มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่ผมชอบ
ซึ่งครั้งหนึ่งผมอ่านพบมาจากที่หนึ่ง
สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้โฮโม เซเปียน
ประสบความสำเร็จ
ในฐานะสายพันธุ์หนึ่ง
คือการที่เราไม่มีขนบนร่างกาย --
ที่ความโป๋เปลือยไม่มีขนบนร่างกายของเรา
เมื่อถูกรวมกับสิ่งประดิษฐ์เครื่องนุ่งห่มของเรา
ทำให้เรามีความสามารถในการควบคุม
อุณหภูมิร่างกายของเรา
และนั่นทำให้เราสามารถเอาชีวิตรอด
ในสภาพภูมิอากาศใด ๆ ก็ตามที่เราเลือก
และตอนนี้ เราพัฒนาการมาถึงจุด
ที่เราไม่อาจอยู่รอดได้โดยไม่มีเสื้อผ้า
และมันก็เป็นมากกว่าแค่เอกลักษณ์
ตอนนี้ มันเป็นการสื่อสาร
ทุกอย่างที่เราเลือกที่จะสวมใส่
เป็นการบอกเล่า
เรื่องราวเกี่ยวกับว่าเรามาจากไหน
เรากำลังทำอะไร
เราอยากจะเป็นอะไร
ผมเป็นเด็กผู้เดียวดาย
ผมหาเพื่อนเล่นด้วยได้ยากมาก
และลงเอยด้วยการเล่นเองเสียส่วนใหญ่
ผมทำของเล่นเองมากมาย
มันเริ่มต้นด้วยไอศกรีม
มี บาสกิน-ร๊อบบิน ในบ้านเกิดของผม
และพวกเขาเสริฟไอศกรีมจากเคาเตอร์
ในถ้วยกระดาษขนาดยักษ์ห้าแกลลอนเหล่านี้
และใครบางคนก็บอกผมว่า --
ตอนนั้นผมอายุหกขวบ --
บางคนบอกผมว่า
เมื่อไอศกรีมเกลี้ยงถ้วยแล้ว
พวกเขาล้างมันและเก็บไว้ที่ข้างหลัง
และถ้าคุณขอ พวกเขาก็จะให้คุณ
ผมใช้เวลาสองสามสัปดาห์รวบรวมความกล้า
และผมก็ขอพวกเขา และพวกเขาก็ให้จริง ๆ
พวกเขาให้ผมมาอันหนึ่ง -- ผมกลับบ้าน
ไปพร้อมกับถ้วยกระดาษแสนสวยนี้
ผมพยายามที่จะคิดว่า
ผมจะเอาวัสดุสุดเจ๋งนี้ไปทำอะไรดี --
วงแหวนโลหะ ฝาและก้น
ผมเริ่มนึกหมุนมันไปรอบ ๆ ในความคิดของผม
และคิดได้ว่า "เฮ้ย เดี๋ยวก่อน --
มันครอบหัวผมได้พอดีเลยนี่นา"
(เสียงหัวเราะ)
ครับ ผมตัดรูออก
ผมใส่ใยสังเคราะห์ลงไปในนั้น
และเป็นหมวกอวกาศ
(เสียงหัวเราะ)
ผมต้องหาสถานที่เอาไว้ใส่หมวกอวกาศ
ผมก็เลยหากล่องตู้เย็น
ที่อยู่ห่างจากบ้านผมไปสองสามช่วงตึก
ผมดันมันกลับมาที่บ้าน
และเอาไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า
ในห้องนอนสำรองของพ่อแม่ผม
มันกลายเป็นยานอวกาศ
ผมเริ่มสร้างแผงควบคุมบนกระดาษกล่อง
ผมตัดช่องไว้สำหรับจอเรดาร์
และใส่ไฟฉายเข้าไปข้างใต้
เพื่อให้แสงสว่าง
ผมติดแผงจอซึ่งอยู่เยื้องไปจากกำแพงหลัง --
และนี่เป็นตอนที่ผมคิดว่า
มันสุดจะฉลาด --
โดยปราศจากการขออนุญาต
ผมวาดกำแพงหลังตู้เสื้อผ้า
และปะกลุ่มดาวเอาไว้
ซึ่งผมทำให้มันสว่างด้วยไฟคริสมาส
ที่ผมพบในห้องใต้หลังคา
และผมก็ไปทำปฏิบัติการอวกาศ
สองสามปีต่อมา
หนังเรื่อง "จอวส์" ก็มา
ผมเด็กเกินไปที่จะไปดูหนังเรื่องนี้
แต่ผมก็เป็นติ่งหนังเรื่อง "จอวส์" ไปด้วย
เหมือนกับทุก ๆ คนในอเมริกาในตอนนั้น
มีร้านในเมืองของผมที่มี
ชุด "จอวส์" อยู่ที่หน้าต่าง
และแม่ของผมก็คงแอบได้ยินผมพูดกับสักคน
ว่าผมคิดว่าชุดนี้มันเจ๋งแค่ไหน
เพราะว่าสองสามวันต่อมาก่อนฮาโลวีน
เธอทำเอาผมดีใจสุด ๆ
เพราะเธอซื้อชุด "จอวส์" มาให้ผม
ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า
มันเหมือนการเปรียบเปรยสักหน่อย
สำหรับคนบางช่วงอายุที่จะบ่นว่า
เด็กเดี๋ยวนี้ไม่รู้หรอกว่ามันเจ๋งแค่ไหน
ที่พวกเขามีชุดต่าง ๆ
แต่ให้ผมแสดงตัวอย่างสุ่ม ๆ ให้คุณดูนะครับ
ว่าเครื่องแต่งตัวระดับเด็ก ๆ ที่คุณซื้อได้ออนไลน์
มีหน้าตาเป็นอย่างไร ...
... และนี่คือชุด "จอวส์" ที่แม่ผมซื้อให้
(เสียงหัวเราะ)
นี่เป็นหน้าฉลามที่บางเหมือนกระดาษ
และผ้าไวนิลเล็ก ๆ
ที่มีโปสเตอร์ "จอวส์" อยู่บนนั้น
(เสียงหัวเราะ)
และผมก็ชอบมันครับ
สองสามปีต่อมา
พ่อผมพาไปดูหนังเรื่อง "เอ็กซ์คาลิเบอร์"
ผมรบเร้าให้เขาพาผมไปดูถึงสองรอบ
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
เพราะว่ามันเป็นหนังโหด เรตอาร์
แต่ไม่ใช่เพราะเลือด ตับไตไส้พุง
หรือชื้นส่วนอะไรพวกนั้นหรอก
ที่ทำให้ผมอยากจะดูอีก
มันก็มีส่วนอะนะครับ --
(เสียงหัวเราะ)
แต่เป็นเพราะเสื้อเกราะ
เสื้อเกราะในเรื่อง "เอ็กซ์คาลิเบอร์"
สวยงามไร้ที่ติสำหรับผม
มันเป็นเกราะสำหรับอัศวินเกราะเงินอย่างแท้จริง
และยิ่งกว่านั้น อัศวินใน "เอ็กซ์คาลิเบอร์"
ก็ใส่เกราะนี้ไปไหนมาไหน
ตลอดเวลา -- พวกเขาใส่มันไปกินข้าวมื้อเย็น
พวกเขาใส่มันเข้านอนด้วย
(เสียงหัวเราะ)
ผมแบบว่า "พวกเขาอ่านใจผมได้หรือนี่
ผมอยากจะใส่เสื้อเกราะตลอดเวลาเลย"
(เสียงหัวเราะ)
ฉะนั้น ผมก็กลับไปหาวัสดุที่ผมชอบ
ประตูสู่การสร้างสรรค์
กระดาษลูกฟูก
และผมก็ทำเสื้อเกราะของผมเอง
พร้อมด้วยเกราะป้องกันคอและม้าขาว
ตอนนี้ผมขายมันไปแล้ว
นี่คือภาพของเสื้อเกราะที่ผมทำ
(เสียงหัวเราะ)
(เสียงปรบมือ)
ตอนนี้ นี่เป็นเพียงเสื้อเกราะแรกที่ผมได้ทำ
ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก "เอ็กซ์คาลิเบอร์"
สองสามปีต่อมา
ผมรบเร้าให้พ่อของผม
ทำเสื้อเกราะดี ๆ ให้ผมสักตัว
ประมาณเดือนหนึ่งผ่านไป
เขาทำให้จากที่ผมใช้กระดาษกล่อง
มาเป็นอะลูมิเนียมมุงหลังคาเงาวับ
และก็ยังมี
หนึ่งในวัสดุที่ผมชอบตลอดกาล
ซึ่งก็คือ หมุด POP
ตลอดเดือนนั้น
เราสร้างชุดเกราะอะลูมิเนียม
ที่ถูกประกอบอย่างระมัดระวัง
ด้วยโค้งเว้าต่าง ๆ
เราเจาะรูในหมวก
เพื่อที่ผมจะได้หายใจได้
และตกแต่งมันเสร็จทันเวลาฮาโลวีน
ให้ผมได้ใส่ไปโรงเรียน
ทีนี้ นี่คือสิ่งหนึ่งในการบรรยายนี้
ที่ผมไม่มีภาพให้คุณดู
เพราะว่าผมไม่มีภาพของเกราะที่ว่านี้
ผมใส่มันไปโรงเรียน
ช่างภาพหนังสือรุ่นเดินหาผมซะทั่วห้องโถง
แต่เขาไม่เจอผม ด้วยเหตุผลที่ผมกำลังจะบอกครับ
มันมีสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง
เกี่ยวกับการสวมเกราะที่ทำจากอะลูมิเนียม
แบบจัดเต็มไปโรงเรียน
ในคาบที่สามที่เราเรียนคณิตศาสตร์
ผมยืนอยู่ที่หลังห้อง
และผมยืนอยู่ที่หลังห้อง
เพราะว่าเกราะมันทำให้ผมนั่งไม่ได้
(เสียงหัวเราะ)
นี่เป็นสิ่งแรกที่ผมไม่ได้ตั้งตัว
และเมื่อครูของผมมาทางผมด้วยความเป็นห่วง
โดยที่ท่านอยู่ห่างไปครึ่งห้อง
ส่งเสียงมาว่า "โอเคหรือเปล่า"
ผมคิดว่า "ล้อกันเล่นหรือไง ผมโอเค
ผมใส่ชุดเกราะอยู่ ผมรู้สึกดีสุด ๆ -- "
และผมกำลังจะบอกครูอยู่เลยว่า
ผมรู้สึกดีแค่ไหน
เมื่อเพื่อน ๆ ในห้องเริ่มเดินกันไปทางซ้าย
และหายไปในทางเดิน
และผมก็ตื่นขึ้นมาในห้องพยาบาล
ผมสลบไปเพราะความร้อนอบ
จากการใส่ชุดเกราะ
และเมื่อผมตื่นขึ้น
ผมไม่อายเลยที่ผมเป็นลมในห้องเรียน
ผมสงสัยว่า "ใครเอาชุดเกราะของผมไป
ชุดเกราะของผมหายไปไหน"
ครับ ตัดข้ามไปอีกหลายปี
เพื่อนร่วมงานและผมถูกจ้างให้ทำรายการ
สำหรับช่องดิสคัฟเวอรี่
ที่มีชื่อว่า "นักพิสูจน์ท้าทดลอง"
(Mythbusters)
และตลอด 14 ปี
ผมเรียนรู้จากการทำงาน
ว่าจะวางแผนการทดลองได้อย่างไร
และจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับมัน
ทางโทรทัศน์ได้อย่างไร
ผมยังได้เรียนรู้แต่แรก ๆ อีกว่า
การแต่งกายมีบทบาทสำคัญ
ในการเล่าเรื่องราว
ผมใช้เครื่องแต่งกายเพื่อเพิ่มความขำขัน
ความสนุกสนาน สีสัน
และการบอกเล่าเรื่องราวอย่างชัดเจน
และเมื่อเราสร้างตอนที่มีชื่อว่า
"การขับรถขยะ"
ผมได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
เกี่ยวกับการตีความที่ลึกซึ้ง
ของเครื่องแต่งกายที่มีต่อผม
ในตอนที่ชื่อว่า "การขับรถขยะ"
คำถามที่เราต้องการหาคำตอบก็คือ
การกระโดดลงไปในรถถังขยะ
ปลอดภัยพอ ๆ กับ
ที่คุณเห็นในหนังหรือเปล่า
(เสียงหัวเราะ)
ตอนนั้นจะมีส่วนสำคัญสองส่วน
ส่วนแรกที่เราได้รับการฝึกโดยสตันท์
ให้กระโดดออกจากตึก
ไปยังถุงลม
และส่วนที่สองคือการทำการทดลอง
เราเติมถังขยะให้เต็มไปด้วยวัสดุต่าง ๆ
แลเราก็กระโดดลงไป
เราอยากที่จะให้สองสิ่งนี้ดูแตกต่างกัน
และผมคิดว่า
"อื่ม สำหรับส่วนแรก เรากำลังฝึกฝน
ฉะนั้นเราควรสวมเสื้อซ้อมกีฬา --
โอ้ ใส่เสื้อที่มีคำว่า 'ฝึกสตันท์'
อยู่ที่ข้างหลังดีกว่า
นั่นสำหรับตอนฝึก"
แต่สำหรับส่วนที่สอง
ผมอยากให้มันน่าดึงดูด --
"ผมรู้แล้ว มาแต่งตัวเป็น นีโอ
จากเรื่อง เดอะ เมทริกซ์ ดีกว่า"
(เสียงหัวเราะ)
ผมก็เลยไปที่ ไฮท์ สตรีท
และไปซื้อรองเท้าบูทสูงถึงเข่ามา
ผมเจอเสื้อคลุมตัวยาวที่อีเบย์
ผมได้แว่นตาดำ ซึ่งผมต้องใส่คอนแทคเลนส์
เพื่อที่จะใส่มันอีกที
วันที่จะถ่ายทำถูกกำหนด
และผมก็ออกมาจากรถในชุดของผม
และเพื่อน ๆ ก็มองมาที่ผม ...
ก็เริ่มที่จะกลั้นหัวเราะ
พวกเขาแบบว่า
"(เสียงหัวเราะ)"
และผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึก
ที่รุนแรงสองอย่างในวินาทีนั้น
ผมรู้สึกอายสิ้นดี
เพราะสำหรับเพื่อนร่วมงานของผม
มันชัดแจ้งแดงแจ๋
ว่าผมน่ะชอบใส่ชุดนี้จริง ๆ
(เสียงหัวเราะ)
แต่ผู้อำนวยการสร้างในจินตนาการของผม
บอกตัวผมเอง
ในแบบสโลวโมชันว่า
ผ้าคลุมยาวนั่นจะดูเจ๋งมาก
เมื่อมันพาดไปข้างหลังผม
(เสียงหัวเราะ)
ห้าปีที่ผมทำรายการ "นักพิสูจน์ท้าทดลอง"
ผมได้รับเชิญไปงาน คอมมิกส์-คอน
ที่ซานดิเอโก
ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับคอมมิกส์-คอน
มาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยมีเวลาได้ไปเลย
มันเป็นเวทีใหญ่ --
มันเป็นอารามของการแต่งตัว
ผู้คนบินมาจากทั่วโลก
เพื่ออวดความสร้างสรรค์อันน่าทึ่ง
ของพวกเขาบนเวทีที่ซานดิเอโก
และผมก็อยากที่จะเข้าร่วม
ผมตัดสินใจว่า ผมจะเอาชุดที่ผมประดิษฐ์
ที่ปกคลุมผมทั้งตัว
และเดินเข้าไปในงานคอมมิกส์-คอน
ในฐานะบุคคลนิรนาม
ชุดที่ผมเลือกน่ะหรือครับ
เฮลบอยครับ
นั่นไม่ใช่ผมครับ
นั่นเฮลบอยจริง ๆ
(เสียงหัวเราะ)
แต่ผมใช้เวลาเป็นเดือน
ประกอบชุดเฮลบอยที่เหมือนกับในหนังที่สุด
เท่าที่ผมจะทำได้
ตั้งแต่รองเท้าบูท
ไปจนถึงเข็มขัดและกางเกง
จนถึงมือยักษ์ด้านขวา
ผมไปพบชายคนที่ทำหัว
และส่วนอกเทียมของเฮลบอย
และใส่มัน
ผมมีคอนเทคเลนส์
ที่ทำตามขนาดสายตาของผม
ผมใส่มันไปงานคอมมิกส์-คอน
และผมไม่อาจหาคำมาบรรยายได้เลย
ว่าใส่ชุดนั้นแล้วมันโคตรร้อนขนาดไหน
(เสียงหัวเราะ)
เหงื่อแตกครับ ผมจำได้ไม่มีวันลืม
ผมเหงื่อท่วมและคอนแทคเลนส์ก็ทิ่มตาผม
แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญหรอก
เพราะว่าผมกำลังหลงรักมันครับ
(เสียงหัวเราะ)
ไม่ใช่เพียงแค่กระบวนการ
ของการใส่ชุดและเดินไปเดินมา
แต่ยังเป็นเรื่องของกลุ่มสังคม
ของผู้ที่ชอบแต่งตัวคนอื่น ๆ ด้วย
มันไม่ได้ถูกเรียกว่า
การแต่งตัวที่งานสัมมนา
มันเรียกว่า "คอสเพลย์"
ครับ อย่างที่เห็น
คอสเพลย์หมายถึงคนที่แต่งตัว
เป็นตัวละครดังที่พวกเขาชอบ
จากหนังหรือทีวี
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการ์ตูนญี่ปุ่น
แต่มันเป็นอะไรมากกว่านั้น
นี่มันไม่ใช่แค่คนที่หาชุดและใส่มัน --
พวกเขาผสมผสานมัน
พวกเขาดัดแปลงให้มันเป็นอย่างที่ต้องการ
พวกเขาเปลี่ยนแปลงมันเพื่อที่จะเป็น
ตัวละครอย่างที่พวกเขาอยากจะเป็น
พวกเขาฉลาดมากและมีไหวพริบกันมาก
พวกเขาแสดงออกมาอย่างไม่แคร์สายตาใคร
และนั่นมันก็สวยงามครับ
(เสียงหัวเราะ)
แต่ยิ่งไปกว่านั้น
พวกเขาซักซ้อมกับชุดของพวกเขา
ที่งานคอมมิกส์-คอน
และงานอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน
พวกเขาไม่เพียงแต่ถ่ายภาพ
กับคนที่เดินไปเดินมา
คุณเดินเข้าไปและบอกว่า
"เฮ่ ชอบชุดคุณจังเลย
ขอถ่ายรูปหน่อยสิ"
และจากนั้น คุณก็จะให้เวลาพวกเขา
ตั้งท่าถ่ายรูป
พวกเขาพยายามมากในการตั้งท่า
เพื่อให้ชุดของเขาดูยอดเยี่ยมในภาพถ่าย
และมันก็น่ามองจริง ๆ ครับ
และผมก็
ที่งานสัมนาต่อมา
ผมเรียนรู้วิธีเดินลากขาแบบที่
ฮีท เลดเจอร์ ทำในเรื่อง "อัศวินรัติกาล"
ผมเรียนรู้ว่าจะเป็น ริงวริท ที่น่ากลัว
ใน "ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง" ได้อย่างไร
และผมทำให้เด็กบางคนกลัวซะด้วย
ผมเรียนรู้วิธีทำเสียง "เฮอร์ เฮอร์ เฮอร์" --
เสียงหัวเราะที่ชูบาก้าทำ
และจากนั้น ผมก็แต่งตัวเป็น
โน-เฟส จากเรื่อง "สปิริต อเวย์"
ถ้าคุณไม่รู้จัก "สปิริต อเวย์"
และผู้กำกับ ฮาโยว มิยาซากิ
ประการแรกเลยนะครับ ไม่เป็นไร
(เสียงหัวเราะ)
นี่เป็นผลงานชิ้นเอก
และหนังที่ผมชอบที่สุดเรื่องหนึ่งเลย
มันเกี่ยวกับเด็กหญิงที่ชื่อว่าชิฮิโร
ที่หลงเข้าไปในโลกวิญญาณ
ในสวนสนุกญี่ปุ่นที่ถูกทิ้งร้าง
และเธอก็พบกับทางออก
ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนที่เธอพบ --
ซึ่งก็คือ มังกรที่ถูกขังเขาไว้
ชื่อว่า ฮากุ
และปิศาจเดียวดาย ชื่อว่า โน-เฟส
โน-เฟส เดียวดายและอยากจะมีเพื่อน
และเขาคิดว่า วิธีการคบเพื่อน
คือต้องล่อเพื่อนเข้ามาหาเขา
และผลิตทองในมือ
แต่ผลก็ไม่ได้ออกมาสวยเท่าไร
และกลายเป็นว่าเขาเกือบจะโดนกระทืบ
แต่ชิฮิโรมาช่วยเอาไว้
พาเขาไปที่ปลอดภัย
ผมประดิษฐ์ชุด โน-เฟส ขึ้นมา
และใส่ไปที่งานคอมมิกส์-คอน
และผมก็ฝึกฝนท่าทางของโน-เฟส
อย่างระมัดระวัง
ผมจะไม่พูดอะไรเลยเมื่อใส่ชุดนั้น
เมื่อคนขอถ่ายรูปผม
ผมแค่พยักหน้า
และจะยืนอยู่ข้างพวกเขาอย่างเขิน ๆ
และพวกเขาก็ถ่ายภาพ
และจากนั้นผมก็จะเอาช๊อกโกแลตเหรียญทอง
ที่ซ่อนเอาไว้ข้างหลัง
ออกมาให้พวกเขา
และตอนถ่ายรูปเสร็จ
ผมจะโผล่ออกมา
ฮา ฮา ฮา -- แบบนั้น
และคนก็จะตกใจ
"เฮ้ย นั่นมันทองจาก โน-เฟส
เจ๋งจังเลย"
และผมสัมผัสได้และเดินไปในงาน
มันเจ๋งมากครับ
และประมาณ 15 นาที ต่อมา
ใครบางคนก็คว้ามือผม
และเอาเหรียญมาคืน
ผมคิดว่า บางทีพวกเขาอาจเหรียญ
มาให้ผมเป็นรางวัลตอบแทน
แต่ไม่ใช่ครับ
มันเป็นเหรียญอันหนึ่งที่ผมให้ไป
ผมไม่รู้ว่าทำไม
และเดินไปเรื่อย ๆ ถ่ายภาพต่อไป
และมันก็เกิดขึ้นอีก
เข้าใจนะครับว่า ผมมองอะไรไม่เห็น
เมื่ออยู่ในชุดนี้
ผมเห็นผ่านช่องปาก --
ผมเห็นรองเท้าของคนอื่น
ผมได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร
และเห็นเท้าของพวกเขา
แต่เมื่อผมได้เหรียญกลับมาเป็นครั้งที่สาม
ผมอยากรู้เหลือเกินว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ผมก็เลยเอียงหัวนิดหน่อย
เพื่อที่จะได้มองชัดขึ้น
และที่ผมเห็นก็คือ
ใครบางคนที่เดินจากผมไปแบบนี้
และจากนั้นผมก็เข้าใจ
มันเป็นโชคร้าย ที่จะได้เหรียญทอง
จากโน-เฟส
ในหนังเรื่อง "สปิริต อเวย์"
คนที่ได้มันไปพบกับโชคร้าย
นี่ไม่ใช่สัมพันธภาพแบบนักแสดง-ผู้ชม
มันคือคอสเพลย์ครับ
เราทุกคน ทุก ๆ คนในที่นั้น
พาตัวเองเข้าไปในบริบท
ที่มีความหมายต่อเรา
และเราก็สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเราเอง
เราต่างผูกพันกับสิ่งสำคัญที่อยู่ในตัวเรา
และเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว
คือการที่เราเปิดเผยตัวตนของเรา
ต่อกันและกัน
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)