สวัสดีครับทุกท่าน เมื่อสองปีที่แล้ว ชีวิตผมได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ผมและภรรยา เคลซี ได้ให้กำเนิดลูกสาวของเรา ลีล่า ออกมาดูโลก การได้เป็นพ่อแม่ เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมาก โลกทั้งใบของคุณเปลี่ยนแปลงไปในชั่วข้ามคืน ลำดับความสำคัญทั้งหมดในชีวิต เปลี่ยนไปกะทันหัน เปลี่ยนเร็วเสียจนบางครั้ง เราทำตามไม่ทัน นอกจากนั้น คุณยังต้องเรียนรู้อะไรมากมาย เกี่ยวกับการเลี้ยงเด็ก ตัวอย่างเช่น การแต่งตัวให้ลูก (เสียงหัวเราะ) นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม นี่เป็นเสื้อผ้าที่ใส่จริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นไอเดียที่เข้าท่า แม้แต่ลีล่าเองก็ยังรู้ว่า นั่นไม่เข้าท่าเอาเสียเลย (เสียงหัวเราะ) มีเรื่องต่างๆ ที่ต้องเรียนรู้ และความวุ่นวายโกลาหลเกิดพร้อมๆ กัน ส่วนที่เพิ่มเข้าไปในความโกลาหล ก็คือทั้งเคลซีและผมต่างก็ทำงานที่บ้าน เราเป็นผู้ประกอบการ เรามีธุรกิจส่วนตัวของเราเอง เคลซีพัฒนาคอร์สออนไลน์ สำหรับครูสอนโยคะ ส่วนผมเป็นนักเขียน เอาละ ผมทำงานที่บ้าน เคลซีเองก็ทำงานที่บ้าน เรามีเด็กทารก และเราก็พยายามทำให้ดีที่สุด ให้แน่ใจว่า เราได้ทำสิ่งที่ต้องทำทุกอย่าง และชีวิตก็ช่างวุ่นวายเสียเหลือเกิน ในเวลาแค่ไม่กี่อาทิตย์ ในประสบการณ์สุดยอดนี้ เมื่ออาการอดนอนเริ่มส่งผลให้เห็น ประมาณสัปดาห์ที่แปด ผมเกิดความคิดขึ้นมา มันเป็นความคิดแบบเดียวกับที่ พ่อแม่คนอื่นๆ ทุกช่วงอายุ ทุกชนชาติ ทุกคนเคยมีความคิดนี้ ซึ่งก็คือ ฉันคงไม่มีเวลาว่างอีกแล้ว ... ตลอดทั้งชาตินี้ (เสียงหัวเราะ) ใครบางคนเคยบอกว่า มันก็จริง มันก็ไม่จริงเสียทีเดียว แต่ว่ามันให้ความรู้สึก ในตอนนั้น ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ และนั่นทำให้ผมกังวลใจมาก เพราะหนึ่งในกิจกรรมที่ผมชอบทำมาก มากกว่าอย่างอื่น คือการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การได้ทุ่มเทลงไปเรียนรู้สิ่งที่เคยสงสัยอยากรู้ ได้ลองทำ และเรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูก และในท้ายที่สุด ก็กลายเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ และหากไม่มีเวลาว่างอีกต่อไปแล้ว ผมไม่รู้ว่า จะสามารถได้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอีกได้อย่างไร เอาละ ผมเป็นพวกบ้าวิชาการอย่างหนัก ผมต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต้องการเติบโตต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้น สิ่งที่ผมตัดสินใจที่จะทำก็คือ ไปห้องสมุด ไปร้านหนังสือ มองหาผลงานวิจัยที่มีเรื่องเกี่ยวกับ ทำอย่างไรที่จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ผมได้อ่านหนังสือหลายเล่ม เว็บไซต์หลายแห่ง และได้ลองพยายามตอบคำถามที่ว่า ต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าที่จะพัฒนาทักษะใหม่สักอย่างหนึ่ง คุณรู้ไหมว่าผมพบอะไร? หนึ่งหมื่นชั่วโมงครับ! มีใครเคยได้ยินเรื่องนี้บ้างไหม? มันต้องใช้เวลา 10,000 ชั่วโมง หากคุณต้องการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ บางอย่าง ถ้าคุณต้องการที่จะทำให้ได้ผลดี มันต้องใช้เวลาถึง 10,000 ชั่วโมงเพื่อไปถึงจุดนั้น ผมได้อ่านเรื่องนี้ในหนังสือหลายเล่ม เว็บไซต์หลายแห่ง ระหว่างอ่านข้อมูลเหล่านั้น ผมก็คิดอยู่ในใจว่า ไม่นะ!! ผมไม่มีเวลาหรอก ไม่มีเวลาถึง 10,000 ชั่วโมง ผมคงไม่สามารถเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้อีกต่อไปแล้ว (เสียงหัวเราะ) แต่ว่านั่นไม่จริงเลย เวลา 10,000 ชั่วโมง ลองคิดดูคร่าวๆ นะครับ เวลา 10,000 ชั่วโมงคือการทำงานเต็มเวลาตลอด 5 ปี นั่นนานมากเลย และเราเองต่างก็เคยมีประสบการณ์ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มาบ้าง มันไม่ได้ใช้เวลานานยาวนานขนาดนั้น ใช่ไหมครับ? แล้วมันเป็นยังไงล่ะ ดูเหมือนมีอะไรทะแม่งๆ อยู่นะ ระหว่างสิ่งที่งานวิจัยบอก กับสิ่งที่เราคาดหวัง และเคยประสบมาแล้ว มันดูไม่สอดคล้องกันเลย และสิ่งที่ผมค้นพบ ปัญหาอยู่ตรงนี้ครับ กฎ 10,000 ชั่วโมงนี่มาจากการศึกษา ของการฝึกฝนให้เก่งถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ มีศาสตราจารย์ท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งรัฐฟลอริดา ท่านชื่อ เค แอนเดอร์ส อีริคสัน (K. Anders Ericsson) ท่านเป็นผู้ให้กำเนิด กฎ 10,000 ชั่วโมง มันมาจากการที่ท่านได้ศึกษานักกีฬาอาชีพ นักดนตรีระดับโลก นักหมากรุกชั้นเซียน เหล่าพวกผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่ต้องใช้ ทักษะเฉพาะทางอย่างยิ่งยวด และเขาพยายามที่จะหาว่า มันต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าที่จะไต่ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดในสาขาเหล่านั้นได้ และสิ่งที่เขาพบก็คือ มันเป็นเรื่องของ การฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น เป็นเรื่องของการใช้เวลาของแต่ละคน ในการซักซ้อมทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในสาขานั้นๆ ยิ่งใช้เวลาฝึกซ้อมมากเท่าไหร่ ยิ่งเชี่ยวชาญมากเท่านั้น และกลุ่มคนพิเศษ ที่อยู่บนยอดสูงสุดของสาขาเหล่านั้น ต่างก็ได้ทุ่มเวลาประมาณ 10,000 ชั่วโมง ไปในการฝึกซ้อม เราคงเคยได้ยินเรื่องที่เนื้อหาเปลี่ยนไป จากการเล่าปากต่อปากกันมาแล้ว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น มีนักเขียนท่านหนึ่งชื่อ มาลคอล์ม แกลดเวลล์ เขียนหนังสือเล่มหนึ่งในปี 2007 ชื่อ สัมฤทธิ์พิศวง (Outliers) และเนื้อหาสำคัญของหนังสือ มีการกล่าวถึงกฎ 10,000 ชั่วโมงนี้ด้วย ฝึกซ้อมให้มาก ฝึกซ้อมให้ดี แล้วคุณจะทำได้ดีมากๆ คุณจะสามารถก้าวขึ้นไปสู่จุดสุดยอดในสาขาของคุณได้ ดังนั้น สาระสำคัญ ที่ด็อกเตอร์อีริคสันได้กล่าวไว้ก็คือ มันใช้เวลาถึง 10,000 ชั่วโมง ที่จะก้าวไปสู่จุดสูงสุด ในวงการที่มีการแข่งขันสูง ในสาขาที่เฉพาะเจาะจงมากๆ นั่นคือความหมายที่แท้จริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ หลังจากที่หนังสือ สัมฤทธิ์พิศวง ออกตีพิมพ์ มันก็ทะยานขึ้นไปติดอันดับหนังสือขายดีในทันที แล้วก็ติดอันดับอยู่ยาวนานถึงสามเดือนเต็ม ในทันใดนั้นเอง กฎ 10,000 ชั่วโมง ก็เป็นที่แพร่หลายไปทั่ว และก็เกิดเหตุการณ์ที่ข้อมูลถูกบิดเบือนปากต่อปาก ในระดับทั้งสังคม สาระสำคัญที่ว่า มันใช้เวลา 10,000 ชั่วโมง ที่จะไต่ไปให้ถึงจุดสูงสุดของวงการที่ใช้ทักษะเฉพาะ กลายเป็นว่า มันต้องใช้เวลา 10,000 ชั่วโมง เพื่อที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในอะไรสักอย่าง ซึ่งต่อมากลายเป็น ว่าต้องใช้ 10,000 ชั่วโมง เพื่อจะทำอะไรบางอย่างได้ดีพอ และต่อมาได้เพี้ยนไปเป็น ว่าต้องใช้ 10,000 ชั่วโมง เพื่อที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่าง แต่ประโยคสุดท้ายนี่แหละครับ ต้องใช้เวลา 10,000 ชั่วโมงเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่าง มันไม่จริง มันไม่จริงเลย แล้วงานวิจัยจริงๆ แล้วบอกว่าอะไร ผมใช้เวลาเป็นอย่างมากในห้องสมุดของซีเอสยู ในส่วนของจิตวิทยาการเรียนรู้ เพราะผมเป็นพวกบ้าวิชาการ เมื่อคุณอ่านผลการศึกษาของการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ คุณจะได้เห็นแผนภาพในลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักวิจัย ไม่ว่าจะทางที่เกี่ยวกับทักษะ การเคลื่อนไหวทางกาย หรือทักษะทางสมองและความคิด พวกเขาต่างก็ชอบที่จะศึกษาทักษะ ที่สามารถจับเวลาได้ เพราะพวกเขาสามารถแสดงผลปริมาณเป็นตัวเลขได้ พวกเขาจะให้ผู้เข้าร่วมวิจัย ทำงานเล็กๆ ซักอย่างหนึ่ง งานที่จำเป็นต้องใช้ทักษะทางร่างกาย หรืองานบางอย่างที่ต้องใช้เทคนิคทางการคิด และพวกเขาจะจับเวลาว่า ผู้เข้าร่วมใช้เวลานานแค่ไหนในการทำงาน และนี่คือสิ่งที่แผนภาพนี้บอกเรา เมื่อเราเริ่ม ตอนที่ให้ผู้เข้าร่วมเริ่มทำงาน มันจะใช้เวลานานมาก เพราะมันเป็นเรื่องใหม่ และผลที่ได้ก็แย่มาก พอได้ฝึกฝนไปซักพัก พวกเขาจะทำได้ดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้น ดังนั้นในช่วงแรกของการฝึกซ้อม จะมีประสิทธิภาพสูงมาก ผู้คนจะสามารถทำอะไรบางอย่างได้ดี โดยใช้การฝึกฝนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทีนี้ สิ่งที่น่าสนใจที่ควรจะสังเกตไว้ก็คือ สำหรับทักษะที่เราต้องการจะเรียนเพื่อใช้สำหรับตัวเอง เราไม่สนใจเรื่องของเวลามากเท่าไหร่นัก ใช่ไหมครับ? เราแค่สนใจว่า เราจะทำได้ดีแค่ไหน ไม่ว่าเราจะนิยามคำว่าดีอย่างไรก็ตาม ดังนั้นถ้าเราเปลี่ยนตรงนี้จากเวลา ให้เป็นคุณภาพของงาน แผนภาพจะเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว นี่คือเส้นโค้งของการเรียนรู้ เรื่องราวเกี่ยวกับเส้นโค้งของการเรียนรู้ก็คือ เมื่อคุณเริ่มต้น คุณขาดความสามารถนั้นๆ และคุณก็รู้ตัว ใช่ไหมครับ? (เสียงหัวเราะ) พอได้ฝึกซ้อมสักหน่อย คุณก็จะเริ่มดีขึ้น ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นระดับการปรับปรุงในช่วงแรกๆ จะเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก และจนถึงจุดหนึ่ง จะเหมือนขึ้นถึงที่ราบยอดเนิน และต่อจากนั้น การพัฒนาปรับปรุงก็จะยากมากขึ้น จะต้องใช้เวลามากขึ้นมาก คำถามก็คือ นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการ ใช่ไหมครับ ต้องใช้เวลานานแค่ไหน ที่จะเริ่มทำอะไรบางอย่าง จากคนที่ไม่รู้อะไรเลย ทำไม่เป็นเลย ไปจนถึงจุดที่ทำได้ดีพอสมควร ในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ งั้น มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันละ ผลการวิจัยของผมบอกว่า 20 ชั่วโมงครับ เท่านั้นเอง คุณสามารถเริ่มเรียนรู้จากศูนย์ เพื่อพัฒนาทักษะอะไรก็ได้ที่คุณอยากเรียน อยากจะเรียนรู้ภาษาใหม่ หรือว่าอยากเรียนวาดรูป หรืออยากหัดโยนเลี่อยยนต์ติดไฟโชว์ (เสียงหัวเราะ) ถ้าคุณสละเวลา 20 ชั่วโมงให้กับการตั้งใจ ทุ่มเทฝึกฝน ทักษะเหล่านั้น คุณจะพบกับความประหลาดใจ ประหลาดใจในแง่ที่ว่า คุณทำได้ดีเป็นอย่างมาก เวลา 20 ชั่วโมงสามารถจัดสรรได้ ใช้เวลาประมาณวันละ 45 นาที ติดต่อกันประมาณหนึ่งเดือน ต่อให้ข้ามไปบ้างบางวันด้วยซ้ำ ลงทุนเวลา 20 ชั่วโมง ไม่ได้ยากมากนัก อย่างไรก็ตาม มันก็มีวิธีการอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่า คุณแค่ใช้เวลามั่วๆ ไปเรื่อยๆ 20 ชั่วโมง แล้วคาดหวังว่าจะมีพัฒนาการได้เป็นอย่างดี มันมีหนทางที่จะฝึกฝนอย่างชาญฉลาด มีหนทางที่จะฝึกฝนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้แน่ใจได้ว่า คุณได้ลงทุนเวลา 20 ชั่วโมงนั้น ไปอย่างคุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีการเป็นอย่างนี้ครับ ใช้ได้กับทุกเรื่อง ขั้นแรกคือการแยกส่วนของทักษะนั้นๆ ตัดสินใจให้ได้ว่า คุณต้องการจะทำอะไรให้ได้บ้าง แล้วก็พิจารณาทักษะนั้น แยกส่วนมันออกเป็นกลุ่มย่อยๆ สิ่งต่างๆ ที่เราเรียกรวมๆ กันว่าเป็นทักษะนั้น ความจริงแล้วเป็นกลุ่มของกิจกรรมหลายอย่าง ที่แตกต่างกัน ยิ่งคุณสามารถแยกส่วนประกอบของทักษะ เหล่านั้นได้มากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าส่วนใหนของทักษะนั้นที่จะช่วยให้คุณ ทำสิ่งที่คุณต้องการได้ และคุณสามารถฝึกฝนกิจกรรมย่อยๆ นั้นได้ก่อน และถ้าคุณฝึกฝนกิจกรรมสำคัญที่สุดก่อนแล้ว คุณจะพัฒนาความสามารถในทักษะนั้น ได้โดยใช้เวลาน้อยที่สุด ข้อที่สองคือ เรียนรู้ให้มากพอที่จะแก้ไขตัวเองได้ ให้หาตัวช่วยสามถึงห้าอย่าง ในหัวข้อที่คุณต้องการจะเรียนรู้ อาจจะเป็นหนังสือ ดีวีดี อาจจะเป็นคอร์สอบรม หรืออื่นๆ แต่อย่าใช้ตัวช่วยเหล่านั้นเป็นข้ออ้าง ผัดผ่อนการลงมือฝึกฝน ผมรู้ว่าผมทำอย่างนั้น ใช่มั้ยครับ หาหนังสือมา 20 เล่ม เกี่ยวกับหัวข้อนั้น เช่น "ผมจะเริ่มเรียนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เมื่อผมอ่านหนังสือ 20 เล่มนี้จบแล้ว" ไม่ใช่หรอกครับ นั่นน่ะ ผลัดวันประกันพรุ่ง ที่คุณต้องการก็คือ เรียนรู้แค่ให้มากพอ ที่คุณจะสามารถลงมือฝึกฝน และสามารถแก้ไขหรือปรับปรุงตัวเองได้ ในระหว่างการฝึก การเรียนรู้กลายเป็นวิถีทางที่จะรู้ได้ดีขึ้น ในระหว่างการฝึก ว่าคุณผิดพลาดที่ตรงไหน แล้วก็จะได้ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างให้แตกต่างไปจากเดิม ข้อที่สามก็คือ การขจัดอุปสรรคทั้งหลายของการฝึกฝน สิ่งยั่วเย้าต่างๆ เช่น ทีวี อินเตอร์เน็ต สิ่งทั้งหลาย ที่เข้ามาขวาง การนั่งลงทำงานและฝึกฝนของคุณ และยิ่งคุณใช้ความตั้งใจสักเล็กน้อย ขจัดสิ่งยั่วยวนใจที่มาขัดขวางการฝึกฝนของคุณได้เท่าไหร่ คุณยิ่งจะมีโอกาสนั่งลงทำงานฝึกฝน ได้อย่างตั้งใจ ใช่ไหมครับ? และข้อที่สี่ก็คือ ฝึกฝนอย่างน้อย 20 ชั่วโมง ทักษะโดยส่วนใหญ่แล้วจะมี สิ่งที่ผมเรียกว่า กำแพงแห่งความคับข้องใจ มันคือความรู้สึกที่ว่า เรารู้ตัวว่า ไม่มีความสามารถด้านนั้น มันทำให้เกิดความคับข้องใจมาก ไม่มีใครอยากรู้สึกว่าตัวเองโง่ และความรู้สึกว่าโง่ ก็เป็นกำแพงขวาง ไม่ให้เราลงมือทำงานเพื่อฝึกตัวเอง การสร้างพันธะล่วงหน้า ว่าจะใช้เวลาฝึกฝนทักษะที่ต้องการ เป็นเวลาอย่างน้อย 20 ชั่วโมง จะทำให้คุณสามารถก้าวข้าม กำแพงแห่งความคับข้องใจนี้ไปได้ และทำให้ยึดติดอยู่กับการฝึกฝน นานพอที่จะเก็บเกี่ยวผลรางวัลนั้นได้ แค่นั้นเองครับ ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนเลย เพียงแค่สี่ขั้นตอนง่ายๆ ที่คุณสามารถใช้ในการเรียนรู้อะไรก็ได้ เอาล่ะ มันก็พูดง่ายนะครับ ในทางทฤษฎี แต่ถ้าพูดเรื่องการฝึกฝนละก็ จะสนุกกว่ามาก หนึ่งในหลายอย่างที่ผมอยากเรียนรู้มานานแล้ว คือการเล่นอูคูเลเล่ มีใครเคยดู TEDTalk ของ เจค ชิมาบูโคโร (Jake Shimabukuro) ไหมครับ ที่เขาเล่นอูคูเลเล่ ที่พอเราฟังแล้ว เขาเหมือนเป็นเทพเจ้าอูคูเลเล่เลย น่าทึ่งมาก ตอนที่ผมได้ดู ผมร้องว่า "นี่มันเจ๋งมาก!" เป็นเครื่องดนตรีที่ประณีตมาก ผมอยากหัดเล่นบ้าง ดังนั้น ผมตัดสินใจที่จะทดสอบทฤษฎีนี้ ผมต้องการที่จะลงทุน 20 ชั่วโมงในการฝึกซ้อมอูคูเลเล่ แล้วดูว่า จะไปได้แค่ไหนกัน สิ่งแรกที่ต้องทำเกี่ยวกับการเล่นอูคูเลเล่ก็คือ ก่อนที่จะฝึกซ้อมได้ เราต้องมีอูคูเลเล่ตัวหนึ่งก่อน ใช่ไหมครับ? ดังนั้นผมก็มีอูคูเลเล่ตัวหนึ่ง แล้วผู้ช่วยที่น่ารักของผมล่ะ? (เสียงหัวเราะ) ขอบคุณครับ ผมคิดว่าผมต้องใช้สายที่นี่นะ มันไม่เพียงเป็นอูคูเลเล่นะ มันเป็นอูคูเลเล่ไฟฟ้า (เสียงหัวเราะ) ใช่แล้วครับ ในช่วงสองสามชั่วโมงแรก ก็เหมือนกับช่วงแรกของทุกอย่างนั่นแหละ คุณต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ ที่จะใช้ในการฝึกซ้อมเสียก่อน ทำให้แน่ใจว่า เครื่องมือต่างๆ พร้อมใช้งาน อูคูเลเล่ของผมตอนมาไม่ได้ขึ้นสายมาด้วย ผมต้องหาวิธีขึ้นสายให้มัน นั่นเป็นเรื่องสำคัญ ใช่ไหมครับ แล้วก็เรียนวิธีตั้งสาย เรียนวิธีเทียบเสียง ให้แน่ใจว่า ได้ทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้สามารถเริ่มต้นฝึกซ้อมได้ สิ่งหนึ่งที่ผมทำ เมื่อผมพร้อมที่จะเริ่มฝึกเล่นแล้วก็คือ ผมลองค้นฐานข้อมูลหนังสือเพลงออนไลน์ ดูว่าจะเล่นเพลงอย่างไร และมันก็บอกว่า อูคูเลเล่สามารถเล่นพร้อมๆ กัน หลายสายได้ นั่นคือเล่นเป็นคอร์ด นั่นเยี่ยมไปเลย คุณเล่นประสานคู่ไปกับตัวคุณเอง ใช่คุณเองนั่นแหละ (เสียงหัวเราะ) และเมื่อผมเริ่มมองหาเพลงที่จะเล่น ผมมีคู่มือคอร์ดอูคูเลเล่ ที่มีคอร์ดมากมายเป็นร้อยคอร์ด ดูพวกนั้นแล้วก็ "โห... น่ากลัวจัง" แต่พอคุณได้ดูเพลงต่างๆ จริงๆ แล้ว คุณจะพบคอร์ดเดิมๆ ซ้ำๆ กัน ใช่มั้ยครับ มันกลายเป็นว่า การเล่นอูคูเลเล่ก็เหมือนกับ การทำอะไรอีกหลายๆ อย่าง มันมีเรื่องที่สำคัญจริงๆ อยู่แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น และเทคนิคเหล่านั้นคุณจะได้ใช้มันตลอดเวลา ในเพลงเกือบทั้งหมด คุณจะใช้แค่เพียง สี่ หรือ ไม่ก็ห้าคอร์ดเท่านั้น แค่นั้นเอง แค่นั้นก็เป็นเพลงได้แล้ว คุณไม่ต้องรู้จักคอร์ดเป็นร้อย ขอแค่รู้สี่หรือห้าก็เพียงพอแล้ว ในขณะที่ผมทำการค้นคว้าอยู่นั้น ผมได้พบเพลงเมดเล่ย์ ที่รวมเพลงป็อป หลายๆ เพลงไว้ด้วยกัน โดยวงชื่อ แอกซิส ออฟ ออซั่ม (Axis of Awesome) (เสียงเป่าปาก) บางคนก็รู้จักวงนี้นะครับ วงแอกซิส ออฟ ออซั่ม บอกไว้ว่า คุณสามารถเรียน หรือเล่นเพลงป็อปเพลงไหนก็ได้ ในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา เพียงแค่คุณรู้คอร์ดสี่คอร์ด คอร์ดเหล่านั้นคือ จี ดี อีไมเนอร์ และซี แค่สี่คอร์ดนี้ก็เล่นเพลงป็อปได้ทุกเพลงแล้ว ใช่ไหมครับ ผมก็คิดว่า มันเยี่ยมมาก ผมอยากจะเล่นเพลงป็อปได้ทุกเพลงเหมือนกัน (เสียงหัวเราะ) ดังนั้น มันเลยเป็นเพลงแรกที่ผมตัดสินใจที่จะเรียน และผมอยากเล่นให้คุณฟัง พร้อมหรือยังครับ? (เสียงปรบมือ) เอาละ (เสียงดนตรี) (เสียงร้อง) ♫ เป็นแค่เด็กหญิงจากเมืองเล็กๆ ♫ ♫ อาศัยอยู่ในโลกอันเปล่าเปลี่ยว ♫ ♫ เธอขึ้นรถไฟเที่ยวดึก ท่องเที่ยวไป ... ♫ ♫ ได้ข่าวว่าคุณลงหลักปักฐานแล้ว ♫ (เสียงหัวเราะ) ♫ ว่าคุณเจอหญิงในฝัน ♫ ♫ ว่าคุณแต่งงานแล้ว ♫ ♫ ทุกค่ำคืน ในฝันของฉัน ♫ (เสียงหัวเราะ) ♫ ฉันเห็นคุณ ฉันรู้สึกถึงคุณ ♫ ♫ ฉันจึงรู้ว่ายังมีคุณด้วยต่อไป ♫ (เสียงหัวเราะ) ♫ ฉันจะไม่ลังเลอีกต่อไป ผมรอไม่ได้แล้ว ผมเป็นของคุณ ♫ ♫ เพราะคุณนั้นน่าทึ่งเหลือเกิน และเราก็ได้ทำสิ่งน่าทึ่งร่วมกัน ♫ ♫ ถ้าฉันทำได้ ฉันก็จะทำ ฉันจะไปทุกที่ที่เธอไป ♫ ♫ เธอรู้สึกถึงความรักในค่ำคืนนี้ไหม ♫ (เสียงหัวเราะ) ♫ มีเธอฉันก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีเธอฉันก็ขาดใจ ♫ ♫ เมื่อฉันตกอยู่ ♫ ♫ เมื่อฉันตกอยู่ในความยากลำบาก พระแม่มารี ก็ปรากฏกาย ♫ ♫ บางครั้งฉันรู้สึกไร้เหมือนไร้คู่ ไม่มีเธอ ก็ไม่ต้องร้องไห้ ♫ ♫ แม่จ๋า นี่มันฝันไปชัดๆ ♫ ♫ ฉันมาจากดินแดนซีกโลกใต้ ♫ (เสียงหัวเราะ) ♫ กาลครั้งหนึ่ง มีนักเดินทางผู้ร่าเริง ตั้งแคมป์อยู่ใกล้แอ่งน้ำ ♫ ♫ เฮ้ ฉันเพิ่งพบคุณ นี่มันอาจฟังดูแปลก ♫ (เสียงหัวเราะ) ♫ แต่เอาเบอร์ฉันไป แล้วโทรมาบ้างนะ ♫ ♫ เฮ้ เซ็กซี เลดี้ อบ อบ อบ อบ อบ ปะ กังนัมไสตล์ ♫ (เสียงหัวเราะ) ♫ ถึงเวลาต้องลาจาก ♫ ♫ ถึงเวลาต้องจบแล้ว ทุกการเริ่มต้น ล้วนมาจากจุดจบก่อนหน้า ♫ (เสียงดนตรีและเสียงร้องจบลง) (เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ ขอบคุณ ผมรักเพลงนั้นนะครับ (เสียงหัวเราะ) และผมมีความลับจะบอกกับคุณ โดยการเล่นเพลงนี้ให้คุณฟัง ผมเพิ่งจะทำเวลาครบ 20 ชั่วโมง ในการฝึกเล่นอูคูเลเล่ครับ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ มันเป็นเรื่องวิเศษมากครับ แทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง ที่คุณสามารถคิดได้ คุณอยากจะลองทำอะไรดีล่ะ อุปสรรคสำคัญของการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไม่ใช่ความฉลาด ไม่ใช่เรื่องขั้นตอนที่เรียนรู้เทคนิค หรือวิธีการ ในการทำสิ่งต่างๆ อุปสรรคสำคัญเป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ เรากลัวครับ ความรู้สึกว่าตัวเองโง่ เป็นความรู้สึกที่แย่มาก ในช่วงแรกเริ่มของการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆ ดังนั้นอุปสรรคสำคัญไม่ใช่เรื่องความฉลาด เป็นเรื่องอารมณ์ แต่การลงทุน 20 ชั่วโมงสำหรับอะไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย คุณอยากเรียนอะไรล่ะครับ? คุณอยากจะเรียนภาษาใหม่หรือเปล่า หรือว่าอยากจะเรียนทำอาหาร? อยากจะเรียนวาดภาพ? อะไรที่ทำให้คุณตื่นเต้นสนใจ? อะไรทำให้คุณกระตือรือล้น? ลองออกไปแล้วก็ทำสิ่งเหล่านั้นสิครับ มันใช้แค่ 20 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ขอให้สนุกนะครับ (เสียงปรบมือ)