1 00:00:00,000 --> 00:00:01,780 ผมอยากจะเล่าเรื่องสักเรื่องหนึ่ง 2 00:00:01,819 --> 00:00:05,291 ที่ค้างคาใจผมมากระหว่าง ที่ผมเขียนหนังสือเล่มใหม่ 3 00:00:05,291 --> 00:00:08,838 เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น 4 00:00:08,838 --> 00:00:10,411 สามพันปีมาแล้ว 5 00:00:10,411 --> 00:00:13,638 เมื่อราชอาณาจักรอิสราเอลยังเป็นรัฐเกิดใหม่ 6 00:00:13,638 --> 00:00:16,370 เรื่องเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เรียกว่าเชฟเฟลา 7 00:00:16,370 --> 00:00:18,700 ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิสราเอล 8 00:00:18,700 --> 00:00:20,948 เหตุที่เรื่องนี้ค้างคาใจผมก็เพราะ 9 00:00:20,948 --> 00:00:24,034 ผมคิดว่าผมเข้าใจมันดีแล้ว แต่พอมาคิดดูอีกที 10 00:00:24,034 --> 00:00:28,140 ผมถึงตระหนักว่าผมไม่เข้าใจมันเลยสักนิด 11 00:00:28,140 --> 00:00:32,187 รัฐปาเลสไตน์สมัยโบราณมีแนวเทือกเขา 12 00:00:32,187 --> 00:00:34,273 ยาวตลอดชายแดนตะวันออก 13 00:00:34,273 --> 00:00:36,132 ซึ่งก็คืออิสราเอลในปัจจุบัน 14 00:00:36,132 --> 00:00:39,525 บนเทือกเขานั้นมีเมืองเก่าแก่ตั้งอยู่หลายเมือง 15 00:00:39,525 --> 00:00:43,083 เช่น เยรูซาเล็ม เบธเลเฮม เฮบรอน 16 00:00:43,083 --> 00:00:46,648 แล้วก็มีที่ราบชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน 17 00:00:46,648 --> 00:00:49,103 ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุง เทล อาวีฟในปัจจุบัน 18 00:00:49,103 --> 00:00:52,503 และพื้นที่ที่เชื่อมต่อระหว่างเทือกเขา และที่ราบชายฝั่งนี้ 19 00:00:52,503 --> 00:00:54,436 คือพื้นที่ที่เรียกว่าเชฟเฟลา 20 00:00:54,436 --> 00:00:58,855 ซึ่งเป็นที่ราบสลับเนินเขา ทอดยาวจากตะวันออกถึงตะวันตก 21 00:00:58,855 --> 00:01:02,034 คุณสามารถเดินตามแนวเซฟเฟลา 22 00:01:02,034 --> 00:01:04,787 จากที่ราบริมทะเล ผ่านไปถึงแนวเทือกเขาได้ 23 00:01:04,787 --> 00:01:06,481 และเชฟเฟลานั้น ถ้าคุณเคยไปอิสราเอล 24 00:01:06,481 --> 00:01:08,889 จะรู้ว่ามันเป็นจุดที่สวยที่สุดของอิสราเอล 25 00:01:08,889 --> 00:01:11,807 มันงดงามไปด้วยป่าต้นโอ๊ค 26 00:01:11,807 --> 00:01:14,222 ทุ่งข้าวสาลี และไร่องุ่น 27 00:01:14,222 --> 00:01:17,601 แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในประวัติศาสตร์ 28 00:01:17,601 --> 00:01:21,366 พื้นที่ตรงนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มาก 29 00:01:21,366 --> 00:01:24,279 เพราะมันเป็นช่องทางที่กองทัพของศัตรู 30 00:01:24,279 --> 00:01:26,862 จากที่ราบริมชายฝั่ง ใช้เดินทางเข้ามา 31 00:01:26,862 --> 00:01:30,484 ประชิดภูเขา และรุกรานผู้คนที่อยู่บนภูเขาได้ 32 00:01:30,484 --> 00:01:33,511 และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามพันปีที่แล้ว 33 00:01:33,511 --> 00:01:37,788 ชาวฟิลิสทีน ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญที่สุด 34 00:01:37,788 --> 00:01:39,290 ของราชอาณาจักรอิสราเอล 35 00:01:39,290 --> 00:01:41,002 อาศัยอยู่บนที่ราบชายฝั่ง 36 00:01:41,002 --> 00:01:44,298 พวกเขาเป็นนักเดินเรือ มาจากเกาะครีตของกรีก 37 00:01:44,298 --> 00:01:46,721 แล้วก็คงเริ่มเดินทาง 38 00:01:46,721 --> 00:01:48,961 ผ่านหุบเขาแห่งหนึ่งในเชฟเฟลา 39 00:01:48,961 --> 00:01:50,128 ขึ้นไปบนภูเขา 40 00:01:50,128 --> 00:01:52,384 เพราะพวกเขาต้องการยึดครองพื้นที่ราบสูง 41 00:01:52,384 --> 00:01:56,385 ตรงข้างกรุงเบธเลเฮม และแบ่งแยกราชอาณาจักรอิสราเอลเป็นสองส่วน 42 00:01:56,385 --> 00:01:59,650 ราชอาณาจักรอิสราเอล ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์นามว่าซอล 43 00:01:59,650 --> 00:02:01,383 ได้ข่าวนี้ 44 00:02:01,383 --> 00:02:04,252 ซอลจึงนำกองทัพลงมาจากภูเขา 45 00:02:04,252 --> 00:02:07,907 และเผชิญหน้ากับพวกฟิลิสทีนที่หุบเขาอีลาห์ 46 00:02:07,907 --> 00:02:10,365 หนึ่งในหุบเขาที่สวยงานที่สุดในเขตเชฟเฟลา 47 00:02:10,365 --> 00:02:13,233 พวกอิสราเอลตั้งมั่นอยู่ตามแนวเขาด้านเหนือ 48 00:02:13,233 --> 00:02:17,490 ส่วนพวกฟิลิสทีนก็ตั้งมั่นอยู่ตามแนวเขาด้านใต้ 49 00:02:17,490 --> 00:02:20,225 กองทัพทั้งสองปักหลักอยู่ตรงนั้นหลายสัปดาห์ 50 00:02:20,225 --> 00:02:22,347 จับจ้องกันไปมา เพราะต่างก็ทำอะไรกันไม่ได้ 51 00:02:22,347 --> 00:02:24,820 ไม่มีฝ่ายไหนเข้าโจมตีก่อนได้ 52 00:02:24,820 --> 00:02:28,076 เพราะถ้าจะโจมตีก่อน ก็ต้องลงจากเขาไปที่หุบเขา 53 00:02:28,076 --> 00:02:30,593 แล้วขึ้นไปยังเขาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต้องกลายเป็นเป้าให้ศัตรูเห็นแน่ๆ 54 00:02:30,593 --> 00:02:32,785 ในที่สุด เพื่อปลดล็อกสถานการณ์์นี้ 55 00:02:32,785 --> 00:02:35,999 ฝ่ายฟิลิสทีนจึงส่งนักรบที่ทรงพลังที่สุด 56 00:02:35,999 --> 00:02:38,476 ลงมาที่ก้นหุบเขา และร้องท้าทาย 57 00:02:38,476 --> 00:02:39,932 เขาบอกพวกอิสราเอลว่า 58 00:02:39,932 --> 00:02:42,560 "ส่งนักรบที่ทรงพลังที่สุดของเจ้าลงมา 59 00:02:42,560 --> 00:02:44,567 ลงมาสู้กับข้าตัวต่อตัว" 60 00:02:44,567 --> 00:02:48,402 นี่เป็นธรรมเนียมการสงครามโบราณที่เรียกว่า การรบตัวต่อตัว 61 00:02:48,402 --> 00:02:50,197 ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง 62 00:02:50,197 --> 00:02:54,321 โดยไม่ต้องให้เกิดการนองเลือด ในการรบเต็มรูปแบบ 63 00:02:54,321 --> 00:02:57,281 และนักรบชาวฟิลิสทีนที่ถูกส่งลงมา 64 00:02:57,281 --> 00:02:59,448 เป็นยักษ์ผู้ทรงพลัง 65 00:02:59,448 --> 00:03:01,223 เขาสูง 205 เซนติเมตร 66 00:03:01,223 --> 00:03:05,936 ใส่ชุดนักรบทำด้วยทองแดง มันวาวตั้งแต่หัวจรดเท้า 67 00:03:05,936 --> 00:03:08,995 เขามีดาบ มีแหลน 68 00:03:08,995 --> 00:03:11,723 และหอกด้วย เขาดูน่าหวาดกลัวสุดๆ 69 00:03:11,723 --> 00:03:16,213 จนไม่มีทหารอิสราเอลคนไหนอยากไปสู้ด้วย 70 00:03:16,213 --> 00:03:20,848 หาเรื่องตายชัดๆ ใช่ไหมครับ ไม่มีทางจะไปสู้ได้เลย 71 00:03:20,848 --> 00:03:23,141 และในที่สุด คนเพียงคนเดียวที่อาสา 72 00:03:23,141 --> 00:03:25,652 ก็คือเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่ง 73 00:03:25,652 --> 00:03:28,330 เขาเข้ามาหากษัตริย์ซอลแล้วบอกว่า "ข้าจะไปสู้กับมันเอง" 74 00:03:28,330 --> 00:03:31,448 ซอลร้องว่า "เจ้าสู้มันไม่ได้หรอก ไร้สาระน่ะ 75 00:03:31,448 --> 00:03:33,770 เจ้ามันแค่เด็ก แต่นั่นมันเป็นนักรบจอมพลังนะ" 76 00:03:33,770 --> 00:03:36,193 แต่เจ้าเด็กเลี้ยงแกะยืนกราน เขาพูดว่า "ไม่ ไม่ ไม่ 77 00:03:36,193 --> 00:03:39,186 ท่านไม่เข้าใจ ข้าปกป้องฝูงแกะของข้า 78 00:03:39,186 --> 00:03:43,355 จากสิงโตและหมาป่ามาตั้งหลายปี ข้าว่าข้าทำได้" 79 00:03:43,355 --> 00:03:46,569 ซอลไม่มีทางเลือกอื่น เพราะไม่ใครอาสาเลย 80 00:03:46,569 --> 00:03:47,910 เขาเลยบอกว่า "ก็ได้" 81 00:03:47,910 --> 00:03:49,122 แล้วจึงหันไปหาเด็กน้อย และพูดว่า 82 00:03:49,122 --> 00:03:52,816 "แต่เจ้าต้องใส่ชุดเกราะนี่ซะ ออกไปอย่างนี้ไม่ได้หรอก" 83 00:03:52,816 --> 00:03:55,219 ซอลพยายามยัดเยียด ชุดเกราะของเขาให้เด็กเลี้ยงแกะ 84 00:03:55,219 --> 00:03:56,470 เด็กเลี้ยงแกะตอบว่า "ไม่" 85 00:03:56,470 --> 00:03:58,883 "ข้าใส่ชุดพวกนี้ไม่ได้หรอก" 86 00:03:58,883 --> 00:04:02,957 ในไบเบิลเขียนว่า "ข้ามิอาจสวม เพราะมิเคยทดลองใส่" 87 00:04:02,957 --> 00:04:06,134 แปลว่า "ข้าไม่เคยใส่ชุดเกราะมาก่อน ท่านเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย" 88 00:04:06,134 --> 00:04:08,740 แล้วเขาก็เอื้อมมือ 89 00:04:08,740 --> 00:04:10,495 ไปเก็บหินห้าก้อนบนพื้น 90 00:04:10,495 --> 00:04:12,956 เอาใส่ย่ามของเขา 91 00:04:12,956 --> 00:04:17,468 แล้วเริ่มเดินลงจากเขา ไปเผชิญหน้ายักษ์ใหญ่ 92 00:04:17,468 --> 00:04:19,674 เจ้ายักษ์เห็นมีใครเดินใกล้เข้ามา 93 00:04:19,674 --> 00:04:22,817 ก็ตะโกนออกไปว่า "เข้ามาหาข้าสิ ข้าจะได้ฉีกเนื้อเจ้า 94 00:04:22,817 --> 00:04:26,794 เลี้ยงวิหคแห่งสวรรค์ และสัตว์ร้ายแห่งท้องทุ่ง" 95 00:04:26,794 --> 00:04:30,229 เจ้ายักษ์ร้องข่มขู่คนคนนี้ 96 00:04:30,229 --> 00:04:31,964 ที่กำลังจะเข้ามาต่อสู้กับเขา 97 00:04:31,964 --> 00:04:35,310 เด็กเลี้ยงแกะเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 98 00:04:35,310 --> 00:04:38,298 เจ้ายักษ์ถึงได้เห็นว่าเขาถือของมาอย่างหนึ่ง 99 00:04:38,298 --> 00:04:39,470 แค่นั้นเอง 100 00:04:39,470 --> 00:04:41,338 แทนที่จะเป็นอาวุธ กลับมีแต่ข้าวของของเด็กเลี้ยงแกะ 101 00:04:41,338 --> 00:04:43,910 เขารู้สึกถูกดูถูก เลยพูดว่า 102 00:04:43,910 --> 00:04:47,267 "เห็นข้าเป็นสุนัขหรือไง ถึงได้ถือไม้พวกนั้นมาสู้กับข้า?" 103 00:04:47,267 --> 00:04:50,330 เด็กเลี้ยงแกะหยิบหินก้อนหนึ่ง 104 00:04:50,330 --> 00:04:53,570 ออกมาจากกระเป๋า ใส่ห่วงเชือก 105 00:04:53,570 --> 00:04:55,865 ควงมันไปรอบๆ แล้วปล่อยให้ลอยไป 106 00:04:55,865 --> 00:04:58,266 ก้อนหินพุ่งเข้าโดนตรงระหว่างตาของเจ้ายักษ์ 107 00:04:58,266 --> 00:05:00,364 ตรงนี้ ตรงจุดที่เปราะบางที่สุด 108 00:05:00,364 --> 00:05:03,685 เจ้ายักษ์จึงล้มลง อาจจะตาย หรือหมดสติ 109 00:05:03,685 --> 00:05:06,179 เด็กเลี้ยงแกะจึงวิ่งไปคว้าดาบของเจ้ายักษ์ 110 00:05:06,179 --> 00:05:07,865 และตัดหัวยักษ์จนขาด 111 00:05:07,865 --> 00:05:13,416 พวกฟิลิสทีนเห็นเหตุการณ์แล้ว ก็หันหลังกลับ วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปเลย 112 00:05:13,416 --> 00:05:17,777 และแน่นอน ยักษ์ตัวนั้นชื่อโกไลแอท 113 00:05:17,777 --> 00:05:20,306 ส่วนเด็กเลี้ยงแกะนั้นก็คือเดวิด 114 00:05:20,306 --> 00:05:23,436 เหตุที่เรื่องนี้ค้างคาใจผม 115 00:05:23,436 --> 00:05:24,874 ตลอดเวลาที่ผมเขียนหนังสือเล่มล่าสุด 116 00:05:24,874 --> 00:05:27,966 ก็เพราะทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ผมคิดว่าผมรู้แล้ว 117 00:05:27,966 --> 00:05:30,717 ที่จริงมันผิดหมด 118 00:05:30,717 --> 00:05:34,505 อย่างเดวิดในเรื่องนี้ดูน่าจะเป็นรองใช่ไหมครับ 119 00:05:34,505 --> 00:05:36,642 ที่จริง วลีว่า เดวิดกับโกไลแอท 120 00:05:36,642 --> 00:05:39,623 ที่เรานำมาใช้กันในภาษาอังกฤษ เป็นอุปมาถึง 121 00:05:39,623 --> 00:05:41,161 ชัยชนะที่ไม่น่าเป็นไปได้ 122 00:05:41,161 --> 00:05:44,272 เมื่อฝ่ายที่อ่อนแอกว่าชนะฝ่ายที่แข็งแรงกว่ามาก 123 00:05:44,272 --> 00:05:46,462 ทีนี้ ทำไมเราถึงมองว่าเดวิดเป็นไก่รองบ่อน 124 00:05:46,462 --> 00:05:49,937 เราเรียกเขาว่าไก่รองบ่อนเพราะเขาเป็นเด็ก 125 00:05:49,937 --> 00:05:53,473 เด็กตัวเล็กๆ ส่วนโกไลแอทนั้นเป็นยักษ์ตัวใหญ่ แข็งแรง 126 00:05:53,473 --> 00:05:55,128 เราเรียกเขาว่าไก่รองบ่อน 127 00:05:55,128 --> 00:05:59,050 เพราะโกไลแอทเป็นนักรบผู้ช่ำชอง 128 00:05:59,050 --> 00:06:00,986 ส่วนเดวิดเป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะ 129 00:06:00,986 --> 00:06:03,336 แต่ที่สำคัญที่สุด เราเรียกเขาว่าไก่รองบ่อน 130 00:06:03,336 --> 00:06:08,346 เพราะเขาไม่มีอะไรเลย แต่โกไลแอท 131 00:06:08,346 --> 00:06:10,351 มีสรรพาวุธทันสมัยครบครัน 132 00:06:10,351 --> 00:06:12,127 เขาสวมเสื้อเกราะเงาวับ 133 00:06:12,127 --> 00:06:15,962 มีดาบ แหลน และหอก 134 00:06:15,962 --> 00:06:19,792 ส่วนเดวิดมีแค่ห่วงเชือกสำหรับขว้างก้อนหิน 135 00:06:19,792 --> 00:06:21,490 เอาล่ะ เรามาเริ่มจากประโยคที่ว่า 136 00:06:21,490 --> 00:06:23,934 "เดวิดมีแค่ห่วงเชือกสำหรับขว้างก้อนหิน" 137 00:06:23,934 --> 00:06:26,801 เพราะนั่นคือความผิดพลาดข้อแรกของเรา 138 00:06:26,801 --> 00:06:30,358 ในสงครามสมัยโบราณ มีนักรบอยู่สามประเภท 139 00:06:30,358 --> 00:06:33,789 หนึ่งคือทหารม้า ซึ่งอยู่บนหลังม้า หรือนั่งรถศึกเทียมม้า 140 00:06:33,789 --> 00:06:36,915 สองคือทหารราบถืออาวุธหนัก ซึ่งเดินเท้า 141 00:06:36,915 --> 00:06:39,805 ถืออาวุธจำพวกดาบและโล่ 142 00:06:39,805 --> 00:06:41,305 และชุดเกราะ 143 00:06:41,305 --> 00:06:44,533 พวกที่สามคือทหารที่ใช้อาวุธระยะไกล นั่นคือพลธนู 144 00:06:44,533 --> 00:06:46,705 แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั่นคือ นักขว้าง 145 00:06:46,705 --> 00:06:49,766 ทหารนักขว้างมีถุงหนังเล็กๆ 146 00:06:49,766 --> 00:06:52,563 ที่มีเชือกยาวๆ ผูกอยู่สองข้าง 147 00:06:52,563 --> 00:06:55,765 เอากระสุน เช่น ก้อนหินหรือลูกบอลตะกั่ว 148 00:06:55,765 --> 00:06:58,886 ใส่ไว้ในถุง แล้วเหวี่ยงเชือกเป็นวงกลมแบบนี้ 149 00:06:58,886 --> 00:07:01,529 แล้วปล่อยปลายเชือกด้านหนึ่ง 150 00:07:01,529 --> 00:07:05,399 ส่งให้กระสุนพุ่งไปข้างหน้า 151 00:07:05,399 --> 00:07:08,704 เข้าสู่เป้าหมาย 152 00:07:08,704 --> 00:07:11,439 นั่นคืออาวุธที่เดวิดมี และเราต้องเข้าใจนะครับ 153 00:07:11,439 --> 00:07:14,286 ว่าห่วงเชือกสำหรับขว้างหินนั้น ไม่ใช่หนังสติ๊ก 154 00:07:14,286 --> 00:07:16,905 มันไม่ใช่ของเล่นเด็กนะ ใช่ไหมครับ 155 00:07:16,905 --> 00:07:20,730 มันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้าง อย่างเหลือเชื่อ 156 00:07:20,730 --> 00:07:23,706 เมื่อเดวิดเหวี่ยงห่วงเชือกแบบนี้ 157 00:07:23,706 --> 00:07:26,935 เขาน่าจะเหวี่ยงมันด้วยความเร็ว 158 00:07:26,935 --> 00:07:29,607 ราวๆ หกหรือเจ็ดรอบต่อวินาที 159 00:07:29,607 --> 00:07:33,452 หมายความว่า เมื่อก้อนหินถูกปล่อยออกมา 160 00:07:33,452 --> 00:07:35,652 มันพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูงมาก 161 00:07:35,652 --> 00:07:37,425 อาจจะ 35 เมตรต่อวินาที 162 00:07:37,425 --> 00:07:40,990 ซึ่งเร็วกว่าลูกเบสบอลที่ขว้างโดย 163 00:07:40,990 --> 00:07:44,623 นักเบสบอลในตำแหน่งมือขว้างที่ดีที่สุดมากทีเดียว 164 00:07:44,623 --> 00:07:48,506 ยิ่งกว่านั้น ก้อนหินในหุบเขาอีลาห์ 165 00:07:48,506 --> 00:07:51,162 ก็ไม่ใช่หินธรรมดา มันเป็นแบเรียมซัลเฟต 166 00:07:51,162 --> 00:07:54,481 ซึ่งมีความหนาแน่นกว่าหินธรรมดาสองเท่า 167 00:07:54,481 --> 00:07:57,118 ถ้าคุณคำนวนการเคลื่อนที่ของกระสุน 168 00:07:57,118 --> 00:08:01,002 หินที่เดวิดขว้างออกมาจากห่วงเชือกนั้น 169 00:08:01,002 --> 00:08:03,323 มีอำนาจหยุดยั้งเท่ากับ 170 00:08:03,323 --> 00:08:06,880 ปืนพกขนาดลำกล้อง .45 171 00:08:06,880 --> 00:08:09,874 นี่เป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างเหลือเชื่อ 172 00:08:09,874 --> 00:08:14,472 ส่วนความแม่นยำ เรารู้จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ 173 00:08:14,472 --> 00:08:18,970 ว่านักขว้างที่ชำนาญสามารถยิง 174 00:08:18,970 --> 00:08:24,993 และทำให้ศัตรูบาดเจ็บสาหัสหรือตายได้ จากระยะไกลถึง 200 หลา 175 00:08:24,993 --> 00:08:27,963 เราเห็นจากผ้าม่านทอลายบันทึกเหตุการณ์สมัยยุคกลาง 176 00:08:27,963 --> 00:08:30,321 ว่านักขว้างสามาถยิงนกที่กำลังบินได้ 177 00:08:30,321 --> 00:08:32,755 พวกเขายิงได้แม่นเหลือเชื่อ 178 00:08:32,755 --> 00:08:36,312 เมื่อเดวิดเดินเข้าหาโกไลแอท เขาไม่ได้ห่างถึง 200 หลา 179 00:08:36,312 --> 00:08:37,921 เขาอยู่ใกล้โกไลแอทมาก 180 00:08:37,921 --> 00:08:41,336 ตอนที่เขาเดินเข้าหาแล้วยิงโกไลแอท 181 00:08:41,336 --> 00:08:44,398 เขาตั้งใจและมุ่งหวังเต็มที่ 182 00:08:44,398 --> 00:08:47,101 ว่าจะยิงโกไลแอทตรงจุดที่เปราะบางที่สุด 183 00:08:47,101 --> 00:08:48,429 ระหว่างดวงตาทั้งสองของโกไลแอท 184 00:08:48,429 --> 00:08:50,445 ถ้าคุณกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์การรบสมัยโบราณ 185 00:08:50,445 --> 00:08:53,257 คุณจะพบ ว่าครั้งแล้วครั้งเล่า 186 00:08:53,257 --> 00:08:57,260 นักขว้างเป็นตัวชี้ขาดชัยชนะเหนือกองทหารราบ 187 00:08:57,260 --> 00:09:02,285 ในการรบบางรูปแบบเลยทีเดียว 188 00:09:02,285 --> 00:09:06,181 แล้วโกไลแอทล่ะ เขาเป็นทหารราบถืออาวุธหนัก 189 00:09:06,181 --> 00:09:11,380 ตอนเขาท้ารบตัวต่อตัวกับพวกอิสราเอล เขาก็คาดหวังว่า 190 00:09:11,380 --> 00:09:15,235 จะต่อสู้กับทหารราบถืออาวุธหนักเช่นกัน 191 00:09:15,235 --> 00:09:17,406 ตอนเขาพูดว่า "เข้ามาหาข้าสิ ข้าจะได้ฉีกเนื้อเจ้า 192 00:09:17,406 --> 00:09:20,358 เลี้ยงวิหคแห่งสวรรค์ และสัตว์ร้ายแห่งท้องทุ่ง" 193 00:09:20,358 --> 00:09:22,358 ประโยคหลักคือ "เข้ามาหาข้าสิ" 194 00:09:22,358 --> 00:09:24,496 เข้ามาหาข้า เราจะได้สู้กัน 195 00:09:24,496 --> 00:09:26,207 ในระยะประชิดตัวแบบนี้ 196 00:09:26,207 --> 00:09:28,335 กษัตริย์ซอลก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน 197 00:09:28,335 --> 00:09:30,694 พอเดวิดพูดว่า "ข้าอยากไปสู้กับโกไลแอท" 198 00:09:30,694 --> 00:09:32,515 ซอลก็พยายามยัดเยียดเสื้อเกราะให้เขาใส่ 199 00:09:32,515 --> 00:09:35,242 เพราะซอลคิดว่า "อ้อ ที่บอกว่า 'สู้กับโกไลแอท' 200 00:09:35,242 --> 00:09:38,509 เจ้าหมายถึง 'สู้แบบประชิดตัว' 201 00:09:38,509 --> 00:09:40,697 ระหว่างทหารราบกับทหารราบ" 202 00:09:40,697 --> 00:09:43,671 แต่เดวิดไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย 203 00:09:43,671 --> 00:09:46,222 เขาไม่ได้คิดจะสู้กับโกไลแอทด้วยวิธีนั้น จะทำแบบนั้นไปทำไมล่ะ 204 00:09:46,222 --> 00:09:49,230 เขาเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา 205 00:09:49,230 --> 00:09:53,443 เขาใช้ห่วงเชือกแบบนี้ ปกป้องฝูงแกะของเขาจากสิงโตและหมาป่า 206 00:09:53,443 --> 00:09:55,193 นั่นคือจุดแข็งของเขา 207 00:09:55,193 --> 00:09:57,725 สรุปว่า นี่คือเด็กเลี้ยงแกะผู้เชี่ยวชาญ 208 00:09:57,725 --> 00:09:59,764 ในการใช้อาวุธสังหารร้ายแรง 209 00:09:59,764 --> 00:10:02,158 ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับยักษ์ปักหลั่น 210 00:10:02,158 --> 00:10:05,458 ที่สวมเสื้อเกราะหนักเป็นร้อยปอนด์ 211 00:10:05,458 --> 00:10:06,959 และยังถึงอาวุธหนักๆ พวกนี้ 212 00:10:06,959 --> 00:10:10,056 ที่มีประโยชน์ในการรบระยะประชิดตัวเท่านั้น 213 00:10:10,056 --> 00:10:14,793 โกไลแอทก็เลยเหมือนเป้านิ่ง เขาไม่มีโอกาสชนะเลย 214 00:10:14,793 --> 00:10:17,599 แล้วทำไมเราถึงเรียกเดวิดว่าไก่รองบ่อน 215 00:10:17,599 --> 00:10:23,423 ทำไมเรายังมองว่าชัยชนะของเขา เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ 216 00:10:23,423 --> 00:10:26,263 ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ 217 00:10:26,263 --> 00:10:29,661 นั่นคือ เราไม่เพียงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเดวิด 218 00:10:29,661 --> 00:10:31,566 และอาวุธที่เขาเลือกใช้ 219 00:10:31,566 --> 00:10:34,905 แต่เรายังเข้าใจผิดสุดๆ เกี่ยวกับโกไลแอทด้วย 220 00:10:34,905 --> 00:10:38,139 โกไลแอทไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราเห็น 221 00:10:38,139 --> 00:10:42,127 ในคัมภีร์ไบเบิลซ่อนนัยยะเรื่องนี้ไว้มากมาย 222 00:10:42,127 --> 00:10:44,932 ซึ่งมองย้อนกลับไปแล้วน่าพิศวง 223 00:10:44,932 --> 00:10:48,709 และไม่เข้ากับภาพลักษณ์นักรบจอมพลังคนนี้เลย 224 00:10:48,709 --> 00:10:52,086 เริ่มจากที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าโกไลแอท 225 00:10:52,086 --> 00:10:56,051 มีคนช่วยนำทางลงไปที่หุบเขา 226 00:10:56,051 --> 00:10:58,260 แปลกไหมล่ะครับ 227 00:10:58,260 --> 00:11:00,390 นักรบจอมพลังคนนี้ 228 00:11:00,390 --> 00:11:03,197 ท้าพวกอิสราเอลมาสู้กันตัวต่อตัว 229 00:11:03,197 --> 00:11:05,909 ทำไมเขาต้องมีคนนำทาง 230 00:11:05,909 --> 00:11:08,959 ซึ่งอาจจะเป็นแค่เด็กหนุ่ม 231 00:11:08,959 --> 00:11:11,421 คอยจูงเขาลงไปที่สนามรบ 232 00:11:11,421 --> 00:11:15,775 ข้อสอง เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลยังเน้นด้วยว่า 233 00:11:15,775 --> 00:11:18,864 โกไลแอทเคลื่อนไหวช้าเพียงใด 234 00:11:18,864 --> 00:11:20,890 ซึ่งเป็นเรื่องแปลกอีกอย่างเมื่อคุณพูดถึง 235 00:11:20,890 --> 00:11:24,940 นักรบผู้ทรงพลังที่สุดที่มนุษย์สมัยนั้นเคยรู้จัก 236 00:11:24,940 --> 00:11:26,763 แล้วยังมีความประหลาดตรงที่ 237 00:11:26,763 --> 00:11:30,575 เวลาผ่านไปนานมาก กว่าโกไลแอทจะตอบสนอง 238 00:11:30,575 --> 00:11:32,571 ต่อการปรากฏตัวของเดวิด 239 00:11:32,571 --> 00:11:35,349 คิดดูสิครับ เดวิดเดินลงเขามา 240 00:11:35,349 --> 00:11:39,286 ดูก็รู้ว่าเขาไม่ได้เตรียมมาต่อสู้ในระยะประชิด 241 00:11:39,286 --> 00:11:41,254 ไม่มีอะไรบนตัวเขาที่บ่งบอกเลยว่า 242 00:11:41,254 --> 00:11:43,288 "ข้าจะสู้กับเจ้าในระยะประชิดแบบนี้" 243 00:11:43,288 --> 00:11:45,019 เขาไม่ได้ถือดาบมาเลยด้วยซ้ำ 244 00:11:45,019 --> 00:11:47,701 ทำไมโกไลแอทไม่เอะใจกับเรื่องพวกนี้ 245 00:11:47,701 --> 00:11:51,929 เหมือนเขาไม่รับรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น 246 00:11:51,929 --> 00:11:55,876 แล้วก็ยังมีคำพูดแปลกๆ ของเขาที่พูดกับเดวิดอีก 247 00:11:55,876 --> 00:12:00,171 "เห็นข้าเป็นสุนัขหรือไง ถึงได้ถือไม้พวกนั้นมาสู้กับข้า?" 248 00:12:00,171 --> 00:12:03,994 ไม้ "พวกนั้น" เหรอครับ แต่เดวิดมีไม้อันเดียวนี่นา 249 00:12:03,994 --> 00:12:06,253 ปรากฏว่า ต่อมาก็มีข้อสันนิษฐานมากมาย 250 00:12:06,253 --> 00:12:09,294 ในวงการแพทย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 251 00:12:09,294 --> 00:12:11,820 ว่าอาจมีภาวะบางอย่าง 252 00:12:11,820 --> 00:12:14,709 ที่ผิดปกติในตัวโกไลแอท 253 00:12:14,709 --> 00:12:18,118 เพื่อพยายามทำความเข้าใจเรื่องแปลกๆ เหล่านี้ 254 00:12:18,118 --> 00:12:19,280 มีบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายชิ้น 255 00:12:19,280 --> 00:12:23,274 ชิ้นแรกพิมพ์เมื่อปี คศ. 1960 ในวารสาร Indiana Medical Journal 256 00:12:23,274 --> 00:12:25,629 ซึ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยตามมาเป็นลูกโซ่ 257 00:12:25,629 --> 00:12:28,752 โดยเริ่มจากคำอธิบายเรื่องความสูงของโกไลแอท 258 00:12:28,752 --> 00:12:31,675 โกไลแอทสูงจนหัวและไหล่ของเขา 259 00:12:31,675 --> 00:12:33,837 อยู่สูงพ้นหัวเพื่อนทุกคนในสมัยนั้น 260 00:12:33,837 --> 00:12:37,819 โดยปกติหากใครสูงกว่า ค่าเฉลี่ยของคนธรรมดามากขนาดนั้น 261 00:12:37,819 --> 00:12:39,416 ก็มีคำอธิบายอยู่อย่างหนึ่ง 262 00:12:39,416 --> 00:12:42,649 คนที่กลายเป็นยักษ์ส่วนใหญ่ 263 00:12:42,649 --> 00:12:45,384 มีภาวะผิดปกติที่เรียกว่า อะโครเมกาลี (acromegaly) 264 00:12:45,384 --> 00:12:48,287 ซึ่งเป็นผลมาจากเนื้องอก 265 00:12:48,287 --> 00:12:50,790 ที่ต่อมใต้สมอง (pituitary gland) 266 00:12:50,790 --> 00:12:53,506 ทำให้ร่างกายผลิตโกรท ฮอร์โมน (growth hormone) มากเกินไป 267 00:12:53,506 --> 00:12:57,065 ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มนุษย์ยักษ์ที่มีชื่อเสียงส่วนมาก 268 00:12:57,065 --> 00:12:58,834 ล้วนมีภาวะอะโครเมกาลี 269 00:12:58,834 --> 00:13:00,898 คนที่สูงที่สุดตลอดกาล 270 00:13:00,898 --> 00:13:02,465 คือชายชื่อโรเบิร์ต วัดโลว์ (Robert Wadlow) 271 00:13:02,465 --> 00:13:05,516 ซึ่งยังไม่หยุดสูงเลยตอนที่เขาเสียชีวิตเมื่ออายุ 24 272 00:13:05,516 --> 00:13:08,405 ตอนนั้นเขาสูง 8 ฟุต 11 นิ้วแล้ว 273 00:13:08,405 --> 00:13:09,819 เขาเป็นโรคอะโครเมกาลี 274 00:13:09,819 --> 00:13:12,354 คุณจำนักมวยปล้ำชื่ออังเดร์ เดอะ ไจแอนท์ (André the Giant) ได้ไหม 275 00:13:12,354 --> 00:13:14,037 เขาโด่งดัง และเขาก็เป็นอะโครเมกาลี 276 00:13:14,037 --> 00:13:18,576 บางคนยังสังนิษฐานด้วยว่า อับราฮัม ลินคอล์นก็เป็นอโครเมกาลี 277 00:13:18,576 --> 00:13:19,654 ใครก็ตามที่สูงผิดปกติ 278 00:13:19,654 --> 00:13:22,407 เราจะคิดถึงคำอธิบายนี้เป็นข้อแรก 279 00:13:22,407 --> 00:13:26,402 และภาวะอะโครเมกาลี ก็มีผลข้างเคียงที่ชัดเจนหลายอย่าง 280 00:13:26,402 --> 00:13:27,627 ตามมาด้วย 281 00:13:27,627 --> 00:13:31,189 หลักๆ ก็เกี่ยวกับสายตา 282 00:13:31,189 --> 00:13:34,485 เมื่อเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองโตขึ้น 283 00:13:34,485 --> 00:13:38,533 มันมักเริ่มไปกดทับเส้นประสาทการมองเห็นในสมอง 284 00:13:38,533 --> 00:13:41,037 ผลก็คือ คนที่มีภาวะอะโครเมกาลี 285 00:13:41,037 --> 00:13:46,508 มองเห็นภาพซ้อน หรือไม่ก็สายตาสั้นสุดๆ 286 00:13:46,508 --> 00:13:49,101 เมื่อผู้คนเริ่มตั้งข้อสงสัย 287 00:13:49,101 --> 00:13:52,332 เกี่ยวกับความผิดปกติในตัวโกไลแอท 288 00:13:52,332 --> 00:13:53,243 เขาเริ่มพูดกันว่า "เอ เดี๋ยวนะ 289 00:13:53,243 --> 00:13:56,433 ฟังๆ ดูแล้ว เขาเหมือนคนที่เป็น 290 00:13:56,433 --> 00:13:58,006 โรคอะโครเมกาลีมากเลย" 291 00:13:58,006 --> 00:14:00,990 ซึ่งนั่นจะช่วยอธิบายพฤติกรรมแปลกๆ 292 00:14:00,990 --> 00:14:03,117 ของเขาในวันนั้นได้ 293 00:14:03,117 --> 00:14:04,938 ทำไมเขาเดินช้านัก 294 00:14:04,938 --> 00:14:08,466 และต้องมีคนคอยจูง 295 00:14:08,466 --> 00:14:09,825 ลงไปที่หุบเขา 296 00:14:09,825 --> 00:14:12,813 เพราะเขาเดินไปเองไม่ได้ไง 297 00:14:12,813 --> 00:14:16,070 ทำไมเขาเห็นเดวิดแล้วไม่เอะใจเลย 298 00:14:16,070 --> 00:14:18,719 ว่าเดวิตไม่ได้มาสู้กับเขาในระยะประชิดตัว 299 00:14:18,719 --> 00:14:20,866 จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย 300 00:14:20,866 --> 00:14:23,375 เพราะเขามองไม่เป็นไง 301 00:14:23,375 --> 00:14:26,692 ตอนเขาพูดว่า "เข้ามาหาข้าสิ ข้าจะได้ฉีกเนื้อเจ้า 302 00:14:26,692 --> 00:14:29,188 เลี้ยงวิหคแห่งสวรรค์ และสัตว์ร้ายแห่งท้องทุ่ง" 303 00:14:29,188 --> 00:14:33,832 ประโยคที่ว่า "เข้ามาหาข้าสิ" บอกเป็นนัยถึงจุดอ่อนของเขา 304 00:14:33,832 --> 00:14:36,816 มาหาข้าสิ เพราะข้ามองไม่เห็นเจ้า 305 00:14:36,816 --> 00:14:42,030 แล้วยังมีที่เขาพูดว่า "เห็นข้าเป็นสุนัขหรือไง ถึงได้ถือไม้พวกนั้นมาสู้กับข้า?" 306 00:14:42,030 --> 00:14:47,360 เขามองเห็นแท่งไม้สองอัน แต่จริงๆ เดวิดมีแท่งไม้อันเดียว 307 00:14:47,360 --> 00:14:50,324 พวกอิสราเอลอยู่บนเขา 308 00:14:50,324 --> 00:14:52,521 มองลงมาเห็นโกไลแอทก็นึกว่า 309 00:14:52,521 --> 00:14:55,632 เขาเป็นศัตรูที่ทรงพลัง 310 00:14:55,632 --> 00:14:57,608 แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือ 311 00:14:57,608 --> 00:15:00,905 สิ่งที่ทำให้โกไลแอทมีพลังหรือจุดแข็ง 312 00:15:00,905 --> 00:15:04,660 ขณะเดียวกันก็ทำให้เขามีจุดอ่อนที่ร้ายแรงด้วย 313 00:15:04,660 --> 00:15:06,617 ผมคิดว่าเรื่องนี้ 314 00:15:06,617 --> 00:15:09,822 ให้บทเรียนสำคัญแก่พวกเรา คือ 315 00:15:09,822 --> 00:15:13,684 พวกยักษ์ไม่ได้แข็งแรงและทรงพลังอย่างภาพที่เราเห็น 316 00:15:13,684 --> 00:15:17,173 และบางที เด็กเลี้ยงแกะก็มีอาวุธดีๆ อยู่ในกระเป๋า 317 00:15:17,173 --> 00:15:18,960 ขอบคุณครับ 318 00:15:18,960 --> 00:15:23,345 (เสียงปรบมือ)