WEBVTT 00:00:14.814 --> 00:00:17.552 มีใครในที่นี้ที่บังเอิญสนใจเรื่องมิติพิเศษบ้างครับ 00:00:17.552 --> 00:00:18.958 (เสียงปรบมือ) 00:00:18.958 --> 00:00:20.529 เยี่ยมเลย 00:00:20.529 --> 00:00:23.947 ก่อนอื่น ผมขอขอบคุณทุกท่านสำหรับเวลา... และพื้นที่ของท่าน 00:00:23.947 --> 00:00:25.960 (เสียงหัวเราะ) 00:00:25.960 --> 00:00:28.175 ดีครับ ผมดีใจที่มุขนี้ฮา 00:00:28.175 --> 00:00:30.197 เอาล่ะ 00:00:33.585 --> 00:00:37.280 ลองจินตนาการถึงโลก ที่ซึ่งผู้อยู่อาศัย เกิดและตาย 00:00:37.280 --> 00:00:40.289 โดยเชื่อว่ามีมิติทางพื้นที่แค่ 2 มิติ 00:00:40.289 --> 00:00:42.084 เป็นระนาบ 00:00:42.084 --> 00:00:45.118 "ชาวโลกแบน" กลุ่มนี้จะเห็นสิ่งประหลาดเกิดขึ้น 00:00:45.118 --> 00:00:51.316 สิ่งที่ไม่มีทางอธิบายได้ ภายใต้ข้อจำกัดของเรขาคณิตในแบบของพวกเขา 00:00:51.316 --> 00:00:58.585 ยกตัวอย่างเช่น ลองจินตนาการว่าวันหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ชาวโลกแบนบางคนสังเกตเห็นสิ่งนี้: 00:00:58.585 --> 00:01:01.509 ชุดของแสงสีที่ปรากฏขึ้นแบบสุ่ม 00:01:01.509 --> 00:01:03.714 ในบริเวณต่างๆ ตามเส้นขอบฟ้า 00:01:03.714 --> 00:01:06.425 ไม่ว่าพวกเขาจะพยายาม จะอธิบายแสงเหล่านี้อย่างไร 00:01:06.425 --> 00:01:10.101 พวกเขาก็ไม่สามารถจะหาทฤษฎี ที่ใช้อธิบายสิ่งนี้ได้ 00:01:10.101 --> 00:01:11.296 นักวิทยาศาสตร์บางคนที่ฉลาดขึ้นมาหน่อย 00:01:11.296 --> 00:01:14.571 อาจคิดค้นวิธีที่จะบรรยาย แสงวูบวาบเหล่านี้ในเชิงสถิติ 00:01:14.571 --> 00:01:16.759 เช่นทุกๆ 4 วินาที 00:01:16.759 --> 00:01:20.991 มีโอกาส 11% ที่แสงสีแดงจะวาบขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งบนเส้น 00:01:20.991 --> 00:01:23.903 แต่จะไม่มีชาวโลกแบนคนไหนที่จะคาดเดาได้ อย่างแม่นยำว่า เมื่อใด 00:01:23.903 --> 00:01:27.846 หรือ ณ จุดใด ที่แสงสีแดงจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง 00:01:27.846 --> 00:01:30.565 ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาเริ่มที่จะคิดว่า 00:01:30.565 --> 00:01:33.607 โลกนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน 00:01:33.607 --> 00:01:36.047 คิดว่า เหตุผลที่แสงเหล่านี้หาคำอธิบายไม่ได้ 00:01:36.047 --> 00:01:41.532 เป็นเพราะโดยพื้นฐานแล้ว ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ 00:01:41.532 --> 00:01:43.962 พวกเขาคิดถูกหรือเปล่า ความจริงที่ว่าพวกเขาถูกบังคับ 00:01:43.962 --> 00:01:46.637 ให้บรรยายแสงเหล่านี้ในเชิงสถิติ 00:01:46.637 --> 00:01:50.534 แปลว่า โลกนั้นคาดเดาไม่ได้ อย่างนั้นหรือ 00:01:52.284 --> 00:01:54.386 บทเรียนที่เราเรียนรู้จาก โลกแบน ก็คือ 00:01:54.386 --> 00:01:57.756 เมื่อเราคิดบนพื้นฐานของเศษเสี้ยว ของเรขาคณิตที่สมบูรณ์ของธรรมชาติ 00:01:57.756 --> 00:02:02.358 เหตุการณ์ที่สามารถคาดเดาได้ จะดูเสมือนเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ 00:02:02.358 --> 00:02:05.396 อย่างไรก็ตาม เมื่อเราขยายมุมมองของเรา 00:02:05.396 --> 00:02:08.523 และเข้าถึงเรขาคณิตที่สมบูรณ์ของระบบ 00:02:08.523 --> 00:02:11.851 ความดาดเดาไม่ได้ก็จะหายไป 00:02:11.851 --> 00:02:15.912 อย่างที่คุณเห็น ตอนนี้เราคาดเดาได้แม่นยำว่า ที่ใดและเมื่อไหร่ 00:02:15.912 --> 00:02:20.909 แสงสีแดงจะปรากฏขึ้นบนเส้นนี้ 00:02:20.909 --> 00:02:22.580 เรามาที่นี่ คืนนี้ 00:02:22.580 --> 00:02:27.471 เพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ที่ว่าเราเองก็อาจเป็นเช่นชาวโลกแบน 00:02:27.471 --> 00:02:31.136 เพราะที่จริงแล้ว โลกเรานั้น ก็เต็มไปด้วยปริศนามากมาย 00:02:31.136 --> 00:02:37.178 ที่ซึ่งดูเหมือนจะไม่ลงตัว กับสมมติฐานของเรขาคณิตที่เรามี 00:02:37.178 --> 00:02:41.468 เรื่องลึกลับเช่น การบิดโค้งของอวกาศและเวลา, หลุมดำ, อุโมงค์ควอนตัม 00:02:41.468 --> 00:02:45.263 ค่าคงที่ทางธรรมชาติ, สสารมืด, พลังงานมืด, ฯลฯ 00:02:45.263 --> 00:02:48.264 รายชื่อยาวทีเดียว 00:02:48.264 --> 00:02:50.715 แล้วเราตอบสนองต่อสิ่งลึกลับเหล่านี้อย่างไร 00:02:50.715 --> 00:02:53.420 เรามีสองทางเลือก: 00:02:53.420 --> 00:02:55.656 เราอาจเลือกที่จะยึดถือสมมติฐาน ที่มีก่อนหน้านั้น 00:02:55.656 --> 00:02:59.089 และประดิษฐ์สมการขึ้นใหม่ ที่อยู่นอกระบบ 00:02:59.089 --> 00:03:02.343 ใช้ความพยายามแบบคลุมเครือ เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น 00:03:02.343 --> 00:03:06.774 หรือเราอาจเลือกทางเดินที่อาจหาญ โยนสมมติฐานเก่าทิ้งไป 00:03:06.774 --> 00:03:09.364 แล้วสร้างพิมพ์เขียวใหม่สำหรับความเป็นจริง 00:03:09.364 --> 00:03:14.298 พิมพ์เขียวที่ได้รวมเอาปรากฏการณ์เหล่านั้นไว้แล้ว 00:03:14.298 --> 00:03:16.925 มันถึงเวลาที่จะเลือกทางเดินนั้นแล้ว 00:03:16.925 --> 00:03:21.383 เพราะเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับชาวโลกแบน 00:03:21.383 --> 00:03:23.383 กลศาสตร์ควอนตัมที่ต้องอธิบายในเชิงสถิติ 00:03:23.383 --> 00:03:26.441 ทำให้นักวิทยาศาสตร์ของเรา เชื่อว่า 00:03:26.441 --> 00:03:29.577 โดยลึกๆ แล้ว โลกเรานั้นคาดเดาไม่ได้ 00:03:29.577 --> 00:03:31.516 และเชื่อว่าเมื่อเราศึกษาให้ลึกขึ้น เรายิ่งค้นพบ 00:03:31.516 --> 00:03:34.417 ว่าธรรมชาตินั้นไม่สมเหตุผลเอาเสียเลย 00:03:34.417 --> 00:03:36.202 อืม... 00:03:36.202 --> 00:03:39.440 บางทีเรื่องลึกลับเหล่านี้กำลังบอกเราว่า 00:03:39.440 --> 00:03:42.312 มันมีอะไรมากกว่าภาพที่เราเห็น 00:03:42.312 --> 00:03:45.433 ว่าธรรมชาตินั้นมีเรขาคณิตที่สมบูรณ์มากกว่าที่เราคิด 00:03:45.433 --> 00:03:48.763 บางทีปรากฏการณ์ลึกลับหลายๆ อย่างในโลกเรา 00:03:48.763 --> 00:03:51.394 จะสามารถถูกอธิบายได้โดยเรขาคณิตที่สมบูรณ์กว่า 00:03:51.394 --> 00:03:54.219 ด้วยมิติที่มากขึ้น 00:03:54.219 --> 00:03:57.876 นั่นก็จะแปลว่า เรานั้นติดอยู่กับโลกแบบในแบบของเราเอง 00:03:57.876 --> 00:04:01.652 และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราจะหนีออกไปได้อย่างไร 00:04:01.652 --> 00:04:04.016 อย่างน้อยก็ในเชิงความคิด 00:04:04.016 --> 00:04:08.024 ขั้นแรกที่ต้องแน่ใจเสียก่อนก็คือ เราต้องรู้ให้แน่ชัดว่ามิติคืออะไร 00:04:11.504 --> 00:04:13.630 คำถามเริ่มต้นที่ดีก็คือ 00:04:13.630 --> 00:04:18.553 ทำไม x, y, z ถึงประกอบกันเป็นมิติทางพื้นที่ได้ 00:04:18.553 --> 00:04:22.212 คำตอบก็คือ การเปลี่ยนตำแหน่งในมิติหนึ่ง 00:04:22.212 --> 00:04:25.494 ไม่ได้แปลว่าตำแหน่งในมิติอื่นๆ จะต้องเปลี่ยนด้วย 00:04:25.494 --> 00:04:28.847 มิติคือตัวบ่งชี้ตำแหน่งที่เป็นอิสระต่อกัน 00:04:28.847 --> 00:04:33.684 ดังนั้นแกน z จึงเป็นหนึ่งมิติ เพราะวัตถุสามารถ อยู่ที่ตำแหน่ง x และ y ใดๆ 00:04:33.684 --> 00:04:36.388 ในขณะที่มันเคลื่อนที่ในแกน Z 00:04:36.388 --> 00:04:39.427 ดังนั้น การที่จะบอกว่ามีมิติทางพื้นที่อื่นๆ 00:04:39.427 --> 00:04:41.986 แปลว่าจะต้องเป็นไปได้ที่วัตถุนั้น 00:04:41.986 --> 00:04:44.932 จะต้องอยู่นิ่งๆ ในตำแหน่ง x, y และ z 00:04:44.932 --> 00:04:48.836 แต่กำลังเคลื่อนไหวในมิติอื่นๆ 00:04:48.836 --> 00:04:51.705 แล้วมิติเหล่านั้นอยู่ไหนล่ะ 00:04:51.705 --> 00:04:56.167 เพื่อไขปริศนานั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงสมมติฐานพื้นฐาน 00:04:56.167 --> 00:05:00.332 เกี่ยวกับเรขาคณิตเรามีเกี่ยวกับอวกาศ 00:05:00.332 --> 00:05:07.379 เราต้องคิดว่าพื้นที่นั้น แบ่งออกเป็นหน่วยเล็กๆ ที่ไม่ต่อเนื่อง (ควอนตัม) 00:05:07.379 --> 00:05:10.791 และพื้นที่นั้นประกอบขึ้นจากส่วนเล็กๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน 00:05:10.791 --> 00:05:12.645 ถ้าพื้นที่ประกอบไปด้วยควอนตัม 00:05:12.645 --> 00:05:16.538 มันจะไม่สามารถถูกแบ่งให้ย่อยลงเป็นอนันต์ 00:05:16.538 --> 00:05:19.897 เมื่อเราแบ่งมันลงจนถึงขนาดพื้นฐานขนาดหนึ่ง 00:05:19.897 --> 00:05:22.112 เราจะแบ่งมันเพิ่มไม่ได้ 00:05:22.112 --> 00:05:24.918 โดยยังคงการพิจารณาเรื่องระยะทางในพื้นที่อยู่ 00:05:24.918 --> 00:05:27.123 ลองพิจารณาอุปมานี้ครับ: 00:05:27.123 --> 00:05:29.736 จินตนาการว่าเรามีทองคำบริสุทธิ์อยู่ก้อนหนึ่ง 00:05:29.736 --> 00:05:32.708 เราตั้งใจจะแบ่งครึ่งมันไปเรื่อยๆ 00:05:32.708 --> 00:05:34.818 มีคำถามสองข้อให้เราตอบ: 00:05:34.818 --> 00:05:37.581 เราแบ่งครึ่งมันได้กี่ครั้ง 00:05:37.581 --> 00:05:42.891 และ เราแบ่งครึ่งมันได้กี่ครั้ง แล้วโดยสิ่งที่เหลือที่ยังเป็นทองอยู่ 00:05:42.891 --> 00:05:45.019 สองคำถามนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง 00:05:45.019 --> 00:05:47.907 เพราะเมื่อเราแบ่งมันจนเหลือทองหนึ่งอะตอม 00:05:47.907 --> 00:05:49.535 เราจะตัดแบ่งต่อไปอีกไม่ได้ 00:05:49.535 --> 00:05:54.179 โดยไม่ทำลายนิยามของทองคำ 00:05:54.179 --> 00:05:58.616 ถ้าพื้นที่ถูกแบ่งในระดับควอนตัม การอุปมาแบบเดียวกันก็ใช้ได้ 00:05:58.616 --> 00:06:00.549 เราไม่สามารถพูดถึงระยะทางภายในพื้นที่ 00:06:00.549 --> 00:06:02.748 ที่น้อยกว่าหน่วยพื้นฐานได้ 00:06:02.748 --> 00:06:06.152 ด้วยเหตุผลเดียวกัน เราไม่สามารถพูดถึงปริมาณทองคำ 00:06:06.152 --> 00:06:10.433 ที่น้อยกว่า 1 อะตอมของทองคำได้ 00:06:10.433 --> 00:06:15.558 การแยกอวกาศออกเป็นหน่วยเล็กๆ นำเราไปสู่เรขาคณิตแบบใหม่ 00:06:15.558 --> 00:06:17.469 ที่ซึ่งคล้ายกับแบบนี้ 00:06:17.469 --> 00:06:20.842 ชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านี้ หรือควอนตัมเหล่านี้ 00:06:20.842 --> 00:06:25.043 ประกอบกัน กลายเป็นเนื้อแห่งมิติ x, y, z 00:06:25.043 --> 00:06:27.727 รูปทรงแบบนี้มี 11 มิติ 00:06:27.727 --> 00:06:30.891 ดังนั้น ถ้าคุณมองแบบนี้ คุณก็เข้าใจมันแล้ว มันไม่ได้ยากเหนือความเข้าใจ 00:06:30.891 --> 00:06:33.079 เราเพียงแค่ต้องเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น 00:06:33.079 --> 00:06:37.165 โปรดสังเกตว่ามีปริมาตรที่แตกต่างกันอยู่ 3 แบบ 00:06:37.165 --> 00:06:40.130 และปริมาตรทุกแบบ มี 3 มิติ 00:06:40.130 --> 00:06:44.437 ระยะห่างระหว่างสองจุดใดๆ ภายในพื้นที่ จะเท่ากับจำนวนควอนตัม 00:06:44.437 --> 00:06:47.858 ที่อยู่ระหว่างสองจุด ณ ขณะนั้น 00:06:47.858 --> 00:06:50.887 ปริมาตรในแต่ละควอนตัมนั้นเรียกว่า อินเตอร์สเปเชียล (interspatial) 00:06:50.887 --> 00:06:55.153 ปริมาตรที่ควอนตัมกินเนื้อที่ขณะเคลื่อนที่ไปมานั้น เรียกว่า ซุปเปอร์สเปเชียล (superspatial) 00:06:55.153 --> 00:06:58.923 โปรดสังเกตว่า การมีข้อมูลตำแหน่ง x, y, z ครบถ้วน 00:06:58.923 --> 00:07:03.357 ทำให้เราบ่งชี้ได้เพียงหนึ่งควอนตัมทางพื้นที่ 00:07:03.357 --> 00:07:06.116 และโปรดสังเกตว่ามันก็เป็นไปได้ ที่วัตถุชิ้นหนึ่ง 00:07:06.116 --> 00:07:09.660 จะเคลื่อนที่ในแบบอินเตอร์สเปเชียล หรือซุปเปอร์สเปเชียล 00:07:09.660 --> 00:07:14.963 โดยไม่เปลี่ยนแปลงพิกัด x, y, z เลย 00:07:14.963 --> 00:07:16.852 นั่นแปลว่า มีวิธีทั้งหมด 9 แบบที่เป็นอิสระต่อกัน 00:07:16.852 --> 00:07:18.826 ที่วัตถุสักชิ้น จะเคลื่อนที่ไปมา 00:07:18.826 --> 00:07:21.307 นั่นรวมเป็น 9 มิติทางพื้นที่ 00:07:21.307 --> 00:07:24.965 3 มิติของปริมาตรแบบ x, y, z 3 มิติของปริมาตรแบบซุปเปอร์สเปเชียล 00:07:24.965 --> 00:07:27.419 และ 3 มิติของปริมาตรแบบอินเตอร์สเปเชียล 00:07:27.419 --> 00:07:29.560 และเรายังมีมิติของเวลา ซึ่งสามารถนิยามได้ว่า 00:07:29.560 --> 00:07:33.068 เป็นเลขจำนวนเต็มของการสั่นพ้อง ที่แต่ละควอนตัมประสบ 00:07:33.068 --> 00:07:39.109 และเวลาแบบซุปเปอร์ไทม์ (super-time) ทำให้เราอธิบายการเคลื่อนไหวของควอนตัม ผ่านซุปเปอร์สเปซได้ 00:07:39.109 --> 00:07:42.143 เอาล่ะ ผมรู้ว่ามันฟังดูงง และผมไปเร็วมากกว่าที่ผมตั้งใจไว้ 00:07:42.143 --> 00:07:44.424 เพราะว่ามีรายละเอียดมากมายที่เรา สามารถเจาะลึกลงไปได้ 00:07:44.424 --> 00:07:48.745 แต่มีประโยชน์สำคัญอยู่ข้อหนึ่ง ในการที่เราสามารถอธิบายพื้นที่ 00:07:48.745 --> 00:07:53.852 ว่าเป็นตัวกลางที่มีคุณสมบัติของ ความหนาแน่น การบิดเบือน และการกระเพื่อม 00:07:53.852 --> 00:07:59.727 ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถอธิบาย การบิดโค้งของมิติพื้นที่และเวลาของไอน์สไตน์ 00:07:59.727 --> 00:08:03.369 ได้โดยโดยไม่ต้องลดมิติของภาพลง 00:08:03.369 --> 00:08:07.416 การบิดโค้งคือการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่น ของควอนตัมอวกาศเหล่านี้ 00:08:07.416 --> 00:08:10.549 ยิ่งควอนตัมหนาแน่นมากเท่าไหร่ พวกมันยิ่งมีอิสระน้อยลงในการสั่นพ้อง 00:08:10.549 --> 00:08:12.651 ดังนั้นมันจึงประสบกับเวลาที่เดินช้าลง 00:08:12.651 --> 00:08:15.316 และในบริเวณที่มีความหนาแน่นสูงสุด 00:08:15.316 --> 00:08:18.206 และควอนตัมเหล่านี้ถูกอัดรวมเข้าด้วยกัน 00:08:18.206 --> 00:08:22.489 เช่นในหลุมดำ ควอนตัมเหล่านั้นจะไม่รู้สึกถึงเวลาเลย 00:08:22.489 --> 00:08:26.619 แรงโน้มถ่วงนั้นคือผลลัพธ์ง่ายๆ ของวัตถุที่เดินทางเป็นเส้นตรง 00:08:26.619 --> 00:08:28.875 ผ่านห้วงอวกาศที่บิดโค้ง 00:08:28.875 --> 00:08:31.374 การเดินทางเป็นเส้นตรงผ่านมิติ x, y, z 00:08:31.374 --> 00:08:33.688 แปลว่าทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของคุณ 00:08:33.688 --> 00:08:38.065 เดินทางด้วยระยะทางเท่ากัน มีปฏิสัมพันธ์กับจำนวนควอนตัมที่เท่ากัน 00:08:39.245 --> 00:08:42.236 แต่เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงความหนาแน่น เกิดขึ้นในห้วงอวกาศ 00:08:42.236 --> 00:08:46.496 ทางเดินที่เป็นเส้นตรง จะให้ความรู้สึกทางพื้นที่ที่เท่ากัน 00:08:46.496 --> 00:08:50.945 สำหรับทุกๆ ส่วนของวัตถุนั้น 00:08:50.945 --> 00:08:52.947 นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก 00:08:52.947 --> 00:08:56.058 ถ้าคุณเคยเห็นกราฟเส้นโค้งของไอน์สไตน์มาก่อน 00:08:56.058 --> 00:08:58.114 การโค้งของมิติอวกาศและเวลา 00:08:58.114 --> 00:09:02.326 คุณอาจไม่สังเกตว่ามีอยู่หนึ่งมิติที่ไม่ได้ตั้งชื่อเอาไว้ 00:09:02.326 --> 00:09:05.713 เราสมมติว่า เราใช้ระนาบตามแบบของเรา 00:09:05.713 --> 00:09:08.189 เมื่อใดก็ตามที่มีมวลอยู่บนระนาบนี้ ระนาบจะยืดออก 00:09:08.189 --> 00:09:10.132 ถ้ามีมวลมากขึ้น ระนาบก็ถูกยืดมากขึ้น 00:09:10.132 --> 00:09:12.655 เพื่อแสดงให้เห็นการบิดโค้งที่มากขึ้น 00:09:12.655 --> 00:09:14.930 แต่เรายืดมันออกไปในทิศทางไหนล่ะ 00:09:14.930 --> 00:09:17.169 เรากำจัดแกน z ออกไป 00:09:17.169 --> 00:09:19.875 เราทำพลาดแบบนี้ทุกครั้งในตำราเรียน 00:09:19.875 --> 00:09:22.725 ตอนนี้ เราไม่ต้องกำจัดมิติแกน z ออกไป 00:09:22.725 --> 00:09:26.582 เราสามารถแสดงให้เห็นการบิดโค้งได้ ในรูปแบบเต็มๆ 00:09:26.582 --> 00:09:28.998 และนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญ 00:09:28.998 --> 00:09:31.756 ปริศนาอื่นๆ ที่ผุดขึ้นมาจากเรขาคณิตแบบใหม่นี้ 00:09:31.756 --> 00:09:33.823 เช่น อุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling) 00:09:33.823 --> 00:09:36.589 จำ "ชาวโลกแบน" ของเราได้ไหมครับ 00:09:36.589 --> 00:09:40.495 พวกเขาเห็นแสงสีแดงปรากฏขึ้น ณ จุดหนึ่งบนขอบฟ้า 00:09:40.495 --> 00:09:43.948 และจากนั้นมันก็จะหายไป และเท่าที่พวกเขารู้ 00:09:43.948 --> 00:09:46.297 มันได้หายไปจากเอกภพ 00:09:46.297 --> 00:09:50.059 แต่ถ้าแสงสีแดงนั้นปรากฏขึ้นอีก ณ อีกจุดหนึ่งบนเส้นขอบฟ้า 00:09:50.059 --> 00:09:52.563 พวกเขาอาจเรียกมันว่าอุโมงค์ควอนตัม 00:09:52.563 --> 00:09:54.764 เช่นเดียวกับที่เราสังเกตเห็นอิเล็กตรอน 00:09:54.764 --> 00:09:57.324 หายไปจากห้วงอวกาศ 00:09:57.324 --> 00:09:59.421 และปรากฏขึ้นอีกครั้ง ณ อืกแห่งหนึ่ง และที่แห่งนั้น 00:09:59.421 --> 00:10:03.378 สามารถอยู่นอกเหนือขอบเขตที่มัน ไม่ควรจะหลุดออกไปได้ 00:10:03.378 --> 00:10:07.600 เอาล่ะ เราสามารถใช้ภาพนี้ได้ เพื่อไขปริศนานั้นได้ไหม 00:10:07.600 --> 00:10:11.382 คุณเห็นไหม ว่าปริศนาต่างๆ บนโลกเรา สามารถเปลี่ยนเป็นมุมมองที่สวยงาม 00:10:11.382 --> 00:10:13.830 ภายใต้ภาพของเรขาคณิตแบบใหม่นี้ 00:10:13.830 --> 00:10:16.356 สิ่งที่เราต้องทำ ก็เพียงแต่ พยายามเข้าใจปริศนาเหล่านี้ 00:10:16.356 --> 00:10:22.862 เปลี่ยนสมมติฐานเรื่องเรขาคณิตต่างๆ ให้เป็นพื้นที่แบบควอนตัม 00:10:22.862 --> 00:10:25.259 ภาพนี้บอกเราได้อีกอย่างหนึ่ง 00:10:25.259 --> 00:10:27.390 เกี่ยวกับว่าค่าคงที่ต่างๆ ในธรรมชาตินั้นมาจากไหน 00:10:27.390 --> 00:10:31.560 เช่น ความเร็วแสง ค่าคงที่ของแพลงค์ ค่าคงที่ของแรงดึงดูด และอื่นๆ 00:10:31.560 --> 00:10:36.277 เนื่องจากหน่วยวัดต่างๆ นิวตัน จูล ปาสคาล ฯลฯ 00:10:36.277 --> 00:10:39.997 สามารถลดรูปลงได้เป็นการผสมกันของ 5 หน่วย 00:10:39.997 --> 00:10:43.269 คือ ความยาว มวล เวลา กระแสไฟฟ้า และอุณหภูมิ 00:10:43.269 --> 00:10:45.284 การแบ่งพื้นที่ออกเป็นควอนตัม 00:10:45.284 --> 00:10:51.035 แปลว่าหน่วยทั้ง 5 นั้นจะต้องอยู่ ในรูปหน่วยควอนตัมที่แบ่งออกไม่ได้อีก 00:10:51.035 --> 00:10:55.176 นี่ทำให้เราได้ตัวเลข 5 ตัว ที่เกิดขึ้นมาจากเรขาคณิตแบบใหม่ของเรา 00:10:55.176 --> 00:10:58.435 ผลทางธรรมชาติจาก 11 มิติ ซึ่งมีหน่วยเป็นหนึ่ง 00:10:58.435 --> 00:11:00.870 มีตัวเลขอีก 2 ตัวในมุมมองใหม่ของเรา 00:11:00.870 --> 00:11:03.928 ตัวเลขที่สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านการบิดโค้ง 00:11:03.928 --> 00:11:07.017 พาย (Pi) สามารถใช้เพื่อแสดงส่วนโค้งที่น้อยที่สุด 00:11:07.018 --> 00:11:10.791 หรือความโค้งเป็นศูนย์ ในขณะที่ตัวเลขอีกตัวหนึ่งที่เราเรียกว่า เฌอ (Zhe) 00:11:10.791 --> 00:11:13.806 สามารถใช้เพื่อแสดงสถานะการบิดโค้งสูงสุด 00:11:13.806 --> 00:11:17.285 เหตุผลที่เราต้องมีค่าสูงสุดเพราะ เรามีอวกาศแบบควอนตัม 00:11:17.285 --> 00:11:22.637 เราไม่สามารถแบ่งมันออกไปได้เป็นอนันต์ 00:11:22.637 --> 00:11:24.389 แล้วเลขเหล่านี้ให้อะไรแก่เรา 00:11:24.389 --> 00:11:27.371 รายชื่อยาวเหยียดเหล่านี้ คือค่าคงที่ตามธรรมชาติ 00:11:27.371 --> 00:11:29.857 และถ้าคุณสังเกต แม้ในขณะที่เรามองมันแบบผ่านๆ 00:11:29.857 --> 00:11:33.189 พวกมันต่างประกอบขึ้นด้วยตัวเลขห้าตัว 00:11:33.189 --> 00:11:34.955 ที่เกิดจากเรขาคณิตแบบใหม่ของเรา และตัวเลขอีกสองตัว 00:11:34.955 --> 00:11:38.790 ที่มาจากข้อจำกัดของการบิดโค้ง 00:11:38.790 --> 00:11:42.276 นั่นมันเป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับผมมันสำคัญมาก 00:11:42.276 --> 00:11:44.250 มันแปลว่าค่าคงที่ของธรรมชาติ 00:11:44.250 --> 00:11:47.038 เกิดจากเรขาคณิตของพื้นที่ 00:11:47.038 --> 00:11:50.531 พวกมันเป็นผลพวงโดยตรงที่เกิดจากแบบจำลองนั้น 00:11:54.041 --> 00:11:58.020 เอาล่ะ ถึงตอนสนุกแล้ว เพราะมีประโยคเด็ดๆ อยู่หลายที่ 00:11:58.020 --> 00:12:00.797 ออกจะยากสักหน่อยที่จะรู้ว่า ใครจะชอบตรงไหน 00:12:00.797 --> 00:12:04.127 ด้วยเรขาคณิตในมิติแบบใหม่นี้ 00:12:04.127 --> 00:12:07.256 ทำให้เราสามารถอธิบายแรงดึงดูด 00:12:07.256 --> 00:12:09.337 ได้ในเชิงแนวคิดทั้งหมด 00:12:09.337 --> 00:12:11.496 คุณจะเห็นภาพทั้งหมดได้ในหัวของคุณ 00:12:11.496 --> 00:12:14.179 หลุมดำ อุโมงค์ควอนตัม ค่าคงที่ในธรรมชาติ 00:12:14.179 --> 00:12:16.329 และในกรณีที่ไม่มีสิ่งไหนเลยที่คุณสนใจ 00:12:16.329 --> 00:12:18.020 หรือคุณไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน 00:12:18.020 --> 00:12:23.805 คุณคงแทบไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสสารมืด และพลังงานมืดเป็นแน่ 00:12:23.805 --> 00:12:27.797 สองสิ่งนี้ก็เป็นผลพวงมาจากเรขาคณิตแบบใหม่ 00:12:27.797 --> 00:12:31.168 สสารมืดนั้น เมื่อเราสังเกตดาราจักรที่ห่างไกลออกไป 00:12:31.168 --> 00:12:34.825 และสังเกตเหล่าดาวฤกษ์ที่โคจรอยู่ในดาราจักรเหล่านั้น 00:12:34.825 --> 00:12:38.448 ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ขอบดาราจักรนั้นเคลื่อนที่เร็วเกินไป 00:12:38.448 --> 00:12:41.774 ราวกับว่าพวกมันมีแรงดึงดูดมากกว่าปกติ 00:12:41.774 --> 00:12:45.896 เราจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร เราอธิบายไม่ได้ 00:12:45.896 --> 00:12:48.616 เราจึงคิดว่าต้องมีสสารอย่างอื่นอยู่ที่นั่น ซึ่งสร้างแรงดึงดูดเพิ่มเติม 00:12:48.616 --> 00:12:51.457 ที่ส่งผลกระทบแบบนั้น แต่เรามองไม่เห็นสสารนั้น 00:12:51.457 --> 00:12:57.845 เราจึงเรียกมันว่าสสารมืด และเรานิยามสสารมืด ว่าเป็นบางสิ่งที่เรามองไม่เห็น! 00:12:57.845 --> 00:12:59.888 ซึ่งก็ดี มันเป็นขั้นตอนที่ดี เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี 00:12:59.888 --> 00:13:02.643 แต่ในแบบจำลองของเรา เราไม่ต้องใช้วิธีคิดก้าวกระโดดแบบนั้น 00:13:02.643 --> 00:13:04.991 เราคิดแบบก้าวกระโดด ในเชิงที่ว่าพื้นที่นั้นเป็นควอนตัม 00:13:04.991 --> 00:13:07.704 และสิ่งอื่นๆที่เหลือ เป็นผลพวงจากสมมติฐานนั้น 00:13:07.704 --> 00:13:11.441 เราเชื่อว่า พื้นที่นั้นสร้างขึ้นจากสิ่งพื้นฐาน 00:13:11.441 --> 00:13:15.221 แบบเดียวกับที่เราเชื่อ ว่าอากาศนั้นเกิดจากโมเลกุล 00:13:15.221 --> 00:13:18.301 ถ้านั่นเป็นจริง แปลว่าข้อกำหนดที่ตามมาก็คือ 00:13:18.301 --> 00:13:22.485 คุณสามารถมีการเปลี่ยนแปลงของความหนาแน่น ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแรงโน้มถ่วง 00:13:22.485 --> 00:13:26.876 และคุณควรจะต้องมีการเปลี่ยนสถานะ 00:13:26.876 --> 00:13:29.718 แล้วอะไรเป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนสถานะล่ะ 00:13:29.718 --> 00:13:32.200 ก็อุณหภูมิไง 00:13:32.200 --> 00:13:36.601 เมื่อบางสิ่งเย็นตัวถึงจุดหนึ่ง การเรียงตัวของโครงสร้างของมันจะเปลี่ยนไป 00:13:36.601 --> 00:13:39.547 และมันจะเปลี่ยนสถานะ 00:13:39.547 --> 00:13:43.443 การเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นนี้ ณ บริเวณขอบนอกของดาราจักร 00:13:43.443 --> 00:13:47.057 จะก่อให้เกิดสนามแรงโน้มถ่วง 00:13:47.057 --> 00:13:49.845 เพราะนั่นคือนิยามของสนามแรงโน้มถ่วง 00:13:49.845 --> 00:13:53.318 มันคือการเปลี่ยนแปลงของความหนาแน่น 00:13:53.318 --> 00:13:55.318 เอาล่ะ 00:13:56.104 --> 00:13:59.692 ข้ามพวกนี้ไปเลย 00:13:59.692 --> 00:14:04.752 ทีนี้ ผมจะอธิบายเรื่องพลังงานมืด ในเวลา 15 วินาที 00:14:04.752 --> 00:14:07.709 เมื่อเรามองออกไปยังขอบอวกาศ เราสังเกตว่าแสงจากที่ห่างไกล 00:14:07.709 --> 00:14:09.605 จะเกิดปรากฏการณ์เรดชิฟท์ (redshift - ความยาวคลื่นเคลื่อนไปทางสีแดง) 00:14:09.605 --> 00:14:12.441 แปลว่ามันสูญเสียพลังงานบางส่วน ในขณะที่เดินทางมาหาเรา 00:14:12.441 --> 00:14:14.233 โดยใช้เวลานับพันล้านปี 00:14:14.233 --> 00:14:16.374 แล้วเราจะอธิบายเรดชิฟท์ได้อย่างไร 00:14:16.374 --> 00:14:21.326 ณ ปัจจุบัน เราเข้าใจว่า มันแปลว่าเอกภพกำลังขยายตัวออก 00:14:21.326 --> 00:14:24.038 ข้อกล่าวอ้างของเราทั้งหมดที่ว่าเอกภพ กำลังขยายตัว ล้วนมาจากสิ่งนี้ 00:14:24.038 --> 00:14:25.757 จากการวัดว่า เรดชิฟท์ นั้นเปลี่ยนแปลงอย่างไร 00:14:25.757 --> 00:14:28.327 ณ ที่ระยะห่างเท่านี้ ระยะห่างนี้ ระยะห่างนี้ 00:14:28.327 --> 00:14:31.559 และเช่นกัน เราวัดการขยายตัวด้วยวิธีนี้ 00:14:31.559 --> 00:14:34.576 แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถอธิบายเรดชิฟท์ได้ 00:14:34.576 --> 00:14:37.479 เช่นเดียวกับที่ อาจมีวิธีอื่นที่จะใช้อธิบายว่า ทำไม ถ้าผมถือส้อมเสียงอันหนึ่ง 00:14:37.479 --> 00:14:39.241 ที่ปรับมาให้เป็นเสียงโน้ตดนตรี C 00:14:39.241 --> 00:14:43.050 แต่เมื่อผมนำมันไปไว้ในอุโมงค์แล้ว คุณกลับได้ยินเสียงโน้ต B 00:14:43.050 --> 00:14:46.168 แน่นอนว่า คุณอาจบอกว่านั่นเป็นเพราะ ผมกำลังเคลื่อนที่ออกห่างจากคุณในอุโมงค์ 00:14:46.168 --> 00:14:51.011 แต่มันก็อาจเป็นได้ว่า ความดันอากาศในอุโมงค์ 00:14:51.011 --> 00:14:54.405 นั้นลดลงในขณะที่เสียงเดินทางมายังหูของคุณ 00:14:54.405 --> 00:14:56.308 นั่นฟังดูออกจะเป็นไปได้ยากสักหน่อย 00:14:56.308 --> 00:14:58.667 เพราะความดันอากาศไม่ได้ลดลงเร็วแบบนั้น 00:14:58.667 --> 00:15:02.805 แต่เมื่อเราคิดถึงแสงที่เดินทางมานับพันล้านปี 00:15:02.805 --> 00:15:05.134 ที่เราต้องการ ก็คือเหล่าควอนตัม 00:15:05.134 --> 00:15:11.150 ที่มีความยืดหยุ่นเพียงเล็กน้อย แล้วผลของเรดชิฟท์ก็จะโดดเด่นขึ้นมา 00:15:11.150 --> 00:15:13.782 ยังมีอะไรอีกมากมายในการสำรวจแนวคิดนี้ 00:15:13.782 --> 00:15:17.224 ถ้าคุณสนใจ เชิญไปยังเว็บไซต์นี้ได้ 00:15:17.224 --> 00:15:20.335 และเชิญติชมได้ตามสบายเลยนะครับ 00:15:20.335 --> 00:15:25.947 เวลาจะหมดแล้ว ดังนั้นให้ผมสรุป ว่าพิมพ์เขียวใหม่ ของมิติทั้ง 11 นี้ ให้เครื่องมือทางความคิดแก่เรา 00:15:25.947 --> 00:15:28.934 เครื่องมือที่ใช้ขยายขอบเขตของจินตนาการ 00:15:28.934 --> 00:15:34.817 และ บางที อาจจุดประกายความโรแมนติก ในภารกิจของไอน์สไตน์ขึ้นมาอีกครั้ง 00:15:34.817 --> 00:15:36.457 ขอบคุณครับ 00:15:36.457 --> 00:15:38.506 (เสียงปรบมือ)