รูปแบบของประสาทวิทยาศาสตร์ที่ผมและเพื่อนร่วมงานทำงานอยู่ คล้ายกับนักพยากรณ์อากาศ เราจะเฝ้าติดตามพายุเสมอ เราต้องการจะเห็นและตรวจวัดพายุ พูดอีกอย่างคือพายุในสมอง พวกเราทุกคนพูดถึงการระดมสมองในชีวิตประวันของเรา แต่พวกเราไม่เคยเห็นหรือได้ยินสมองของเราเลย ดังนั้น ผมจึงชอบที่จะเริ่มต้นการพูดของผม ด้วยการนำมันมาคุณให้รู้จัก จริงๆ แล้ว นี่คือครั้งแรกที่เราบันทึกเซลล์ประสาทมากกว่าหนึ่งเซลล์ เราบันทึกถึงหนึ่งร้อยเซลล์สมองพร้อม ๆ กัน เราสามารถวัดสัญญาณจากปฏิกิริยาทางไฟฟ้า ของร้อยเซลล์นี้จากสัตว์ตัวเดียว และนี่คือภาพแรกที่เราได้ ในช่วง 10 วินาทีแรกของการบันทึก ซึ่งตอนนี้เราได้บันทึกเสี้ยวหนึ่งของความคิด ดังที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าพวกเรานี้ ผมบอกนักศึกษาเสมอว่า เราสามารถเรียกนักประสาทวิทยาว่าเป็นนักดาราศาสตร์ประเภทหนึ่งได้เหมือนกันนะ เพราะว่าพวกเราทำงานกับระบบ ที่จำนวนเซลล์นั้นเทียบได้กับ จำนวนกาแล็กซีที่มีอยู่ในจักรวาลเลยทีเดียว และจากหลายพันล้านเซลล์ประสาท เราบันทึกได้เพียงแค่หนึ่งร้อยเซลล์ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ขณะนี้เรากำลังพยายามบันทึกเซลล์เป็นหลักพัน และเราหวังว่าจะเข้าใจบางอย่างในระดับพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ เพราะว่า คุณอาจยังไม่รู้ว่า ทุกสิ่งที่เราใช้นิยามธรรมชาติของมนุษย์ ล้วนมาจากพายุเหล่านี้ มาจากพายุเหล่านี้ซึ่งม้วนตัวผ่านขุนเขาและหุบเหวในสมองของเรา กำหนดความทรงจำของเรา ความเชื่อของเรา ความรู้สึกของเรา และแผนการของเราสำหรับอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยทำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทุกคนเคยทำ กำลังทำ และจะทำ จำเป็นจะต้องใช้เซลล์ประสาทจำนวนมากทำงานร่วมกันเพื่อสร้างพายุดังกล่าวขึ้นมา และเสียงของพายุสมอง ถ้าคุณไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นแบบนี้ คุณช่วยเร่งระดับเสียงให้ดังขึ้นด้วยครับ ลูกชายผมบอกว่าเหมือน "กำลังอบป็อบคอร์นพร้อมๆกับฟังสถานีวิทยุ AM ที่จูนสัญญาณไม่ดี" นี่คือสมองของเรา นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณนำสัญญาณไฟฟ้าจากพายุสมองป้อนใส่ลำโพง และคุณลองฟังเสียงของเซลล์สมองร้อยเซลล์กำลังส่งสัญญาณ สมองของคุณจะมีเสียงเป็นแบบนี้ หรือไม่ว่าสมองของผม หรือสมองของใครๆ ก็ตาม และสิ่งที่เราต้องการทำในฐานะที่เป็นนักประสาทวิทยา ณ ขณะนี้ ก็คือการนั่งลงฟังเสียงซิมโฟนี่ ซิมโฟนี่ของสมองเหล่านี้ และพยายามถอดรหัสข้อความที่ซ่อนอยู่ในเสียงนี้ เมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว เราได้สร้างสิ่งที่เราเรียกว่า ส่วนต่อเชื่อมระหว่างสมองและเครื่องจักร และที่คุณเห็นอยู่นี้คือแผนผังแสดงการทำงานของอุปกรณ์ดังกล่าว แนวคิดก็คือ เราใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากพายุเหล่านี้ และลองดูว่า ในเวลาเดียวกันกับที่ พายุนี้เคลื่อนออกจากสมองไปสู่ขาหรือแขนของสัตว์ที่เราทดลอง ซึ่งคือประมาณครึ่งวินาที เราอยากรู้ว่าเราจะสามารถตรวจจับสัญญาณ ถอดรหัสข้อความที่ซ่อนอยู่ แปลงมันให้อยู่ในรูปคำสั่งแบบดิจิตอล และส่งคำสั่งนี้ไปยังอุปกรณ์ที่เราสร้างขึ้น ซึ่งจะขับเคลื่อนมอเตอร์ตามคำสั่งที่ได้รับจากสมองแบบเรียลไทม์ และเราจะประเมินความสามารถในถอดรหัสของเรา เทียบกับการทำงานของร่างกาย และถ้าเราสามารถจะป้อนกลับ สัญญาณรับรู้ด้านการสัมผัสจากแขนกลนี้ ซึ่งตอนนี้ถูกควบคุมด้วยสมอง กลับไปยังสมอง สมองจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ต่อข้อความที่ได้รับจากแขนกล และนั่นคือสิ่งที่เราทำเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราเริ่มทดลองกับลิงมีชื่อเสียงตัวหนึ่งชื่อว่า ออโรร่า ซึ่งทำให้มันมีชื่อเสียงโด่งดังในสาขานี้ในเวลาต่อมา ออโรร่าชอบเล่นวีดิโอเกมส์ อย่างที่คุณเห็น มันชอบใช้จอยสติ๊กเหมือนพวกเรา เหมือนพวกเด็กๆ เวลาเล่นเกมส์ และสมกับที่เป็นไพรเมต มันพยายามโกงก่อนที่มันจะตอบได้ถูกต้อง สิ่งที่มันทำก็คือ ก่อนที่รูปเป้าหมายที่มันจะต้องแตะด้วยลูกศรซึ่ง ควบคุมด้วยจอยสติ๊กจะปรากฏบนหน้าจอ ออโรร่าพยายามจะค้นหาเป้าหมาย ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน ทำไมมันทำอย่างนั้น... เพราะว่าทุกครั้งที่มันแตะเป้าหมายด้วยลูกศรได้อย่างถูกต้อง มันจะได้รับรางวัลเป็นน้ำส้มบราซิลหนึ่งหยด ผมบอกคุณได้เลยครับว่า คุณจะให้ลิงตัวไหน ทำอะไรให้คุณก็ได้ ถ้าคุณให้รางวัลมันด้วยน้ำส้มบราซิล จริง ๆ แล้ว มันใช้ได้กับไพรเมตทุกประเภทเลยนะ ลองคิดดูครับ ขณะที่ออโรร่ากำลังเล่นเกมส์นี้อยู่ อย่างที่คุณเห็น มันพยายามเป็นพันๆ ครั้งต่อวัน และมันทำได้ถูกต้อง 97 เปอร์เซ็นต์และได้รับน้ำส้ม 350 มิลลิลิตร เราบันทึกพายุสมองที่ถูกสร้างขึ้นในศีรษะของมัน และส่งข้อมูลนี้ไปยังแขนกล ซึ่งพยายามเรียนรู้ที่จะเคลื่อนที่แบบที่ออโรร่าทำ เนื่องจากแนวคิดของเราคือเปิดส่วนต่อเชื่อม ระหว่างสมอง-เครื่องจักรไว้ และให้ออโรร่าเล่นเกมส์ในความคิดเท่านั้น โดยไม่ให้มันใช้ร่างกาย พายุสมองของมันจะควบคุมแขนกล ที่จะใช้เลื่อนลูกศรไปยังเป้าหมายและแตะเป้าหมาย และสิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจมากก็คือ ออโรร่าทำเหมือนกับที่เราสาธยายเมื่อกี้เป๊ะเลยครับ มันเล่นเกมส์โดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ดังนั้น การเคลื่อนที่ของลูกศรที่คุณเห็นในขณะนี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงแรกๆ ที่มันเริ่มเรียนรู้ นี่คือช่วงแรกที่มันเริ่มเรียนรู้ ความต้องการในสมองถูกปลดปล่อยเป็นอิสระจากขอบเขตร่างกายของไพรเมต และสมองสามารถตอบสนองต่อสิ่งภายนอกได้ ด้วยการควบคุมแขนกล ออโรร่าก็ยังคงเล่นเกมส์ต่อไป มันยังคงค้นหาเป้าหมายต่อไป และได้รับรางวัลเป็นน้ำส้มที่มันชื่นชอบต่อไป มันทำเช่นนั้น เพราะว่า ณ ขณะนั้นมันได้รับแขนอันใหม่ ส่วนแขนกลที่คุณเห็นอยู่นี้ คือ 30 วันให้หลัง จากวิดีโอแรกที่ผมได้เปิดให้ดู มันอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองของออโรร่า และมันสามารถเลื่อนลูกศรไปที่เป้าหมาย และออโรร่ารู้แล้วว่ามันสามารถเล่นเกมส์ได้โดยใช้แขนกล แต่มันก็ไม่ได้สูญเสียความสามารถในการใช้แขนจริงของมันทำตามใจชอบ มันสามารถเกาหลังของมัน เกาพวกเรา และเล่นเกมส์อื่นได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ สมองของออโรร่าสามารถรวมเอาแขนกลนี้ เข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของมันได้ ภาพตัวเองในสมองของออโรร่า ณ ขณะนี้ ได้ถูกขยายออกให้มีแขนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 อัน นี่คือสิ่งที่เราได้ทำเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อีก 10 ปีต่อมา เมื่อปีก่อน เราค้นพบว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้แขนกลแต่อย่างใด คุณสามารถสร้างร่างกายเสมือน ตัวอวตาร ตัวแทนของลิง และใช้มันโต้ตอบกับลิงของเรา หรือคุณสามารถฝึกลิงเพื่อให้ มันคิดว่านั้นเป็นตัวแทนของมันในโลกเสมือน และใช้สมองของมันควบคุมการเคลื่อนที่ของแขนขาของอวตาร และสิ่งที่เราได้ทำนั้นแท้จริงแล้วก็คือการฝึกหัดสัตว์ ให้เรียนรู้วิธีในการควบคุมตัวอวตาร และสำรวจตรวจสอบวัตถุที่ปรากฏอยู่ในโลกเสมือน และวัตถุเหล่านี้มีรูปร่างเหมือนกัน แต่เมื่ออวตารสัมผัสกับพื้นผิวของวัตถุเหล่านี้ วัตถุนั้นก็จะส่งสัญญาณไฟฟ้าที่บ่งบอกลักษณะพื้นผิวของวัตถุนั้น กลับไปยังสมองของลิงโดยตรง เป็นการบอกสมองให้รู้ว่าอวตารกำลังสัมผัสอะไรอยู่ และภายใน 4 สัปดาห์ สมองจะเรียนรู้การจัดการกับความรู้สึกใหม่นี้ และผนวกเอาวิธีการรับรู้แบบใหม่นี้เข้าไว้ เหมือนเป็นประสาทสัมผัสอันใหม่ และเมื่อถึงจุดนี้ คุณก็ได้ให้อิสรภาพแก่สมองอย่างแท้จริง เพราะว่าคุณสามารถใช้สมองส่งคำสั่งไปควบคุมการเคลือนที่ของอวตารได้ และการตอบสนองที่ได้รับมาจากอวตารก็จะถูกประมวลผลในสมอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผิวหนังแต่อย่างใด และสิ่งที่คุณเห็นอยู่นี้ คือ โครงร่างของภาระกิจของเรา คุณจะเห็นสัตว์สัมผัสเป้าหมายสามอันนี้ และมันจะต้องเลือกอันใดอันหนึ่งเพราะมีแค่อันเดียวเท่านั้นที่มีรางวัล น้ำส้มที่มันต้องการ และมันจะต้องเลือกโดยการสัมผัสด้วยแขนเสมือน ซึ่งเป็นแขนที่ไม่มีอยู่จริงบนตัวมัน และนั่นคือสิ่งที่พวกมันทำ นี่คือการปลดปล่อยสมองอย่างสมบูรณ์ จากข้อจำกัดทางร่างกายและการเคลื่อนไหวในภาระกิจแบบนี้ สัตว์สามารถควบคุมอวตารให้สัมผัสกับเป้าหมายได้ และมันยังสามารถรับรู้ลักษณะของผิวสัมผัสได้จากสัญญาณไฟฟ้าที่ถูกส่งกลับไปยังสมองโดยตรง และสมองสามารถแยกแยะได้ว่าผิวสัมผัสอันไหนที่มีรางวัลซ่อนอยู่ คำอธิบายที่คุณเห็นในคลิปนี้ไม่ได้ถูกแสดงให้ลิงเห็น และถึงยังไง มันก็อ่านภาษาอังกฤษไม่ออกอยู่แล้ว คำอธิบายเหล่านี้ เราใส่เข้าไปเพื่อบอกให้คุณรู้ว่า เป้าหมายที่ถูกต้องจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และลิงก็สามารถหามันเจอได้จากความรู้สึกที่แตกต่างขณะสัมผัส และพวกมันก็สามารถกดลงไปและเลือก เมื่อเรามองดูที่สมองของสัตว์เหล่านี้ คุณจะเห็นการเรียงตัวของเซลล์ 125 เซลล์ในภาพด้านบน แสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับกิจกรรมของสมอง หรือพายุสมอง ของเซลล์ประสาทเหล่านี้ในสมอง เมื่อสัตว์ใช้จอยสติ๊ก และนั่นเป็นภาพที่นักประสาทวิทยาทุกคนรู้ การเรียงตัวแบบพื้นฐานแสดงให้เห็นว่าเซลล์เหล่านี้กำลังสร้างรหัส สำหรับการเคลื่อนที่ทุกๆ ทิศทางที่เป็นไปได้ ภาพด้านล่างคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายหยุดเคลื่อนที่ และสัตว์เริ่มควบคุมแขนกลหรืออวตารในคอมพิวเตอร์ ด้วยความเร็วพอๆ กับการรีเซ็ตเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา กิจกรรมของสมองย้ายมาเริ่มตอบสนองต่อเครื่องมือใหม่นี้ ราวกับว่ามันคือส่วนหนึ่งของร่างกายของลิงตัวนั้น สมองก็มีพฤติกรรมแบบเดียวกัน ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่เราสามารถจะวัดได้ สิ่งที่เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นว่าความรู้สึกของตัวตนเรา ไม่ได้สิ้นสุดลงที่เซลล์ผิวหนังชั้นนอกของร่างกายเราเท่านั้น แต่มันจบลงที่ปลายทางของอิเล็คตรอนในอุปกรณ์ ที่เราควบคุมได้ด้วยสมองของเรา ไวโอลินของเรา รถยนต์ของเรา จักรยานของเรา ลูกฟุตบอลของเรา เสื้อผ้าของเรา สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดถูกรวมเข้ากับร่างกาย ด้วยระบบอันทรงพลัง น่าทึ่งและปรับเปลี่ยนได้ที่เรียกว่าสมอง แล้วเราจะขยายมันออกไปได้ไกลแค่ไหน? ในการทดลองเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เราทำการทดลองแบบสุดโต่ง เราให้สัตว์วิ่งบนเครื่องลู่วิ่งออกกำลังกาย ที่มหาวิทยาลัยดุ๊ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้มันสร้างพายุสมองที่จำเป็นสำหรับการเคลื่อนที่ และเรามีหุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์ อยู่ที่ห้องทดลอง ATR เมื่องเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่ซึ่งไฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งมันจะถูกควบคุมด้วยสมอง สมองมนุษย์ หรือ สมองของไพรเมต สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือกิจกรรมสมองที่สร้างการเคลื่อนที่ในลิง ถูกส่งไปยังญี่ปุ่นและทำให้หุ่นยนต์ก้าวเดิน ขณะเดียวกันแต่ละก้าวของหุ่นยนต์นี้ก็ถูกส่งกลับไปยังมหาลัยดุ๊ก เพื่อให้เจ้าลิงเห็นขาของหุ่นยนต์ที่กำลังก้าวเดินอยู่ตรงหน้ามัน เพื่อที่ว่าเจ้าลิงจะได้รับรางวัล ไม่ใช่สำหรับสิ่งที่ร่างกายของมันกำลังทำ แต่สำหรับทุกๆ ก้าวเดินที่ถูกต้องของหุ่นยนต์ที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ซึ่งถูกควบคุมโดยสมองของมัน ที่ตลกก็คือสัญญาณเดินทางไปกลับรอบโลกใช้เวลา 20 มิลลิวินาที ซึ่งสั้นกว่าระยะเวลาที่พายุสมองเดินทางออกจากหัวของลิง ไปยังกล้ามเนื้อของมันเอง เจ้าลิงตัวนี้ได้ขับเคลื่อนหุ่นยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวมันถึง 6 เท่า จากคนละซีกโลก นี่คือการทดลองอันหนึ่งที่หุ่นยนต์สามารถเดินได้เอง นี่คือฝันที่เป็นจริงของ CB1 ในญี่ปุ่น ภายใต้การควบคุมของสมองของไพรเมต แล้ว...เราทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร? เราสามารถจะทำอะไรได้จากผลงานวิจัยทั้งหมดนี้ นอกจากความใคร่รู้เกี่ยวกับอาณาจักรอันทรงพลัง ที่อยู่ระหว่างหูของเรา? ไอเดียก็คือเราต้องการนำความรู้และเทคโนโลยีที่ได้ มาใช้แก้ไขปัญหาทางประสาทวิทยาสำคัญอันหนึ่งที่โลกเผชิญอยู่ ผู้คนหลายล้านได้สูญเสียความสามารถในการเปลี่ยนพายุสมอง ให้เกิดเป็นการเคลื่อนไหวและการเคลื่อนที่ แม้ว่าสมองของพวกเขาจะยังสามารถสร้างพายุ และรหัสสำหรับการเคลื่อนที่ แต่สัญญาณเหล่านั้นไม่สามารถวิ่งข้ามกำแพง ที่เกิดขึ้นจากการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง ดังนั้น แนวคิดของเราก็คือการสร้างเส้นทางลัด ด้วยการใช้ส่วนต่อเชื่อมสมอง-เครื่องจักรเพื่ออ่านสัญญาณ พายุสมองที่แสดงถึงความต้องการจะเคลื่อนที่อีกครั้ง วิ่งข้ามรอยแผลบาดเจ็บ โดยเทคนิคไมโครเอ็นจิเนียริ่ง และส่งสัญญาณไปยังร่างกายใหม่ที่เรียกว่า เอ็กโซสเกลเลตัน (exoskeleton) ซึ่งเป็นชุดหุ่นยนต์ที่จะทำหน้าที่เป็นร่างกายใหม่สำหรับคนไข้กลุ่มนี้ และภาพที่คุณเห็นนี้เป็นผลงานขององค์กรหนึ่ง เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ชื่อ วอล์ค อะเกน โปรเจค (Walk Again Project) ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักวิทยาศาสตร์จากยุโรป อเมริกาและบราซิล ทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาร่างกายใหม่นี้ขึ้นมา ร่างกายที่เราเชื่อว่าด้วยกลไกเดียวกันกับ ที่ทำให้ออโรร่าและเจ้าลิงตัวอื่นๆ สามารถใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านส่วนต่อเชื่อมสมอง-เครื่องจักรได้ กลไกที่ซึ่งทำให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราประดิษฐ์ขึ้นในชีวิตประจำวันของเราได้ เราหวังว่า กลไกเดียวกันนี้จะช่วยให้คนไข้กลุ่มนี้ ไม่เพียงแต่จะสามารถจินตนาการการเคลื่อนที่ที่พวกเขาต้องการ เปลี่ยนมันเป็นการเคลื่อนที่ของร่างกายใหม่จริงๆ แต่สมองจะสามารถผนวกเอาร่างกายใหม่นี้เข้ามา อยู่ภายใต้การควบคุมได้เหมือนกับร่างกายเดิม เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีคนบอกผมว่า สิ่งที่ว่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น มันไม่มีทางเป็นไปได้ และในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผมบอกคุณได้เลยว่า ผมเติบโตขึ้นมาในพื้นที่ทางตอนใต้ของบราซิลในยุค 60 ได้นั่งดูคนบ้ากลุ่มหนึ่งบอกพวกเราว่า พวกเขาจะเดินทางไปดวงจันทร์ ตอนนั้นผมอายุ 5 ขวบ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมนาซ่าไม่จ้างกัปตันเคิร์กกับสป๊อคมาทำงานนี้ เพราะพวกเขาน่าจะถนัดมากๆ แต่เพราะว่าการได้เห็นสิ่งเหล่านั้นเมื่อยังเด็ก ทำให้ผมเชื่อในสิ่งที่คุณย่าของผมบอกกับผม ว่า "สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือ สิ่งที่เป็นไปได้ ซึ่งคนบางคนไม่ได้ทุ่มเทความพยายามลงไปอย่างเพียงพอ ที่จะทำให้มันเกิดขึ้น" พวกเขาบอกผมว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้คนบางคน กลับมาเดินอีกครั้ง ผมกำลังจะทำตามคำแนะนำของคุณย่าของผม ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)