เป็นเวลานานหลายปีถึงปัจจุบัน เราวุ่นอยู่ในการถกเถียงระดับชาติ เกียวกับการทำร้ายทางเพศในบริเวณมหาวิทยาลัย ไม่ต้องสงสัย -- ว่ามันสำคัญยิ่ง ที่คนหนุ่มสาวต้องเข้าใจ หลักพื้นฐานว่าด้วยการยินยอมเห็นพ้อง แต่นั่นเป็นที่ซึ่งการสนทนา เกี่ยวกับเรื่องเพศ กำลังจะสิ้นสุดลง และในสุญญากาศของข้อมูลนั่น สื่อและอินเทอร์เน็ต -- ซึ่งเป็นธุรกิจดิจิทัลยุคใหม่ -- กำลังสั่งสอนลูก ๆ ของเราแทนพวกเรา ถ้าเราต้องการให้คนหนุ่มสาว สร้างสัมพันธ์กันอย่างปลอดภัย มีจริยธรรม และ ใช่ค่ะ เพลิดเพลินไปด้วยในตัว ถึงเวลาที่ต้องมีการอภิปรายอย่างตรงไปตรงมา ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากตอบว่า "ตกลง" และนั่นรวมไปถึงการทำลาย สิ่งต้องห้ามที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของทั้งหมด และการพูดคุยกับคนหนุ่มสาว เกี่ยวกับความสามารถ และสิทธิโดยชอบธรรม ของผู้หญิงที่จะมีความพึงพอใจทางเพศ ค่ะ (เสียงปรบมือ) เถอะน่ะ สุภาพสตรีทั้งหลาย (เสียงปรบมือ) ฉันได้ใช้เวลานานสามปี พูดคุยกับหญิงสาว อายุระหว่าง 15-20 ปี ว่าด้วยทัศนคติและประสบการณ์ เกี่ยวกับเซ็กซ์ของพวกเธอ สิ่งที่ฉันค้นพบก็คือ ในขณะที่หญิงสาวอาจรู้สึกถึงสิทธิ์ ที่จะมีพฤติกรรมทางเพศ พวกเธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกถึงสิทธิ์ ที่จะสนุกกับมัน มาดูนักศึกษาปีสอง จากมหาวิทยาลัยกลุ่มไอวีลีก ที่บอกฉันว่า "ฉันสืบเชื้อสายอันยาวนาน มาจากผู้หญิงที่เข็มแข็งและฉลาด คุณยายฉันเป็นคนที่โดดเด่น สวยน่าตื่นตาตื่นใจ แม่ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพ พี่สาวและตัวฉันก็ฉูดฉาดจัดจ้าน และนั่นเป็นรูปแบบของพลังอำนาจสตรี" แล้วเธอก็เล่าให้ฉันฟังต่อ เรื่องชีวิตเซ็กซ์ของเธอ: เรื่องราวว่าด้วยการหลับนอน กับผู้ชายเพียงคืนเดียว เรื่อยมาตั้งแต่เธออายุ 13 ปี นั่นมัน... ไม่มีความรับผิดชอบอย่างยิ่ง ไม่ใช่การตอบแทนซึ่งกันและกัน และไม่มีความสุขเอาเสียเลย เธอยักไหล่ "ฉันว่า ผู้หญิงอย่างเราเป็นสัตว์สังคม ทำตัวเป็นมนุษย์ที่ว่านอนสอนง่าย ซึ่งไม่แสดงออกถึงความต้องการ หรือความจำเป็นของเรา" "เดี๋ยวก่อนนะ" ฉันบอก "เธอไม่ได้เพิ่งจะบอกฉันหรอกหรือ เธอเป็นหญิงที่ฉลาด เข้มแข็ง" เธอพึมพัมอยู่ในลำคอ "ฉันคิดว่า ไม่มีใครบอกฉันว่า ภาพลักษณ์ของความฉลาด และเข้มแข็งนั้น ใช้กับเรื่องเพศได้ด้วย" ฉันน่าจะต้องบอกไปตอนนั้นแน่ ๆ ว่า ถึงแม้จะมีการหลอกลวงอย่างนั้น พวกวัยรุ่นปัจจุบันไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กัน บ่อยกว่า หรือเมื่อมีอายุน้อยลงกว่าเดิม เมื่อเทียบกับ 25 ปีก่อน แต่พวกเขากำลังทำพฤติกรรมอื่น และเมื่อเราไม่สนใจสิ่งที่ว่านั้น เราบอกว่ามัน "ไม่ใช่การมีเซ็กซ์" เท่ากับว่าเราเปิดประตู ให้กับพฤติกรรมที่เสี่ยงและหยาบโลน มันเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับออรัลเซ็กซ์ ซึ่งวัยรุ่นเห็นกันว่า มันใกล้ชิดกันน้อยกว่าการร่วมเพศ เด็กสาวก็จะบอกฉันว่า "ไม่ใช่เรื่องใหญ่" เหมือนกับว่าพวกเธอทั้งหมด อ่านคู่มือเล่มเดียวกัน -- อย่างน้อยที่สุด ถ้าฝ่ายชายอยู่ฝั่งผู้รับ เด็กสาวมีเหตุผลหลายอย่าง ในการที่จะเข้าร่วม มันทำให้พวกเธอรู้สึกว่า เป็นที่ต้องการ มันเป็นวิธีที่จะส่งเสริมสถานะทางสังคม บางครั้ง มันก็เป็นการหาทางออก จากสถานการณ์ที่ไม่สบายใจ เด็กปีหนึ่งจากวิทยาลัยเวสต์โคสต์ บอกกับฉันว่า "ท้ายที่สุดแล้ว ฝ่ายหญิงจะยอมทำออรัลเซ็กซ์ให้กับฝ่ายชาย เพราะว่าเธอไม่ต้องการร่วมเพศกับเขา และฝ่ายชายก็คาดหมายว่าจะพึงพอใจ ดังนั้น ถ้าฉันต้องการให้เขาจากไปเสีย และไม่ต้องการที่จะให้มีอะไรเกิดขึ้น..." ฉันได้ยินได้ฟังเรื่องราวมามากมาย เกี่ยวกับฝ่ายหญิงที่ทำออรัลเซ็กซ์ข้างเดียว จนกระทั่งต้องเริ่มตั้งคำถาม "สมมุติว่าทุกครั้ง ที่คุณอยู่ตามลำพังกับผู้ชาย และเขาบอกให้คุณ เดินไปหยิบน้ำมาจากในครัว โดยที่เขาก็ไม่เคยไปเอานํ้ามาให้คุณเลย -- หรือถ้าเขาทำ ก็จะเป็นแบบนี้... 'คุณอยากให้ฉัน เอ่อ... ' " มันน่ารังเกียจมาก คุณน่าจะทนมันไม่ได้ แต่มันไม่ใช่เสมอไปว่า เด็กผู้ชายไม่ต้องการ มันเป็นว่าเด็กสาวไม่ต้องการให้พวกผู้ชายทำ เด็กสาวมีความรู้สึกอับอาย เกี่ยวกับอวัยวะเพศของเธอ มันคือความรู้สึกนึกคิด ว่าทั้งเหนอะหนะและแตะต้องมิได้ ความรู้สึกที่ผู้หญิง มีต่ออวัยวะเพศของเธอ ได้ถูกเชื่อมโยงโดยตรงเข้ากับ ความสนุกทางเพศของพวกเธอ เด็บบี เฮอเบนิก นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยอินเดียนา เชื่อว่าภาพลักษณ์ต่ออวัยวะเพศของตัวเอง ของเด็กสาวนั้นกำลังถูกโจมตีอย่างรุนแรง ด้วยความกดดันมากกว่าที่เคย ทำให้คิดว่า พวกมันไม่ได้รับการยอมรับ ในสภาพที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ จากงานวิจัย ประมาณสามในสี่ของนักศึกษาหญิง โกนขนหัวหน่าว -- ออกทั้งหมด-- อย่างน้อยที่สุดก็เป็นครั้งคราว และกว่าครึ่งทำอย่างนั้นเป็นประจำ เธอจะบอกฉันว่า การกำจัดขน ทำให้พวกเธอรู้สึกว่าสะอาดขึ้น และบอกว่าเป็นทางเลือกส่วนตัว แต่ฉันก็รู้สึกสงสัยอยู่ว่า หากถูกทิ้งไว้คนเดียวบนเกาะร้าง เธอจะเลือกใช้เวลาไปกับ การทำสิ่งนี้มั้ย (เสียงหัวเราะ) และเมื่อฉันเร่งเร้าถามต่อ แรงจูงใจที่หม่นหมองลงก็ปรากฏขึ้น: เพื่อหลีกเลี่ยงความอับอายขายหน้า "พวกผู้ชายทำตัวเหมือนกับจะรังเกียจมัน" หญิงสาวคนหนึ่งเล่าให้ฉันฟัง "ไม่มีใครต้องการจะถูกพูดถึงอย่างนั้น" การโกนขนหัวหน่าวที่เพิ่มขึ้น ทำให้นึกถึงยุค 1920s ช่วงที่ผู้หญิงเริ่มที่จะ โกนขนรักแร้และที่ขาเป็นประจำ นั่นเป็นตอนที่แฟชันแฟลปเปอร์เริ่มเข้ามา และทันใดนั้น แขนขาของผู้หญิงก็มองเห็นได้ เปิดให้สาธารณชนเพ่งพินิจ ฉันคิดว่านี่เป็นสัญญาณ ที่เปิดช่องให้สังคมมาร่วมพิจารณา ของสงวนของผู้หญิง เปิดให้วิพากวิจารณ์ เพื่อจะให้กลายเป็นว่า มันดูเป็นอย่างไรสำหรับคนอื่น มากกว่าที่ว่าเธอรู้สึกกับมันอย่างไร แนวโน้มในการโกนได้จุดประกาย ให้เกิดศัลยกรรมตกแต่งแคมอวัยวะเพศขึ้นมา ศัลยกรรมตกแต่งแคม ซึ่งก็คือ การเล็มอวัยวะเพศด้านในและด้านนอก เป็นศัลยกรรมตกแต่งที่เติบโตเร็วที่สุด ในท่ามกลางเด็กสาววัยรุ่น พุ่งสูงขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างปี คศ 2014 และ 2015 ขณะที่เด็กสาวอายุตํ่ากว่า 18 ปี มีอยู่สองเปอร์เซ็นต์ ของศัลยกรรมตกแต่ง เด็กสาววัยรุ่น เป็นห้าเปอร์เซ็นต์ ของศัลยกรรมตกแต่งแคมอวัยวะเพศ ภาพลักษณ์ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดนั้น ซึ่งแคมด้านในดูเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมือนกับหอยกาบ เรียกว่า ... คอยหน่อยนะ ... "ตุ๊กตาบาบี" (เสียงคราง) ฉันเชื่อใจว่า ไม่ต้องบอกคุณก็ได้ว่า บาบีนั้น อย่างแรก ทำมาจากพลาสติก และอย่างที่สอง ไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ (เสียงหัวเราะ) แนวโน้มศัลยกรรมตกแต่งแคมอวัยวะเพศ ได้กลายเป็นเรื่องน่าวิตก มากเสียจนกระทั่งวิทยาลัยแห่งสูติกรรม และนรีเวชอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์เรื่องกระบวนการทำ ซึ่งไม่ค่อยจะมีระบุไว้ทางการแพทย์ กระบวนการซึ่งไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าปลอดภัย และผลข้างเคียงของมันรวมถึง แผลเป็น อาการชา ความเจ็บปวด และความรู้สึกทางเพศที่ลดถอยลงไป ปัจจุบัน ยอมรับกัน และโล่งใจไปได้ว่า จำนวนหญิงสาวที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ยังคงค่อนข้างน้อย แต่คุณก็น่าจะเห็นมันเป็น การเตือนภัยล่วงหน้า บอกเราถึงบางอย่างที่สำคัญเกี่ยวกับ เรื่องที่ผู้หญิงมองร่างกายของตนเองอย่างไร ซาร่า แม็คเคลแลนด์ นักจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน คิดคำขึ้นมา ซึ่งเป็นคำที่ฉันชอบตลอดมา ในการพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด คำว่า "ความเป็นธรรมที่ใกล้ชิดสนิทสนม" นั่นคือ แนวคิดที่ว่าเพศมีนัยทางการเมือง เท่าๆ กับนัยส่วนตัว ก็เหมือนกับ ใครเป็นคนล้างจานในบ้านของคุณ หรือไม่ก็ ใครเป็นคนดูดฝุ่นพรม และมันชูปัญหาที่คล้ายกันขึ้นมา เกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกัน เกี่ยวกับความไม่เสมอกันทางเศรษฐกิจ ความรุนแรง สุขภาพทางร่างกายและจิตใจ ความเป็นธรรมที่ใกล้ชิดสนิทสนม ขอให้เราพิจารณา ว่าใครได้รับสิทธิเพื่อร่วมกระทำ ในประสบการณ์หนึ่ง ใครได้รับสิทธิที่จะสนุกสนานกับมัน ใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์อันดับแรก จะให้คำจำกัดความแก่ผู้ร่วมกระทำแต่ละคนว่า "ดีพอ" อย่างไร อย่างสัตย์ซื่อ ฉันคิดว่าคำถามเหล่านั้น เจ้าเล่ห์ และบางครั้งก็ทำให้บอบชํ้า สำหรับผู้หญิงที่เติบใหญ่จะเผชิญ แต่เมื่อเราพูดถึงเด็กสาว ฉันก็แค่ยังคงกลับมาที่แนวคิดว่า ประสบการณ์ทางเพศตอนต้นๆ ไม่ควรจะต้องเป็นบางอย่างที่พวกเธอผ่านพ้นไป ในงานของเธอ แม็คเคลแลนด์พบว่า หญิงสาวดูน่าจะใช้ ความสุขของคู่ขาของเธอ เป็นวิธีวัดความพึงพอใจของเขาทั้งสอง มากกว่าพวกเด็กหนุ่ม พวกเธอจึงพูดบางอย่าง เช่น "ถ้าหากเขาพึงพอใจทางเพศ แล้วละก็ ฉันก็จะพึงพอใจทางเพศ" เด็กหนุ่มน่าจะวัดพึงพอใจของเขามากกว่า จากการถึงจุดสุดยอดของความรู้สึกทางเพศของตน หญิงสาวยังให้คำจำกัดความของ การมีสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่ดี แตกต่างออกไป การสำรวจครั้งใหญ่สุดเท่าที่มี ที่เคยทำกันมา ในเรื่องพฤติกรรมทางเพศ ของคนอเมริกัน พวกเขารายงานถึงความเจ็บปวด ในการคบกันทางเพศของพวกเขา 30 เปอร์เซ็นของเวลาเหล่านั้น พวกเขายังใช้คำเช่น "ห่อเหี่ยวใจ" "น่าอับอายขายหน้า" "เสื่อมเสีย" คนหนุ่มไม่เคยใช้ภาษาเหล่านั้น ดังนั้นเมื่อหญิงสาวรายงาน ระดับความพึงพอใจทางเพศ ว่าเท่าเทียมหรือยิ่งใหญ่กว่าของคนหนุ่ม -- เธอบอกอย่างนั้น ในวิจัย -- นั่นสามารถหลอกลวงได้ ถ้าเด็กสาวเข้าไปคบกันทางเพศ หวังว่าจะไม่เจ็บชํ้า ต้องการจะรู้สึกใกล้ชิดกับคู่ขาของเธอ และคาดหมายว่าเขาจะถึงจุดสุดยอดทางเพศ เธอก็จะพอใจถ้าบรรลุถึงเกณฑ์เหล่านั้น และก็ไม่มีอะไรผิด กับความต้องการ ที่จะรู้สึกใกล้ชิดกับคู่ขาของคุณ หรือต้องการจะให้เขามีความสุข การถึงจุดสุดยอดทางเพศ ไม่ได้เป็นการวัดเพียงอย่างเดียว แต่การไม่มีความเจ็บปวด -- ก็เป็นมาตรฐานขั้นตํ่ามาก สำหรับความสำเร็จทางเพศของตัวคุณเอง เมื่อฟังทั้งหมดนี้แล้ว และคิดเกี่ยวกับมัน ฉันเริ่มตระหนักว่า เราได้กระทำรูปแบบหนึ่ง ของการขลิบปุ่มกระสันเชิงจิตวิทยา กับเด็กสาวอเมริกัน เริ่มต้นในวัยทารก พ่อแม่ของเด็กชาย ดูน่าจะเป็นไปได้มากกว่า ที่จะบอกชื่อส่วนของร่างกายเด็กทั้งหมด อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะพูด "ตรงนี้ ฉี่นะ" พ่อแม่ของเด็กเพศหญิง ก็จะออกไปจากสะดือ ถึงหัวเข่า และพวกเขาก็จะทิ้งสถานการณ์ทั้งหมดนี้ ตรงนี้ ไม่มีชื่อเรียก (เสียงหัวเราะ) ไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้ เพื่อทำให้บางสิ่งบางอย่างที่พูดถึงไม่ได้ กว่าการไม่เรียกชื่อมัน แล้วเด็กๆ ก็เข้าเรียนวิชา ภาวะการเข้าสู่วัยหนุ่มสาว และก็เรียนรู้ว่า เด็กชายจะมี อวัยวะเพศตั้งตรงและการพุ่งของอสุจิ และเด็กหญิงจะมี ... ประจำเดือนและการตั้งท้อง ที่ไม่เป็นที่ต้องการ และพวกเขาก็เห็นว่าแผนภูมิภายใน ของระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง -- อย่างที่รู้กัน แผนภูมิที่ดูเหมือนอย่างกับ หัววัวตัวผู้ (เสียงหัวเราะ) และมันก็จะเป็นสีเทาๆออกมาระหว่างขาเสมอ เราจึงไม่เคยพูดคำว่า แคมช่องคลอด และแน่นอน เราไม่เคยพูดว่า ปุ่มกระสัน ไม่ต้องสงสัย น้อยกว่าครึ่งของเด็กหญิงวัยรุ่น อายุ 14-17 ปี เคยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง แล้วพวกเธอก็เข้าไปหาประสบการณ์ จากคู่ขาของตน และเราก็คาดหมายว่า จะยังไงก็ตาม พวกเขาก็จะคิดว่า เพศสัมพันธ์เกี่ยวกับเขา ซึ่งเขาสามารถจะพูดออกมาชัดเจนได้ถึง ความ ต้องการ ความรู้สึกทางเพศ ขอบเขตจำกัดของเขา มันไม่เป็นความจริง แต่ ตรงนี้เป็นบางอย่าง การลงทุนของเด็กสาว ในเรื่องความพึงพอใจของคู่ขา ก็ยังคงมีอยู่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงเพศของคู่ขาคนนั้น ดังนั้น ในการคบกันของเพศเดียวกัน ช่องว่างของการถึงจุดสุดยอดทางเพศ จึงหายไป และหญิงสาวถึงจุดสุดยอด ที่อัตราเร็วเท่าๆ กับผู้ชาย สาวที่ชอบเพศเดียวกัน และที่ตอบสนองทั้งสองเพศ บอกฉันว่า พวกเขารู้สึกว่าเป็นอิสระ ที่ออกมาเสียได้จากที่ได้ถูกคาดหมายไว้ -- เป็นอิสระที่จะสร้างขึ้นมา การคบกันที่ใช้การได้ สำหรับพวกเขา หญิงร่วมเพศยังท้าทายแนวคิด เรื่องการร่วมเพศกันครั้งแรก ว่าคือ ความหมายของความเป็นหญิงพรหมจารี ไม่ใช่เพราะว่าการร่วมเพศไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันคุ้มค่าที่จะตั้งคำถามว่า ทำไม เราจึงเห็นเรื่องนี้ว่า สั้นๆ แค่ฉากเดียว ซึ่งเด็กสาวส่วนใหญ่เชื่อมเข้ากับ ความไม่สบาย หรือความเจ็บปวด เป็นเส้นที่ขีดเขียนไว้บนพื้นทราย ของความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้านเพศ -- มีความหมายมากมายเหลือเกิน เปลี่ยนแปลงได้มากกว่าสิ่งอื่นๆมากมายนัก และมันก็คุ้มค่าที่จะพิจารณาเห็นได้ว่า มันกำลังรับใช้เด็กสาวอยู่อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันพวกเขา จากโรคภัย การบีบบังคับขู่เข็ญ การทรยศหักหลัง การข่มขีน ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมความผูกพันซึ่งกัน และกัน ความสนใจใยดี มันหมายถึงอะไร เกี่ยวกับวิธีที่เขาเห็น การร่วมเพศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น มันช่วยให้พวกเขา ควบคุมตัวเอง และสนุกในประสบการณ์ ของพวกเขามากขึ้น และมันหมายถึงอะไรเกี่ยวกับ พวกรักร่วมเพศวัยรุ่น ผู้ที่สามารถมีคู่ขาเป็นจำนวนมาก โดยไม่มีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ฉันจึงถามเด็กสาวรักร่วมเพศที่พบคนหนึ่ง "จะรู้ได้อย่างไรว่า ไม่เป็นสาวพรหมจรรย์แล้ว" เธอบอก ต้องเข้าไปค้นดูในกูเกิล (เสียงหัวเราะ) และกูเกิลก็ไม่แน่ใจ (เสียงหัวเราะ) ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ว่า เธอไม่ได้เป็นสาวพรหมจรรย์แล้ว หลังจากที่เธอรู้สึกถึงจุดสุดยอดทางเพศ กับคู่ขาของเธอ และฉันก็คิด -- ว้าว สมมุติว่าแค่วินาทีเดียว เราจินตนาการดูว่า นั่นเป็นคำจำกัดความหรือ นั่นเหละ ไม่ใช่เพราะการร่วมเพศ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ -- แน่นอน มันเป็นเรื่องใหญ่ -- แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เพียงเรื่องเดียว และแทนที่จะคิดถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ ว่าเป็นการแข่งขันไปให้ถึงเป้าหมาย ให้คิดว่าสิ่งนี้ช่วยเรา สร้างกรอบความคิด ขึ้นมาใหม่ เหมือนสระที่สะสมประสบการณ์ ที่มีความอบอุ่น ความรักใคร่ ความเร้าอารมณ์ ความปรารถนา สัมผัส ความใกล้ชิด และมันคุ้มค่าที่จะถามคนหนุ่มสาวว่า ใครที่แท้จริงแล้ว เป็นบุคคล ที่มีประสบการณ์ทางเพศมากกว่า คนที่มีเพศสัมพันธ์เล้าโลมคู่ขา ได้นานสามชั่วโมง และทดลองเรื่อง ความตึง ในการกระตุ้นความรู้สึก และการสื่อสารถึงกัน หรือ ใครที่เมาแอ๋ในงานปาร์ตี้ และก็เริ่มสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จักมักคุ้น เพื่อที่จะทิ้ง "ความเป็นสาวพรหมจรรย์" ไปเสีย ก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม วิธีเดียวที่เปลี่ยน ในเรื่องความคิด สามารถเกิดขึ้นได้ คือ หากเราพูดคุยกับเด็กหนุ่มสาวให้มากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ ถ้าเราทำให้การถกเถียงกันนั้นเป็นเรื่องปกติ ผสมผสานมันเข้าไปในชีวิตประจำวัน คุยกันเรื่องการปฏิบัติที่ใกล้ชิดสนิท เหล่านั้น ด้วยวิธีที่ต่างออกไป -- วิธีการที่พวกเราส่วนมากได้เปลี่ยนมันไป ในแบบที่เราพูดคุยกับผู้หญิง ในขอบเขตของสาธารณะ ลองพิจารณา การสำรวจเด็กสาว ที่คัดเลือกมา 300 คน โดยวิธีการสุ่มเลือก จากมหาวิทยาลัยดัช และอเมริกา สองมหาวิทยาลัยที่คล้ายคลึงกัน พูดคุยกันเกี่ยวกับประสบการณ์เพศสัมพันธ์ ตอนแรกๆ ของพวกเขา เด็กสาวชาวดัชมีรวมอยู่ทุกอย่าง ที่เราบอกว่า เราต้องการจากเด็กสาวของเรา พวกเธอมีผลพวงที่ตามในเชิงลบน้อยกว่า เช่น โรคภัย การตั้งครรภ์ ความเสียใจ -- มีผลพวงที่ตามมาในเชิงบวกมากกว่า เช่น สามารถสื่อสารกับคู่ขาได้ คนที่พวกเธอบอกว่ารู้จักเป็นอย่างดี เตรียมตัวเพื่อประสบการณ์ที่ว่านั้น อย่างรับผิดชอบ ตัวเองก็สนุกสนาน อะไรคือเคล็ดลับของเธอหรือ เด็กสาวชาวดัชบอกว่า แพทย์ของพวกเธอ ครู และพ่อแม่ พูดคุยกับพวกเธออย่างตรงไปตรงมา มาตั้งแต่อายุยังน้อย เกี่ยวกับเรื่องเพศ ความพึงพอใจ และความสำคัญของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน นอกจากนี้แล้ว ในขณะที่พ่อแม่ของคนอเมริกันไม่จำเป็นต้อง รู้สึกอึดอัดน้อยกว่า เมื่อพูดเรื่องทางเพศ พวกเรามีแนวโน้วที่จะวางกรอบการสนธนา ทั้งหมดไป ในแง่ของความเสี่ยงและอันตราย ขณะที่พ่อแม่ชาวดัช พูดคุยเรื่องความสมดุล ระหว่างความรับผิดชอบกับความสนุก ฉันเองต้องบอกคุณ ในฐานะที่ตนเองเป็นแม่ ว่า กระทบอารมณ์ความรู้สึกอย่างแรง เพราะฉันรู้ว่า ถ้าไม่ได้ขุดคุ้ยงานวิจัยนั้น ฉันก็คงจะพูดคุยกับลูกของตน เกี่ยวกับการคุมกำเนิด เกี่ยวกับการป้องกันโรค เกี่ยวกับการยินยอม เพราะว่า ฉันเป็นแม่สมัยใหม่ และฉันก็คงจะคิดไปว่า -- ทำงานได้ดี ขณะนี้ฉันรู้ว่า นั่นยังไม่พอ ยังรู้อีกด้วยถึงสิ่งที่ฉันหวังไว้ สำหรับลูกสาวของเรา ฉันต้องการให้พวกเธอนั้น เห็นเรื่องทางเพศ เป็นแหล่งของการรู้จักตนเอง การสร้างสรรค์ และการสื่อสาร แม้จะมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากมัน ฉันต้องการให้พวกเธอสามารถ สนุกสนานเฮฮาในกามารมณ์ โดยไม่มีการถูกทำให้ลดลงไป ฉันต้องการให้พวกเธอสามารถขอ ในสิ่งที่เธอต้องการบนเตียงได้ และให้ได้ที่ต้องการ ฉันต้องการให้พวกเธอปลอดภัย จากการตั้งครรภ์ ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ โรค ความทารุณโหดร้าย การลดทอนความเป็นมนุษย์ลงไป ความรุนแรง ถ้าพวกเธอถูกทำร้าย ฉันต้องการให้พวกเธอขอความช่วยเหลือ จากโรงเรียนของเธอ ผู้จ้างงานของเธอ ศาล มากมายนักที่จะขอได้ แต่ก็ไม่ได้มากเกินไป ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ ครู ผู้สนับสนุน และ นักปฏิบัติการ พวกเราได้เลี้ยงดูเด็กสาวขึ้นมารุ่นหนึ่ง ให้มีเสียงแสดงความคิดเห็น ให้คาดหมายการดูแลโดยยึดหลักความเสมอภาค ในบ้าน ในชั้นเรียน ในที่ทำงาน ขณะนี้ถึงเวลาแล้ว ที่จะเรียกร้องในเรื่อง ความเป็นธรรมที่ใกล้ชิดสนิทสนม ในชีวิตส่วนตัวของพวกเธอ เช่นกัน ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ)