1 00:00:00,000 --> 00:00:03,000 ผมจะเริ่มจากวีดีโอนี้ 2 00:00:09,000 --> 00:00:12,000 ใช่ครับ มันคือไข่ที่ถูกตีแล้ว 3 00:00:13,000 --> 00:00:15,000 แต่เมื่อคุณมองไป 4 00:00:15,000 --> 00:00:17,000 ผมหวังว่าคุณจะเริ่มรู้สึก 5 00:00:17,000 --> 00:00:20,000 แปลกตาไปเล็กน้อย 6 00:00:21,000 --> 00:00:24,000 เพราะคุณจะเห็นว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น 7 00:00:24,000 --> 00:00:27,000 คือไข่ใบนั้นกำลังกลับเข้ารูปเข้าร่าง 8 00:00:27,000 --> 00:00:29,000 คุณจะเห็นว่า ไข่ขาวกับไข่แดงถูกแยกออกจากกัน 9 00:00:29,000 --> 00:00:32,000 และมันกำลังย้อนกลับขึ้นไปอยู่ในเปลือกไข่ 10 00:00:32,000 --> 00:00:35,000 และเรารู้อยู่แก่ใจของเรา 11 00:00:35,000 --> 00:00:38,000 ว่านี่ไม่ใช่หนทางของจักรวาล 12 00:00:39,000 --> 00:00:42,000 ไข่คนเป็นของที่เละเทะ มันอร่อย แต่ก็เละ 13 00:00:42,000 --> 00:00:45,000 แต่ไข่ฟองหนึ่งมันช่างสวยงาม ซับซ้อนเหลือเกิน 14 00:00:45,000 --> 00:00:47,000 ที่ยังสามารถสร้างสิ่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่าได้อีก 15 00:00:47,000 --> 00:00:49,000 เช่น ไข่กลายเป็นไก่ 16 00:00:49,000 --> 00:00:51,000 และเรารู้อยู่แก่ใจ 17 00:00:51,000 --> 00:00:53,000 ว่าจักรวาลไม่ได้เดินหน้า 18 00:00:53,000 --> 00:00:55,000 จากสิ่งเละๆ กลายเป็นความซับซ้อน 19 00:00:55,000 --> 00:00:57,000 ที่จริง ความรู้สึกนึ้ 20 00:00:57,000 --> 00:01:00,000 ถูกบรรยายด้วยกฎรากฐานของฟิสิกส์ 21 00:01:00,000 --> 00:01:03,000 กฎของอุณหพลศาสตร์ข้อที่สอง หรือกฎของเอนโทรปี 22 00:01:03,000 --> 00:01:05,000 นั่นก็คือ 23 00:01:05,000 --> 00:01:08,000 แนวโน้มทั่วไปของจักรวาล 24 00:01:08,000 --> 00:01:10,000 คือการย้ายจากความเป็นระเบียบ 25 00:01:10,000 --> 00:01:12,000 และมีโครงสร้าง 26 00:01:12,000 --> 00:01:14,000 ไปสู่ความไม่มีระเบียบ และไม่มีโครงสร้าง 27 00:01:14,000 --> 00:01:16,000 ที่จริง ก็คือกลายเป็นของเละเทะนั่นแหละ 28 00:01:16,000 --> 00:01:18,000 และนั่นก็คือเหตุผลที่วีดีโอนี้ 29 00:01:18,000 --> 00:01:20,000 มันดูแปลกๆ 30 00:01:20,000 --> 00:01:22,000 แต่กระนั้น 31 00:01:22,000 --> 00:01:24,000 ลองมองไปรอบๆตัวเราดูสิ 32 00:01:24,000 --> 00:01:26,000 สิ่งที่เราเห็นรอบตัว 33 00:01:26,000 --> 00:01:28,000 คือความซับซ้อนอย่างมหาศาล 34 00:01:28,000 --> 00:01:31,000 เอริค ไบน์ฮอคเกอร์ ประเมินไว้ว่า ในนิวยอร์ค ซิตี้เพียงเมืองเดียว 35 00:01:31,000 --> 00:01:35,000 มีสินค้าที่แตกต่างกันประมาณ 1 หมื่นล้านชิ้น วางจำหน่ายอยู่ 36 00:01:35,000 --> 00:01:38,000 คิดเป็นหลายร้อยเท่าของจำนวนสปีชีส์ 37 00:01:38,000 --> 00:01:40,000 ที่มีบนโลกใบนี้ 38 00:01:40,000 --> 00:01:42,000 และมันถูกค้าขายโดยสปีชีส์เดียว 39 00:01:42,000 --> 00:01:44,000 ที่มีเกือบ 7 พันล้านตัว 40 00:01:44,000 --> 00:01:47,000 ผู้ซึ่งถูกเชื่อมโยงด้วยการค้า การเดินทาง และอินเตอร์เน็ต 41 00:01:47,000 --> 00:01:49,000 เข้าสู่ระบบระดับโลก 42 00:01:49,000 --> 00:01:52,000 ที่มีความซับซ้อนอย่างมหัศจรรย์ 43 00:01:52,000 --> 00:01:54,000 และนี่คือคำถามที่ย่ิงใหญ่ 44 00:01:54,000 --> 00:01:56,000 ในจักรวาล 45 00:01:56,000 --> 00:01:59,000 ที่มีกฎอุณหพลศาสตร์ข้อที่สองกำกับอยู่ 46 00:01:59,000 --> 00:02:01,000 มันเป็นไปได้อย่างไร 47 00:02:01,000 --> 00:02:04,000 ที่เราจะมีความซับซ้อนมากมายดังที่ผมกล่าวถึง -- 48 00:02:04,000 --> 00:02:07,000 ความซับซ้อนในแบบที่ผมและคุณก็มีอยู่ในตัว 49 00:02:07,000 --> 00:02:10,000 หรือรวมไปถึงศูนย์ประชุมแบบนี้ 50 00:02:10,000 --> 00:02:13,000 คำตอบที่เป็นไปได้ก็คือ 51 00:02:13,000 --> 00:02:16,000 จักรวาลสามารถสร้างความซับซ้อนได้ 52 00:02:16,000 --> 00:02:18,000 แต่ด้วยความยากลำบากอย่างมาก 53 00:02:18,000 --> 00:02:20,000 กล่าวสั้นๆ 54 00:02:20,000 --> 00:02:22,000 มีบางสิ่งที่เพื่อนผม เฟรด สเปียร์ เรียกว่า 55 00:02:22,000 --> 00:02:24,000 "เงื่อนไขโกลดิลอกซ์" -- 56 00:02:24,000 --> 00:02:26,000 ไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไป 57 00:02:26,000 --> 00:02:29,000 เหมาะสมสำหรับการสร้างความซับซ้อนพอดิบพอดี 58 00:02:29,000 --> 00:02:31,000 ณ จุดนั้น สิ่งที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ก็จะเกิดขึ้น 59 00:02:31,000 --> 00:02:33,000 และเมื่อมีความซับซ้อนมากขึ้น 60 00:02:33,000 --> 00:02:35,000 เราก็จะได้เห็นความซับซ้อนที่มากขึ้นไปอีก 61 00:02:35,000 --> 00:02:38,000 และนี่คือวิธีที่ความซับซ้อนก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ 62 00:02:38,000 --> 00:02:40,000 ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป 63 00:02:40,000 --> 00:02:43,000 ในแต่ละช่วงนั้นก็เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ 64 00:02:43,000 --> 00:02:46,000 เพราะเราจะได้เห็นสิ่งใหม่เอี่ยม 65 00:02:46,000 --> 00:02:49,000 ที่อยู่ดีๆก็เกิดขึ้นในจักรวาลแห่งนี้ 66 00:02:49,000 --> 00:02:51,000 เราพูดถึงเหตุการณ์เหล่านี้ในประวัติศาสตร์ภาพใหญ่ 67 00:02:51,000 --> 00:02:53,000 ในฐานะชั่วขณะแห่งการเปลี่ยนแปลง 68 00:02:53,000 --> 00:02:55,000 และในแต่ละช่วงการเปลี่ยนแปลงนั้น 69 00:02:55,000 --> 00:02:57,000 การเดินหน้าต่อไปก็ยากลำบากขึ้น 70 00:02:57,000 --> 00:03:00,000 เพราะสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น ก็จะบอบบาง 71 00:03:00,000 --> 00:03:02,000 เสี่ยงจะถูกทำลายมากขึ้น 72 00:03:02,000 --> 00:03:05,000 เงื่อนไขในการเดินหน้าต่อก็รัดตัวขึ้น 73 00:03:05,000 --> 00:03:07,000 และมันก็ยากขึ้นเรื่อยๆ 74 00:03:07,000 --> 00:03:09,000 ในการสร้างความซับซ้อนต่อไป 75 00:03:09,000 --> 00:03:12,000 ในฐานะที่เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนมากๆ 76 00:03:12,000 --> 00:03:15,000 เราจำเป็นอย่างที่สุด ที่ต้องรู้เรื่องเหล่านี้ไว้ 77 00:03:15,000 --> 00:03:17,000 ว่าจักรวาลสร้างความซับซ้อนได้อย่างไร 78 00:03:17,000 --> 00:03:19,000 โดยก้าวผ่านกฎข้อที่สอง 79 00:03:19,000 --> 00:03:21,000 และทำไมความซับซ้อน 80 00:03:21,000 --> 00:03:23,000 ก็หมายถึงความเสี่ยง 81 00:03:23,000 --> 00:03:25,000 และความเปราะบาง 82 00:03:25,000 --> 00:03:28,000 และนั่นคือเรื่องราวที่เราเล่าในประวัติศาสตร์ภาพใหญ่ 83 00:03:28,000 --> 00:03:30,000 แต่ในการที่เราจะทำสิ่งนั้น เราอาจจะต้อง 84 00:03:30,000 --> 00:03:32,000 ทำในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ 85 00:03:32,000 --> 00:03:36,000 นั่นก็คือ เก็บข้อมูลประวัติศาสตร์จักรวาลทั้งหมด 86 00:03:37,000 --> 00:03:39,000 งั้นเรามาทำกันเถอะ 87 00:03:39,000 --> 00:03:41,000 (เสียงหัวเราะ) 88 00:03:41,000 --> 00:03:44,000 เราเริ่มจากย้อนเวลากลับไป 89 00:03:44,000 --> 00:03:47,000 สัก 13.7 พันล้านปีที่แล้ว 90 00:03:47,000 --> 00:03:50,000 ถึงจุดกำเนิดของกาลเวลา 91 00:03:57,000 --> 00:03:59,000 รอบๆตัวเรา ไม่มีอะไรเลย 92 00:03:59,000 --> 00:04:03,000 ไม่มีแม้กระทั่งกาลเวลา หรือปริภูมิ 93 00:04:03,000 --> 00:04:06,000 ลองนึกถึงสิ่งที่มืดที่สุด ที่ว่างที่สุด ที่คุณจะจินตนาการได้ 94 00:04:06,000 --> 00:04:08,000 และยกกำลังมันเข้าไปอีกเป็นล้านๆครั้ง 95 00:04:08,000 --> 00:04:10,000 และนั่นคือที่ที่เราอยู่ 96 00:04:10,000 --> 00:04:13,000 ในทันใดนั้น 97 00:04:13,000 --> 00:04:16,000 แบง! จักรวาลผุดขึ้นมา ทั้งจักรวาล 98 00:04:16,000 --> 00:04:18,000 และเราก็ได้ก้าวข้ามจุดเปลี่ยนแรก 99 00:04:18,000 --> 00:04:20,000 จักรวาลยังเล็กมากนัก เล็กกว่าอะตอมเสียอีก 100 00:04:20,000 --> 00:04:22,000 มันร้อนมาก 101 00:04:22,000 --> 00:04:24,000 ในตัวมัน มีทุกอย่างที่รวมกันเป็นจักรวาลทุกวันนี้ 102 00:04:24,000 --> 00:04:26,000 คุณคงนึกภาพออก มันกำลังคึกคักเลยทีเดียว 103 00:04:26,000 --> 00:04:29,000 และขยายตัวอย่างรวดเร็ว 104 00:04:29,000 --> 00:04:31,000 ตอนแรกมันก็เป็นแค่ภาพจางๆ ปกคลุมไปทั่ว 105 00:04:31,000 --> 00:04:34,000 จากนั้น เริ่มมีสิ่งแปลกใหม่เกิดขึ้นในหมอกจางๆ เหล่านั้น 106 00:04:34,000 --> 00:04:36,000 ภายในวินาทีแรก 107 00:04:36,000 --> 00:04:39,000 พลังงานแตกละเอียดออกเป็นกำลังชนิดต่างๆ 108 00:04:39,000 --> 00:04:41,000 รวมถึงพลังแม่เหล็กไฟฟ้า และแรงดึงดูด 109 00:04:41,000 --> 00:04:44,000 และพลังงานเหล่านี้ก็ร่ายเวทย์มนต์ 110 00:04:44,000 --> 00:04:47,000 ก่อตัวขึ้นกลายเป็นสสาร 111 00:04:47,000 --> 00:04:49,000 กลายเป็นควาร์กซึ่งกลายเป็นโปรตอน 112 00:04:49,000 --> 00:04:52,000 และเลปตอนที่มีอิเล็กตรอนด้วย 113 00:04:52,000 --> 00:04:54,000 และทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นภายในวินาทีแรก 114 00:04:54,000 --> 00:04:59,000 จากนั้น ลองเดินหน้าไปสัก 380,000 ปี 115 00:04:59,000 --> 00:05:02,000 คิดเป็นสองเท่าของระยะเวลาที่มนุษย์อาศัยอยู่บนโลกนี้ 116 00:05:02,000 --> 00:05:05,000 จากนั้น อะตอมพื้นฐานก็เริ่มเกิดขึ้น 117 00:05:05,000 --> 00:05:08,000 มีไฮโดรเจน และฮีเลียม 118 00:05:08,000 --> 00:05:10,000 ผมขอหยุดไว้ตรงนี้ก่อนชั่วคราว 119 00:05:10,000 --> 00:05:13,000 ที่ 380,000 ปีหลังจากการกำเนิดของจักรวาล 120 00:05:13,000 --> 00:05:15,000 เพราะเรารู้จักมันค่อนข้างดี 121 00:05:15,000 --> 00:05:17,000 เกี่ยวกับจักรวาล ณ เวลานี้ 122 00:05:17,000 --> 00:05:20,000 ที่สุดแล้ว เรารู้ว่ามันเรียบง่ายมาก 123 00:05:20,000 --> 00:05:22,000 มันมีกลุ่มควันใหญ่โต 124 00:05:22,000 --> 00:05:24,000 ที่ประกอบไปด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียม 125 00:05:24,000 --> 00:05:26,000 และมันไม่มีโครงสร้างใดๆทั้งสิ้น 126 00:05:26,000 --> 00:05:29,000 เป็นเพียงของเละๆในระดับจักรวาล 127 00:05:29,000 --> 00:05:31,000 แต่นั่นไม่ได้เป็นจริงทั้งหมด 128 00:05:31,000 --> 00:05:33,000 การศึกษาหลังๆมา 129 00:05:33,000 --> 00:05:36,000 โดยดาวเทียม เช่นดาวเทียม WMAP 130 00:05:36,000 --> 00:05:40,000 แสดงให้เห็นว่า มีความแตกต่างกันในพื้นหลัง 131 00:05:40,000 --> 00:05:42,000 สิ่งที่คุณเห็นอยู่นี้ 132 00:05:42,000 --> 00:05:45,000 บริเวณสีน้ำเงิน เย็นกว่าบริเวณสีแดง 133 00:05:45,000 --> 00:05:47,000 ประมาณ 1000 องศา 134 00:05:47,000 --> 00:05:49,000 ซึ่งเป็นเพียงความแตกต่างเล็กน้อย 135 00:05:49,000 --> 00:05:51,000 แต่ก็มากพอที่จะทำให้จักรวาลเดินหน้าต่อไปได้ 136 00:05:51,000 --> 00:05:53,000 สู่ความซับซ้อนขั้นต่อไป 137 00:05:53,000 --> 00:05:55,000 และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 138 00:05:55,000 --> 00:05:58,000 แรงดึงดูดจะแรงขึ้น 139 00:05:58,000 --> 00:06:00,000 เมื่อมีสสารอยู่มากขึ้น 140 00:06:00,000 --> 00:06:02,000 เพราะฉะนั้น เมื่อมีบริเวณที่หนาแน่นกว่าบริเวณอื่น 141 00:06:02,000 --> 00:06:04,000 แรงดึงดูดก็เริ่มดูดกลุ่มควัน 142 00:06:04,000 --> 00:06:06,000 ที่มีไฮโดรเจน และฮีเลียมเข้าด้วยกัน 143 00:06:06,000 --> 00:06:08,000 เราจินตนาการถึงจักรวาลแตกออก 144 00:06:08,000 --> 00:06:10,000 กลายเป็นกลุ่มควันล้านๆ กลุ่ม 145 00:06:10,000 --> 00:06:12,000 และแต่ละกลุ่ม ก็เริ่มรวมตัวเข้าหากัน 146 00:06:12,000 --> 00:06:15,000 แรงดึงดูดเพิ่มมากขึ้น เมื่อมันเริ่มรวมตัว 147 00:06:15,000 --> 00:06:17,000 อุณหภูมิในใจกลางกลุ่มควันก็เริ่มสูงขึ้น 148 00:06:17,000 --> 00:06:19,000 จากนั้น ในใจกลางของกลุ่มควันเหล่านั้น 149 00:06:19,000 --> 00:06:22,000 อุณหภูมิก้าวข้ามจุดเปลี่ยนแปลง 150 00:06:22,000 --> 00:06:24,000 ที่ 10 ล้านองศา 151 00:06:24,000 --> 00:06:26,000 โปรตอนเริ่มเข้าปฎิกิริยาฟิวชั่น 152 00:06:26,000 --> 00:06:29,000 จากนั้นก็มีการแผ่พลังงานจำนวนออกมา 153 00:06:29,000 --> 00:06:31,000 และ แบง! 154 00:06:31,000 --> 00:06:33,000 เราก็ได้ดาวฤกษ์ดวงแรก 155 00:06:33,000 --> 00:06:37,000 200 ล้านปีหลังบิ๊กแบง 156 00:06:37,000 --> 00:06:40,000 ดาวฤกษ์เริ่มผุดขึ้นทั่วจักรวาล 157 00:06:40,000 --> 00:06:42,000 เป็นพันๆล้านดวง 158 00:06:42,000 --> 00:06:45,000 และจักรวาลก็เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น 159 00:06:45,000 --> 00:06:48,000 และเริ่มซับซ้อนมากขึ้น 160 00:06:48,000 --> 00:06:50,000 ดาวฤกษ์เริ่มสร้างเงื่อนไข 161 00:06:50,000 --> 00:06:53,000 ที่ก้าวข้ามจุดเปลี่ยนแปลงอีกสองจุด 162 00:06:53,000 --> 00:06:55,000 เมื่อดาวฤกษ์ดวงใหญ่ๆดับลง 163 00:06:55,000 --> 00:06:58,000 มันดึงอุณหภูมิขึ้นไปสูงมากๆ 164 00:06:58,000 --> 00:07:01,000 จนโปรตอนเริ่มเกิดฟิวชั่นในหลายๆรูปแบบ 165 00:07:01,000 --> 00:07:04,000 จนเกิดธาตุทั้งหมดที่เห็นในตารางธาตุ 166 00:07:04,000 --> 00:07:07,000 ถ้าคุณสวมแหวงทองคำเหมือนผม 167 00:07:07,000 --> 00:07:10,000 แหวนนี่แหละถูกสร้างขึ้นจากการระเบิดของซุปเปอร์โนวา 168 00:07:10,000 --> 00:07:13,000 ในตอนนี้ จักรวาลก็เร่ิมมีความซับซ้อนทางเคมีแล้ว 169 00:07:13,000 --> 00:07:16,000 และเมื่อมีความซับซ้อนทางเคมีมากขึ้น 170 00:07:16,000 --> 00:07:18,000 ก็มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างสิ่งต่างๆมากขึ้น 171 00:07:18,000 --> 00:07:20,000 และสิ่งที่เกิดขึ้น 172 00:07:20,000 --> 00:07:22,000 ก็คือ รอบๆดวงอาทิตย์รุ่นเยาว์ 173 00:07:22,000 --> 00:07:24,000 และดาวฤกษ์รุ่นเยาว์ต่างๆ 174 00:07:24,000 --> 00:07:26,000 ธาตุต่างๆเร่ิมรวมตัว วิ่งไปวิ่งมา 175 00:07:26,000 --> 00:07:28,000 พลังงานจากดาวฤกษ์เหวี่ยงมันไปมา 176 00:07:28,000 --> 00:07:31,000 ทำให้เกิดอนุภาค เกิดเกล็ดหิมะ 177 00:07:31,000 --> 00:07:33,000 เกิดผงธุลี 178 00:07:33,000 --> 00:07:35,000 เกิดก้อนหิน เกิดอุกกาบาต 179 00:07:35,000 --> 00:07:38,000 และในที่สุดก็มีดาวเคราะห์ และดวงจันทร์บริวาร 180 00:07:38,000 --> 00:07:41,000 และนั่นคือความเป็นมาของระบบสุริยะจักรวาล 181 00:07:41,000 --> 00:07:44,000 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4.5 พันล้านปีที่แล้ว 182 00:07:44,000 --> 00:07:47,000 ดาวเคราะห์อย่างโลกของเรา 183 00:07:47,000 --> 00:07:50,000 มีความซับซ้อนมากกว่าดาวฤกษ์ค่อนข้างมาก 184 00:07:50,000 --> 00:07:53,000 เพราะมีส่วนประกอบที่หลากหลายกว่ามาก 185 00:07:53,000 --> 00:07:56,000 ดังนั้น เราก็ได้ก้าวข้ามจุดเปลี่ยนที่สี่แล้ว 186 00:07:57,000 --> 00:08:00,000 อะไรๆก็เริ่มยากขึ้นแล้วล่ะ 187 00:08:01,000 --> 00:08:03,000 ขั้นต่อไป เราเริ่มเห็นตัวตน 188 00:08:03,000 --> 00:08:05,000 ที่มีความเปราะบางมาก 189 00:08:05,000 --> 00:08:07,000 แตกหักได้ง่ายมาก 190 00:08:07,000 --> 00:08:10,000 แต่ก็มีความสร้างสรรค์มากขึ้นอย่างมาก 191 00:08:10,000 --> 00:08:13,000 และสามารถสร้างความซับซ้อนได้เก่งยิ่งขึ้น 192 00:08:13,000 --> 00:08:15,000 แน่นอน ผมกำลังพูดถึง 193 00:08:15,000 --> 00:08:17,000 สิ่งมีชีวิต 194 00:08:17,000 --> 00:08:19,000 สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี 195 00:08:19,000 --> 00:08:22,000 เราเป็นหีบห่อเคมีขนาดใหญ่ 196 00:08:23,000 --> 00:08:26,000 เคมีเป็นสิ่งที่ถูกปกครองโดยพลังแม่เหล็กไฟฟ้า 197 00:08:26,000 --> 00:08:28,000 ซึ่งทำงานในระดับที่เล็กกว่าแรงดึงดูดมาก 198 00:08:28,000 --> 00:08:30,000 ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมคุณและผม 199 00:08:30,000 --> 00:08:32,000 จึงมีขนาดเล็กกว่าดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์ 200 00:08:32,000 --> 00:08:35,000 แล้วมาถึงคำถามที่ว่า 201 00:08:35,000 --> 00:08:37,000 อะไรคือเงื่อนไขที่เหมาะสมสำหรับเคมีเหล่านี้ 202 00:08:37,000 --> 00:08:39,000 ก่อนอื่น คุณต้องมีพลังงาน 203 00:08:39,000 --> 00:08:41,000 แต่ไม่ใช่มีมากเกินไปนะ 204 00:08:41,000 --> 00:08:43,000 ในใจกลางดาวฤกษ์ มีพลังงานมากเกิน 205 00:08:43,000 --> 00:08:46,000 ที่อะตอมอะไรก็ตามที่รวมตัวกันได้ ก็จะถูกแยกออกจากกันทันที 206 00:08:46,000 --> 00:08:48,000 และไม่ใช่มีพลังงานน้อยเกิน 207 00:08:48,000 --> 00:08:50,000 ในพื้นที่ระหว่างกาแล็กซี่ มีพลังงานน้อยเหลือเกิน 208 00:08:50,000 --> 00:08:53,000 จนอะตอมไม่สามารถรวมตัวกันได้ 209 00:08:53,000 --> 00:08:55,000 สิ่งที่คุณต้องการ คือพลังงานที่พอเหมาะ 210 00:08:55,000 --> 00:08:57,000 และดาวเคราะห์นี่แหละ คือที่ที่เหมาะสม 211 00:08:57,000 --> 00:09:00,000 เพราะมันอยู่ใกล้ดาวฤกษ์ แต่ก็ไม่ใกล้เกินไป 212 00:09:00,000 --> 00:09:03,000 คุณต้องมีธาตุที่หลากหลายด้วย 213 00:09:03,000 --> 00:09:06,000 และคุณต้องมีของเหลว เช่นน้ำ 214 00:09:06,000 --> 00:09:08,000 ทำไมน่ะหรือ? 215 00:09:08,000 --> 00:09:11,000 สำหรับก๊าซ อะตอมวิ่งสวนกันเร็วมาก 216 00:09:11,000 --> 00:09:13,000 จนไม่สามารถจับตัวกันไว้ได้ 217 00:09:13,000 --> 00:09:15,000 ในของแข็ง 218 00:09:15,000 --> 00:09:18,000 อะตอมก็อยู่ติดกัน จนขยับตัวไม่ได้ 219 00:09:18,000 --> 00:09:20,000 ในของเหลว 220 00:09:20,000 --> 00:09:22,000 มันสามารถเดินไปมา จับตัวกัน 221 00:09:22,000 --> 00:09:25,000 และรวมตัวกันกลายเป็นโมเลกุลได้ 222 00:09:25,000 --> 00:09:28,000 แล้วที่ไหนล่ะที่เราจะพบเงื่อนไขเหล่านี้ได้ 223 00:09:28,000 --> 00:09:30,000 ดาวเคราะห์เป็นที่ที่ดีที่สุด 224 00:09:30,000 --> 00:09:32,000 และโลกของเรา 225 00:09:32,000 --> 00:09:34,000 ก็เกือบจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว 226 00:09:34,000 --> 00:09:36,000 มันอยู่ในระยะที่พอเหมาะจากดาวฤกษ์ 227 00:09:36,000 --> 00:09:39,000 มีมหาสมุทร มีน้ำจำนวนมาก 228 00:09:39,000 --> 00:09:41,000 และใต้มหาสมุทรเหล่านั้น 229 00:09:41,000 --> 00:09:43,000 บริเวณจุดแตกของเปลือกโลก 230 00:09:43,000 --> 00:09:46,000 เราก็มีความร้อน ที่เล็ดลอดมาจากใจกลางโลก 231 00:09:46,000 --> 00:09:48,000 และเราก็มีความหลากหลายทางเคมี 232 00:09:48,000 --> 00:09:50,000 เพราะฉะนั้น ปฏิกิริยาเคมีที่น่ามหัศจรรย์ 233 00:09:50,000 --> 00:09:53,000 ก็เกิดขึ้นตามจุดแตกเหล่านั้น 234 00:09:53,000 --> 00:09:56,000 อะตอมรวมตัวกันในรูปแบบต่างๆ นาๆ 235 00:09:57,000 --> 00:09:59,000 แต่แน่นอนว่า ชีวิตเป็นมากกว่า 236 00:09:59,000 --> 00:10:01,000 ปฏิกิริยาทางเคมีหาได้ยาก 237 00:10:01,000 --> 00:10:03,000 คุณทำให้โมเลกุลใหญ่ๆ 238 00:10:03,000 --> 00:10:05,000 ที่เจริญเติบโตได้ 239 00:10:05,000 --> 00:10:08,000 มีความมั่นคงได้อย่างไร 240 00:10:08,000 --> 00:10:10,000 ตรงนี้นี่แหละ ที่ชีวิตได้แนะนำให้เรารู้จัก 241 00:10:10,000 --> 00:10:13,000 กับการพลิกแพลงใหม่เอี่ยม 242 00:10:13,000 --> 00:10:15,000 เราไม่พยายามทำให้โมเลกุลมั่นคง 243 00:10:15,000 --> 00:10:17,000 แต่เราทำให้แม่พิมพ์มันมั่นคงต่างหาก 244 00:10:17,000 --> 00:10:19,000 แม่พิมพ์ที่จะส่งต่อข้อมูล 245 00:10:19,000 --> 00:10:21,000 และก็ทำให้แม่พิมพ์เหล่านั้น สามารถทำสำเนาได้ 246 00:10:21,000 --> 00:10:23,000 และแน่นอนว่า ดีเอ็นเอ 247 00:10:23,000 --> 00:10:25,000 ก็คือโมเลกุลแสนสวย 248 00:10:25,000 --> 00:10:27,000 ที่บันทึกข้อมูลเหล่านั้น 249 00:10:27,000 --> 00:10:30,000 คุณคงคุ้นเคยกับเกลียวคู่ในดีเอ็นเอ 250 00:10:30,000 --> 00:10:32,000 แต่ละคู่ก็มีข้อมูลเก็บไว้ 251 00:10:32,000 --> 00:10:34,000 ดังนั้น ดีเอ็นเอมีข้อมูล 252 00:10:34,000 --> 00:10:37,000 ถึงวิธีการสร้างสิ่งมีชีวิต 253 00:10:37,000 --> 00:10:39,000 และดีเอ็นเอก็ทำสำเนาตัวเองได้ 254 00:10:39,000 --> 00:10:41,000 มันจึงทำสำเนาตัวเอง 255 00:10:41,000 --> 00:10:43,000 และปล่อยแม่พิมพ์เหล่านั้นออกไปทั่วมหาสมุทร 256 00:10:43,000 --> 00:10:45,000 ข้อมูลก็แพร่ขยายออกไป 257 00:10:45,000 --> 00:10:48,000 สังเกตนะ ว่าข้อมูลเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวของเรา 258 00:10:48,000 --> 00:10:50,000 ความสวยงามของดีเอ็นเอนั้น 259 00:10:50,000 --> 00:10:52,000 อยู่ที่ความไม่สมบูรณ์แบบของมัน 260 00:10:52,000 --> 00:10:54,000 เมื่อมันทำสำเนาตัวเอง 261 00:10:54,000 --> 00:10:56,000 ในทุกๆ พันล้านรอบ 262 00:10:56,000 --> 00:10:58,000 มักจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น 263 00:10:58,000 --> 00:11:00,000 นั่นหมายความว่า 264 00:11:00,000 --> 00:11:03,000 ดีเอ็นเอกำลังเรียนรู้ 265 00:11:03,000 --> 00:11:05,000 มันกำลังรวบรวมวิธีการใหม่ๆในการสร้างสิ่งมีชีวิต 266 00:11:05,000 --> 00:11:07,000 เพราะความผิดพลาด บางทีก็ใช้งานได้จริง 267 00:11:07,000 --> 00:11:09,000 ดังนั้น ดีเอ็นเอกำลังเรียนรู้ 268 00:11:09,000 --> 00:11:12,000 และกำลังสร้างความหลากหลาย ความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ 269 00:11:12,000 --> 00:11:15,000 เราสามารถเห็นการทำงานของมันได้ตลอด 4 พันล้านปีที่ผ่านมา 270 00:11:15,000 --> 00:11:17,000 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบนโลกใบนี้ 271 00:11:17,000 --> 00:11:19,000 สิ่งมีชีวิตค่อนข้างจะเรียบง่าย -- 272 00:11:19,000 --> 00:11:21,000 เป็นสัตว์เซลล์เดียว 273 00:11:21,000 --> 00:11:23,000 แต่มีความหลากหลายอยู่มาก 274 00:11:23,000 --> 00:11:25,000 และภายใน ก็ซ่อนความซับซ้อนมากมาย 275 00:11:25,000 --> 00:11:28,000 จากนั้น เมื่อ 600 ถึง 800 ล้านปีที่แล้ว 276 00:11:28,000 --> 00:11:30,000 สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ก็เริ่มกำเนิดขึ้น 277 00:11:30,000 --> 00:11:32,000 เราเริ่มมีสิ่งมีชีวิตตระกูลเห็ด เริ่มมีปลา 278 00:11:32,000 --> 00:11:34,000 เริ่มมีพืช 279 00:11:34,000 --> 00:11:37,000 มีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มีสัตว์เลื้อยคลาน 280 00:11:37,000 --> 00:11:40,000 และแน่นอน เราก็มีไดโนเสาร์ 281 00:11:40,000 --> 00:11:44,000 และในบางครั้งบางคราว เราเจอะเจอกับภัยธรรมชาติ 282 00:11:44,000 --> 00:11:46,000 65 ล้านปีที่แล้ว 283 00:11:46,000 --> 00:11:48,000 อุกกาบาตตกลงมายังโลก 284 00:11:48,000 --> 00:11:50,000 ใกล้คาบสมุทรยูคาตัน 285 00:11:50,000 --> 00:11:53,000 เกิดเงื่อนไขที่เทียบเท่ากับสงครามนิวเคลียร์ 286 00:11:53,000 --> 00:11:55,000 และไดโนเสาร์ก็สูญพันธ์ 287 00:11:55,000 --> 00:11:59,000 ข่าวร้ายสำหรับเหล่าไดโนเสาร์ 288 00:11:59,000 --> 00:12:02,000 แต่เป็นข่าวดีของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม บรรพบุรุษของเรา 289 00:12:02,000 --> 00:12:04,000 ที่รุ่งเรือง 290 00:12:04,000 --> 00:12:07,000 จากที่ที่ไดโนเสาร์ทิ้งเอาไว้ 291 00:12:07,000 --> 00:12:09,000 และมนุษย์อย่างเรา 292 00:12:09,000 --> 00:12:12,000 ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ 293 00:12:12,000 --> 00:12:15,000 ที่เริ่มต้นเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว 294 00:12:15,000 --> 00:12:17,000 จากการทักทายของอุกกาบาต 295 00:12:18,000 --> 00:12:21,000 มนุษย์เกิดขึ้นเมื่อ 200,000 ปีที่แล้ว 296 00:12:21,000 --> 00:12:23,000 และผมเชื่อว่าจุดนี้ 297 00:12:23,000 --> 00:12:25,000 คืออีกหนึ่งจุดเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ 298 00:12:25,000 --> 00:12:27,000 ผมจะอธิบายให้ฟังว่าทำไม 299 00:12:27,000 --> 00:12:30,000 เรารู้แล้วว่าดีเอ็นเอเรียนรู้ได้ 300 00:12:30,000 --> 00:12:32,000 โดยการเก็บรวบรวมข้อมูล 301 00:12:32,000 --> 00:12:34,000 แต่มันก็ช้ามากๆ 302 00:12:34,000 --> 00:12:36,000 ดีเอ็นเอรวบรวมข้อมูล 303 00:12:36,000 --> 00:12:38,000 จากข้อผิดพลาด 304 00:12:38,000 --> 00:12:41,000 ที่มีประโยชน์โดยบังเอิญ 305 00:12:41,000 --> 00:12:43,000 แต่ดีเอ็นเอก็ได้สร้างวิธีการเรียนรู้แบบใหม่ 306 00:12:43,000 --> 00:12:46,000 โดยสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีสมอง 307 00:12:46,000 --> 00:12:49,000 และสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถเรียนรู้ได้โดยตรง 308 00:12:49,000 --> 00:12:52,000 มันสามารถรวบรวมข้อมูล เรียนรู้ได้ 309 00:12:52,000 --> 00:12:54,000 แต่ที่น่าเสียดายคือ 310 00:12:54,000 --> 00:12:57,000 เมื่อมันตาย ข้อมูลก็หายไปกับพวกมัน 311 00:12:57,000 --> 00:12:59,000 สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่าง 312 00:12:59,000 --> 00:13:01,000 ก็คือภาษาของมนุษย์ 313 00:13:01,000 --> 00:13:03,000 เรามีภาษา มีระบบในการติดต่อสื่อสาร 314 00:13:03,000 --> 00:13:06,000 ที่ทรงพลัง และมีความแม่นยำมาก 315 00:13:06,000 --> 00:13:09,000 จนเราสามารถแบ่งปันสิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ 316 00:13:09,000 --> 00:13:12,000 และสามารถรวบรวม เป็นการใช้ความจำร่วมกัน 317 00:13:12,000 --> 00:13:14,000 และนั่นหมายความว่า 318 00:13:14,000 --> 00:13:17,000 ข้อมูลอยู่ได้นานกว่าบุคคลที่เรียนรู้ข้อมูลนั้นๆ 319 00:13:17,000 --> 00:13:21,000 และสามารถรวบรวมได้จากรุ่นสู่รุ่น 320 00:13:21,000 --> 00:13:23,000 และนั่นคือเหตุผลที่เรา ในฐานะสปีชีส์หนึ่ง มีความสร้างสรรค์ 321 00:13:23,000 --> 00:13:25,000 และทรงพลังมาก 322 00:13:25,000 --> 00:13:27,000 และนั่นคือเหตุผลที่เรามีประวัติศาสตร์ 323 00:13:27,000 --> 00:13:30,000 เราเหมือนจะเป็นสปีชีส์เดียวใน 4 พันล้านปี 324 00:13:30,000 --> 00:13:32,000 ที่ได้ของขวัญชิ้นนี้ 325 00:13:32,000 --> 00:13:34,000 ผมเรียกความสามารถนี้ว่า 326 00:13:34,000 --> 00:13:36,000 การเรียนรู้ร่วมกัน 327 00:13:36,000 --> 00:13:38,000 นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง 328 00:13:38,000 --> 00:13:40,000 เราเห็นการทำงานของมัน 329 00:13:40,000 --> 00:13:42,000 ได้ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของมนุษยชาติ 330 00:13:42,000 --> 00:13:44,000 เราวิวัฒนาการในฐานะสปีชีส์ 331 00:13:44,000 --> 00:13:46,000 ในทุ่งหญ้าในแอฟริกา 332 00:13:46,000 --> 00:13:49,000 แต่เราก็เห็นมนุษย์ย้ายถิ่นฐานไปในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ -- 333 00:13:49,000 --> 00:13:51,000 ไปยังทะเลทราย ในป่าใหญ่ 334 00:13:51,000 --> 00:13:53,000 ในทุ่งหญ้ายุคน้ำแข็งของไซบีเรีย -- 335 00:13:53,000 --> 00:13:55,000 ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายมากๆ -- 336 00:13:55,000 --> 00:13:57,000 ไปยังอเมริกา และออสเตรเลเซีย 337 00:13:57,000 --> 00:13:59,000 ในทุกการย้ายถิ่นฐาน ล้วนมีการเรียนรู้ -- 338 00:13:59,000 --> 00:14:02,000 เรียนรู้วิธีใหม่ในการอยู่กับสภาพแวดล้อม 339 00:14:02,000 --> 00:14:04,000 วิธีใหม่ในการต่อสู้กับสิ่งรอบตัว 340 00:14:04,000 --> 00:14:06,000 แล้วเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา 341 00:14:06,000 --> 00:14:08,000 มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่ 342 00:14:08,000 --> 00:14:10,000 จุดสิ้นสุดของยุคน้ำแข็ง 343 00:14:10,000 --> 00:14:13,000 มนุษย์เรียนรู้การทำเกษตรกรรม 344 00:14:13,000 --> 00:14:15,000 เกษตรกรรมเป็นแหล่งกำเนินพลังงานมหาศาล 345 00:14:15,000 --> 00:14:17,000 และด้วยพลังงานเหล่านั้น 346 00:14:17,000 --> 00:14:19,000 ประชากรมนุษย์ก็ทวีคูณขึ้นไม่รู้จบ 347 00:14:19,000 --> 00:14:21,000 สังคมมนุษย์เติบใหญ่ขึ้น หนาแน่นขึ้น 348 00:14:21,000 --> 00:14:23,000 เชื่อมต่อกันมากขึ้น 349 00:14:23,000 --> 00:14:27,000 จากนั้นเมื่อ 500 ปีที่แล้ว 350 00:14:27,000 --> 00:14:29,000 มนุษย์เริ่มเชื่อมต่อกันทั่วโลก 351 00:14:29,000 --> 00:14:31,000 ผ่านการเดินเรือ ทางรถไฟ 352 00:14:31,000 --> 00:14:34,000 ผ่านโทรเลข ผ่านอินเตอร์เน็ต 353 00:14:34,000 --> 00:14:36,000 ตอนนี้เราเหมือนจะเห็น 354 00:14:36,000 --> 00:14:38,000 ทั้งโลกเป็นเสมือนสมองหนึ่งเดียว 355 00:14:38,000 --> 00:14:40,000 ที่มีมนุษย์ถึง 7 ล้านคนร่วมสร้าง 356 00:14:40,000 --> 00:14:45,000 และสมองก้อนนั้น กำลังเรียนรู้ด้วยความเร็วแสง 357 00:14:45,000 --> 00:14:47,000 และ 200 ปีที่ผ่านมา มีบางอย่างเกิดขึ้นอีก 358 00:14:47,000 --> 00:14:49,000 เราพบเจอขุมทรัพย์พลังงานอีกอย่างหนึ่ง 359 00:14:49,000 --> 00:14:51,000 จากเชื้อเพลิงฟอสซิล 360 00:14:51,000 --> 00:14:54,000 ด้วยฟอสซิล และการเรียนรู้ร่วมกัน 361 00:14:54,000 --> 00:14:56,000 เป็นเหตุผลที่เราเห็นความซับซ้อนมหาศาล 362 00:14:56,000 --> 00:14:58,000 อยู่รอบตัวเรา 363 00:15:01,000 --> 00:15:04,000 และแล้วเราก็กลับมาสู่ปัจจุบัน 364 00:15:04,000 --> 00:15:06,000 ในศูนย์ประชุมแห่งนี้ 365 00:15:06,000 --> 00:15:08,000 เราได้เดินทางไปบนเส้นทาง 366 00:15:08,000 --> 00:15:11,000 ความยาวถึง 13.7 ล้านปี 367 00:15:11,000 --> 00:15:14,000 ผมหวังว่าคุณก็เห็นด้วย ว่านี่เป็นเรื่องราวที่ทรงพลังมาก 368 00:15:14,000 --> 00:15:16,000 มันเป็นเรื่องราวที่มนุษย์ 369 00:15:16,000 --> 00:15:19,000 ได้มีบทบาทที่สำคัญและน่าทึ่ง 370 00:15:19,000 --> 00:15:22,000 แต่มันก็มีสัญญาณเตือนเหมือนกัน 371 00:15:22,000 --> 00:15:26,000 การเรียนรู้ร่วมกัน เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ 372 00:15:26,000 --> 00:15:28,000 และเราก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ 373 00:15:28,000 --> 00:15:31,000 ว่าเราควบคุมมันได้หรือไม่ 374 00:15:31,000 --> 00:15:34,000 ผมจำได้ลางๆ เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เติบโตที่ประเทศอังกฤษ 375 00:15:34,000 --> 00:15:37,000 ใช้ชีวิตผ่านช่วงวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา 376 00:15:37,000 --> 00:15:39,000 ในระยะเวลาหลายวัน 377 00:15:39,000 --> 00:15:41,000 โลกทั้งใบ 378 00:15:41,000 --> 00:15:44,000 เกือบจะถึงจุดหายนะ 379 00:15:44,000 --> 00:15:47,000 และอาวุธในวันนั้น ก็ยังคงอยู่ทุกวันนี้ 380 00:15:47,000 --> 00:15:49,000 และพร้อมที่จะถูกใช้ในทุกเมื่อ 381 00:15:49,000 --> 00:15:51,000 ถึงเราจะหลีกเลี่ยงจุดนั้นได้ 382 00:15:51,000 --> 00:15:53,000 ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่คอยเราอยู่ 383 00:15:53,000 --> 00:15:56,000 เรากำลังเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล 384 00:15:56,000 --> 00:15:59,000 ในระดับที่เราเริ่มพังทลายเงื่อนไข 385 00:15:59,000 --> 00:16:01,000 ที่ทำให้อารยธรรมมนุษย์สร้างตัวขึ้นมาได้ 386 00:16:01,000 --> 00:16:05,000 ตลอด 10,000 ปีที่ผ่านมา 387 00:16:05,000 --> 00:16:07,000 สิ่งที่ประวัติศาสตร์ภาพใหญ่นี้จะทำได้ 388 00:16:07,000 --> 00:16:10,000 คือแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน และความเปราะบาง 389 00:16:10,000 --> 00:16:12,000 และอันตรายที่เรากำลังเผชิญ 390 00:16:12,000 --> 00:16:15,000 แต่มันก็แสดงให้เราเห็น 391 00:16:15,000 --> 00:16:17,000 ถึงพลังของเรา จากการเรียนรู้ร่วมกัน 392 00:16:17,000 --> 00:16:20,000 และสุดท้ายนี้ 393 00:16:20,000 --> 00:16:24,000 นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ 394 00:16:24,000 --> 00:16:27,000 ผมต้องการหลายของผม แดเนียล 395 00:16:27,000 --> 00:16:29,000 และเพื่อนของเขา และรุ่นของเขา 396 00:16:29,000 --> 00:16:31,000 ที่อยู่ทั่วโลกใบนี้ 397 00:16:31,000 --> 00:16:34,000 ได้รู้จักเรื่องราวประวัติศาสตร์ทั้งหมดของเรา 398 00:16:34,000 --> 00:16:36,000 และรู้จักมันดีพอ 399 00:16:36,000 --> 00:16:38,000 ที่จะเข้าใจ 400 00:16:38,000 --> 00:16:40,000 ทั้งอุปสรรคที่เรากำลังเผชิญ 401 00:16:40,000 --> 00:16:43,000 และโอกาสที่อยู่ใกล้เอื้อม 402 00:16:43,000 --> 00:16:45,000 และนั่นก็คือเหตุผลที่พวกผม 403 00:16:45,000 --> 00:16:47,000 กำลังสร้างแบบเรียนออนไลน์ฟรี 404 00:16:47,000 --> 00:16:49,000 เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ภาพใหญ่ 405 00:16:49,000 --> 00:16:51,000 ให้กับนักเรียนมัธยมทั่วโลกได้ใช้ 406 00:16:51,000 --> 00:16:54,000 เราเชื่อว่าประวัติศาสตร์ภาพใหญ่นี้ 407 00:16:54,000 --> 00:16:57,000 จะเป็นเครื่องมือทางปัญญาที่สำคัญสำหรับพวกเขา 408 00:16:57,000 --> 00:17:00,000 เพราะแดเนียลและเพื่อนของเขา 409 00:17:00,000 --> 00:17:02,000 กำลังเผชิญความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ 410 00:17:02,000 --> 00:17:04,000 และโอกาสที่ยิ่งใหญ่ 411 00:17:04,000 --> 00:17:07,000 อยู่ภายภาคหน้า ณ จุดเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง 412 00:17:07,000 --> 00:17:11,000 ในประวัติศาสตร์ของโลกที่สวยงามของเรา 413 00:17:11,000 --> 00:17:13,000 (เสียงปรบมือ)