ทำไมเราถึงไม่เคยเห็นความตาย? สวัสดีค่าวิว จากแชนแนล "Point of View" ค่ะ น่ะใช่ไหมทำไมเราถึงไม่เคยเห็นความตาย เคยอยากรู้คำตอบของคำถามนี้กันไหม เชื่อว่าไม่มีใครอยากรู้หรอก แล้วก็ไม่มีใครได้นึกถึงด้วยนะคะ แต่พอถามขึ้นมาแล้วเนี่ย หลายคนก็อาจจะแบบคิดตาม ประมาณว่า เอ๊ะ มันเป็นเรื่องไหนดีนะ เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องนู้น แต่จริงๆแล้วนะคะ จะบอกว่าเรื่องราวในโลกใบเนี้ย มีคำอธิบาย มากมายหลากหลายเวอร์ชันเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับความตาย เพราะอะไรคะ เพราะว่าคนในสมัยโบราณเนี่ย เวลาที่เค้าไม่รู้อะไรสักอย่าง หรือว่าเค้าเจอเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ หรือว่าเหตุการณ์อะไรที่ควบคุมไม่ได้เนี่ย เค้าก็จะต้องพยายามแต่งนิทาน แต่งตำนาน แต่งอะไรมาเพื่ออธิบายเหตุสิ่งนั้นใช่มั้ยคะ และแน่นอนค่ะ วันนี้วิวคงไม่ได้มาตอบแบบเป็นวิทยาศาสตร์หรอกว่า เราไม่เคยเห็นความตายเพราะว่าความตายมันมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศ อะไรอย่างงี้คงไม่มีนะคะ วิทยาศาสตร์ในทุกวันนี้คงหาคำตอบแบบนั้นไม่ได้นะคะ ดังนั้นคำตอบของในวันนี้ จะมาเป็นนิทานอธิบายเหตุค่ะ ซึ่งถ้าพูดถึงความตายเนี่ยต้องบอกว่าความตายก็เป็นเรื่องสากล ดังนั้นเราทุกคนเราทุกคนก็ต้องตาย ดังนั้นคนในสมัยโบราณชาติต่างๆก็พยายามอธิบายคำตอบของตัวเองแบบนั้น แบบนี้ แบบโน้นเต็มไปหมดใช่มั้ยคะ ถ้าเราจะเล่าทุกเวอร์ชันมันคงมากเกินไปค่ะ นิทานในวันนี้ที่วิวจะนำว่าเล่าให้ทุกคนฟัง ก็เลยเป็น คำตอบจากชาวเนปาลค่ะ ซึ่งความเก๋ของชาวเนปาลคืออะไรคะ ชาวเนปาลอยู่ใกล้อินเดียใช่มั้ยคะ ดังนั้นมีความเชื่อแบบฮินดูเข้าไปผสมด้วยนะคะ เราก็จะเห็นเทพที่เราคุ้นเคยต่างๆเข้าไปอยู่ในเวอร์ชันนี้ค่ะ อย่างไรก็ดีนะคะ เช่นเดิมค่ะเหมือนกับนิทาน ตำนานทั่วๆไป นิทานพวกนี้ก็จะมีหลากหลายเวอร์ชันนะคะ รวมไปถึงนิทานของเนปาล(ขอโทษค่ะติดปากเลยพูดผิด)ที่วิวจะนำมาเล่า เรื่องความตายในวันนี้ด้วยก็มีหลายเวอร์ชัน แต่ละเวอร์ชันก็มีรายละเอียดปลึกย่อยต่างๆไม่เหมือนกันค่ะ ใครอยากรู้ว่าวิวเอาเวอร์ชันไหนมาผสมกันบ้างก็ด้านล่างนี้เลยนะคะ วิวลงอ้างอิงไว้ให้แล้วค่ะ สำหรับตอนนี้ พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุกและก็ได้สาระหรือยังคะ ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ สาเหตุที่ทำให้เราไม่เคยเห็นความตายนะคะ เริ่มมาจากชายแก่คนนึงเท่านั้นค่ะ ชายแก่คนนี้นะคะ เป็นชายแก่ยากจนที่อาศัยอยู่ในชนบทค่ะ บ้านเนี่ยก็ยากจนมากๆ เรียกได้ว่ายากจนข้นแค้นเลยนะคะ ชีวิตนี่ลำบากสุดๆ เค้าดำรงชีพด้วยการตัดฟืนขายค่ะ ซึ่งทุกวันเนี่ยเขาก็จะออกไปตัดฟืนๆๆแล้วก็แบกกลับบ้านมานะคะ เอาไปขาย เอาไปทำนู่น ทำนี่ค่ะ ทีนี้วันนึงค่ะ ชายแก่ก็เดินทางไปตัดฟืนตามปกตินะคะ ระหว่างที่เขาตัดฟืนๆอยู่นั้นเนี่ย เขาก็คิดได้ว่า เอ๊ะ! ทำไมเราถึงต้องใช้ชีวิตยากจนข้นแค้นแบบนี้ด้วยนะ ถ้าเราตัดฟืนได้มากกว่าเดิม เราขนฟืนกลับบ้านมากกว่าเดิม เราก็จะขายฟืนได้มากกว่าเดิมนี่นา มันก็จะทำให้เรารวย! รวย! รวย แล้วก็รวย เราก็จะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้นพอคิดได้แบบนั้นนะคะ ชายแก่ก็ตั้งหน้าตั้งตาค่ะ ตัดฟืน ตัดๆๆๆๆๆ เรียกว่าสับยับเลยนะคะ เสร็จแล้วก็เอากองฟืนทั้งหมดที่เยอะกว่าปกติหลายเท่าเนี่ย แบกขึ้นบ่าค่ะ แล้วก็ออกเดินไป ระหว่างที่กำลังเดินๆ อยู่นั้น จำได้มั้ยคะว่าชายคนนี้เป็นชายอะไร เค้าไม่ใช่ชายหนุ่มค่ะ เค้าเป็นชายแก่นะคะ ดังนั้นนึกสภาพชายแก่ที่แบกฟืนกองใหญ่มาก แล้วก็ใหญ่เกินกว่าปกติที่ตัวเองแบกทุกวัน แล้วก็เป็นชายแก่ยากจนข้นแค้นที่สารอาหารอะไรต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว ร่างกายอ่อนแอนะคะ ดังนั้นค่ะ ระหว่างที่แบกๆ อยู่ ชายแก่ก็รู้สึกหมดแรงค่ะ แล้วก็ ถึงขั้นที่ต้องวางฟืนเนี่ย แล้วก็นั่งพัก ดื่มน้ำอะไรต่างๆ หลังจากที่พักผ่อนดื่มน้ำอะไรเสร็จนะคะ ชายแก่ก็หยิบฟืนขึ้นมาทำท่าจะแบกต่อค่ะ ปรากฎว่า ลุกไม่ขึ้น! รู้สึกว่าแบบหมดแรงแล้วนะคะ ดังนั้นค่ะชายแก่ก็รู้สึกตัดพ้อกับตัวเองมากๆ ประมาณว่า อะไรกันเนี่ย ทำไมชีวิตเรามันถึงยากจนข้นแค้นขนาดนี้ แรงก็ไม่มีจะทำให้ตัวเองดีขึ้น ชีวิตนี้มันไม่ยุติธรรมเลย คนแบบเราเนี่ยนะ ต่อให้เราเรียกหาความตายเนี่ยนะ ความตายก็ไม่มาหาเราหรอกมันสบายเกินไป พอคิดจบเท่านั้นนะคะ อยู่ดีๆก็มีชายหนุ่มคนนึงค่ะ เดินเข้ามาหาคนแก่คนนี้ทันที แล้วก็บอกว่า ฮัลโหลตา ตาเรียกฉันทำไมล่ะ ต้องการอะไรหรอ ฝั่งคนแก่นะคะ ก็งงค่ะ นึกสภาพอยู่ดีๆก็มีเด็กคนนึงบอกว่า เฮ้ย เรียกเราทำไมอะ ฉันก็ไม่ได้เรียกใครนี่ ฉันก็ไม่ได้คุยกับใคร คิดอยู่ในหัวนะคะ ดังนั้นชายแก่ก็เลยหันไปค่ะแล้วก็ถามชายหนุ่มคนนั้นว่า ห้ะ เรียกอะไร ข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลย ข้าจะไปเรียกเจ้าได้ยังไง เฮ้ย เพี้ยนป่ะเนี่ยเราอะ ข้าไม่ได้เรียกๆ จะบ้าหรอ นะคะ ปรากฏว่าชายหนุ่มคนนั้นค่ะก็หันไปบอกชายแก่ว่า ตาจะบอกว่าตาไม่ได้เรียกได้ไง ก็ฉันนี่แหละความตาย ฉันคือเดท ฉันคือความตาย ฉันนี่แหละคือคนที่มีหน้าที่คอยเก็บวิญญาณของคนนั้น คนนี้เวลาที่เขาสิ้นอายุขัยแล้ว ตาเรียกฉันมาทำไมล่ะ น่ะ เรียกหาความตาย ความตายก็มาหานะคะ ถามว่าไอ้คนที่ชอบบ่นว่าแบบ โอ้ย! อยากตายๆ พอถึงเวลาตายจริงๆ อยากตายป่ะ บอกเลยนะคะว่าคนบ่นส่วนใหญ่ไม่ได้อยากตายค่ะ ดังนั้นตาคนนี้ก็ไม่ได้อยากตายเหมือนกัน เค้าก็เลยแบบ อ้อ เรียกมาทำไมหรอ เรียกมา.. เรียกมา แต่ตาก็คิดได้นะคะ ประมาณว่า เอ้ แต่ความตายก็ไม่ได้บอกว่า จะมาเก็บเรานี่หน่า เราก็ยังไม่สิ้นอายุขัยหรือเปล่าน้า แต่เอ๊ะ! มันเป็นความตายจริงๆ หรือเปล่า ชายแก่คนนั้นนะคะก็เลยหันกลับไปค่ะ แล้วก็ไปถามชายหนุ่มคนนั้นว่า ไม่จริงอะ เจ้าอะนะความตายตัวจริง อย่ามาหลอกข้าให้ยากเลย ถ้าเป็นความตายตัวจริง พิสูจน์มาสิ น่ะ ไปท้าเค้าอีก เดี๋ยวเค้าก็กระชากวิญญาณหลุดจากตัวเข้าให้หรอกนะ ดังนั้นนะคะความตายก็มองไปรอบๆ ค่ะ ปรากฏว่ามีผู้หญิงคนนึงอาบน้ำอยู่ใกล้ๆ ตรงนั้น ความตายเห็นแล้วล่ะว่า นี่ไง หมดอายุขัยพอดี เจ้าดูให้ดีนะคุณตา คุณตาดูให้ดีนะ เห็นผู้หญิงคนนั้นมั้ย ผู้หญิงคนนั้นเนี่ย กำลังจะสิ้นอายุขัยตอนนี้แล้ว ดังนั้นข้าจะเก็บวิญญาณของเขาไป ว่าแล้วนะคะ ความตายก็ดีดนิ้วค่ะ พรึบ*เสียงดีดนิ้ว* แล้วก็เสกให้ก้อนหินก้อนใหญ่มากก้อนนึงตกลงมาโดนผู้หญิงคนนั้นที่กำลังอาบน้ำ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่นะคะ แล้วก็ตายไปตรงนั้นเลย ดังนั้นตาแก่ตัดฟืนเนี่ยนะคะก็เลยเชื่อว่า โอ้โฮ นี่คือความตายจริงๆ เอาแล้วๆ ทำไงดีๆ แต่เอ๊ะ! เค้าก็ไม่ได้บอกว่าเค้าจะมาเก็บวิญญาณเรานี่หน่า แล้วเมื่อกี้ผู้หญิงคนนั้น ก็ต้องหมดอายุขัยแล้ว อายุขัยเรายังไม่หมดหรอก ดังนั้นนะคะพอความตายถามอีกรอบว่า อ่ะ ตาเรียกฉันมาทำไมไหนบอกมาสิ ตาแก่คนนี้นะคะก็เลยเกิดวุฒิปัญญาอะไรขึ้นมา เกิดฉลาดขึ้นมาค่ะ อ๋อ ข้าเรียกท่านเนี่ยมาช่วยข้าขนฟืน คือข้าขนฟืนไม่ไหว เห็นมั้ยฟืนกองเบ้อเร่อเลย ช่วยข้าขนหน่อยได้มั้ย ซึ่งความตายนะคะค่อนข้างจะเป็นคนที่ใจดี ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใจดี พอได้ยินแบบนั้นก็ อ้าวหรอ เรียกข้ามาช่วยขนฟืนหรอ อะได้ๆๆ เดี๋ยวข้าช่วยขนนะ ว่าแล้วนะคะความตายก็หยิบฟืนทั้งหมดขึ้นมาค่ะ แล้วก็เดินตามชายแก่คนนี้กลับบ้านไปนะคะ ซึ่งพอไปถึงเนี่ยความตายก็ทำท่าจะบอกลาชายแก่ค่ะประมาณว่า อ่ะ ข้าช่วยตาขนฟืนเสร็จแล้วนะ เดี๋ยวข้าไปก่อนนะ บ๊ายบายนะตา ตาแก่คนนี้นะคะก็เลยหันไปถามความตายค่ะบอกว่า เดี๋ยวๆๆ ท่านๆๆก่อนที่ท่านจะไปเนี่ยข้ามีคำถาม คำถามนึงจะถามท่านไว้ก่อน ช่วยบอกข้าได้มั้ยว่า อายุขัยของข้าเนี่ย เหลืออีกกี่ปี ข้าจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมวางแผนชีวิตอะไรต่างๆ เพื่อที่จะละจากโลกนี้ไปนะคะ ซึ่งความตายก็ใจดีอีกรอบค่ะ หันไปบอกชายแก่ว่า อ๋อ อายุขัยของท่านหรอ ข้าเล็งแล้วด้วยดวงตายมทูตที่ข้าแลกมาด้วยอายุขัยครึ่งนึง อ่ะไม่ใช่ อันนี้เติมเอง อันนั้นเดทโน๊ต ไม่ใช่เรื่องของนิทานเนปาลนะคะ กลับมาๆ เอาเป็นว่าความตายเนี่ยก็ดูโน่นดูนี่แล้วก็บอกชายแก่คนนี้ไปว่า ข้าเล็งมาแล้วนะ อายุขัยของเจ้าเนี่ยเหลือแค่ 5 ปีเท่านั้น ใช้ให้คุ้มแล้วกันนะ ว่าแล้วนะคะความตายก็ลาจากชายคนนั้นไปค่ะ ชายแก่คนนี้นะคะหลังจากที่รู้ว่า อายุขัยของตัวเองเหลือแค่ 5 ปี เค้าก็วางแผนอย่างดีค่ะ ด้วยการเดินไปเดินมา ในป่านะคะตามหาต้นไม้ ต้นที่ใหญ่ที่สุด เรียกได้ว่าใหญ่มากๆใหญ่โตมโหฬารเลยนะคะ เสร็จแล้วเค้าก็ทำการเจาะรูเข้าไปตรงต้นไม้ค่ะ พอเจาะเสร็จเค้าก็ใช้เวลา 5 ปีนะคะ ค่อยๆขุดรู ขุดๆๆๆด้านในต้นไม้ออกให้หมด แล้วก็ทำเป็นห้องหาบต่างๆเรียกได้ว่าเป็นบ้านในต้นไม้นะคะ เป็นบ้านที่สวยงามอลังการมาก แล้วก็มีหลากหลายชั้นเลยค่ะ มีชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ คือชั้นเยอะมากข้างในสลับซับซ้อนตกแต่งประดับอย่างสวยงามมากๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไปเอาฝีมือและทรัพยากรในการทำมาจากไหน ถ้าทำได้ขนาดนี้ก็ทำบ้านขายตั้งแต่แรก น่าจะไปเป็นชายแก่จนๆไปแล้วน่าจะรวยไปแล้วนะ อย่างไรก็ตามนี่คือการนอกเรื่องค่ะ ชายแก่คนนี้ก็ทำบ้านจนเสร็จสมบูรณ์นะคะ เสร็จแล้วก็ทำประตูปิดบ้านค่ะ ซึ่งประตูเนี้ยเป็นประตูที่แข็งแรงมากๆนะคะ เรียกได้ว่าถ้าปิดปุ๊บ ล็อคปั๊บ เนี่ยไม่มีอะไรเล็ดลอดออกมาได้เลยค่ะ จนกระทั่งในที่สุดนะคะ จนเวลา 5 ปีก็ผ่านพ้นไปค่ะ ความตายก็มาเยือนชายแก่คนนี้อีกรอบนึง แล้วก็โผล่มากทักทายประมาณว่า อ้าวตา เป็นไงบ้าง นี่ถึงเวลาที่เรานัดกันแล้วนะเนี่ย 5 ปีผ่านไป วันนี้แหละคือวันตายของตา ฉันมารับวิญญาณของตาแล้ว ตามีอะไรจะสั่งเสียก่อนจากไปมั้ย ซึ่งตาแก่คนนี้นะคะด้วยความที่สนิทกับความตาย ก็หันไปบอกว่า นี่ท่าน ท่านรู้มั้ยว่า 5 ปีที่ผ่านมา ข้าใช้เวลาทำอะไร ข้าใช้เวลาสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเลิศชิ้นนึงในชีวิตของข้านะ เป็นบ้านในต้นไม้ที่สลับซับซ้อนสวยงามมากๆ ก่อนที่ข้าจะตายเนี่ย ข้าอยากอวดให้ท่านเห็น ไปเที่ยวบ้านข้าก่อนมั้ย ความตายนะคะก็พาซื่อค่ะ ประมาณว่า อ้าวหรอตาๆ ตาสร้างจริงหรอ สวยจริงหรอ ไหนๆพาข้าไปดูหน่อย ตาแก่คนนี้นะคะก็เลยพาความตายไปที่ต้นไม้ที่ตัวเองสร้างไว้ค่ะ แล้วก็พาขึ้นไปในห้องที่หนึ่ง อู้ว ห้องที่หนึ่งตกแต่งสวยงาม อู้ว ห้องที่สองตกแต่งสวยงาม ความตายกับตาแก่นะคะก็เดินขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงชั้นบนสุดค่ะ พอไปถึงปุ๊บอยู่ดีๆ ตาแก่ก็บอกว่า โอ๊ะเดี๋ยวๆ ห้องนี้มันสลับซับซ้อนมากท่านเห็นมั้ย ตกแต่งสวยงาม ท่านดูไปก่อนแปบนึงนะ คือข้าลืมสร้างห้องน้ำอะ แต่ตอนนี้ข้าปวดฉี่มากเลย ขอลงไปฉี่ข้างล่างแปบนึง เดี๋ยวไปฉี่ในบ้านมันเลอะเทอะนะ ความตายนะคะก็เลยรอชายแก่คนนั้นอยู่ในห้องนั้นค่ะ ในขณะที่ชายแก่คนนี้รีบวิ่งลงมาด้านล่างเลยนะคะ ออกจากบ้านต้นไม้ค่ะ แล้วก็ปิดประตู ปึ้งง!*เสียงปิดประตู* แล้วก็ล็อคทันทีนะคะ ขังความตายไว้ในบ้านนั้นค่ะ ซึ่งก็แน่นอนว่าความตายก็ออกมาจากบ้านหลังนั้นไม่ได้นะคะ ก็ไม่รู้ว่าทำไมความตายกระจอกขนาดนี้ในเวอร์ชันนี้แต่ว่า ความตายตนนี้ก็ล็อคขังอยู่ในบ้านนั้นค่ะ ผลกระทบที่ความตายโดนขังเนี่ยนะคะ ทำให้โลกของเราเนี่ยเสียสมดุลค่ะ เพราะว่าสัตว์ต่างๆก็เกิดขึ้นมา มนุษย์เกิดขึ้นมา ประชากรต่างๆล้นโลกไปหมดเลยนะคะ ไม่มีใครเจอกับความตาย ทุกคนก็เกิดๆๆๆแต่ไม่มีใครตายค่ะ จนกระทั่งเวลาผ่านไปแปบนึงนะคะ แน่นอนว่าประชากรล้นโลกแต่สิ่ที่ไม่ได้เพิ่มตามประชากรก็คือ อาหารและทรัพยากรธรรมชาตินั่นเอง ดังนั้นตอนนี้โลกวุ่นวายไปหมดนะคะ ดังนั้นพวกประชากรต่างๆ ก็เลยจำเป็นจะต้องไปฟ้องเทพเจ้าองค์นึงค่ะ ประมาณว่า เฮ้ยไม่ได้แล้วท่านต้องมาจัดการแล้ว คิดว่าเขาจะไปฟ้องเทพเจ้าองค์ไหนกันคะ เดากันได้มั้ย บอกเลยว่า เดาไม่ถูกหรอกค่ะเพราะว่า เท่าที่วิวไปอ่านมาเนี่ย 2 เวอร์ชันบอกไม่เหมือนกันนะคะ เวอร์ชันนึงก็บอกว่าไปฟ้องพระนารายณ์นะคะ พระวิศณุนั่นเอง ส่วนอีกเวอร์ชันนึงเนี่ย บอกว่าไปฟ้องพระศิวะ เพราะว่าพระศิวะเนี่ยเป็นเจ้าแห่งความตาย ตามความเชื่อฮินดู อย่างไรก็ตามเป็นเทพองค์ไหนไม่สำคัญค่ะ เพราะว่าแอคชันของทั้งสององค์เนี่ยเหมือนกันเป๊ะเลย คือทั้งสององค์เนี่ยนะคะก็ลงมาในโลกค่ะ แล้วก็มาสำรวจว่า เอ๊ะ ความตายอยู่ที่ไหน ความตายหายไปไหนนะคะ แล้วก็ได้รู้ว่า อ๋อ ไอคุณตาคนเนี้ยมันไปล็อคความตายขังไว้ในบ้าน แล้วก็เก็บกุญแจไว้กับตัว ดังนั้นนะคะ อะเราสมมุติว่าเป็นพระศิวะละกันนะ ขอโทษเวอร์ชันพระนารายณ์ด้วยนะ เก็บเวอร์ชันพระนารายณ์ไป พระศิวะนะคะก็เลยมาเยี่ยมคุณตาคนนี้ที่บ้านค่ะ ซึ่งตอนนี้คุณตาคนนี้แก่มากแล้วนะคะ แก่งอม เรียกได้ว่าแก่จนถึงขั้นที่ว่าตัวเองก็อยากตายแล้วแหละ แต่ว่าป่วยหนัก จนไม่สามารถลุกขึ้นไปปล่อยความตายจากบ้านต้นไม้ได้ค่ะ คือจริงๆคุณตาเนี่ยไม่ได้ตั้งใจจะขังความตายไว้นานขนาดนั้นหรอก แต่ว่าตัวเองน่ะลุกไม่ไหวแล้วนะคะ ดังนั้นพระศิวะนะคะก็เลยลงมาละก็มาบอกว่า อ่ะตา ตาจะต้องไปปล่อยความตายมาแล้วนะ ไม่งั้นคนอื่นก็จะตายไม่ได้ รวมถึงตาเองด้วยเนี่ยไม่ได้ตาย ทรมาณมั้ย เห็นมั้ย แต่คุณตาคนนี้ก็หันไปบอกพระศิวะบอกว่า ท่านๆ ข้าเนี่ยก็อยากไปปล่อยความตายเหมือนกัน ข้าไม่ไหวแล้วข้าอยากตายแล้วเนี่ย แต่ว่าข้าลุกไม่ขึ้น ทำยังไงดี ดังนั้นนะคะพระศิวะก็เลยให้พรชายคนนี้ค่ะบอกว่า อ่ะ ขอให้เจ้ามีพลังชีวิตขึ้นมาอีกหนึ่งเฮือก ปิ๊งง! ชายแก่คนนึงก็เลยมีพลังชีวิตขึ้นมาค่ะ แล้วก็ลุกไปเปิดประตูนะคะ ปล่อยความตายออกมาในที่สุดค่ะ หลังจากที่ปล่อยความตายออกมาค่ะ ปรากฏว่า ความตายนะคะโดนขังอยู่ในบ้านต้นไม้เป็นระยะเวลาหลายปีเหมือนกันนะคะ ก็รู้สึกหมดpassion หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ประมาณว่า ฉันโดนขังอยู่ตั้งหลายปี ไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน ทำไมฉันถึงเป็นความตายที่โง่ขนาดนี้ ทำไมฉันถึงยอมให้ชายแก่คนนึงหลอกฉันได้ เสียแรงที่ฉันเป็นความตาย ดังนั้นพระศิวะจะบอกว่า ให้ความตายเนี่ยออกไปทำงาน ที่ตัวเองต่อความตายก็บอกว่า ไม่ ข้าหมด passion ในการใช้ชีวิตแล้ว ข้าไม่อยากออกไปทำงานอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ๆๆๆ ดังนั้นนะคะพระศิวะก็เลยหันมาตกลงกับความตายค่ะ ประมาณว่า ช่วยด้วยเถอะตอนนี้โลกเราวุ่นวายไปหมดแล้ว ท่านต้องออกไปทำหน้าที่ต่อแล้วนะ ซึ่งความตายนะคะก็เลยบอกว่า อะๆๆ ก็ได้ เพื่อเห็นแก่โลกใบนี้ ข้าออกไปไล่เก็บวิญญาณคนต่อก็ได้ แต่ว่า ข้ามีเงื่อนไขข้อนึงที่จะขอท่าน เงื่อนไขข้อนั้นก็คือ เรื่องราวทั้งหมดเนี่ยเกิดขึ้นเพราะ ความใจดีของข้าและเกิดขึ้นเพราะว่า คนเนี่ยเห็นตัวข้า ดังนั้นหลังจากเนี่ย ขอให้ไม่มีใครเห็นตัวข้าอีกตอนที่ข้าไปเก็บวิญญาณ คนนั้นคนนี้ มันจะได้ไม่ต้องมีความผูกพัน ไม่ต้องมาขอนู่นขอนี่อะไร เก็บวิญญาณปุ๊บก็ไปเลยตายเลยเท่านั้นนะคะ ซึ่งพระศิวะก็ตกลงค่ะ ดังนั้นความตายนะคะก็เลยออกไปไล่เก็บวิญญาณ ของคนและสัตว์ต่างๆ ทั่วโลก แล้วก็ทำให้โลกนี้กลับมาสมดุล อีกครั้งค่ะ และนิทานเรื่องนี้นะคะก็คือสาเหตุที่ทำให้เรามองไม่เห็นความตายนั่นเองค่ะ เป็นไงบ้างนิทานเนปาล สนุกมั้ยคะ ถ้าใครชื่นชอบเรื่องนี้นะคะ อย่าลืมกด like เป็นกำลังใจให้วิวแล้วก็กด share เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันค่ะ แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ ขึ้นชื่อว่านิทายอธิบายเหตุนะคะ บอกเลยว่าไม่ได้มีแค่เรื่องความตายค่ะ มีอีกหลากหลายเรื่องเลยแล้วแต่ละเรื่องของแต่ละประเทศ เนี่ยนะคะ บอกเลยว่าแซ่บพอกันหมดค่ะ แต่ละประเทศนี่จินตนาการสูงส่งจริงๆ ดังนั้น ถ้ามีโอกาสเดี๋ยววันหลังวิวจะมาเล่าเรื่องอื่นให้ฟังอีกนะคะ วันนี้ลาไปก่อนแล้วกันค่ะทุกคน บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ