1 00:00:00,806 --> 00:00:02,881 ลองนึกว่าคุณประดิษฐ์อุปกรณ์สักอย่าง 2 00:00:02,905 --> 00:00:04,577 ที่สามารถบันทึกความทรงจำของผม 3 00:00:04,601 --> 00:00:06,638 ความฝันของผม ความคิดของผม 4 00:00:06,662 --> 00:00:08,325 และส่งมันไปยังสมองของคุณ 5 00:00:08,755 --> 00:00:11,830 นั่นมันคงจะเป็นเทคโนโลยีที่แปลกใหม่มาก ใช่ไหมครับ 6 00:00:11,854 --> 00:00:14,892 แต่อันที่จริง เรามีอุปกรณ์นี้อยู่แล้ว 7 00:00:14,916 --> 00:00:17,560 และมันถูกเรียกว่า ระบบการสื่อสารของมนุษย์ 8 00:00:17,584 --> 00:00:19,432 และการเล่าเรื่องอย่างมีประสิทธิภาพ 9 00:00:19,874 --> 00:00:22,334 เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่า อุปกรณ์นี้ทำงานได้อย่างไร 10 00:00:22,358 --> 00:00:24,773 เราต้องมองเข้าไปในสมองของเรา 11 00:00:24,797 --> 00:00:28,383 และเราต้องตั้งคำถาม ในแบบที่ต่างไปจากปกติ 12 00:00:28,407 --> 00:00:29,870 ทีนี้ เราต้องถามว่า 13 00:00:30,309 --> 00:00:32,925 รูปแบบเซลล์ประสาทในสมองของผมเหล่านี้ 14 00:00:32,949 --> 00:00:36,151 ที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ และความคิดของผม 15 00:00:36,175 --> 00:00:38,694 ถูกส่งต่อไปยังสมองของคุณได้อย่างไร 16 00:00:39,702 --> 00:00:43,070 และเราคิดว่า มันมีสองปัจจัย ที่ทำให้เราสามารถสื่อสารกันได้ 17 00:00:43,094 --> 00:00:47,149 ประการแรก สมองของคุณตอนนี้ กำลังจับคู่ในทางกายภาพกับคลื่นเสียง 18 00:00:47,173 --> 00:00:49,648 ที่ผมกำลังส่งออกไปยังสมองของคุณ 19 00:00:49,672 --> 00:00:53,050 และประการที่สอง เราพัฒนา วิธีการทางประสาทพื้นฐาน 20 00:00:53,074 --> 00:00:54,832 ที่สามารถทำให้เราสื่อสารกันได้ 21 00:00:55,459 --> 00:00:56,721 แล้วเรารู้ได้อย่างไรล่ะ 22 00:00:57,292 --> 00:00:59,185 ในห้องทดลองของผมในพรินส์ตัน 23 00:00:59,209 --> 00:01:02,714 ผมนำคนเข้าเครื่อง fMRI และเราถ่ายภาพสมอง 24 00:01:02,738 --> 00:01:06,638 ในขณะที่พวกเขากำลังเล่าเรื่อง หรือฟังเรื่องราวในชีวิตจริงอยู่ 25 00:01:06,662 --> 00:01:09,286 และเพื่อให้คุณเข้าใจถึงสิ่งกระตุ้นที่เราใช้ 26 00:01:09,310 --> 00:01:13,294 ให้ผมฉายเรื่องราวที่เราใช้ เป็นเวลา 20 วินาที 27 00:01:13,318 --> 00:01:15,642 ซึ่งเรื่องนี้ถูกเล่า โดยนักเล่าเรื่องที่มีพรสวรรค์มาก 28 00:01:15,666 --> 00:01:16,817 จิม โอ กราดี 29 00:01:18,244 --> 00:01:21,577 (เสียง) จิม โอ กราดี: ผมนำเรื่องของผมมา และผมก็รู้ว่ามันดูดี 30 00:01:21,601 --> 00:01:23,891 และจากนั้นผมก็ทำให้มันดีขึ้น -- 31 00:01:23,915 --> 00:01:26,399 (เสียงหัวเราะ) 32 00:01:26,423 --> 00:01:28,758 โดยการเพิ่มเติมเสริมแต่ง 33 00:01:29,502 --> 00:01:32,810 นักข่าวเรียกสิ่งนี้ว่า "การใส่สีตีไข่" 34 00:01:32,834 --> 00:01:35,105 (เสียงหัวเราะ) 35 00:01:35,735 --> 00:01:38,851 และพวกเขาแนะนำว่าอย่าข้ามเส้น 36 00:01:40,208 --> 00:01:44,812 แต่ผมก็ได้เห็นมาข้ามเส้น ระหว่างผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสูง 37 00:01:44,836 --> 00:01:46,262 และก่อกวนหยอก ๆ 38 00:01:46,286 --> 00:01:47,778 และผมก็ค่อนข้างชอบมันน่ะครับ" 39 00:01:47,802 --> 00:01:50,176 ยูริ แฮสสัน: ครับ ตอนนี้ลองมาดูสมองของคุณ 40 00:01:50,200 --> 00:01:53,428 และมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณฟังเรื่องพวกนี้ 41 00:01:53,452 --> 00:01:57,496 และลองมาเริ่มกับอะไรง่าย ๆ ก่อน -- ลองมาเริ่มจากผู้ฟังคนหนึ่งและสมองบริเวณหนึ่ง 42 00:01:57,520 --> 00:02:01,009 คอร์เท็กซ์ส่วนการฟังที่เกี่ยวข้องกับ เสียงที่รับมาทางหู 43 00:02:01,033 --> 00:02:03,477 และอย่างที่คุณเห็นในบางส่วนของสมอง 44 00:02:03,501 --> 00:02:06,993 การตอบสนองเพิ่มขึ้นและลดลง เมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผยมากขึ้น 45 00:02:07,017 --> 00:02:08,610 ทีนี้ คุณสามารถนำการตอบสนองนี้ 46 00:02:08,634 --> 00:02:11,435 ไปเปรียบเทียบกับการตอบสนอง ที่ได้จากผู้ฟังคนอื่น ๆ 47 00:02:11,459 --> 00:02:12,934 ในสมองบริเวณเดียวกัน 48 00:02:12,958 --> 00:02:14,125 และเราสามารถถามได้ว่า 49 00:02:14,149 --> 00:02:17,384 การตอบสนองของผู้ฟังทั้งหมด มีความคล้ายคลึงกันมากแค่ไหน 50 00:02:18,018 --> 00:02:20,380 ตรงนี้คุณได้เห็นผู้ฟังห้าคน 51 00:02:20,983 --> 00:02:24,436 และเราเริ่มสแกนด์สมองของพวกเขา ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่อง 52 00:02:24,460 --> 00:02:27,999 เมื่อพวกเขานอนนิ่ง ๆ อยู่ในความมืด และรอให้เริ่มต้นขึ้น 53 00:02:28,023 --> 00:02:29,177 อย่างที่คุณเห็น 54 00:02:29,201 --> 00:02:31,959 บริเวณสมองกำลังตอบสนองมากขึ้น และน้อยลงในแต่ละส่วน 55 00:02:31,983 --> 00:02:33,758 แต่การตอบสนองเหล่านี้ มีความแตกต่างกันมาก 56 00:02:33,782 --> 00:02:35,449 และไม่ได้เกิดขึ้นไปพร้อมกัน 57 00:02:35,473 --> 00:02:38,179 อย่างไรก็ดี ในทันทีที่เริ่มเรื่อง 58 00:02:38,203 --> 00:02:39,889 อะไรบางอย่างที่น่าอัศจรรย์ ก็เกิดขึ้น 59 00:02:40,857 --> 00:02:43,786 (เสียง) จิม: ผมก็เลยเล่าเรื่องออกมา และผมก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดี 60 00:02:43,810 --> 00:02:45,338 และจากนั้น ผมเริ่มที่จะทำให้มัน -- 61 00:02:45,362 --> 00:02:48,659 ยูริ: ทันใดนั้นเอง คุณสามารถเห็นได้ว่า การตอบสนองในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 62 00:02:48,683 --> 00:02:49,835 จดจ่ออยู่กับเรื่องราว 63 00:02:49,859 --> 00:02:53,288 และตอนนี้พวกมันก็เพิ่มขึ้นและลดลง ในแบบที่คล้ายกัน 64 00:02:53,312 --> 00:02:54,866 ในผู้ฟังทั้งหมด 65 00:02:54,890 --> 00:02:57,939 และอันที่จริง มันเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในสมองของคุณตอนนี้ 66 00:02:57,963 --> 00:03:00,836 เมื่อคุณกำลังฟังเสียงพูดของผม 67 00:03:00,860 --> 00:03:03,868 เราเรียกผลนี้ว่า "การเข้าผสมทางธรรมชาติ" 68 00:03:04,374 --> 00:03:06,686 และเพื่อที่จะอธิบายกับคุณ ว่าการเข้าผสมธรรมชาตินี้คืออะไร 69 00:03:06,710 --> 00:03:09,320 ให้ผมได้อธิบายก่อนว่า การเข้าผสมทางกายภาพคืออะไร 70 00:03:10,076 --> 00:03:12,826 เราจะเห็นเครื่องทำจังหวะห้าเครื่อง 71 00:03:12,850 --> 00:03:15,846 คิดซะว่าเจ้าห้าเครื่องนี้ เป็นสมองห้าก้อน 72 00:03:15,870 --> 00:03:18,620 และคล้ายกับผู้ฟังก่อนเริ่มเรื่อง 73 00:03:18,644 --> 00:03:20,457 เครื่องทำจังหวะเหล่านี้กำลังที่จะเคาะ 74 00:03:20,481 --> 00:03:22,640 แต่พวกมันจะไม่เคาะพร้อมกัน 75 00:03:23,059 --> 00:03:27,455 (เสียงเคาะ) 76 00:03:27,479 --> 00:03:30,480 เอาล่ะครับ ตอนนี้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อผมเชื่อมต่อพวกมัน 77 00:03:30,504 --> 00:03:32,645 โดยนำพวกมันวางไว้บนทรงกระบอก 78 00:03:33,880 --> 00:03:37,101 (เสียงเคาะ) 79 00:03:37,125 --> 00:03:39,737 ตอนนี้ ทรงกระบอกสองอันนี้ เริ่มที่จะกลิ้ง 80 00:03:39,761 --> 00:03:42,890 การสั่นของการกลิ้งนี้ เคลื่อนไปตามแผ่นไม้ 81 00:03:42,914 --> 00:03:45,919 และมันจะจับคู่ เครื่องเข้าจังหวะทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน 82 00:03:45,943 --> 00:03:47,555 และตอนนี้ลองฟังเสียงเคาะสิครับ 83 00:03:47,579 --> 00:03:52,246 (เสียงเคาะพร้อมกัน) 84 00:03:57,834 --> 00:04:00,458 นี่คือสิ่งที่คุณเรียกว่า การเข้าผสมทางกายภาพ 85 00:04:00,482 --> 00:04:02,725 ทีนี้ กลับไปยังสมอง และลองถามคำถามที่ว่า 86 00:04:02,749 --> 00:04:04,893 อะไรกันที่ขับเคลื่อน การเข้าผสมธรรมชาติ 87 00:04:04,917 --> 00:04:07,702 มันเป็นแค่เสียง ที่ผู้พูดผลิตออกมาหรือเปล่า 88 00:04:07,726 --> 00:04:09,049 หรือบางทีอาจเป็นคำ 89 00:04:09,073 --> 00:04:12,719 หรือบางทีมันเป็นความหมาย ที่ผู้พูดพยายามที่จะสื่อสาร 90 00:04:12,743 --> 00:04:15,503 เพื่อที่จะทดสอบ เราทำการทดลองดังต่อไปนี้ 91 00:04:15,527 --> 00:04:18,728 ประการแรก เรานำเรื่องราวมา และเล่ามันย้อนกลับ 92 00:04:18,752 --> 00:04:21,878 และนั่นเป็นการคงโครงสร้างเสียงดั้งเดิม เอาไว้หลายส่วน 93 00:04:21,902 --> 00:04:23,915 แต่เป็นการเอาความหมายออกไป 94 00:04:23,939 --> 00:04:25,610 และมันฟังดูเป็นแบบนี้ครับ 95 00:04:25,634 --> 00:04:30,772 (เสียง) จิม: (ข้อความที่ไม่ฟังไม่รู้เรื่อง) 96 00:04:31,296 --> 00:04:33,648 และเราให้สีกับสมองทั้งสอง 97 00:04:33,672 --> 00:04:37,584 เพื่อบ่งบอกบริเวณของสมอง ที่ตอบสนองอย่างคล้ายกัน 98 00:04:37,608 --> 00:04:38,762 และดังที่คุณได้เห็น 99 00:04:38,786 --> 00:04:42,554 เสียงที่เข้ามานี้เหนี่ยวนำการเข้าผสม หรือการเทียบเคียงกันของสมองทั้งหมด 100 00:04:42,578 --> 00:04:45,310 ในสมองส่วนการฟัง ที่จัดการกับเสียงที่เข้ามา 101 00:04:45,334 --> 00:04:47,558 แต่มันไม่ได้แผ่ขยายลึกเข้าไปในสมอง 102 00:04:48,051 --> 00:04:51,455 ทีนี้ เราสามารถนำเอาเสียงเหล่านี้ และสร้างคำขึ้นมา 103 00:04:51,479 --> 00:04:54,135 ถ้าเราเอาจิม โอกราดี มา และสลับคำพวกนั้น 104 00:04:54,159 --> 00:04:55,399 เราจะได้รายการคำ 105 00:04:55,423 --> 00:04:57,685 (เสียง) จิม: ... สัตว์... ข้อเท็จจริงที่หลากหลาย ... 106 00:04:57,709 --> 00:05:00,601 และตรงนั้น ... ไพน์แมน ... อย่างมีศักยภาพ ... เรื่องราวของผม 107 00:05:00,625 --> 00:05:03,567 ยูริ: และคุณเห็นได้ว่าคำเหล่านี้ เริ่มที่จะเหนี่ยวนำการเทียบเคียง 108 00:05:03,591 --> 00:05:06,196 ในส่วนภาษาส่วนแรก แต่ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น 109 00:05:06,220 --> 00:05:10,037 ทีนี้ เราสามารถเอาคำเหล่านี้มา และเริ่มสร้างประโยคจากพวกมัน 110 00:05:11,561 --> 00:05:14,561 (เสียง) จิม: และพวกเขาก็แนะนำว่า อย่างข้ามเส้น 111 00:05:16,021 --> 00:05:19,663 เขาบอกว่า "จิมที่รัก นั่นเป็นเรื่องที่ดี รายละเอียดก็งาม 112 00:05:20,369 --> 00:05:22,521 เธอไม่ได้รู้เรื่องเขาผ่านผมหรอกหรือ" 113 00:05:22,545 --> 00:05:25,680 ยูริ: ตอนนี้คุณสามารถเห็นได้ ถึงการตอบสนองในส่วนภาษาทั้งหมด 114 00:05:25,704 --> 00:05:27,395 ที่จัดการกับภาษาที่เข้ามา 115 00:05:27,419 --> 00:05:29,798 ว่าพวกมันถูกเทียบเคียงและ มีความใกล้เคียงกันในผู้ฟังทั้งหมด 116 00:05:30,218 --> 00:05:34,895 อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเราใช้เรื่องราวที่ สมบูรณ์ เข้าถึง และสอดคล้องกันเท่านั้น 117 00:05:34,919 --> 00:05:37,144 ที่การตอบสนองจะแพร่กระจาย ลึกลงไปในสมอง 118 00:05:37,168 --> 00:05:38,699 เข้าไปยังบริเวณ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น 119 00:05:38,723 --> 00:05:41,824 ซึ่งรวมถึงคอร์เทกซ์ส่วนหน้า และคอร์เทกซ์ส่วนนอก 120 00:05:41,848 --> 00:05:44,436 และทำให้พวกมันตอบสนอง อย่างคล้ายคลึงกัน 121 00:05:44,460 --> 00:05:47,729 และเราเชื่อว่าการตอบสนองเหล่านี้ ในบริเวณที่ซับซ้อนกว่าก็เกิดขึ้น 122 00:05:47,753 --> 00:05:49,879 และมีความคล้ายคลึงกันในบรรดาผู้ฟัง 123 00:05:49,903 --> 00:05:52,643 เพราะว่าความหมายถูกสื่อโดยผู้พูด 124 00:05:52,667 --> 00:05:54,268 ไม่ใช่โดยคำพูดหรือเสียง 125 00:05:54,635 --> 00:05:57,350 และถ้าเรามาถูกทาง การคาดคะแนที่น่าจะเป็นไปได้สูงก็คือ 126 00:05:57,374 --> 00:05:59,736 ถ้าผมบอกคุณถึงแนวคิดเดียวกัน 127 00:05:59,760 --> 00:06:02,404 โดยใช้คำสองชุดที่ต่างกันมาก ๆ 128 00:06:02,428 --> 00:06:04,979 การตอบสมองของสมองของคุณ จะยังคล้ายกัน 129 00:06:05,499 --> 00:06:08,513 และเพื่อทำการทดสอบ เราทำการทดลองดังต่อไปนี้ 130 00:06:09,142 --> 00:06:10,950 เรานำเรื่องราวภาษาอังกฤษ 131 00:06:10,974 --> 00:06:13,110 และแปลมันเป็นภาษารัสเซีย 132 00:06:13,134 --> 00:06:17,358 ตอนนี้ คุณมีสองเสียงและระบบภาษา ที่แตกต่างกัน 133 00:06:17,382 --> 00:06:19,676 ที่สื่อถึงความหมายอย่างเดียวกัน 134 00:06:19,700 --> 00:06:23,348 และคุณเล่าเรื่องภาษาอังกฤษ ให้กับผู้ฟังอังกฤษ 135 00:06:23,372 --> 00:06:25,724 และเล่าเรื่องภาษารัสเซีย ให้กับผู้ฟังรัสเซีย 136 00:06:25,748 --> 00:06:28,793 และเราสามารถเปรียบเทียบ การตอบสนองของพวกเขาในกลุ่มได้ 137 00:06:28,817 --> 00:06:32,388 และเมื่อเราทำอย่างนั้น เราไม่เห็นการตอบสนองที่คล้ายกัน 138 00:06:32,412 --> 00:06:34,693 ในสมองส่วนการฟังในภาษา 139 00:06:34,717 --> 00:06:37,095 เพราะว่าภาษาและเสียง มีความแตกต่างกันอย่างมาก 140 00:06:37,119 --> 00:06:39,887 อย่างไรก็ดี คุณเห็นได้ว่า การตอบสนองในบริเวณที่ซับซ้อนกว่า 141 00:06:39,921 --> 00:06:42,415 ยังคงคล้ายกันในคนทั้งสองกลุ่ม 142 00:06:43,068 --> 00:06:47,160 เราเชื่อว่า นี่เป็นเพราะพวกเขา เข้าใจเรื่องราวในแบบที่คล้ายกันมาก 143 00:06:47,184 --> 00:06:51,210 ดังที่เรายืนยันได้ โดยการทดสอบ หลังจากจบเรื่อง 144 00:06:52,321 --> 00:06:56,008 และเราคิดว่า การเทียบเคียงนี้ มีความสำคัญสำหรับการสื่อสาร 145 00:06:56,032 --> 00:06:58,658 ยกตัวอย่างเช่น อย่างที่คุณก็รู้ว่า 146 00:06:58,682 --> 00:07:00,709 ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ของผม 147 00:07:00,733 --> 00:07:02,614 ผมโตขึ้นมาโดยมีภาษาอื่นเป็นภาษาแม่ 148 00:07:02,638 --> 00:07:05,292 และเช่นเดียวกันกับพวกคุณหลายคน ในกลุ่มผู้ฟังนี้ 149 00:07:05,316 --> 00:07:07,315 ถึงกระนั้น เรายังสามารถสื่อสารกันได้ 150 00:07:07,339 --> 00:07:08,490 มันเป็นไปได้อย่างไรกัน 151 00:07:08,514 --> 00:07:11,593 เราคิดว่าเราสามารถสื่อสารกันได้ เพราะเรามีรหัสพื้นฐานนี้ 152 00:07:11,617 --> 00:07:13,044 ที่แสดงความหมาย 153 00:07:13,921 --> 00:07:17,367 ถึงตอนนี้ เราเพียงพูดถึง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในสมองของผู้ฟัง 154 00:07:17,391 --> 00:07:19,638 ในสมองของคุณ เมื่อคุณกำลังฟังการบรรยายนี้ 155 00:07:19,662 --> 00:07:22,361 แต่มันเกิดอะไรขึ้น ในสมองของผู้พูด ในสมองของผม 156 00:07:22,385 --> 00:07:24,192 เมื่อผมกำลังพูดกับคุณ 157 00:07:24,216 --> 00:07:26,073 เพื่อที่จะดูในสมองของผู้พูด 158 00:07:26,097 --> 00:07:29,193 เราขอให้ผู้พูดเข้าไป ยังเครื่องถ่ายภาพสมอง 159 00:07:29,217 --> 00:07:30,819 เราถ่ายภาพสมองของเขา 160 00:07:30,843 --> 00:07:34,850 และจากนั้นเปรียบเทียบการตอบสนอง ของสมองของเขากับของผู้ฟัง 161 00:07:34,874 --> 00:07:36,676 ที่กำลังฟังเรื่องราวนั้น 162 00:07:36,700 --> 00:07:40,910 คุณต้องจำว่าการบรรยาย และการเข้าใจการบรรยายนั้น 163 00:07:40,934 --> 00:07:42,657 เป็นกระบวนการที่แตกต่างกันมาก 164 00:07:42,681 --> 00:07:44,925 ถึงตรงนี้ เราถามว่า แล้วมันคล้ายกันแค่ไหนล่ะ 165 00:07:46,164 --> 00:07:47,571 เราแปลกใจมาก 166 00:07:47,595 --> 00:07:52,466 ที่เราเห็นว่ารูปแบบที่ซับซ้อนเหล่านี้ ในผู้ฟัง 167 00:07:52,490 --> 00:07:55,197 อันที่จริงแล้วมาจากสมองของผู้พูด 168 00:07:55,221 --> 00:07:58,906 ฉะนั้นการผลิตและการเข้าใจ ขึ้นอยู่กับกระบวนการที่คล้ายกันมาก 169 00:07:58,930 --> 00:08:00,502 และเรายังพบอีกว่า 170 00:08:00,526 --> 00:08:04,232 ยิ่งมีความคล้ายกันมากเท่าไร ระหว่างสมองของผู้ฟัง 171 00:08:04,256 --> 00:08:05,755 และสมองของผู้พูด 172 00:08:05,779 --> 00:08:07,684 การสื่อสารก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น 173 00:08:07,708 --> 00:08:11,673 ฉะนั้น ผมรู้ว่า ถ้าคุณสับสนมาก ๆ ในตอนนี้ 174 00:08:11,697 --> 00:08:13,718 แต่ผมหวังว่าคุณจะไม่สับสนนะครับ 175 00:08:13,742 --> 00:08:16,135 การตอบสนองของสมองของคุณ จะแตกต่างจากของผมมาก 176 00:08:16,159 --> 00:08:19,266 แต่ผมยังรู้อีกว่า ถ้าคุณเข้าใจผมจริง ๆ ในตอนนี้ 177 00:08:19,290 --> 00:08:22,181 สมองของคุณ ... และของคุณ ... และของคุณ 178 00:08:22,205 --> 00:08:23,933 จะคล้ายกับของผมมาก 179 00:08:25,793 --> 00:08:28,888 ทีนี้ ลองนำข้อมูลทั้งหมดนี้ มาประกอบเข้าด้วยกัน และถามว่า 180 00:08:28,912 --> 00:08:32,249 เราจะใช้มันในการส่งต่อ ความทรงจำที่เรามี 181 00:08:32,273 --> 00:08:34,459 จากสมองของผม ไปยังสมองของคุณได้อย่างไร 182 00:08:35,037 --> 00:08:37,155 เราทำการทดลองดังต่อไปนี้ครับ 183 00:08:37,648 --> 00:08:40,221 เราให้คนชมสิ่งนี้เป็นครั้งแรก ระหว่างที่เราถ่ายภาพสมอง 184 00:08:40,245 --> 00:08:44,379 มันคือเรื่อง "เชอร์ล๊อค" ตอนหนึ่ง จากรายการของ BBC 185 00:08:44,403 --> 00:08:47,204 และจากนั้นเราก็ขอให้พวกเขา กลับไปยังเครื่องถ่ายภาพสมอง 186 00:08:47,228 --> 00:08:51,127 และเล่าเรื่องนั้นให้กับอีกคนหนึ่ง ที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนั้นมาก่อน 187 00:08:51,151 --> 00:08:52,811 เอาให้ชัด ๆ ก็คือ 188 00:08:52,835 --> 00:08:54,882 ลองนึกถึงฉากนี้ 189 00:08:54,906 --> 00:08:57,490 เมื่อเชอร์ล๊อคกำลังเข้าไปในรถแท็กซี่ ในลอนดอน 190 00:08:57,514 --> 00:08:59,810 ที่ผู้ขับคือฆาตรกรที่เขากำลังตามหา 191 00:09:00,398 --> 00:09:02,894 สำหรับผมในฐานะผู้ชม 192 00:09:02,918 --> 00:09:06,418 นี่เป็นรูปแบบสมองจำเพาะ ในสมองของผมตอนที่ชมเรื่องนี้ 193 00:09:07,179 --> 00:09:10,951 ทีนี้ รูปแบบเดียวกันนี้ ผมสามารถ เรียกมันขึ้นมาในสมองอีกครั้ง 194 00:09:10,975 --> 00:09:14,631 โดยการเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง ถึง เชอร์ล๊อค ลอนดอน ฆาตรกร 195 00:09:15,369 --> 00:09:18,479 และเมื่อผมส่งต่อคำเหล่านี้ ไปยังสมองของคุณในตอนนี้ 196 00:09:18,503 --> 00:09:20,988 คุณจะต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่ ในความคิดของคุณ 197 00:09:21,012 --> 00:09:25,561 อันที่จริง เราเห็นรูปแบบนี้ กำลังเกิดขึ้นในสมองของคุณตอนนี้ 198 00:09:25,585 --> 00:09:28,100 และเราก็แปลกใจมากที่ได้เห็นว่า 199 00:09:28,124 --> 00:09:30,379 รูปแบบดังกล่าวที่คุณมีอยู่ ในสมองของคุณตอนนี้ 200 00:09:30,403 --> 00:09:32,315 เมื่อผมอธิบายถึงฉากเหล่านี้ ให้คุณฟัง 201 00:09:32,339 --> 00:09:36,161 จะมีความคล้ายมากกับรูปแบบ ที่ผมมีเมื่อผมชมหนังเรื่องนี้ 202 00:09:36,185 --> 00:09:38,323 เมื่อหลายเดือนก่อน ในเครื่องถ่ายภาพสมอง 203 00:09:38,347 --> 00:09:40,451 มันเริ่มที่จะบอกคุณเกี่ยวกับกลไก 204 00:09:40,475 --> 00:09:43,217 ที่ซึ่งเราสามารถเล่าเรื่องราว และส่งต่อข้อมูล 205 00:09:43,733 --> 00:09:45,609 เพราะว่า ยกตัวอย่างเช่น 206 00:09:45,633 --> 00:09:49,145 ตอนนี้คุณกำลังตั้งใจฟังและ พยายามเข้าใจว่าผมพูดอะไรอยู่ 207 00:09:49,169 --> 00:09:50,719 และผมรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายเลย 208 00:09:50,743 --> 00:09:54,779 แต่ผมหวังว่า ณ จุดหนึ่งในการบรรยายนี้ เราเข้าใจซึ่งกันและกัน และคุณเข้าใจผม 209 00:09:54,803 --> 00:09:58,701 และผมคิดว่าในไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน 210 00:09:58,725 --> 00:10:00,869 คุณจะพบกับใครสักคนที่งานเลี้ยง 211 00:10:00,893 --> 00:10:04,441 และจะเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง 212 00:10:04,465 --> 00:10:08,103 และทันในนั้นเอง มันจะราวกับว่า เขาคนนั้นมายืนอยู่ตรงนี้ที่นี่กับเรา 213 00:10:08,127 --> 00:10:10,977 ตอนนี้ คุณเห็นได้ว่า เราจะสามารถนำเอากลไกนี้ 214 00:10:11,001 --> 00:10:14,932 ไปใช้ในการส่งต่อความทรงจำ และความรู้ไปสู่อีกคนได้อย่างไร 215 00:10:14,956 --> 00:10:17,003 ซึ่งมันน่าจะดีมากเลยใช่ไหมครับ 216 00:10:17,027 --> 00:10:20,194 แต่ความสามารถในการสื่อสารของเรา ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา 217 00:10:20,218 --> 00:10:22,784 ในการมีพื้นฐานร่วมกัน 218 00:10:22,808 --> 00:10:24,013 เพราะว่า ยกตัวอย่างเช่น 219 00:10:24,037 --> 00:10:27,804 ถ้าหากผมกำลังใช้คำพ้องภาษาอังกฤษ 220 00:10:27,828 --> 00:10:30,206 "พาหนะเช่า" แทนคำว่า "แท๊กซี่" 221 00:10:30,230 --> 00:10:34,269 ผมรู้ว่าผมกำลังจะไม่ไปในทิศทางเดียว กับผู้ฟังส่วนใหญ่ของผม 222 00:10:34,720 --> 00:10:36,911 การเทียบเคียงนี้ไม่เพียงแต่ จะขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา 223 00:10:36,935 --> 00:10:38,969 ในการทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐาน 224 00:10:38,993 --> 00:10:43,788 มันยังขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา ในการพัฒนาพื้นฐานและความเข้าใจร่วมกัน 225 00:10:43,812 --> 00:10:45,599 และมีระบบความเชื่อร่วมกัน 226 00:10:45,623 --> 00:10:47,457 เพราะว่าเรารู้ว่าในหลาย ๆ กรณี 227 00:10:47,481 --> 00:10:51,524 คนเข้าใจเรื่องราวเดียวกัน ในรูปแบบที่แตกต่างกัน 228 00:10:52,460 --> 00:10:55,501 ฉะนั้น เพื่อทดสองสิ่งนี้ในห้องทดลอง ผมทำการทดลองดังต่อไปนี้ 229 00:10:56,089 --> 00:10:59,020 เราใช้เรื่องราวของ เจ. ดี. ซาลินเจอร์ 230 00:10:59,044 --> 00:11:03,379 ที่ซึ่งสามีหลงกับภรรยากลางงานเลี้ยง 231 00:11:03,403 --> 00:11:07,090 และเขาเรียกเพื่อนรักของเขามา เพื่อถามว่า "เห็นภรรยาของผมไหม" 232 00:11:07,836 --> 00:11:09,043 กลุ่มทดลองครึ่งหนึ่ง 233 00:11:09,067 --> 00:11:13,208 เราบอกว่า ภรรยามีสัมพันธ์ กับเพื่อนรักคนนั้น 234 00:11:13,232 --> 00:11:14,383 อีกครึ่งหนึ่ง 235 00:11:14,407 --> 00:11:19,512 เราบอกว่า ภรรยาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่สามีเป็นคนขึ้หึงมาก 236 00:11:20,127 --> 00:11:22,815 เพียงประโยคเดียวนี้ก่อนเริ่มเรื่อง 237 00:11:22,839 --> 00:11:25,140 ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้การตอบสนองของสมอง 238 00:11:25,164 --> 00:11:28,208 ของทุกคนที่เชื่อว่าภรรยามีชู้ 239 00:11:28,232 --> 00:11:30,669 มีความคล้ายคลึงกันในส่วนที่ซับซ้อน 240 00:11:30,693 --> 00:11:32,915 และแตกต่างจากอีกกลุ่มหนึ่ง 241 00:11:32,939 --> 00:11:36,612 และถ้าเพียงประโยคเดียวนั้นเพียงพอ ที่จะทำให้สมองของคุณมีความคล้ายกัน 242 00:11:36,636 --> 00:11:38,239 กับคนที่คิดเหมือนกับคุณ 243 00:11:38,263 --> 00:11:41,216 และแตกต่างกับคนที่คิดต่างกับคุณแล้ว 244 00:11:41,240 --> 00:11:44,717 ลองคิดดูสิครับว่าผลนี้ จะถูกขยาย ออกไปมากแค่ไหนในชีวิตประจำวัน 245 00:11:44,741 --> 00:11:47,633 เมื่อเราทุกคนกำลังฟังข่าวเดียวกัน 246 00:11:47,657 --> 00:11:51,405 หลังจากที่ทุก ๆ วัน 247 00:11:51,429 --> 00:11:55,241 เราเผชิญกับช่องทางสื่อที่แตกต่างกัน เช่น ข่าวช่อง ฟ๊อกซ์ หรือ นิวยอร์ค ไทม์ 248 00:11:55,265 --> 00:11:58,378 ที่ให้ทัศนคติต่อความจริงกับเรา ในแบบที่แตกต่างกัน 249 00:11:59,556 --> 00:12:00,909 ฉะนั้น ให้ผมสรุปนะครับ 250 00:12:01,529 --> 00:12:03,618 ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนในคืนนี้ 251 00:12:03,642 --> 00:12:07,941 ผมใช้ความสามารถของผมผลิตเสียง เพื่อเข้าคู่กับสมองของคุณ 252 00:12:07,965 --> 00:12:09,468 และผมใช้การเข้าคู่นี้ 253 00:12:09,492 --> 00:12:13,333 เพื่อส่งต่อรูปแบบสมองของผม ที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำและความคิดของผม 254 00:12:13,357 --> 00:12:14,673 เข้าไปยังสมองของคุณ 255 00:12:15,201 --> 00:12:18,999 ด้วยสิ่งนี้ ผมเริ่มที่จะเผย กลไกธรรมชาติที่ถูกซ่อนอยู่ 256 00:12:19,023 --> 00:12:20,658 ที่เราใช้ในการสื่อสาร 257 00:12:20,682 --> 00:12:23,649 และเรารู้ว่าในอนาคต มันจะสามารถทำให้เราปรับปรุง 258 00:12:23,673 --> 00:12:25,663 และทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น 259 00:12:26,111 --> 00:12:27,805 แต่การศึกษานี้ ยังได้เปิดเผย 260 00:12:28,535 --> 00:12:31,821 ว่าการสื่อสารขึ้นอยู่กับพื้นฐานร่วม 261 00:12:31,845 --> 00:12:34,307 และพวกเราในสังคม จะต้องตระหนักให้ดี 262 00:12:34,331 --> 00:12:38,367 ว่าหากเราสูญเสียพื้นฐานร่วมนี้ และความสามารถในการพูดกับคนอื่น 263 00:12:38,391 --> 00:12:40,508 ที่แตกต่างจากเราไปเล็กน้อย 264 00:12:40,532 --> 00:12:43,920 เพราะว่าเรายอมให้ช่องสื่อไม่กี่ช่อง ที่มีอิทธิพล 265 00:12:43,944 --> 00:12:45,485 เข้ามาควบคุมกระบอกเสียงนี้ 266 00:12:45,509 --> 00:12:49,284 และกำกับ ควบคุม แนวคิดที่เราทุกคนคิดอ่าน 267 00:12:49,308 --> 00:12:52,209 และผมก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขมันอย่างไร เพราะผมก็เป็นแค่นักวิทยาศาสตร์ 268 00:12:52,233 --> 00:12:54,693 แต่บางที ทางหนึ่งที่เราจะทำได้ 269 00:12:54,717 --> 00:12:57,364 คือกลับไปยังวิธีการสื่อสาร ที่เป็นธรรมชาติมากกว่า 270 00:12:57,388 --> 00:12:58,990 ซึ่งก็คือการสนทนา 271 00:12:59,014 --> 00:13:01,521 ที่ไม่ใช่เพียงแค่การที่ผม พูดอยู่กับพวกคุณในตอนนี้ 272 00:13:01,994 --> 00:13:04,210 แต่เป็นวิธีการพูด ที่เป็นธรรมชาติมากกว่านี้ 273 00:13:04,234 --> 00:13:07,511 ที่ซึ่งผมกำลังพูด และผมกำลังฟัง 274 00:13:07,535 --> 00:13:12,255 และการที่เราพยายามจะมีพื้นฐานร่วม และแนวคิดใหม่ด้วยกัน 275 00:13:12,279 --> 00:13:13,437 เพราะว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม 276 00:13:13,461 --> 00:13:17,125 คนที่เราเข้าคู่ด้วย เป็นตัวกำหนดว่าเราเป็นอย่างไร 277 00:13:17,149 --> 00:13:19,538 และความต้องการของเรา ที่จะถูกเข้าคู่ด้วยกับอีกสมองหนึ่ง 278 00:13:19,562 --> 00:13:24,079 เป็นอะไรบางอย่างที่เป็นพื้นฐาน ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย 279 00:13:24,103 --> 00:13:28,290 ฉะนั้น ให้ผมจบการบรรยายนี้ ด้วยตัวอย่างจากชีวิตส่วนตัวของผม 280 00:13:29,044 --> 00:13:33,355 ที่ผมคิดว่ามันเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ว่าการเข้าคู่กับคนอื่น 281 00:13:33,379 --> 00:13:35,653 เป็นการกำหนดว่าเราเป็นอย่างไรจริง ๆ 282 00:13:36,294 --> 00:13:39,368 นี่คือลูกชายขของผม โจนาธาน ตอนที่ยังเด็ก 283 00:13:39,392 --> 00:13:43,542 ดูสิครับว่าเราพัฒนาเกมส์เสียง กับภรรยาของผมด้วยกัน 284 00:13:43,566 --> 00:13:48,797 จากความต้องการและความสุข ที่จะได้เข้าคู่กับมนุษย์อีกคนหนึ่ง 285 00:13:49,556 --> 00:13:54,473 (เสียงของทั้งสองคน) 286 00:14:02,915 --> 00:14:05,243 (เสียงหัวเราะ) 287 00:14:05,267 --> 00:14:09,064 ทีนี้ ลองคิดดูครับ ว่าความสามารถของลูกชายของผม 288 00:14:09,088 --> 00:14:11,850 ที่จะเข้าคู่กับเรา และคนอื่น ๆ ในชีวิตของเขา 289 00:14:11,874 --> 00:14:14,732 กำลังที่จะปั้นให้เขา เป็นอย่างที่เขากำลังจะเป็นได้อย่างไร 290 00:14:14,756 --> 00:14:17,171 และคิดดูครับว่าคุณอย่างไรบ้าง ในชีวิตประจำวัน 291 00:14:17,195 --> 00:14:21,518 จากการมีปฏิสัมพันธ์และเข้าคู่ กับคนอื่น ๆ ในชีวิต 292 00:14:22,562 --> 00:14:24,665 ฉะนั้น เข้าคู่กับคนอื่น ๆ เสมอ 293 00:14:25,157 --> 00:14:26,706 เผยแผ่ความคิดของคุณออกไป 294 00:14:26,730 --> 00:14:29,974 เพราะว่า ผลรวมของเราทุกคน ผนวกรวมเข้าคู่กัน 295 00:14:29,998 --> 00:14:31,592 ยิ่งใหญ่กว่าแค่ส่วนหนึ่งของเราเอง 296 00:14:31,616 --> 00:14:32,782 ขอบคุณครับ 297 00:14:32,806 --> 00:14:38,468 (เสียงปรบมือ)