WEBVTT 00:00:00.509 --> 00:00:04.841 ฉันจะขอเล่าเกี่ยวกับคดีทางกฎหมายหนึ่งที่ฉันเคยทำ 00:00:04.841 --> 00:00:08.404 เกี่ยวกับชายที่ชื่อว่า สตีฟ ไททัส NOTE Paragraph 00:00:08.404 --> 00:00:11.433 ไททัสเป็นผู้จัดการร้านอาหาร 00:00:11.433 --> 00:00:15.523 ตอนนั้นเขาอายุ 31 ปี อาศัยอยู่ที่ซีแอตเติ้ล กรุงวอชิงตัน 00:00:15.523 --> 00:00:17.418 เขาหมั้นหมายอยู่กับเกรทเช่น 00:00:17.418 --> 00:00:20.366 กำลังจะแต่งงานกัน เธอเป็นรักแท้ของเขา 00:00:20.366 --> 00:00:22.650 คืนหนึ่ง ทั้งคู่ออกไป 00:00:22.650 --> 00:00:25.655 ทานอาหารค่ำโรแมนติคที่ร้านอาหาร 00:00:25.655 --> 00:00:27.303 ขณะที่พวกเขากำลังกลับบ้าน 00:00:27.303 --> 00:00:30.253 ตำรวจนายหนึ่งสั่งให้พวกเขาจอดรถ 00:00:30.253 --> 00:00:33.570 ปรากฎว่า รถของไททัสดูค่อนข้างคล้ายกับรถคันหนึ่ง 00:00:33.570 --> 00:00:37.457 ซึ่งคนที่ขับรถคันนี้ในช่วงเย็นวันเดียวกัน 00:00:37.457 --> 00:00:40.863 เป็นคนข่มขืนผู้หญิงที่ขอโดยสารรถไปด้วย 00:00:40.863 --> 00:00:44.457 และไททัสก็หน้าตาคล้ายๆ กับโจรข่มขืนคนนั้น 00:00:44.457 --> 00:00:47.035 ตำรวจจึงนำรูปภาพของไททัส 00:00:47.035 --> 00:00:49.802 ไปรวมกับรูปภาพสำหรับการชี้ตัว 00:00:49.802 --> 00:00:51.962 และโชว์ให้ผู้เสียหายดูในเวลาต่อมา 00:00:51.962 --> 00:00:54.122 เธอชี้ไปที่รูปของไททัส 00:00:54.122 --> 00:00:57.743 และบอกว่า "คนนี้ดูเหมือนที่สุด" 00:00:57.743 --> 00:01:01.631 ตำรวจและอัยการจึงดำเนินการพิจารณาคดี 00:01:01.631 --> 00:01:04.972 ตอนที่สตีฟ ไททัส ถูกนำตัวมาขึ้นศาลในข้อหาข่มขืน 00:01:04.972 --> 00:01:07.068 เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้ขึ้นมาบนแท่นพยาน 00:01:07.068 --> 00:01:11.410 และกล่าวว่า "ฉันมั่นใจอย่างแน่นอนว่าเป็นเขา" 00:01:11.410 --> 00:01:14.336 ไททัสจึงถูกตัดสินลงโทษ 00:01:14.336 --> 00:01:16.310 เขาป่าวประกาศว่าตัวเองบริสุทธิ์ 00:01:16.310 --> 00:01:18.892 ครอบครัวของเขากรีดร้องใส่คณะลูกขุน 00:01:18.892 --> 00:01:21.763 คู่หมั้นของเขาทรุดตัวลงไปร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่พื้น 00:01:21.763 --> 00:01:25.158 และไททัส ก็ถูกนำตัวเข้าห้องขัง NOTE Paragraph 00:01:25.158 --> 00:01:28.616 คุณจะทำอย่างไร เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ 00:01:28.616 --> 00:01:30.252 คุณจะทำอย่างไร 00:01:30.252 --> 00:01:34.020 ไททัสสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบกฎหมายโดยสิ้นเชิง 00:01:34.020 --> 00:01:36.052 แต่เขาก็ยังได้ความคิดหนึ่ง 00:01:36.052 --> 00:01:38.483 เขาโทรไปหาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น 00:01:38.483 --> 00:01:41.870 เขาได้รับความสนใจจากนักข่าวสืบสวนคนหนึ่ง 00:01:41.870 --> 00:01:46.606 และนักข่าวคนนั้นก็เป็นผู้หาโจรข่มขืนตัวจริงจนพบ 00:01:46.606 --> 00:01:49.959 คนที่สารภาพในที่สุดว่าเป็นผู้ลงมือข่มขืนครั้งนี้ 00:01:49.959 --> 00:01:53.251 คนที่ถูกคาดว่าลงมือข่มขืนมาแล้ว 50 ครั้ง 00:01:53.251 --> 00:01:54.583 ในพื้นที่นั้น 00:01:54.583 --> 00:01:57.757 และเมื่อข้อมูลนี้ถูกส่งไปถึงผู้พิพากษา 00:01:57.757 --> 00:02:00.693 ผู้พิพากษาจึงปล่อยไททัสเป็นอิสระ NOTE Paragraph 00:02:00.693 --> 00:02:04.724 ว่ากันจริงๆแล้ว เคสนี้ก็น่าจะสิ้นสุดที่ตรงนี้ 00:02:04.724 --> 00:02:05.847 มันน่าจะจบ 00:02:05.847 --> 00:02:08.367 ไททัสน่าจะมองว่ามันช่างเป็นปีที่เลวร้าย 00:02:08.367 --> 00:02:12.203 ปีของการถูกกล่าวหาและดำเนินคดี แต่มันก็สิ้นสุดลงแล้ว NOTE Paragraph 00:02:12.203 --> 00:02:14.250 เรื่องมันไม่ได้จบลงแบบนั้น 00:02:14.250 --> 00:02:16.928 ไททัสรู้สึกขมขื่นมาก 00:02:16.928 --> 00:02:19.508 เขาสูญเสียหน้าที่การงาน เขาเอามันกลับคืนมาไม่ได้ 00:02:19.508 --> 00:02:21.351 เขาสูญเสียคู่หมั้น 00:02:21.351 --> 00:02:24.257 เธอทนอยู่กับอารมณ์โกรธแค้นตลอดเวลาของเขาไม่ได้ 00:02:24.257 --> 00:02:26.403 เขาสูญเสียเงินเก็บทั้งหมด 00:02:26.403 --> 00:02:29.261 เขาก็เลยตัดสินใจยื่นฟ้อง 00:02:29.261 --> 00:02:31.542 ฟ้องตำรวจและคนอื่นๆ ที่เขารู้สึกว่า 00:02:31.542 --> 00:02:33.861 มีส่วนรับผิดชอบกับความทุกข์ทรมานของเขา NOTE Paragraph 00:02:33.861 --> 00:02:38.574 ตอนนั้นเองที่ฉันได้เข้ามาเริ่มทำงานเกี่ยวกับเคสนี้ 00:02:38.574 --> 00:02:40.535 โดยพยายามหาคำตอบว่า 00:02:40.535 --> 00:02:42.609 จากที่ผู้เสียหายเคยพูดว่า 00:02:42.609 --> 00:02:44.137 "คนนี้ดูเหมือนที่สุด" 00:02:44.137 --> 00:02:48.887 กลายมาเป็น "ฉันมั่นใจอย่างแน่นอนว่าเป็นเขา" ไปได้อย่างไร NOTE Paragraph 00:02:48.887 --> 00:02:52.166 ไททัสหมกมุ่นอยู่กับคดีของเขามาก 00:02:52.166 --> 00:02:55.200 เขาคิดเกี่ยวกับมันตลอดทุกช่วงเวลาที่ลืมตาตื่น 00:02:55.200 --> 00:02:59.351 และก่อนขึ้นศาลเพียงไม่กี่วัน 00:02:59.351 --> 00:03:01.570 เขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง 00:03:01.570 --> 00:03:03.378 รู้สึกเจ็บปวดจนตัวงอ 00:03:03.378 --> 00:03:06.072 และตายเพราะหัวใจล้มเหลวจากความเครียด 00:03:06.072 --> 00:03:09.259 เขาอายุได้ 35 ปี NOTE Paragraph 00:03:09.259 --> 00:03:14.069 ดังนั้น ฉันได้รับเชิญเข้ามาทำเคสของไททัส 00:03:14.069 --> 00:03:16.584 เพราะฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยา 00:03:16.584 --> 00:03:20.411 ฉันศึกษาเกี่ยวกับความจำ ฉันได้ค้นคว้าเรื่องความจำมาหลายสิบๆ ปี 00:03:20.411 --> 00:03:23.800 และถ้าฉันได้รู้จักใครบนเครื่องบิน 00:03:23.800 --> 00:03:25.896 เรื่องนี้เกิดตอนที่กำลังบินไปสก็อตแลนด์ 00:03:25.896 --> 00:03:27.726 ถ้าฉันได้รู้จักใครบนเครื่องบิน 00:03:27.726 --> 00:03:30.771 และถามกันประมาณว่า "คุณทำงงทำงานอะไร" 00:03:30.771 --> 00:03:32.222 ฉันก็จะบอกว่า "ฉันศึกษาเกี่ยวกับความจำ" 00:03:32.222 --> 00:03:35.602 พวกเขาก็มักจะเล่าให้ฟังว่ามีปัญหาเรื่องจดจำชื่อ 00:03:35.602 --> 00:03:38.401 หรือไม่ก็มีญาติที่เป็นอัลไซเมอร์ 00:03:38.416 --> 00:03:40.481 หรือปัญหาอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับความจำ 00:03:40.481 --> 00:03:42.697 แต่ฉันต้องบอกพวกเขาว่า 00:03:42.697 --> 00:03:46.202 ฉันไม่ได้ศึกษาเวลาที่ผู้คนหลงลืม 00:03:46.202 --> 00:03:49.204 ฉันศึกษาเรื่องที่ตรงกันข้าม เวลาที่พวกเขาจดจำ 00:03:49.204 --> 00:03:51.957 เวลาที่พวกเขาจำสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น 00:03:51.957 --> 00:03:53.922 หรือจำสิ่งที่แตกต่าง 00:03:53.922 --> 00:03:55.947 จากที่มันเป็นอยู่จริงๆ 00:03:55.947 --> 00:04:00.683 ฉันศึกษาเรื่องความทรงจำเท็จ NOTE Paragraph 00:04:00.683 --> 00:04:04.990 มันน่าเศร้าที่ สตีฟ ไททัส ไม่ใช่คนเดียว 00:04:04.990 --> 00:04:09.295 ที่ถูกตัดสินลงโทษจากความทรงจำเท็จของคนอื่น 00:04:09.295 --> 00:04:12.603 ที่สหรัฐอเมริกา มีโครงการหนึ่ง 00:04:12.603 --> 00:04:14.855 มีการรวบรวมข้อมูล 00:04:14.855 --> 00:04:18.789 จากผู้บริสุทธิ์ 300 คน 00:04:18.789 --> 00:04:22.684 จำเลย 300 คนที่ถูกตัดสินลงโทษในอาชญากรรม ที่พวกเขาไม่ได้ก่อ 00:04:22.684 --> 00:04:27.984 พวกเขาต้องติดคุกเป็น 10, 20, 30 ปี ในข้อหาก่ออาชญากรรมเหล่านี้ 00:04:27.984 --> 00:04:30.411 และปัจจุบันผลการทดสอบดีเอ็นเอก็พิสูจน์ว่า 00:04:30.411 --> 00:04:33.327 จริงๆ แล้วพวกเขาบริสุทธิ์ 00:04:33.327 --> 00:04:35.848 และเมื่อมีการวิเคราะห์ดคีเหล่านั้น 00:04:35.848 --> 00:04:37.989 พบว่าสามในสี่ของผู้บริสุทธิ์ 00:04:37.989 --> 00:04:43.600 ถูกลงโทษพราะความทรงจำเท็จ ความทรงจำที่ผิดของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ NOTE Paragraph 00:04:43.600 --> 00:04:44.863 ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ 00:04:44.863 --> 00:04:48.314 เช่นเดียวกับคณะลูกขุนที่ตัดสินโทษผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น 00:04:48.314 --> 00:04:50.598 และคณะลูกขุนที่ตัดสินโทษไททัส 00:04:50.598 --> 00:04:52.839 หลายๆ คนเชื่อว่าความจำ 00:04:52.839 --> 00:04:54.486 ทำงานเหมือนเป็นเครื่องบันทึก 00:04:54.486 --> 00:04:56.743 คุณแค่บันทึกข้อมูล 00:04:56.743 --> 00:04:59.390 แล้วก็ค่อยนึกย้อนกลับไปแล้วเล่นใหม่ 00:04:59.390 --> 00:05:02.817 เวลาที่ต้องตอบคำถาม หรือระบุรูปภาพ 00:05:02.817 --> 00:05:04.980 แต่หลายทศวรรษที่ทำงานด้านจิตวิทยามา 00:05:04.980 --> 00:05:08.133 ได้แสดงให้เห็นว่ามันไม่เป็นความจริงเลย 00:05:08.133 --> 00:05:10.563 ความจำของคนเรามันสร้างต่อเติมได้ 00:05:10.563 --> 00:05:12.132 มันสร้างขึ้นใหม่ได้ 00:05:12.132 --> 00:05:15.613 ความจำทำงานเหมือนกับวิกิพีเดียมากกว่า 00:05:15.613 --> 00:05:20.726 คุณเข้าไปเปลี่ยนแปลงมันได้ คนอื่นก็ทำได้เหมือนกัน 00:05:20.726 --> 00:05:25.975 ฉันเริ่มศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการสร้างความจำนี้ 00:05:25.975 --> 00:05:28.390 ในช่วงปี 1970 00:05:28.390 --> 00:05:32.813 ฉันทำการทดลองโดยให้คนได้ดู 00:05:32.813 --> 00:05:35.318 เหตุการณ์จำลองของอาชญากรรมและอุบัติเหตุต่างๆ 00:05:35.318 --> 00:05:38.836 แล้วก็ตั้งคำถามดูว่าพวกเขาจำอะไรได้บ้าง 00:05:38.836 --> 00:05:42.775 มีกรณีหนึ่ง เราให้ดูเหตุการณ์จำลองอุบัติเหตุ 00:05:42.775 --> 00:05:44.053 แล้วก็ถามคนดูว่า 00:05:44.053 --> 00:05:46.917 รถวิ่งมาด้วยความเร็วขนาดไหนตอนที่ชนกัน 00:05:46.917 --> 00:05:48.551 และก็ถามคนอีกกลุ่มว่า 00:05:48.551 --> 00:05:52.240 รถวิ่งมาด้วยความเร็วขนาดไหนตอนที่พุ่งชนกันอย่างจัง 00:05:52.240 --> 00:05:55.242 ถ้าเราถามนำโดยใช้คำว่า "พุ่งชนกันอย่างจัง" 00:05:55.242 --> 00:05:58.527 พยานจะตอบเป็นระดับความเร็วที่สูงกว่า 00:05:58.527 --> 00:06:02.524 และยิ่งไปกว่านั้น คำถามนำ "พุ่งชนกันอย่างจัง" นั้น 00:06:02.524 --> 00:06:05.384 ทำให้คนมีแนวโน้มที่จะบอกเราว่า 00:06:05.384 --> 00:06:08.451 พวกเขาเห็นเศษกระจกแตกในที่เกิดเหตุ 00:06:08.451 --> 00:06:12.230 ทั้งๆ ที่มันไม่มีเศษกระจกแตกอยู่เลย 00:06:12.230 --> 00:06:15.119 อีกการค้นคว้าหนึ่ง เราให้ดูเหตุการณ์จำลองอุบัติเหตุ 00:06:15.119 --> 00:06:18.779 ที่มีรถวิ่งฝ่าสี่แยกที่มีป้ายหยุด 00:06:18.779 --> 00:06:23.711 ถ้าเราถามคำถามที่บอกเป็นนัยว่ามันเป็นป้ายให้ทาง 00:06:23.711 --> 00:06:27.560 พยานหลายคนก็จะบอกว่า พวกเขาจำได้ว่ามันเป็นป้ายให้ทาง 00:06:27.560 --> 00:06:31.017 ที่สี่แยกนั้น ไม่ใช้ป้ายหยุด NOTE Paragraph 00:06:31.017 --> 00:06:33.206 คุณอาจจะคิดว่า แหม 00:06:33.206 --> 00:06:34.529 นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่ถูกถ่ายไว้ 00:06:34.529 --> 00:06:36.457 มันไม่ได้ทำให้คนรู้สึกเครียดเท่าไหร่ 00:06:36.457 --> 00:06:39.191 ความผิดพลาดแบบเดียวกันจะเกิดขึ้นไหม 00:06:39.191 --> 00:06:42.142 ถ้ามันเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดจริงๆ 00:06:42.142 --> 00:06:45.233 จากการค้นคว้าหนึ่งที่เราเพิ่งเผยแพร่ไปเมื่อสองสามเดือนก่อน 00:06:45.233 --> 00:06:47.537 เราได้คำตอบให้กับคำถามนี้ 00:06:47.537 --> 00:06:50.301 เพราะสิ่งที่ผิดไปจากเดิมเกี่ยวกับการค้นคว้านี้ 00:06:50.301 --> 00:06:55.933 คือเราจัดให้คนได้อยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดมาก 00:06:55.933 --> 00:06:58.162 ผู้ที่รับการทดสอบนี้ 00:06:58.162 --> 00:07:00.672 เป็นกลุ่มทหารกองทัพสหรัฐ 00:07:00.672 --> 00:07:05.097 ที่กำลังอยู่ในระหว่างการฝึกที่แสนทรมาน 00:07:05.097 --> 00:07:07.879 ที่สอนให้พวกเขารู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร 00:07:07.879 --> 00:07:11.797 ถ้าพวกเขาโดนจับไปเป็นเชลยสงคราม 00:07:11.797 --> 00:07:14.227 และส่วนหนึ่งของการฝึกนี้ 00:07:14.227 --> 00:07:17.756 พวกทหารจะถูกสอบปากคำด้วยท่าทีก้าวร้าว 00:07:17.756 --> 00:07:22.842 จงเกลียดจงชัง และมีการใช้กำลัง เป็นเวลา 30 นาที 00:07:22.842 --> 00:07:25.659 หลังจากนั้นพวกเขาต้องพยายามระบุตัว 00:07:25.659 --> 00:07:28.682 คนที่เป็นผู้สอบปากคำนั้น 00:07:28.682 --> 00:07:32.505 และตอนที่พวกเขาได้รับข้อมูลชี้นำ 00:07:32.505 --> 00:07:35.283 ที่บอกใบ้ว่าเป็นคนอื่น 00:07:35.283 --> 00:07:39.320 ทหารหลายคนชี้ตัวผู้สอบปากคำผิดคน 00:07:39.320 --> 00:07:43.155 มักจะระบุตัวคนที่ไม่แม้แต่จะดูคล้าย 00:07:43.155 --> 00:07:46.259 กับตัวผู้สอบปากคำตัวจริง NOTE Paragraph 00:07:46.259 --> 00:07:48.560 การศึกษาค้นคว้าเหล่านี้จึงแสดงให้เห็นว่า 00:07:48.560 --> 00:07:52.420 เมื่อคุณป้อนข้อมูลที่ผิดๆ ให้กับผู้คน 00:07:52.420 --> 00:07:55.800 เกี่ยวกับประสบการณ์บางอย่างที่พวกเขาอาจจะเคยเจอ 00:07:55.800 --> 00:08:01.455 คุณสามารถบิดเบือน หรือ เจือปน หรือเปลี่ยนแปลงความทรงจำของพวกเขาได้ NOTE Paragraph 00:08:01.455 --> 00:08:03.655 ในโลกแห่งความจริง 00:08:03.655 --> 00:08:06.546 การให้ข้อมูลที่ผิดๆ มีอยู่ทุกที่ 00:08:06.546 --> 00:08:07.906 เราได้รับข้อมูลผิดๆ 00:08:07.906 --> 00:08:10.822 ไม่ใช่เพียงแค่ถูกตั้งคำถามชี้นำ 00:08:10.822 --> 00:08:13.269 แต่ถ้าเราคุยกับพยานคนอื่นๆ 00:08:13.269 --> 00:08:16.302 ที่อาจจะตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ 00:08:16.302 --> 00:08:18.439 ให้ข้อมูลที่ผิดพลาดแก่เรา 00:08:18.439 --> 00:08:23.169 หรือถ้าเราได้ดูข่าวเกี่ยวกับบางเหตุการณ์ที่เราอาจจะเคยเจอมาก่อน 00:08:23.169 --> 00:08:25.962 สิ่งเหล่านี้ล้วนเปิดโอกาส 00:08:25.962 --> 00:08:30.312 ให้ความทรงจำของเราเกิดการปนเปื้อน NOTE Paragraph 00:08:30.312 --> 00:08:34.100 ในช่วงปี 1990 เราเริ่มเห็น 00:08:34.100 --> 00:08:38.783 ปัญหาเกี่ยวกับความจำที่ยิ่งร้ายแรงกว่า 00:08:38.783 --> 00:08:41.879 ผู้ป่วยบางคน เข้ารับการบำบัดเพราะมีปัญหาอย่างหนึ่ง 00:08:41.879 --> 00:08:44.793 อาจจะเพราะพวกเขามีอาการหดหู่ มีพฤติกรรมการกินผิดปกติ 00:08:44.793 --> 00:08:47.546 แต่พวกเขากลับออกมาจากการบำบัด 00:08:47.546 --> 00:08:50.207 ด้วยปัญหาอีกอย่างหนึ่ง 00:08:50.207 --> 00:08:53.908 คือการมีความทรงจำที่เลวร้่ายเกี่ยวกับการกระทำทารุณที่น่ากลัว 00:08:53.908 --> 00:08:55.891 บางครั้งก็เกิดจากการทำพิธีกรรมที่เกี่ยวกับซาตาน 00:08:55.891 --> 00:09:00.588 บางครั้งก็เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบต่างๆ ที่สุดแสนจะแปลกพิสดาร 00:09:00.588 --> 00:09:03.142 มีผู้หญิงคนหนึ่งกลับออกมาจากการบำบัดจิต 00:09:03.142 --> 00:09:05.570 พร้อมกับเชื่อว่าเธอได้ทนทุกข์เป็นเวลาหลายปี 00:09:05.570 --> 00:09:09.472 จากการทารุณที่เป็นพิธีกรรม ซึ่งเธอถูกทำให้ตั้งท้อง 00:09:09.472 --> 00:09:12.038 และถูกผ่าท้องเอาเด็กทารกออกไป 00:09:12.038 --> 00:09:14.397 แต่ร่างกายเธอไม่มีรอยแผลเป็นให้เห็น 00:09:14.397 --> 00:09:16.423 ไม่มีแม้แต่หลักฐานทางร่างกายอื่นๆ 00:09:16.423 --> 00:09:19.304 ที่จะสามารถสนับสนุนเรื่องราวของเธอได้ 00:09:19.304 --> 00:09:22.312 เมื่อฉันเริ่มตรวจสอบดูกรณีเหล่านี้ 00:09:22.312 --> 00:09:23.762 ฉันสงสัยว่า 00:09:23.762 --> 00:09:26.090 ความทรงจำแปลกประหลาดพวกนี้มาจากไหน 00:09:26.090 --> 00:09:30.477 และสิ่งที่ฉันค้นพบก็คือ เกือบทั้งหมดของสถานการณ์เหล่านี้ 00:09:30.477 --> 00:09:35.968 เกี่ยวข้องกับรูปแบบเฉพาะบางอย่างของการบำบัดทางจิต 00:09:35.968 --> 00:09:37.567 ฉันจึงตั้งคำถามว่า 00:09:37.567 --> 00:09:40.955 ในการบำบัดทางจิต มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นหรือไม่ 00:09:40.955 --> 00:09:43.839 อย่่างเช่น การฝึกให้จินตนาการ 00:09:43.839 --> 00:09:45.896 หรือการตีความหมายของความฝัน 00:09:45.896 --> 00:09:48.028 หรือการสะกดจิต ในบางกรณี 00:09:48.028 --> 00:09:51.846 หรือการเปิดรับข้อมูลที่ผิดๆ ในบางกรณี 00:09:51.846 --> 00:09:54.633 สิ่งเหล่านี้ได้ชี้นำให้ผู้ป่วย 00:09:54.633 --> 00:09:57.310 สร้างความทรงจำที่แปลกประหลาด 00:09:57.310 --> 00:10:00.241 ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เหล่านี้ ใช่หรือไม่ 00:10:00.241 --> 00:10:02.400 ฉันจึงออกแบบการทดลองบางอย่าง 00:10:02.400 --> 00:10:07.425 เพื่อพยายามศึกษาขั้นตอนที่ใช้ในการบำบัดจิต 00:10:07.425 --> 00:10:10.498 เพื่อที่ฉันจะได้ค้นคว้าเกี่ยวกับ 00:10:10.498 --> 00:10:14.049 การพัฒนาของความทรงจำที่ผิดไปอย่างมากเหล่านี้ NOTE Paragraph 00:10:14.049 --> 00:10:16.457 หนึ่งในกรณีแรกๆ ที่เราได้ทำการค้นคว้า 00:10:16.457 --> 00:10:18.810 เราใช้การชี้นำ 00:10:18.810 --> 00:10:22.873 ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการบำบัดจิต ที่เราได้เห็นในกรณีต่างๆเหล่านี้ 00:10:22.873 --> 00:10:24.983 เราใช้การชี้นำแนวนี้ 00:10:24.983 --> 00:10:26.835 และปลูกฝังความทรงจำเท็จว่า 00:10:26.835 --> 00:10:29.912 ตอนที่คุณยังเด็ก อายุประมาณ 5 หรือ 6 ขวบ 00:10:29.912 --> 00:10:32.163 คุณหลงทางในห้าง 00:10:32.163 --> 00:10:34.663 คุณกลัวมาก ร้องห่มร้องไห้ 00:10:34.663 --> 00:10:37.177 สุดท้ายก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมาช่วยคุณไว้ 00:10:37.177 --> 00:10:39.029 และพาคุณกลับไปหาครอบครัว 00:10:39.029 --> 00:10:41.637 เราประสบความสำเร็จในการฝังความทรงจำนี้ 00:10:41.637 --> 00:10:45.743 ลงในจิตใจของประมาณหนึ่งในสี่ของผู้รับการทดลอง 00:10:45.743 --> 00:10:47.748 คุณอาจจะคิดว่า แหม 00:10:47.748 --> 00:10:50.094 เหตุการณ์แบบนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกเครียดเท่าไหร่ 00:10:50.094 --> 00:10:53.463 แต่พวกเรา และผู้ตรวจสอบคนอื่นๆ ก็ได้ฝัง 00:10:53.463 --> 00:10:56.221 ความทรงจำที่ผิดไปมากๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ 00:10:56.221 --> 00:10:59.136 ผิดปกติมากกว่าเดิม และสร้างความตึงเครียดมากกว่าเดิมมาแล้ว 00:10:59.136 --> 00:11:01.675 มีการค้นคว้าหนึ่งในรัฐเทนเนสซี 00:11:01.675 --> 00:11:04.091 นักวิจัยได้ฝังความจำเท็จ ว่า 00:11:04.091 --> 00:11:06.665 ตอนคุณเป็นเด็ก คุณเกือบจมน้ำ 00:11:06.665 --> 00:11:09.172 และมีเจ้าหน้ากู้ชีพที่มาช่วยไว้ 00:11:09.172 --> 00:11:11.475 และอีกการค้นคว้าหนึ่งในแคนาดา 00:11:11.475 --> 00:11:13.999 นักวิจัยฝังความทรงจำเท็จไว้ว่า 00:11:13.999 --> 00:11:15.227 ตอนคุณยังเด็ก 00:11:15.227 --> 00:11:18.957 อะไรบางอย่างที่เลวร้าย เช่น การถูกสัตว์ที่ดุร้ายทำร้ายเอา 00:11:18.957 --> 00:11:20.339 ได้เกิดขึ้นกับคุณ 00:11:20.339 --> 00:11:23.761 ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้รับการทดสอบถูกฝังความจำได้สำเร็จ 00:11:23.761 --> 00:11:26.113 และมีการค้นคว้าหนึ่งในอิตาลี 00:11:26.113 --> 00:11:28.771 นักวิจัยฝังความจำเท็จไว้ว่า 00:11:28.771 --> 00:11:33.983 ตอนที่คุณยังเด็ก คุณได้เห็นการถูกปีศาจเข้าสิง NOTE Paragraph 00:11:33.983 --> 00:11:36.190 ฉันอยากจะขอเสริมว่า มันอาจจะดูเหมือนว่า 00:11:36.190 --> 00:11:39.929 พวกเรากำลังสร้างความบอบช้ำทางจิตใจ ให้กับผู้เข้ารับการทดลองเหล่านี้ 00:11:39.929 --> 00:11:41.529 เพื่อเห็นแก่วิทยาศาสตร์ 00:11:41.529 --> 00:11:46.167 แต่การศึกษาของเราได้ผ่านการประเมินอย่างถี่ถ้วน 00:11:46.167 --> 00:11:48.142 จากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย 00:11:48.142 --> 00:11:50.484 ที่ได้ตัดสินใจว่า 00:11:50.484 --> 00:11:53.557 ความลำบากใจชั่วคราวที่ 00:11:53.557 --> 00:11:56.641 เหล่าผู้รับการทดลองต้องเผชิญในการค้นคว้าทั้งหลายนี้ 00:11:56.641 --> 00:12:00.541 เทียบได้น้อยกว่าความสำคัญของปัญหา 00:12:00.541 --> 00:12:03.648 เพื่อที่เราจะได้เข้าใจกระบวนการของความทรงจำ 00:12:03.648 --> 00:12:06.994 และการใช้ความทรงจำในทางที่ผิด ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ 00:12:06.994 --> 00:12:10.287 ในหลายๆ แห่งบนโลกนี้ NOTE Paragraph 00:12:10.287 --> 00:12:13.325 ฉันต้องประหลาดใจ 00:12:13.325 --> 00:12:16.754 เมื่อฉันได้เผยแพร่งานชิ้นนี้ และเริ่มออกไปพูด 00:12:16.754 --> 00:12:20.649 ต่อต้านการบำบัดจิตแนวเฉพาะนี้ 00:12:20.649 --> 00:12:24.629 มันได้ก่อปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรงให้ฉันพอสมควร 00:12:24.629 --> 00:12:29.530 คือการถูกปองร้าย โดยเริ่มจากพวกนักบำบัดจิตแนวเก็บกดความทรงจำ 00:12:29.530 --> 00:12:31.206 ที่รู้สึกเหมือนถูกโจมตี 00:12:31.206 --> 00:12:34.734 และก็จากผู้ป่วยที่ถูกควบคุมจิตใจโดยนักบำบัดเหล่านั้น 00:12:34.734 --> 00:12:37.671 บางครั้งฉันถึงกับต้องมีคนคอยคุ้มกันพร้อมอาวุธตามงานบรรยาย 00:12:37.671 --> 00:12:39.576 ที่ฉันได้รับเชิญให้ไปพูด 00:12:39.576 --> 00:12:43.793 มีคนพยายามปลุกปั่นรณรงค์ เขียนเป็นจดหมายให้ฉันโดนไล่ออก 00:12:43.793 --> 00:12:45.774 แต่ที่น่าจะแย่ที่สุดคือ 00:12:45.774 --> 00:12:48.541 ตอนนั้นฉันสงสัยว่าผู้หญิงคนหนึ่ง 00:12:48.541 --> 00:12:50.965 เป็นผู้บริสุทธิ์จากการถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิด 00:12:50.965 --> 00:12:53.801 โดยลูกที่โตเป็นสาวแล้วของเธอ 00:12:53.801 --> 00:12:57.218 เธอกล่าวหาว่าแม่ของเธอล่วงละเมิดทางเพศ 00:12:57.218 --> 00:12:59.077 โดยกล่าวหาจากความทรงจำที่ถูกเก็บกดไว้ 00:12:59.077 --> 00:13:01.960 และลูกสาวที่ฟ้องร้องแม่ตัวเองนี้ ก็อนุญาติให้มีการบันทึก 00:13:01.960 --> 00:13:05.394 เรื่องราวของตัวเธอเอง และเผยแพร่ในที่สาธารณะ 00:13:05.394 --> 00:13:07.903 ฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับเรื่องนี้ 00:13:07.903 --> 00:13:10.203 จึงเริ่มสืบดู 00:13:10.203 --> 00:13:14.686 และในที่สุดก็พบข้อมูลที่ทำให้ฉันเชื่อว่า 00:13:14.686 --> 00:13:16.975 แม่คนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ 00:13:16.975 --> 00:13:19.936 ฉันได้ตีพิมพ์เปิดเผยเรื่องราวของเคสนี้ 00:13:19.936 --> 00:13:23.380 และไม่นานหลังจากนั้น ลูกสาวที่ฟ้องร้องแม่ตัวเอง 00:13:23.380 --> 00:13:24.901 ก็ยื่นฟ้องศาล 00:13:24.901 --> 00:13:27.256 ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยเอ่ยชื่อของเธอเลย 00:13:27.256 --> 00:13:31.618 เธอก็ฟ้องร้องฉันด้วยข้อหาหมิ่นประมาท และบุกรุกความเป็นส่วนตัว 00:13:31.618 --> 00:13:34.341 ฉันต้องใช้เวลาเกือบ 5 ปี 00:13:34.341 --> 00:13:40.893 ในการต่อสู้คดีที่แสนวุ่นวายและไม่มีอะไรน่าพอใจเลย 00:13:40.893 --> 00:13:44.567 แต่ในที่สุด ในที่สุดมันก็จบลง และฉันก็สามารถ 00:13:44.567 --> 00:13:46.991 กลับไปทำงานต่อได้จริงๆ เสียที 00:13:46.991 --> 00:13:49.476 อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้น ฉันได้กลายเป็นส่วนหนึ่ง 00:13:49.476 --> 00:13:52.130 ของเทรนด์หนึ่งที่น่าหวั่นใจในอเมริกา 00:13:52.130 --> 00:13:54.237 คือการที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างถูกฟ้องร้อง 00:13:54.237 --> 00:13:58.836 เพียงเพราะการพูดเปิดเผย เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นประเด็นขัดแย้งสาธารณะ NOTE Paragraph 00:13:58.836 --> 00:14:02.194 เมื่อฉันได้กลับไปทำงาน ฉันก็ตั้งคำถามว่า 00:14:02.194 --> 00:14:04.592 ถ้าฉันฝังความทรงจำเท็จลงในจิตใจของคุณ 00:14:04.592 --> 00:14:06.436 มันจะมีผลสะท้อนที่ตามมาหรือไม่ 00:14:06.436 --> 00:14:08.395 มันจะมีผลกระทบกับความคิดของคุณ 00:14:08.395 --> 00:14:10.496 หรือพฤติกรรมของคุณในเวลาต่อมาหรือไม่ 00:14:10.496 --> 00:14:12.523 การค้นคว้าแรกที่เราได้ฝังความจำเท็จไว้ว่า 00:14:12.523 --> 00:14:15.849 ตอนที่คุณเป็นเด็ก คุณไม่สบายจากการกินอาหารบางอย่าง 00:14:15.849 --> 00:14:18.848 เช่น ไข่ต้ม ผักดอง ไอศครีมรสสตอเบอร์รี่ 00:14:18.848 --> 00:14:22.038 เราได้พบว่า เมื่อเราฝังความทรงจำเท็จแบบนี้ไปแล้ว 00:14:22.038 --> 00:14:24.489 มันทำให้ผู้คนลดความอยากอาหารลง 00:14:24.489 --> 00:14:26.749 เวลาไปปิคนิคข้างนอก 00:14:26.749 --> 00:14:30.622 ความทรงจำเท็จ ไม่จำเป็นต้องเลวร้าย หรือไม่น่าพอใจเสมอไป 00:14:30.622 --> 00:14:32.980 ถ้าเราฝังความทรงจำที่อบอุ่น 00:14:32.980 --> 00:14:36.001 เกี่ยวกับอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างหน่อไม้ฝรั่ง 00:14:36.001 --> 00:14:39.476 เราก็ทำให้คนอยากกินหน่อไม้ฝรั่งมากขึ้น 00:14:39.476 --> 00:14:41.850 ดังนั้น การค้นคว้าเหล่านี้ก็ได้แสดงให้เห็นว่า 00:14:41.850 --> 00:14:43.965 คุณสามารถฝังความทรงจำเท็จ 00:14:43.965 --> 00:14:45.378 และมันก็จะมีผลสะท้อน 00:14:45.378 --> 00:14:50.463 ที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม เนิ่นนานหลังจากที่ความทรงจำคงอยู่ NOTE Paragraph 00:14:50.463 --> 00:14:52.887 แต่ที่มาพร้อมกับความสามารถในการ 00:14:52.887 --> 00:14:55.810 ฝังความทรงจำ และการควบคุมพฤติกรรม 00:14:55.810 --> 00:14:59.991 ที่เห็นได้ชัดก็คือประเด็นเรื่องจริยธรรมบางประเด็นที่สำคัญ 00:14:59.991 --> 00:15:03.050 เช่น เราควรจะใช้เทคโนโลยีทางด้านจิตใจนี้ได้เมื่อไหร่ 00:15:03.050 --> 00:15:06.730 และ มันควรจะแม้แต่ถูกนำมาใช้หรือไม่ 00:15:06.730 --> 00:15:09.513 ตามจริยธรรม นักบำบัดไม่ควรฝังความจำเท็จ 00:15:09.513 --> 00:15:11.100 ลงในจิตใจของคนไข้ 00:15:11.100 --> 00:15:13.664 ถึงแม้ว่ามันจะช่วยในการรักษา 00:15:13.664 --> 00:15:15.286 แต่มันไม่ควรจะมีอะไรมาหยุดยั้งคนที่เป็นพ่อแม่ที่จะลองทำดู 00:15:15.286 --> 00:15:19.735 กับลูกของพวกเขาที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นที่น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน 00:15:19.735 --> 00:15:22.340 และเมื่อฉันแนะนำอย่างนี้ออกไป 00:15:22.340 --> 00:15:25.686 ก็เกิดการโวยวายคัดค้านขึ้นมาอีก 00:15:25.686 --> 00:15:29.719 "เอาอีกแล้วไง เธอสนับสนุนให้พ่อแม่โกหกลูก" NOTE Paragraph 00:15:29.719 --> 00:15:31.964 สวัสดีค่ะ ซานตาคลอส (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:15:31.964 --> 00:15:41.461 ฉันหมายถึงว่า เรามองมันได้อีกแง่หนึ่ง 00:15:41.461 --> 00:15:43.494 คุณจะเลือกอะไรระหว่าง 00:15:43.494 --> 00:15:46.523 ลูกที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน อายุสั้น 00:15:46.523 --> 00:15:48.055 และอะไรต่อมิอะไรที่ตามมา 00:15:48.055 --> 00:15:51.071 หรือลูกที่มีความทรงจำเท็จนิดหน่อย 00:15:51.071 --> 00:15:54.462 ฉันรู้ว่าจะเลือกอะไรเพื่อลูกของฉันเอง NOTE Paragraph 00:15:54.462 --> 00:15:58.439 แต่อาจจะเป็นเพราะงานของฉัน ทำให้ฉันแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ 00:15:58.439 --> 00:16:00.518 คนส่วนใหญ่มักจะทะนุถนอนความทรงจำของตัวเอง 00:16:00.518 --> 00:16:02.672 รู้ดีว่ามันแสดงถึงตัวตนของพวกเขา 00:16:02.672 --> 00:16:04.697 ว่าเป็นใคร มาจากไหน 00:16:04.697 --> 00:16:07.555 และฉันก็เข้าใจถึงคุณค่าในสิ่งนั้น ฉันก็รู้สึกอย่างเดียวกัน 00:16:07.555 --> 00:16:09.760 แต่ฉันได้เรียนรู้จากงานของฉันว่า 00:16:09.760 --> 00:16:14.241 ในความทรงจำมันมีเรื่องที่แต่งขึ้นอยู่มากมายเท่าไหร่ 00:16:14.241 --> 00:16:16.973 ถ้าฉันจะได้เรียนรู้อะไรจากหลายสิบปี 00:16:16.973 --> 00:16:19.383 ของการพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ก็คือ 00:16:19.383 --> 00:16:21.594 เพียงแค่มีใครบางคนบอกอะไรบางอย่างกับคุณ 00:16:21.594 --> 00:16:23.169 และเชาพูดด้วยความมั่นใจ 00:16:23.169 --> 00:16:25.849 เพียงเพราะเขาบอกรายละเอียดได้เยอะ 00:16:25.849 --> 00:16:28.608 เพียงเพราะเขาแสดงอารมณ์ตอนที่พูดออกมา 00:16:28.608 --> 00:16:31.810 ไม่ได้หมายความว่ามันเกิดขึ้นตามนั้นจริงๆ 00:16:31.810 --> 00:16:35.675 เราไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างความทรงจำที่แท้จริง กับความทรงจำเท็จ อย่างน่าเชื่อถือได้ 00:16:35.675 --> 00:16:39.223 เราจำเป็นต้องมีการหาพยานหลักฐานสนับสนุน ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย 00:16:39.223 --> 00:16:42.313 การค้นพบดังกล่าว ทำให้ฉันเกิดความอดทน 00:16:42.313 --> 00:16:44.452 ต่อความผิดพลาดของความจำที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน 00:16:44.452 --> 00:16:47.366 ที่เกิดขึ้นโดยเพื่อนๆ และครอบครัวของฉัน 00:16:47.366 --> 00:16:51.900 การค้นพบดังกล่าวอาจจะช่วยสตีฟ ไททัสไว้ได้ 00:16:51.900 --> 00:16:55.476 ชายคนที่อนาคตทั้งหมดของเขาถูกกระชากไป 00:16:55.476 --> 00:16:57.714 โดยความทรงจำเท็จ NOTE Paragraph 00:16:57.714 --> 00:17:00.530 แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ควรจำให้ขึ้นใจว่า 00:17:00.530 --> 00:17:02.166 มันจะดีกว่าสำหรับเรา 00:17:02.166 --> 00:17:06.037 ว่าความทรงจำ เช่นเดียวกับอิสรภาพ 00:17:06.037 --> 00:17:09.731 เป็นสิ่งที่เปราะบาง 00:17:09.731 --> 00:17:12.669 ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ 00:17:12.669 --> 00:17:15.397 ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ) 00:17:15.397 --> 00:17:19.116 ขอบคุณมากค่ะ (เสียงปรบมือ)