WEBVTT 00:00:01.045 --> 00:00:06.107 ในวิดีโอนี้ เราจะมาคุยกันในเรื่องของกฏข้อที่ 1 ของนิวตัน 00:00:06.107 --> 00:00:11.133 และหลักการการเคลื่อนที่ของของนิวตันเป็นภาษาไทย 00:00:11.133 --> 00:00:16.200 ซึ่งในกฏข้อแรกนี้กล่าวว่า วัตถุทุกวัตถุจะอยู่ในสถานะของกำลังที่เหลือ คืออยู่นิ่งๆ 00:00:16.200 --> 00:00:22.800 โดยสภาวะนั้นมีการเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงสม่ำเสมอ เว้นแต่ 00:00:22.800 --> 00:00:28.267 จะถูกแรงมาบังคับกระทำให้เปลี่ยน 00:00:28.267 --> 00:00:33.133 ซึ่งเราจะกล่าวใหม่ได้ว่า วัตถุทุกวัตถุจะยังคงมีอยู่และเป็นเช่นนั้น 00:00:33.133 --> 00:00:38.933 คือ จะอยู่กับที่หรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่คงที่ 00:00:38.933 --> 00:00:43.871 นอกจากว่าจะถูกแรงกระทำให้เปลี่ยนสถานะ และทำตามผลกระทบนั้นๆ 00:00:43.871 --> 00:00:46.933 โดยเฉพาะ แรงที่ไม่สมดุล และจะได้อธิบายต่อไป 00:00:46.933 --> 00:00:50.867 ดังนั้นถ้าเรามีวัตถุที่อยู่นิ่งๆ 00:00:50.867 --> 00:00:58.400 อย่างเช่นสมมติว่าผม มีหินอยู่ก่อนหนึ่ง 00:00:58.400 --> 00:01:07.975 ซึ่งหินก้อนนี้วางอยู่ที่สนามหญ้า 00:01:07.975 --> 00:01:13.800 ผมทำการสังเกตหินได้ว่า มันไม่เคลื่อนที่ สมมติว่าไม่มีอะไรไปกระทำที่หิน 00:01:13.800 --> 00:01:17.667 ถ้าที่สนามหญ้าไม่มีแรงมากระทำที่หิน หินจะยังคงอยู่กับที่ 00:01:17.667 --> 00:01:23.800 ดังนั้นส่วนแรกที่เราจะสังเกตุคือ วัตถุุที่อยู่กับที่นิ่งๆ 00:01:23.800 --> 00:01:28.667 ซึ่ง ผม จะไม่ทำในส่วนถัดไป เว้นแต่มีแรงมากระทำ 00:01:28.667 --> 00:01:33.400 ชัดเจนว่าหินจะยังคงอยู่กับที่ ถ้ามันไม่มีแรงมากระทำ 00:01:33.400 --> 00:01:37.267 ถ้าไม่มีใครพยายามดันหิน หรือ กลิ้งมัน หรือ ให้แรงกับมัน 00:01:37.267 --> 00:01:41.800 ซึ่งนั้นจะเป็นส่วนถัดไป และยากขึ้นมาอีกนิดในกาารพิจารณา 00:01:41.800 --> 00:01:48.600 วัตถุทุกวัตถุที่อยู่กับที่ หรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ 00:01:48.600 --> 00:01:52.667 ยกเว้นมีแรงมากระทำให้มันเปลี่ยนสภาวะที่เป็นอยู่ 00:01:52.667 --> 00:01:57.200 แล้ว นั่นเราจะเรียกว่า "กฏข้อที่หนึ่งของนิวตัน" 00:01:57.200 --> 00:02:01.467 และนี้คือ นิวตัน 00:02:01.467 --> 00:02:05.133 และถ้านี้เป็นกฏข้อที่หนึ่งของนิวตัน แล้วรูปชายคนนี้คือใครกันล่ะ 00:02:05.133 --> 00:02:10.933 จริงแล้วนี้เป็นเหตุผลที่ว่ากฏข้อที่หนึ่งของนิวตันเป็นจริง เพราะได้นำกฏของความเฉื่อยของชายผู้นี้มาปรับทีหลัง 00:02:10.933 --> 00:02:19.241 และชายคนนี้ ก็คือ กาลิเลโอ กาลิเลอี 00:02:19.241 --> 00:02:23.333 และเขาเป็นบุคคลแรกที่แสดงกฏของความเฉื่อย 00:02:23.333 --> 00:02:27.175 ซึ่งนิวตันได้นำมาเรียบเรียงขึ้นใหม่เพียงเล็กน้อย และรวมเป็นกฏของเขาเอง 00:02:27.175 --> 00:02:29.098 แต่เขามีสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย 00:02:29.098 --> 00:02:32.667 ดังนั้นเราควรยกย่องกาลิเลโอสำหรับกฏข้อแรกของนิวตัน 00:02:32.667 --> 00:02:34.933 ซึ่งนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีรูปกาลิเลโอที่ใหญ่กว่านิวตัน 00:02:34.933 --> 00:02:36.733 แต่ถ้าเราพิจารณาให้ดีๆ 00:02:36.733 --> 00:02:41.467 เราจะเข้าใจว่าทำไมของที่อยู่กับที่จะยังอยู่กับที่ ตราบจนมันมีแรงมากระทำ 00:02:41.467 --> 00:02:44.267 ในบางความหมายเราเห็นว่า "ถ้ามีแรงที่ไม่สมดุลมากระทำ" 00:02:44.267 --> 00:02:49.400 และเหตุผลของ "ไม่สมดุล" เป็นเพราะว่า มีแรง 2 แรงที่ไม่เท่ากันมากระทำ 00:02:49.400 --> 00:02:51.333 และมันจะไม่สมดุลต่อไป 00:02:51.333 --> 00:02:55.333 ตัวอย่างเช่น ผมดันหินทางด้านนี้ จะมีแรงส่วนนึงมากระทำที่หิน 00:02:55.333 --> 00:03:00.667 และถ้าคุณดันอีกด้านของหิน เช่นกันก็จะมีแรงส่วนนึงมากระทำที่หิน 00:03:00.667 --> 00:03:05.867 ทางเดียวที่มันจะเคลื่อนคือ แรงด้านใดด้านหนึ่งต้องมากกว่าแรงอีกด้าน 00:03:05.867 --> 00:03:07.867 ซึ่งถ้าวัตถุมีแรงที่ไม่เท่ากันมากระทำ 00:03:07.867 --> 00:03:11.000 อย่างเช่นมีวัตถุซัก 1 ตัน คุณก็อาจจะดันแล้วไม่เคลื่อนที่ก็ได้ 00:03:11.000 --> 00:03:13.133 แต่ถ้าคุณเปลี่ยนไปดันบนพื้นนำแข็ง อาจจะง่ายกว่า 00:03:13.133 --> 00:03:14.533 แต่ถ้าคุณเปลี่ยนไปดันบนพื้นนำแข็ง อาจจะง่ายกว่า 00:03:14.533 --> 00:03:19.533 ซึ่งตรงนี้มีนำแข็งอยู่ และวางลงไปบนพื้น 00:03:19.533 --> 00:03:25.533 แล้วเราจะลองมาพิจารณากันอีกครั้งว่า ถ้าไม่มีแรงมากระทำที่น้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็งจะไม่เลื่อน 00:03:25.533 --> 00:03:31.733 แต่เกิดอะไรขึ้นถ้าผมดันด้วยแรงค่าหนึ่งทางด้านนี้ 00:03:31.733 --> 00:03:35.000 และคุณก็ดันอีกทางด้านหนึ่งด้วยแรงที่เท่ากัน 00:03:35.000 --> 00:03:37.400 น้ำแข็งจะยังคงอยู่กับที่ ไม่เลื่อน 00:03:37.400 --> 00:03:40.000 ดังนั้นตรงนี้ เราจะเรียกว่า "แรงสมดุล" 00:03:40.000 --> 00:03:41.933 "แรงสมดุล" 00:03:41.933 --> 00:03:51.267 แต่ถ้าแรงที่มากระทำไม่เป็นแรงสมดุล 00:03:51.267 --> 00:03:57.800 ด้วยการเปลี่ยนแรงทางด้านนี้ไปนิดหน่อยโดยมากกว่าแรงอีกด้าน 00:03:57.800 --> 00:04:04.267 คุณจะเห็นว่านำแข็งเริ่มเคลื่อนที่ด้วยความเร่งในทิศทางนี้ 00:04:04.267 --> 00:04:09.400 ซึ่งนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ที่จะอธิบายสภาวะของวัตถุที่อยู่กับที่ ตราบจนมีแรงมากระทำ 00:04:09.400 --> 00:04:11.467 ด้วยแรงที่ไม่สมดุล 00:04:11.467 --> 00:04:17.133 ความคิดที่ว่าวัตถุมีการเคลื่อนที่ไปอย่างสม่ำเสมอ อาจยังไม่ชัดเจน 00:04:17.133 --> 00:04:21.010 ซึ่งเราจะกล่าวได้อีกทางหนึ่งว่า วัตถุนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ 00:04:21.010 --> 00:04:22.605 ค่าความเร็วที่คงที่ 00:04:22.605 --> 00:04:29.933 ซึ่งนิวตันกล่าวว่า วัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่จะเป็นยังคงเคลื่อนที่อย่างนั้นต่อไป 00:04:29.933 --> 00:04:33.200 ตราบจนมันมีแรงมากระทำ 00:04:33.200 --> 00:04:37.600 และนี้จะดูง่ายกว่า เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประสบการณ์ของมนุษย์เอง 00:04:37.600 --> 00:04:43.267 สมมติว่าถ้า เราดันก้อนน้ำแข็ง ท้ายที่สุดมันอาจจะหยุด 00:04:43.267 --> 00:04:47.200 มันจะไม่เคลื่อนที่ต่อไป สมมติว่านี้เป็นพื้นน้ำแข็งที่ไกลมากๆ 00:04:47.200 --> 00:04:56.667 ก้อนน้ำแข็งนี้สุดท้ายมันจะหยุดลง หรือถ้าเราลองขว้างลูกเทนนิส ลูกเทนนิสก็จะหยุดลงเช่นกัน 00:04:56.667 --> 00:05:05.000 มันจะหยุดชะงัก หรือหมุนกลิ้ง หรือจะอะไรก็ตาม 00:05:05.000 --> 00:05:09.867 เราจะไม่เห็น อย่างน้อยในประสบการณ์มนุษย์ ซึ่งมันอาจจะดูราวว่าหยุดก็ได้ 00:05:09.867 --> 00:05:14.333 ดังนั้นเราจะกล่าวง่ายๆว่า การเคลื่อนที่มันจะยังคงเคลื่อนที่อยู่อย่างนั้น 00:05:14.333 --> 00:05:19.533 ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์แล้ว ถ้าคุณต้องการให้วัตถุมันยังคงเคลื่อนที่อยู่ 00:05:19.533 --> 00:05:24.133 คุณต้องให้แรงไปเรื่อยๆ พลังงานไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้มันยังคงเคลื่อนที่ได้ 00:05:24.133 --> 00:05:30.733 รถของคุณจะไปไม่ได้ ถ้าหากเครื่องยนต์ไม่ได้เผาพลาญเชื้อเพลิง หรือน้ำมันเข้าไปเป็นพลังงาน 00:05:30.733 --> 00:05:32.533 ซึ่งอะไรล่ะที่เราจะคุยกันต่อ 00:05:32.533 --> 00:05:36.933 ในตัวอย่างที่กล่าวมานั้น ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย 00:05:36.933 --> 00:05:41.467 ซึ่งเป็นสิ่งทีอยู่กับคุณตลอดเวลา 00:05:41.467 --> 00:05:44.933 ลูกบอลอาจจะยังคงเคลื่อนที่ตลอด ก้อนน้ำแข็งอาจจะยังไม่หยุด 00:05:44.933 --> 00:05:50.200 ยกเว้นว่ามีแรงที่ไม่สมดุลมากระทำ เพื่อให้มันหยุด 00:05:50.200 --> 00:05:54.467 ในกรณีของก้อนน้ำแข็ง ถึงแม้ว่าก้อนน้ำแข็งมีแรงเสียดทานไม่มาก 00:05:54.467 --> 00:05:57.267 แต่มันก็มีผลระหว่างผิวสัมผัสทั้งสอง 00:05:57.267 --> 00:06:00.533 และในสถานการณ์นั้นที่มีแรงมากระทำ 00:06:00.533 --> 00:06:03.800 โดยมีทิศทางต่อต้านการเคลื่อนที่ของก้อนน้ำแข็ง 00:06:03.800 --> 00:06:07.400 และการต้านทานนั้นแท้จริงมาจากสิ่งที่อยู่ในระดับที่เล็กมาก คือในระดับอะตอม 00:06:07.400 --> 00:06:12.867 ซึ่งถ้าคุณศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในโครงสร้างโมเลกุลของน้ำที่เรียกว่า โครงสร้างแลตติส ในก้อนน้ำแข็ง 00:06:12.867 --> 00:06:20.800 และนี้เป็นโมลเกุลของน้ำที่มีโครงสร้างแบบแลตติส ของทุ่งน้ำแข็งที่เราจะไปลองศึกษา 00:06:20.800 --> 00:06:23.333 มันดูคล้ายกับการชนและบดลงไปในแต่ละส่วนของผิวสัมผัสนั้น 00:06:23.333 --> 00:06:25.267 ถึงว่าทั้งคู่จะมีผิวเรียบก็ตามที 00:06:25.267 --> 00:06:28.400 การบดการชนของโมเลกุลที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดความร้อนเล็กน้อยขึ้นได้ 00:06:28.400 --> 00:06:32.867 และจะยังคงมีไปตลอดระหว่างที่เคลื่อนที่ไป 00:06:32.867 --> 00:06:36.533 และนี้ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม หากมีแรงเสียดทานมากระทำวัตถุจึงกำลังหยุด 00:06:36.533 --> 00:06:38.600 และไม่เพียงแต่แรงเสียดทานเท่านั้น ยังมีความต้านทาน 00:06:38.600 --> 00:06:42.667 ของก้อนน้ำแข็งที่โมเลกุลมันไปชนกับโมเลกุลของอากาศ 00:06:42.667 --> 00:06:47.333 ซึ่งเราไม่ได้คิดไว่แต่แรก แต่มันได้ถูกนิยามไว้ว่าจะเกิดขึ้นตลอดการเคลื่อนที่ที่เกิดขึ้นตลอด 00:06:47.333 --> 00:06:49.800 เช่นเดียวกันกับลูกบอลที่ลอยอยู่ในอากาศ 00:06:49.800 --> 00:06:54.400 ชัดเจนว่ามันจะต้องตกลงพื้น ดังนั้นแน่นอนว่ามีแรงมากระทำมัน 00:06:54.400 --> 00:06:59.333 แต่เหตุการณ์ที่ตกสู่พื้นนั้น ลูกบอลไม่ได้กลิ้งไปตลอด เพราะผลจากการเสียดทาน 00:06:59.333 --> 00:07:04.667 คุณรู้ไหมว่าสนามหญ้าตรงนี้หยุดลูกบอลได้ 00:07:04.667 --> 00:07:08.733 และในขณะที่มันลอยในอากาศ มันจะล่วงลงพื้นอย่างช้าๆ และมันไม่ได้ตกลงพื้นด้วยความเร็วที่คงที่ 00:07:08.733 --> 00:07:14.364 เพราะว่า การต้านทานจากอากาศเป็นส่วนประกอบ 00:07:14.364 --> 00:07:18.067 และทำให้มันช้าลงได้ 00:07:18.067 --> 00:07:21.667 ดังนั้นสิ่งที่เป็นจริงเกี่ยวกับคนที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาอาจจินตนาการถึงความเป็นจริงอยู่แล้วก็ได้ 00:07:21.667 --> 00:07:28.333 ซึ่งที่ใดไม่มีแรงโน้มถ่วง ที่นั่นย่อมไม่มีแรงต้านในอากาศในการทำให้วัตถุล่วงช้าลง 00:07:28.333 --> 00:07:34.000 และพวกเขาจินตนการว่าสิ่งที่เป็นจริงอาจจะยังคงเป็นสิ่งที่ต้านการเคลื่อนที่ของมันเอง 00:07:34.000 --> 00:07:37.800 และนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม แนวคิดกาลิเลโอมีความตรงไปตรงมา 00:07:37.800 --> 00:07:41.067 ซึ่ง คือการที่เขาได้ศึกษาวงโคจรของดาวเคราะห์ 00:07:41.067 --> 00:07:46.400 และบางทฤษฎีนั้นที่ว่าอาจไม่มีอากาศ 00:07:46.400 --> 00:07:50.333 และอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมดาวเคราะห์ถึงหมุนไปรอบๆและโคจรในวงโครจรอย่างนั้น 00:07:50.333 --> 00:07:55.667 และผมควรจะบอกว่า ความเร็วของดาวเคราะห์นั้นเปลี่ยน เพราะมีการเปลี่ยนทิศทางของมันเอง 00:07:55.667 --> 00:08:01.800 ความเร็วของมันไม่เคยลดลง เพราะที่นั้นไม่มีที่ว่างที่จะให้เกิดความเร็วที่ต่ำลงได้ในหมุ่ดาวเหล่านั้น 00:08:01.800 --> 00:08:04.867 อีกอย่างหนึ่ง ผมหวังว่าคุณจะพบสิ่งที่น่าสนใจอย่างที่ผมเจอ 00:08:04.867 --> 00:08:08.600 เพราะว่าบางระดับมันอาจชัดเจน แต่ไม่ได้ชัดทุกระดับทั้งหมด 00:08:08.600 --> 00:08:12.000 โดยเฉพาะ "การเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงอย่างสม่ำเสมอ" 00:08:12.000 --> 00:08:16.733 และเพื่อความเข้าใจที่ดี สมมติว่าถ้าแรงโน้มถ่วงไม่ได้ปรากฏ และเราไม่มีอากาศ 00:08:16.733 --> 00:08:22.267 และคุณขว้างลูกบอลออกไป ลูกบอลอาจจะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงออกไป 00:08:22.267 --> 00:08:26.667 ถ้าไม่มีแรงไม่สมดุลมากระทำ หรือบังคับมันให้หยุด 00:08:26.667 --> 00:08:32.267 อีกนัยหนึ่งมันเป็นตัวอย่างที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน 00:08:32.267 --> 00:08:41.533 คือ ถ้าผมอยู่ในเครื่องบิน แล้วมันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ 00:08:41.533 --> 00:08:43.467 และไม่มีอะไรเกิดกับเครื่องบิน 00:08:43.467 --> 00:08:50.790 แล้วถ้าผมนั่งบนเครื่องบินด้านขวาตรงนี้ และมันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ 00:08:50.790 --> 00:08:52.667 ไปอย่างราบรื่น ไม่สะดุด ไม่มีการกระตุกของเครื่องบิน 00:08:52.667 --> 00:08:57.800 มันไม่มีทางที่ผมจะบอกได้ว่ามีการเคลื่อนที่เกิดขึ้นกับเครื่องบิน ถ้าไม่มองออกไปนอกหน้าต่าง 00:08:57.800 --> 00:09:01.067 ลองสมมติว่าไม่มีหน้าต่างบนเครื่องบิน และมันยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงทีอยู่ 00:09:01.067 --> 00:09:06.800 และไม่มีความวุ่นวายใดๆเกิดบนเครื่อง และบอกได้ว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย 00:09:06.800 --> 00:09:08.533 ซึ่งผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเครื่อง 00:09:08.533 --> 00:09:11.400 ไม่มีทางที่ผมจะบอกได้ว่าเครื่องบินเคลื่อนที่อยู่ 00:09:11.400 --> 00:09:14.933 เพราะว่าสิ่งที่ผมอ้างอิงจะมีลักษณะที่เหมือนกันอย่างสมบูรณ์ นั้นคือเสียงเครื่องที่ไม่ได้ยิน และ ไม่มีหน้าต่างให้มองออกไปได้ 00:09:14.933 --> 00:09:19.333 เพราะถ้าผมอยู่ในระนาบเดียวกันเช่นบนพื้นโลก 00:09:19.333 --> 00:09:23.733 และนี้เป็นวิธีคิดที่ง่ายกว่าในสภาวะเดียวกัน 00:09:23.733 --> 00:09:28.267 การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่หรืออยู่นิ่งๆ 00:09:28.267 --> 00:09:31.000 คุณไม่สามารถบอกได้ว่าคุณอยู่กับที่หรืออยู่ในที่อื่นๆได้