02:05.128 เรากลับไปที่การแข่งขันฟุตบอล 00:02:05.128 --> 00:02:06.624 ถ้าผู้เล่นทำประตูได้ 00:02:06.624 --> 00:02:08.292 ก็จะมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า 00:02:08.292 --> 00:02:10.199 ต่อความประทับใจของคุณต่อทักษะของผู้เล่น 00:02:10.199 --> 00:02:11.959 มากกว่ายามที่พวกเขายิงประตูพลาด 00:02:11.959 --> 00:02:13.902 ทั้งสองด้านของการปรับความประทับใจขึ้นใหม่ 00:02:13.902 --> 00:02:16.209 สอดคล้องต้องกันอย่างมากทีเดียว 00:02:16.209 --> 00:02:18.310 โดยภาพรวม บรรดาพฤติกรรมที่รับรู้ได้ 00:02:18.310 --> 00:02:20.542 ว่าเกิดไม่บ่อยนัก จะเป็นพฤติกรรมที่ 00:02:20.542 --> 00:02:23.379 ผู้คนมักให้น้ำหนักกันมากกว่า 00:02:23.379 --> 00:02:25.627 เมื่อมีการสร้างและปรับความประทับใจขึ้นใหม่ 00:02:25.627 --> 00:02:26.914 ได้แก่ การกระทำผิดทำนองคลองธรรมร้ายแรง 00:02:26.914 --> 00:02:29.293 และการกระทำที่เปี่ยมสมรรถภาพ 00:02:29.293 --> 00:02:32.004 ดังนั้น เกิดอะไรขึ้นในระดับสมองของเรา 00:02:32.004 --> 00:02:33.874 เมื่อเรากำลังปรับความประทับใจของเราขึ้นใหม่? 00:02:33.874 --> 00:02:35.257 โดยการใช้ fMRI, 00:02:35.257 --> 00:02:37.878 หรือ การทำงานของการสร้างภาพด้วยการเกิดเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (functional Magnetic Resonance Imaging) 00:02:37.878 --> 00:02:39.294 นักวิจัยได้ค้นพบ 00:02:39.294 --> 00:02:41.478 เครือข่ายของสมองที่ยืดออกไป 00:02:41.478 --> 00:02:43.213 ที่ตอบสนองต่อข้อมูลใหม่ๆ 00:02:43.213 --> 00:02:46.104 ที่ไม่สอดคล้องกับความประทับใจเริ่มแรก 00:02:46.104 --> 00:02:48.296 สิ่งเหล่านี้รวมทั้งพื้นที่เชื่อมโยง 00:02:48.296 --> 00:02:49.574 กับกระบวนการรับรู้ทางสังคม 00:02:49.574 --> 00:02:50.652 ความสนใจ 00:02:50.652 --> 00:02:52.465 และการควบคุมกระบวนการรับรู้ 00:02:52.465 --> 00:02:54.568 ยิ่งกว่านั้น เมื่อปรับความประทับใจขึ้นใหม่ 00:02:54.568 --> 00:02:56.570 บนพื้นฐานพฤติกรรมของผู้คน 00:02:56.570 --> 00:02:59.709 กิจกรรมที่เกิดขึ้นในสมองส่วน ventrolateral prefrontal cortex 00:02:59.709 --> 00:03:02.061 และ superior temporal sulcus 00:03:02.061 --> 00:03:03.494 มีความสัมพันธ์ร่วมกันกับความรับรู้ 00:03:03.494 --> 00:03:07.879 ถึงความถี่ของพฤติกรรมเหล่านั้นที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน 00:03:07.879 --> 00:03:10.290 พูดอีกอย่างก็คือ สมองดูเหมือนจะติดตามร่องรอย 00:03:10.290 --> 00:03:13.180 คุณสมบัติเชิงสถิติที่มีระดับต่ำ ของพฤติกรรม 00:03:13.180 --> 00:03:15.900 เพื่อทำการตัดสินใจที่ซับซ้อน 00:03:15.900 --> 00:03:17.423 เกี่ยวกับลักษณะนิสัยของผู้อื่น 00:03:17.423 --> 00:03:18.461 มันจำเป็นต้องชี้ขาดว่า 00:03:18.461 --> 00:03:20.642 พฤติกรรมของบุคคลนี้เป็นปกติทั่วไป 00:03:20.642 --> 00:03:22.483 หรือผิดแผกจากธรรมดา 00:03:22.483 --> 00:03:23.309 ในสถานการณ์ 00:03:23.309 --> 00:03:26.312 ที่แฟนบอลผู้น่ารังเกียจกลับกลายเป็นคนใจดีมีเมตตา 00:03:26.312 --> 00:03:27.479 สมองของคุณจะคิดว่า 00:03:27.479 --> 00:03:28.649 จากประสบการณ์ของฉัน 00:03:28.649 --> 00:03:31.782 ส่วนมากใครๆ ก็จะให้ยืมร่มของพวกเขาแก่คนอื่นกันทั้งนั้น 00:03:31.782 --> 00:03:34.452 แต่สิ่งที่เจ้าหมอนี่ทำลงไประหว่างดูการแข่งขันฟุตบอล 00:03:34.452 --> 00:03:36.297 เป็นสิ่งผิดปกติ 00:03:36.297 --> 00:03:39.247 และดังนั้น คุณจึงตัดสินใจโดย ยึดติดอยู่กับความประทับใจแรกพบของคุณ 00:03:39.247 --> 00:03:40.985 เป็นเรื่องสอนใจที่ดีในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ 00:03:40.985 --> 00:03:43.412 สมองของคุณ และรวมถึงตัวตนของคุณ 00:03:43.412 --> 00:03:44.794 อาจให้ความใส่ใจมากกว่าเกี่ยวกับ 00:03:44.794 --> 00:03:46.548 สิ่งต่างๆ ที่เป็นด้านลบผิดทำนองคลองธรรม 00:03:46.548 --> 00:03:47.792 ที่คนอื่นได้ทำลงไป 00:03:47.792 --> 00:03:50.665 เปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นด้านบวกถูกทำนองคลองธรรม 00:03:50.665 --> 00:03:52.194 แต่มันเป็นผลทางตรง 00:03:52.194 --> 00:03:55.693 จากการที่พฤติกรรมไม่ดีพบเห็นได้ยากกว่า 00:03:55.693 --> 00:03:58.329 เราคุ้นเคยกันมากกว่ากับผู้คนที่โดยพื้นฐานเป็นคนดี 00:03:58.329 --> 00:04:00.671 ยอมสละเวลาช่วยเหลือคนแปลกหน้าในคราวจำเป็น 00:04:00.671 --> 00:04:04.200 ในบริบทนี้ ความไม่ดีอาจมีอิทธิพลมากกว่าความดี 00:04:04.200 --> 00:04:06.803 แต่เป็นเพียงเพราะความดีมีให้พบเห็นมากกว่า 00:04:06.803 --> 00:04:08.828 คิดถึงครั้งสุดท้ายที่คุณตัดสินใครบางคน 00:04:08.828 --> 00:04:10.135 บนพื้นฐานพฤติกรรมของพวกเขา 00:04:10.135 --> 00:04:11.843 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่คุณรู้สึกจริงๆ 00:04:11.843 --> 00:04:14.270 เหมือนว่าคุณเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อใครบางคน 00:04:14.270 --> 00:04:15.720 พฤติกรรมที่เป็นเหตุให้คุณ 00:04:15.720 --> 00:04:16.899 ปรับความประทับใจของคุณขึ้นใหม่นั้น 00:04:16.899 --> 00:04:19.202 เป็นบางสิ่งที่คุณคาดหวังให้คนอื่นทำ 00:04:19.202 --> 00:04:22.398 หรือ เป็นบางสิ่งที่มันผิดแผกจากธรรมดา?