ทุกอย่างที่เราพูดถึงเกี่ยวกับบริษัท
สตาร์ทอัพถึงตอนนี้
การขายหุ้น อะไรพวกนี้ ได้ระดม
เงินจากหุ้นหรือส่วนได้เสีย (equity)
เราระดมเงินนอกตลาด --
ตอนที่บริษัทยังไม่เข้าตลาด
เขาไปหา VC ไปหานักลงทุนเทวดา
และคุณอาจ
ไปหาเพื่อนและครอบครัวเพื่อระดมเงิน
แล้วบริษัทก็เข้าตลาด แล้วระดมเงินจาก
ตลาดทั่วไป
แต่จริงๆ แล้วมีวิธีที่บริษัทสามารถ
ระดมเงินทุนได้สองวิธี
นี่คือสาเหตุที่รายการวิดีโอนี้เรียกว่า
ตลาดเงินทุน หรือ
อีกชื่อหนึ่งคือ การระดมทุน
เงินทุน (Capital) ก็คือ -- วิธีคิดง่ายๆ
ก็คือคุณอยากระดมเงินสด
ที่คุณอยากลงทุน
เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโต หรือทำให้
ธุรกิจอยู่ได้ หรือเพื่อเริ่มธุรกิจ
ทุกอย่างที่เราพูดถึงในตอนนี้คือ
ส่วนได้เสีย (equity) และนั่น
ก็คือการขายหุ้นในบริษัทของคุณ
เพื่อระดมเงิน
นั่นคือตัวอย่างพวก VC ทั้งหลาย
นักลงทุนหุ้น -- เมื่อคุณขายหุ้น คุณ
จะขาย -- คุณทำให้คนคนนั้น
คนที่ซื้อหุ้น -- ส่วนได้เสียก็เหมือนกับ
หุ้น -- คุณทำให้คนที่ซื้อ
หุ้นเป็นเหมือนหุ้นส่วนของบริษัท
ถ้าบริษัท --
สมมุติว่ามีสถานการณ์สองแบบ -- ถ้า
บริษัทล้มละลาย --
และผมจะพูดถึงความหมาย
ของการล้มละลายอีกมาก -- แต่ถ้าบริษัท
ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นจะไม่ได้อะไรเลย
พวกเขาจะได้ศูนย์
แต่ถ้าบริษัทได้กำไรมาก หุ้นจะ
ขึ้นไปมาก
มีคนเป็นหุ้นส่วนอยู่
ถ้านี่คือบริษัท สตาร์ทอัพที่เราพูดถึงไป
ถ้ามันกลายไปเป็น Amazon.com
และกลายเป็นบริษัท
พันล้าน ทุกคนก็จะไปได้ดี
ทุกคนจะได้ส่วนแบ่งของกำไรนั้น
แต่มันมีวิธีระดมเงินอีกวิธี และนี่
น่าจะเป็นสิ่งที่คนคุ้นเคยมากกว่า
ในระดับครัวเรือน
ผมหมายความว่า ในระดับครัวเรือน
คุณไม่เคยระดมหุ้น
คุณไม่เคยบอกว่า รู้ไหม --
คุณทำได้ แต่คุณจะ
ไม่ไปบอกว่า เฮ้ ฉันต้องซื้อบ้าน
ทำไมฉันถึงไม่
ไปหาเพื่อนรวยๆ แล้วเสนอขาย 10% ของ
บ้านให้เขา แล้วเขาจะเป็น
หุ้นส่วนของบ้านฉัน
มันเกิดขึ้นได้ แต่มันมักไม่เกิดขึ้น
เวลาคุณทำอะไรส่วนตัว คุณมักจะ
ระดมเงินผ่านหนี้
และมันน่าสนใจ
สิ่งที่ดีเกี่ยวกับหนี้คือว่า -- ลองคิดถึงมัน
จากมุมมองของคนที่ให้คุณ
ยืมเงิน
หนี้ก็คือการยืมเงิน
ผมคิดว่าพวกคุณทุกคนรู้ว่า
การยืมเงินคืออะไร
ผมไปหาเพื่อนรวยๆ แล้วผมบอกว่า เฮ้
ฉันขอยืม $1 แล้ว
ฉันจะจ่ายคืน $1.25 ในหนึ่งปีได้ไหม?
และเขาก็บอกว่า โอเค ได้เลย
แต่ผมกำลังสัญญาว่า ผมจะจ่ายเงิน
คืนในอนาคต
ถ้าผมขายหุ้น ผมไม่ได้สัญญาอะไรเลย
ผมบอกว่า เฮ้ ฉันมีธุรกิจเจ๋งๆ
ทำไมเธอไม่ให้
เงินฉัน $1 แล้วฉันจะให้ 20% ของบริษัท
ถ้าธุรกิจของฉันออกมาดี
เธอจะได้ 20% ของ
กำไรจากธุรกิจของฉัน
ถ้าบริษัทฉันออกมาแย่
เธอก็รับความเสี่ยงไป
เธอไม่ได้อะไร ฉันก็ไม่ได้อะไร
หนี้บอกว่า
ไม่ว่าธุรกิจของผมจะเป็นอย่างไร
ถ้ามันออกมาดีมาก สิ่งที่คุณจะได้
ก็มีแต่ดอกเบี้ย
นั่นคือกรณีที่ออกมาดี
ผลตอบแทนมันจำกัด จริงไหม?
ถ้าผมยืมเงินที่อัตราดอกเบี้ย 9% คนคนนั้น
จะได้แค่ 9%
ถึงแม้ว่าบริษัทของผมจะกลายเป็นกูเกิ้ล
หรือไมโครซอฟต์หรือ
อะไรใหญ่ๆ ต่อไป คนคนนั้นจะ
ได้แค่ 9% ของเงินที่ให้ยืม
ในขณะที่คนคนนี้อาจได้เงินเป็นร้อยเท่า
เพราะเขากล้าพนัน
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายจะน้อยกว่า
ความเสียหายก็จำกัด
เพราะเขาจะได้เงินคืน
-- คุณก็รู้ มันมีตารางจ่ายคืนอยู่
และเขาจะได้เงินคืนก่อน
ผู้ถือหุ้น -- สมมุติว่าในกรณีที่
บริษัทมีปัญหา -- และเราจะทำ
รายการวิดีโอเรื่องการล้มละลาย
-- คนที่ให้บริษัท
ยืมเงินจะเห็นเงินคืนก่อนผู้ถือหุ้น
จะเห็นอะไรก็ตาม
แล้วทั้งหมดนี้ปรากฏในงบดุลอย่างไร?
สมมุติว่าเรามีบริษัทมหาชน
ถ้าคุณสงสัยว่า CFO ของบริษัททำอะไร
นี่ก็คือ
การตัดสินใจหลักที่เขาต้องทำ
เราจะระดมเงินไหม --
เราจะระดมอย่างไรถ้าเราต้องการเงิน
เราจะระดมเงินจากตลาดหุ้นหรือจาก
ตลาดหนี้?
ลองตั้งบริษัทขึ้นมาอีกครั้งกัน
สมมุติว่านั่นคือ current assets
ไม่ใช่ current -- ผมไม่อยากใช้คำนั้น
มันเป็นคำเฉพาะ
สินทรัพย์ที่มีตอนนี้
Current assets มีความหมายอื่น
และเราจะพูดถึงมัน
ในอนาคต
แต่สมมุติว่า นั่นคือสินทรัพย์ของบริษัท
คุณรู้ว่ามันอาจเป็นเงินสดตรงนี้
เราจะลงรายละเอียดต่อไป
เราจะดูงบดุลบริษัทจริงๆ และ
เข้าใจความหมายของคำทั้งหมดในงบดุล
แต่นั่นคือสินทรัพย์ของเราในตอนนี้
และสมมุติว่าตอนนี้
เงินทั้งหมดที่ระดมมาถึงตอนนี้
เป็นส่วนได้เสีย
และสมมุติว่ามันเป็นบริษัท
ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์
มันไม่จำเป็นต้องอยู่
สมมุติว่านั่นคือส่วนได้เสียทั้งหมด
และสมมุติว่ามันมี
ไม่รู้สิ 10 ล้านหุ้นแล้วกัน
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างเมื่อบริษัท
เข้าตลาด -- นึกดู ทุกครั้งเวลาบริษัท
ยังไม่เข้าตลาด และ
นักลงทุน นักลงทุนหุ้น เขา
ต้องมานั่งและต่อรองว่าหุ้นนี้
มีค่าเท่าไหร่?
สินทรัพย์เหล่านี้มีค่าเท่าใด?
แต่สิ่งที่เจ๋งคือว่า เมื่อคุณมีบริษัทที่ซื้อขาย
ในตลาด หุ้นเหล่าน้ี้ซื้อขายในตลาด
จริงไหม?
หุ้นเหล่านี้อยู่ใน สมมุติว่ามันอยู่ใน
New York Stock Exchange
ทุกวัน คุณไปที่ Yahoo!
Finance หรือเว็บไซต์อะไรก็ตาม
คุณดูแผนภูมิได้
ขอผมวาดแผนภูมินะ
คุณวาดแผนภูมิได้
และเราจะเห็นตารางหุ้นทั้งหมด ผมว่านะ
สมมุติว่านี่คือ อันนี้คือวันที่ IPO
หรืออาจเป็นจุดเริ่มต้นที่เราดู แล้ว
สมมุติว่าหุ้น IPO เพิ่มขึ้น แล้วทั้งตลาด
ก็ลงมาหน่อย
แต่หุ้น -- มันอาจอยู่ตรงนั้น จริงไหม?
แต่ ณ ขณะใดๆ แทบจะทุกวินาที
มันมีราคาที่คนซื้อขายหุ้นนั้น และมัน
อาจไม่ใช่ราคาที่ดีที่สุด
แต่มันเป็นราคาค่าหนึ่ง
และเราจะคุยกันว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น
เพราะคุณอาจ
มี 10 ล้านหุ้น แล้วถ้า 100 หุ้น
ถูกซื้อขายทุกวินาที
หรือสมมุติว่ามีหุ้นแค่ 100 หุ้น
ถูกซื้อขายในวันนั้น
มันเป็นราคาที่มีความหมายหรือเปล่า?
เพราะมันไม่ใช่เปอร์เซ็นต์มากมาย
ของหุ้นทั้งหมด
แต่ช่างเถอะ เราจะพูดถึงว่าปริมาณ (volume)
หมายถึงอะไร
เทียบกับ total float อะไรพวกนั้น
แต่สมมุติว่า ณ วินาทีนั้น หุ้นบริษัท
ซื้อขายที่ $15 ต่อหุ้น
นี่คือ $15 ใช่ ณ วินาทีนี้
มันเป็นอย่างนี้ตอนนี้
ซื้อขายที่ $15 ต่อหุ้น และคุณดูใน
Bloomberg terminal หรืออื่นๆ ได้
ที่สุดแล้วตลาดจะให้
มูลค่าแก่บริษัทนี้
ตลาดกำลังบอกว่า ตลาดยินดีซื้อขาย
หุ้นที่ราคา $15
มีคนยินดีซื้อและคนขายที่ราคา
$15 ต่อหุ้นพอดี
นั่นหมายความว่าตลาด ณ ขณะนั้น
ประเมินค่าบริษัทนี้
ที่ $15 ต่อหุ้นคูณ 10 ล้านหุ้น
$15 ต่อหุ้นคูณ 10 ล้านหุ้น -- ไม่ต้อง
ใส่ดอลล่าร์ก็ได้
ตลาดจึงกำหนดค่า 15 คูณ 10 ได้ 150
$150 ล้าน market cap
คือมูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาดของบริษัท
แล้วคุณก็ดู ผมว่า มันอยู่ใน
แท็บข้อมูลสถิติหลักของ Yahoo!
Finance คุณจะเห็นมูลค่าหลักทรัพย์
ตามตลาดของบริษัท
มันก็แค่จำนวนหุ้นคูณ
ราคาหุ้น
นี่คือสิ่งที่ตลาดคิดว่า
หุ้นมีค่าเท่าใด
ตลาดกำลังบอกว่าส่วนนี้ตรงนี้
มีค่า $150 ล้าน
และเนื่องจากส่วนนี้มีขนาดเท่ากับสินทรัพย์
เราไม่มีอย่างอื่นทางขวา ตลาด
จึงบอกว่าสินทรัพย์ตอนนี้มีค่า
$150 ล้าน
และสองตัวนี้ไม่จำเป็นต้องเท่ากันเสมอไป
เราจะเห็นในวิดีโอต่อๆ ไป เมื่อคุณเริ่มระดม
หนี้ คุณต้องคำนวณเพิ่มว่า
มูลค่าสินทรัพย์หรือ -- ผมจะใส่คำใหม่ตรงนี้
มูลค่าสุทธิของกิจการ (enterprise value)
เป็นเท่าใด
มูลค่าสุทธิของกิจการก็คือมูลค่าสินทรัพย์
ลบเงินสดส่วนเกิน
เงินสดที่บริษัทไม่ได้ดำเนินงานอะไร
และเราจะพูดถึงรายละเอียดอีกทีหลัง
แต่เราจะมองมันเป็นสินทรัพย์ไปก่อน
ถ้าผมเป็น CFO ของบริษัทนี้
และสมมุติว่เราอยาก
ระดมเงินอีก ไม่รู้สิ $15 ล้าน
ผมมีตัวเลือก 2 อย่าง
ผมบอกได้ว่า โอเค
บริษัทซื้อขายอยู่ที่ $15 ต่อหุ้น
ผมต้องระดมเงิน $15 ล้าน ผมก็ออก
อีกล้านหุ้นได้
มันจะไม่ใช่การเสนอขายหุ้น
ในตลาดครั้งแรก เพราะผม
อยู่ในตลาดแล้ว
มันจะเป็นการเสนอขายต่อ
(follow-on offering) หรือบางครั้ง
เรียกว่าการเสนอขายทุติยภูมิ
(secondary offering)
ถึงแม้คำว่าทุติยภูมิจะมีความหมายสองแง่
มันอาจเป็นการเสนอขายต่อ โดยผมออก
ผมไปที่บอร์ดบริหาร แล้วเราตกลงสร้างหุ้น
อีกล้านหุ้น แล้วขายหุ้นในตลาด และ
หวังว่าจะมีคนซื้อที่ $15 ต่อหุ้น
หรือน้อยกว่า
นิดหน่อยเพราะเราทำให้มีหุ้น
ในตลาดเป็นจำนวนมาก
บางทีเขาอาจซื้อที่ราคา $15 ต่อหุ้น แล้วเรา
จะระดมเงินได้ $14 ล้าน
นั่นคือการเสนอขายต่อแบบหนึ่ง
เราจึงใช้ตลาดทั่วไปเพื่อ
ระดมเงินเพิ่มได้
เราไม่ต้องไปทำเรื่องทั้งหมดนี้
-- ส่วนใหญ่แล้ว
เราไม่ต้องไปทำการประเมินค่าและ
ต่อรอง อะไรพวกนั้น
จ้างธนาคารอะไรพวกนั้นอีก
ถึงแม้ว่าธนาคารจะยังคิดค่าธรรมเนียมอยู่
เรายังต้องจ้างธนาคารทำงานนี้
นั่นคือตัวเลือกหนึ่ง
หรืออีกวิธีคือเราเป็นธุรกิจที่มั่นคงแล้ว เรา
สร้างเงินสดได้ เราจ่ายดอกเบี้ยได้
ถ้าต้องการ
เราก็ไปยังธนาคารได้
และมันมีวิธีทำหลายวิธี
แต่ที่สุดแล้ว เราจะไปยืมเงิน
และสมมุติว่าเราทำอย่างนั้น
แทนที่จะทำอย่างนี้ --
สมมุติว่าเราทำทั้งสองอย่าง
สมมุติว่าเราทำการเสนอขายต่อ
อีก 1 ล้านหุ้น
ทำให้เราได้เงิน $14 ล้าน
และสมมุติว่าเราอยากได้อีก $2 ล้าน
แต่คราวนี้
แทนที่จะขายหุ้น -- ตอนนี้เรา
มีหุ้นกี่หุ้นนะ?
เราขายไป 1 ล้าน เรามี 10 ล้าน ตอนนี้เรา
มี 11 ล้านหุ้น
สมมุติว่า รู้ไหม สมมุติว่า CFO ผมรู้สึกว่า
จำนวนหุ้นเราเพิ่มขึ้นมากเกิน
เราไม่อยากขายหุ้นที่ราคาต่ำเกินไป
และสมมุติว่าอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก
เราจึงจะยืมเงินแทน
นั่นก็คือการระดมหนี้
สมมุติว่าเรายืมเงินอีก $3 ล้าน
เพราะเราต้องการมัน
นี่จะเป็นหนี้ หนี้ $3 ล้านและ
เราจะได้เงินสดมา $3 ล้าน
ตอนนี้สินทรัพย์ของเราคือทั้งหมดนี้
ทางซ้ายมือ
แล้วหนี้สินของเราตอนนี้เป็นเท่าใด?
ทีนี้ เราไม่มีหนี้สินมาก่อนเพราะ
ทุกอย่างที่เรามีเป็นส่วนได้เสีย
แต่ตอนนี้เรามีแล้ว
ตอนนี้เราติดเงินคนอื่น $3 ล้าน
และเราจะพูดถึงวิธีการยืมเงินแบบต่างๆ
ต่อไป
แต่มันก็คือ มันก็คือการกู้ธนาคาร
บริษัทอาจไปหา Bank of America
แล้วบอกว่า เฮ้
เราเป็นบริษัทใหญ่ และเรามีเงินอยู่
ทำไมคุณไม่
ให้เรายืมเงินสัก $3 ล้านล่ะ
บางทีอาจเป็น $3 ล้านอัตราดอกเบี้ยต่ำ
อาจเป็น 6% ต่อปี
และ Bank of America ก็ยินดีเพราะคุณมี --
เราจะพูดถึงอันดับเครดิต อะไรพวกนั้น -- แต่
เขาบอกว่า โอ้ คุณมีคะแนน
เครดิตบริษัทดี
เราจะให้คุณยืมด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ
สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตคือว่า
สินทรัพย์เหล่านี้
หวังว่าจะสร้างเงินสดขึ้นมา
และก่อนหน้าที่คนเหล่านี้จะเห็นมัน --
ขอผมเขียน --
ก่อนผู้ถือหุ้นเหล่านี้ -- นี่คือผู้ถือหุ้น
ตอนนี้ -- ก่อนที่ผู้ถือหุ้นจะเห็นอะไร
คนเหล่านี้ต้องได้ดอกเบี้ยก่อน ผมจะแสดง
ให้เห็นบรรทัดต่อบรรทัดในงบกำไรขาดทุน
ทุกอย่างที่เราทำถึงตอนนี้เป็นแค่งบดุล
แต่สิ่งที่น่าสนใจกำลังเกิดขึ้นแล้ว
ทันใดนั้น สินทรัพย์ของคุณ
ซึ่งก็คือด้านนี้ --
ผมรู้ว่าผมเขียนทับรูปเดิมอยู่นั่นแหละ
-- สินทรัพย์ของคุณ
ตอนนี้ใหญ่กว่าส่วนได้เสีย
ผมคิดว่าตอนนี้ นี่เป็นเพียงการทบทวน
วิดีโอเรื่องงบดุล
คุณเห็นว่าสินทรัพย์เท่ากับ
ส่วนได้เสีย ซึ่งก็คือตรงนี้ ส่วนได้เสียบวก
หนี้สินของคุณ
หนี้สินคุณตอนนี้อยู่ที่ $3 ล้าน
บวกหนี้สิน
ถ้าคุณอยากรู้ว่าสินทรัพย์มีค่าเท่าใด
เนื่องจาก
สินทรัพย์เท่ากับส่วนได้เสีย
มูลค่าตลาดของส่วนได้เสียคุณเป็นเท่าใด?
เราหาไปแล้ว
เรามี 11 ล้านหุ้นตอนนี้
สมมุติว่าหุ้นตกลงมาเหลือ $10 ต่อหุ้น
ด้วยเหตุผลประหลาด
หรือไม่ประหลาดก็ตาม
market cap จะเป็นเท่าใด? $10 ต่อหุ้น
11 ล้านหุ้น เรา
มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด $110 ล้าน
เราคิดมูลค่าตามตลาด
และเราจะพูดถึงความแตกต่างระหว่าง
มูลค่าตามตลาดกับตามบัญชี
ต่อไป
แต่นี่คือมูลค่าตลาดของส่วนได้เสีย
แล้วหนี้สินของคุณเป็นเท่าใด?
เรายืมเงินมา $3 ล้าน บวก 3 ล้าน
เราก็บอกได้ว่า รวมแล้วมูลค่าตามตลาดของ
สินทรัพย์ ตลาดคิดว่าทางซ้ายมือทั้งหมด
จะมีค่าเท่ากับมูลค่าของหุ้น
market cap ของบริษัท บวกปริมาณหนี้
ซึ่งเท่ากับ $113 ล้าน
มูลค่าของสินทรัพย์เหล่านี้
จึงเท่ากับ $113 ล้าน
และมันก็เกือบเป็นมูลค่าสุทธิ
ของกิจการบริษัทแล้ว
สินทรัพย์ของบริษัทมีค่าเท่าใด?
เราจะพูดถึง -- มูลค่าสุทธิของกิจการ
จริงๆ แตกต่างนิดหน่อย
เราจะพูดถึงในอนาคต
แต่มันก็คือวิธีที่คุณมองมูลค่า
ของบริษัท
หลายคนเวลาคิด
มูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด
เขาบอกว่า โอ้ นั่นคือ
มูลค่าของบริษัท
แต่ไม่ใช่ นั่นคือมูลค่าของส่วนได้เสีย
มูลค่าหลักทรัพย์ตามหลักทรัพย์
คือมูลค่าของส่วนได้เสีย
ถ้าคุณอยากรู้ว่าทั้งบริษัทมีมูลค่าเท่าใด
คุณต้อง
นำ market cap มาแล้วบวกหนี้สิน
อีกวิธี -- ผมไม่อยากทำให้ซับซ้อนเกิน
เพราะผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมหมดเวลาอีกแล้ว
แล้วพบกันใหม่ในวิดีโอหน้าครับ