1 00:00:00,000 --> 00:00:02,000 ก่อนอื่นฉันจะเริ่มด้วยการพูดถึงออทิสติกสักหน่อย 2 00:00:02,000 --> 00:00:04,000 ว่ามันคืออะไร 3 00:00:04,000 --> 00:00:07,000 ออทิสติกนี่มีความหลากหลายมาก 4 00:00:07,000 --> 00:00:10,000 ตั้งแต่รุนแรงสุดๆ คือเด็กที่ไม่พูดเลยตลอดชีวิต 5 00:00:10,000 --> 00:00:13,000 ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ฉลาดสุดๆ 6 00:00:13,000 --> 00:00:15,000 ที่จริงวันนี้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนอยู่บ้านเลย 7 00:00:15,000 --> 00:00:17,000 เพราะในที่นี้ มีคนที่มีความเป็นออทิสติกอยู่ในสายเลือดเยอะแยะ 8 00:00:17,000 --> 00:00:19,000 คุณคง... 9 00:00:19,000 --> 00:00:23,000 (เสียงปรบมือ) 10 00:00:23,000 --> 00:00:25,000 มันเป็นคุณลักษณะที่มีระดับมากน้อยแตกต่างกัน 11 00:00:25,000 --> 00:00:28,000 พวกเนิร์ดที่สนใจอะไรบางอย่างแบบสุดขั้ว กลายเป็น 12 00:00:28,000 --> 00:00:30,000 แอสเพอร์เกอร์ หรือออทิสติกอ่อนๆ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ 13 00:00:30,000 --> 00:00:33,000 ฉันหมายความว่า ถ้าไอน์สไตน์ โมสาร์ต 14 00:00:33,000 --> 00:00:35,000 และเทสลามีชีวิตอยู่วันนี้ เขาคงถูกจะวินิจฉัย 15 00:00:35,000 --> 00:00:37,000 ว่าเป็นออทิสติกอ่อนๆ นะ 16 00:00:37,000 --> 00:00:40,000 สิ่งหนึ่งที่ฉันห่วงจริงๆ ก็คือ 17 00:00:40,000 --> 00:00:43,000 จะทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้น 18 00:00:43,000 --> 00:00:45,000 และเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อไป 19 00:00:45,000 --> 00:00:49,000 อย่างที่บิลเกตส์พูดไปเมื่อเช้านี้ 20 00:00:49,000 --> 00:00:51,000 โอเค ทีนี้ ถ้าคุณอยากเข้าใจ 21 00:00:51,000 --> 00:00:53,000 คนเป็นออทิสติก และพวกสัตว์ต่างๆ 22 00:00:53,000 --> 00:00:55,000 ฉันอยากจะพูดถึงรูปแบบวิธีคิดที่แตกต่างกันออกไป 23 00:00:55,000 --> 00:00:58,000 คุณต้องข้ามให้พ้นวัจนภาษา (ภาษาที่เป็นถ้อยคำ) 24 00:00:58,000 --> 00:01:00,000 ฉันคิดเป็นภาพ 25 00:01:00,000 --> 00:01:03,000 ฉันไม่ได้คิดเป็นภาษา 26 00:01:03,000 --> 00:01:05,000 ทีนี้ ลักษณะพิเศษของสมองของคนเป็นออทิสติก 27 00:01:05,000 --> 00:01:08,000 คือการใส่ใจรายละเอียด 28 00:01:08,000 --> 00:01:10,000 โอเค นี่เป็นแบบทดสอบที่คุณจะต้อง 29 00:01:10,000 --> 00:01:12,000 เลือกอักษรตัวใหญ่ หรืออักษรตัวเล็ก 30 00:01:12,000 --> 00:01:14,000 สมองของคนเป็นออทิสติก 31 00:01:14,000 --> 00:01:16,000 เห็นอักษรตัวเล็กได้เร็วกว่า 32 00:01:16,000 --> 00:01:20,000 ในขณะที่สมองคนปกติละเลยรายละเอียดพวกนี้ไป 33 00:01:20,000 --> 00:01:22,000 ทีนี้ เวลาคุณสร้างสะพาน รายละเอียดเป็นสิ่งสำคัญมาก 34 00:01:22,000 --> 00:01:25,000 เพราะสะพานอาจพังได้ถ้าคุณละเลยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ 35 00:01:25,000 --> 00:01:28,000 สิ่งหนึ่งที่ฉันเป็นห่วงเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ทุกวันนี้ 36 00:01:28,000 --> 00:01:30,000 ก็คือ อะไรๆ มันเป็นนามธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ 37 00:01:30,000 --> 00:01:32,000 ผู้คนห่างเหินจากการทำงาน 38 00:01:32,000 --> 00:01:34,000 ชนิดที่ได้ลงไม้ลงมือทำจริงๆ 39 00:01:34,000 --> 00:01:36,000 ฉันกังวลจริงๆ ที่เห็นโรงเรียนจำนวนมาก 40 00:01:36,000 --> 00:01:38,000 ตัดรายวิชาเชิงปฏิบัติออกไป 41 00:01:38,000 --> 00:01:40,000 เพราะศิลปะ และวิชาทำนองนี้ 42 00:01:40,000 --> 00:01:42,000 เป็นวิชาที่ฉันทำได้ดี 43 00:01:42,000 --> 00:01:44,000 โอเค ในงานปศุสัตว์ที่ฉันทำ 44 00:01:44,000 --> 00:01:47,000 ฉันสังเกตเห็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ หลายอย่างที่คนส่วนใหญ่ไม่สังเกต 45 00:01:47,000 --> 00:01:49,000 อะไรที่ทำให้วัวตกใจและขัดขืน 46 00:01:49,000 --> 00:01:52,000 อย่างเช่น ธงที่โบกสะบัดอยู่หน้าศูนย์พยาบาลสัตว์ 47 00:01:52,000 --> 00:01:55,000 ฟาร์มแห่งนี้เกือบจะรื้อศูนย์พยาบาลสัตว์ทิ้งไปแล้ว 48 00:01:55,000 --> 00:01:57,000 ความจริงที่เขาต้องทำคือแค่เอาธงออกไป 49 00:01:57,000 --> 00:02:00,000 อย่าให้มีอะไรที่เคลื่อนไหววูบวาบ แสงสีที่ตัดกัน 50 00:02:00,000 --> 00:02:02,000 ช่วงต้นยุค 70 ที่ฉันเริ่มทำงาน ฉันลงไปคลาน 51 00:02:02,000 --> 00:02:04,000 ในทางเดินของวัวเพื่อดูว่ามันเห็นอะไรบ้าง 52 00:02:04,000 --> 00:02:07,000 คนอื่นมองว่าฉันบ้า แต่ฉันพบว่า เสื้อคลุมที่พาดไว้บนรั้วทำให้มันกลัว 53 00:02:07,000 --> 00:02:10,000 เงาวูบวาบ และสายยางบนพี้นก็ทำให้มันตกใจไม่ยอมเดิน 54 00:02:10,000 --> 00:02:12,000 คนทั่วไปไม่สังเกตสิ่งเหล่านี้ 55 00:02:12,000 --> 00:02:14,000 โซ่ที่ห้อยลงมาจากรั้วด้วย 56 00:02:14,000 --> 00:02:16,000 หนัง (ชีวประวัติของ Temple) สื่อสารเรื่องนี้ออกมาได้ดีมาก 57 00:02:16,000 --> 00:02:18,000 ที่จริงฉันชอบที่หนังเล่าถึง 58 00:02:18,000 --> 00:02:20,000 โปรเจ็คทุกอย่างที่ฉันทำเลย 59 00:02:20,000 --> 00:02:23,000 เขาเอาภาพที่ฉันวาดมาใช้ในหนังด้วย 60 00:02:23,000 --> 00:02:25,000 อ้อ หนังที่ว่านั้นชื่อ "Temple Grandin" 61 00:02:25,000 --> 00:02:27,000 ไม่ใช่ "Thinking in Picture" (ชื่อหนังสือชีวประวัติของ Temple) 62 00:02:27,000 --> 00:02:29,000 ทีนี้ คำว่าคิดเป็นภาพนี่มันคืออะไร 63 00:02:29,000 --> 00:02:31,000 มันคือหนังที่ฉายอยู่ในหัวคุณเลยแหละ 64 00:02:31,000 --> 00:02:33,000 สมองของฉันทำงานเหมือน Google ที่ใช้ค้นหาภาพ 65 00:02:33,000 --> 00:02:36,000 ตอนเด็กๆ ฉันไม่รู้ว่าวิธีการคิดของฉันต่างจากคนอื่น 66 00:02:36,000 --> 00:02:38,000 ฉันคิดว่าทุกคนคิดเป็นภาพ 67 00:02:38,000 --> 00:02:40,000 จนเมื่อฉันเขียนหนังสือเรื่อง Thinking In Pictures 68 00:02:40,000 --> 00:02:43,000 ฉันไปสัมภาษณ์ผู้คนว่าเขามีวิธีการคิดยังไง 69 00:02:43,000 --> 00:02:45,000 ฉันตกใจมากที่พบว่าวิธีการคิดของฉัน 70 00:02:45,000 --> 00:02:47,000 มันต่างจากคนอื่นมากเลย 71 00:02:47,000 --> 00:02:49,000 อย่างถ้าฉันพูดถึง "ยอดหอคอยของโบสถ์" 72 00:02:49,000 --> 00:02:51,000 คนส่วนใหญ่ก็จะคิดถึงยอดหอคอยทั่วๆ ไปแบบคร่าวๆ 73 00:02:51,000 --> 00:02:53,000 แม้ว่าจะคนในห้องนี้อาจจะไม่ได้คิดแบบนี้ 74 00:02:53,000 --> 00:02:57,000 แต่คนส่วนใหญ่ข้างนอกเขาคิดแบบนี้ 75 00:02:57,000 --> 00:02:59,000 ส่วนฉันจะเห็นเป็นภาพที่เจาะจงเลย 76 00:02:59,000 --> 00:03:03,000 มันแวบขึ้นมาในหัวฉัน เหมือนกูเกิ้ลสำหรับหารูปภาพ 77 00:03:03,000 --> 00:03:05,000 ในหนังเขาก็ทำซีนหนึ่งไว้ดีมาก 78 00:03:05,000 --> 00:03:09,000 ตอนที่มีคนพูดคำว่า "รองเท้า" แล้วภาพของเท้ามากมายจากยุคปี 50 และ 60 79 00:03:09,000 --> 00:03:11,000 แวบเข้ามาในจินตนาการของฉัน 80 00:03:11,000 --> 00:03:13,000 โอเค นี่คือโบสถ์ที่ฉันไปตอนเด็กๆ 81 00:03:13,000 --> 00:03:16,000 ชัดเจนและเจาะจงแบบนี้เลย มีอีก อันนี้คือฟอร์ท คอลลินส์ 82 00:03:16,000 --> 00:03:18,000 โอเค เอาโบสถ์ที่ดังๆ บ้างดีไหม 83 00:03:18,000 --> 00:03:21,000 คือ ภาพมันจะแวบเข้ามาแบบนี้ 84 00:03:21,000 --> 00:03:24,000 เร็วมากๆ เหมือนกูเกิ้ลสำหร้บค้นหารูปภาพ 85 00:03:24,000 --> 00:03:26,000 แล้วจะแวบขึ้นมาทีละรูป 86 00:03:26,000 --> 00:03:28,000 แล้วฉันก็จะคิดต่อว่า เอ เติมหิมะเข้าไปดีไหม 87 00:03:28,000 --> 00:03:30,000 หรือจะเป็นภาพท้องฟ้ามีพายุฝน 88 00:03:30,000 --> 00:03:33,000 แล้วก็สร้างเป็นวิดีโอขึ้นมาในหัว 89 00:03:33,000 --> 00:03:36,000 ทีนี้ การคิดเป็นภาพนี่เป็นประโยชน์มหาศาล 90 00:03:36,000 --> 00:03:39,000 ในงานออกแบบโรงเรือนและการจัดการปศุสัตว์ 91 00:03:39,000 --> 00:03:41,000 และฉันก็พยายามอย่างมากที่จะปรับปรุง 92 00:03:41,000 --> 00:03:43,000 วิธีการปฏิบัติกับวัวก่อนที่มันจะถูกส่งเข้าโรงชำแหละ 93 00:03:43,000 --> 00:03:46,000 ฉันไม่เอาภาพน่าสยองของโรงชำแหละมาฉายหรอก 94 00:03:46,000 --> 00:03:48,000 ฉันอัพโหลดภาพพวกนั้นขึ้นบนยูทูปแล้ว ถ้าคุณอยากดูนะ 95 00:03:48,000 --> 00:03:52,000 แต่หนึ่งในสิ่งที่ฉันทำได้ในงานออกแบบของฉัน 96 00:03:52,000 --> 00:03:54,000 ก็คือ ฉันสามารถทดสอบการทำงาน 97 00:03:54,000 --> 00:03:56,000 ของเครื่องมือที่ฉันออกแบบได้ในจินตนาการ 98 00:03:56,000 --> 00:03:59,000 เหมือนระบบคอมพิวเตอร์เสมือนจริง 99 00:03:59,000 --> 00:04:01,000 นี่เป็นภาพจากมุมมองทางอากาศ 100 00:04:01,000 --> 00:04:04,000 ของอุปกรณ์ตัวหนึ่งในโปรเจ็คของฉันที่ได้นำไปถ่ายทอดในหนัง 101 00:04:04,000 --> 00:04:06,000 เจ๋งดีนะ ว่าไหม 102 00:04:06,000 --> 00:04:08,000 ฉันว่ามีคนที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ 103 00:04:08,000 --> 00:04:11,000 และออทิสติกหลายแบบเลยนะ ที่ทำงานอยู่ในกองถ่ายหนังน่ะ 104 00:04:11,000 --> 00:04:13,000 (เสียงหัวเราะ) 105 00:04:13,000 --> 00:04:15,000 แต่อย่างหนึ่งที่ฉันห่วงมากเลย 106 00:04:15,000 --> 00:04:19,000 ก็คือ ปัจจุบันคนหนุ่มสาวที่เป็นแบบนี้หายไปไหนกัน 107 00:04:19,000 --> 00:04:22,000 พวกเขาไม่ได้เข้าทำงานในซิลิกอนแวลี่ย์ ที่ซึ่งเหมาะกับพวกเขา 108 00:04:22,000 --> 00:04:25,000 (เสียงหัวเราะ) 109 00:04:25,000 --> 00:04:30,000 (เสียงปรบมือ) 110 00:04:30,000 --> 00:04:33,000 สิ่งหนึ่งที่ฉันเรียนรู้ตั้งแต่ยังวัยรุ่นเพราะว่าฉันไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่ง 111 00:04:33,000 --> 00:04:37,000 ก็คือ ฉันต้องขายงานของฉัน ไม่ใช่ตัวตนของฉัน 112 00:04:37,000 --> 00:04:39,000 และวิธีการขายงานระบบจัดการปศุสัตว์ของฉัน 113 00:04:39,000 --> 00:04:42,000 คือการโชว์ภาพที่ฉันวาด ฉันโชว์รูปเครื่องมือต่างๆ 114 00:04:42,000 --> 00:04:44,000 อีกอย่างที่ช่วยฉันได้คือ ตอนที่ฉันเด็กๆ 115 00:04:44,000 --> 00:04:46,000 นั่นคือ ยุคปี 50 คุณจะถูกสอนเรื่องมารยาท 116 00:04:46,000 --> 00:04:48,000 ว่าคุณไม่สามารถไปหยิบสินค้าในร้านมาจากชั้น 117 00:04:48,000 --> 00:04:50,000 แล้วโยนเล่นไปมาได้ 118 00:04:50,000 --> 00:04:53,000 พอเด็กโตถึงช่วงเกรด 3 เกรด 4 (9-10 ขวบ) 119 00:04:53,000 --> 00:04:56,000 คุณอาจจะเห็นเด็กคนนี้เริ่มกลายเป็นนักคิดด้วยภาพ 120 00:04:56,000 --> 00:04:58,000 วาดรูปที่มีมิติความลึกได้ 121 00:04:58,000 --> 00:05:00,000 ทีนี้ ฉันอยากจะเน้นว่า เด็กออทิสติกทุกคน 122 00:05:00,000 --> 00:05:02,000 ไม่ได้กลายเป็นนักคิดด้วยภาพกันทุกคน 123 00:05:02,000 --> 00:05:06,000 ฉันมีภาพสแกนสมองที่ทำเมื่อสองสามปีก่อน 124 00:05:06,000 --> 00:05:08,000 ฉันเคยพูดเล่นสนุกๆ ว่า 125 00:05:08,000 --> 00:05:10,000 ฉันมีสายอินเทอร์เน็ตใหญ่ยักษ์ 126 00:05:10,000 --> 00:05:12,000 ฝังอยู่ในสมองส่วนการมองเห็นของตัวเอง 127 00:05:12,000 --> 00:05:14,000 นี่เป็นภาพถ่ายแบบ tensor ของสมองฉัน 128 00:05:14,000 --> 00:05:16,000 แสดงให้เห็นว่าสายอินเทอร์เน็ตในหัวของฉัน 129 00:05:16,000 --> 00:05:18,000 มันใหญ่กว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า 130 00:05:18,000 --> 00:05:20,000 เส้นสีแดงนั่นคือของฉัน 131 00:05:20,000 --> 00:05:24,000 เส้นสีน้ำเงินเป็นของคนที่นำมาเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นผู้หญิงวัยเดียวกับฉัน 132 00:05:24,000 --> 00:05:26,000 เห็นไหม ฉันมีเส้นสีแดงเส้นใหญ่เยอะแยะ 133 00:05:26,000 --> 00:05:28,000 ของคนปกติ สีน้ำเงินนั่น 134 00:05:28,000 --> 00:05:32,000 เส้นเล็กกว่ามาก 135 00:05:32,000 --> 00:05:34,000 ตอนนี้งานวิจัยบางชิ้นเผยว่า 136 00:05:34,000 --> 00:05:38,000 คนเราคิดด้วยสมองส่วนการมองเห็นได้จริงๆ แต่จะมากน้อยต่างไปในแต่ละคน 137 00:05:38,000 --> 00:05:41,000 ทีนี้ คนที่คิดด้วยภาพก็คือสมองรูปแบบหนึ่งเท่านั้น 138 00:05:41,000 --> 00:05:44,000 คุณเห็นแล้วใช่ไหม ว่าสมองของคนเป็นออทิสติกนั้นมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง 139 00:05:44,000 --> 00:05:48,000 ดีอย่างหนื่ง แต่อย่างอื่นแย่ 140 00:05:48,000 --> 00:05:50,000 เรื่องที่ฉันแย่คือพีชคณิต และฉันก็ไม่เคยได้รับอนุญาต 141 00:05:50,000 --> 00:05:52,000 ให้ลงเรียนเรขาคณิตหรือตรีโกณมิติ 142 00:05:52,000 --> 00:05:55,000 ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่แย่มาก ฉันพบว่ามีเด็กจำนวนมากที่อยากข้ามพีชคณิต 143 00:05:55,000 --> 00:05:57,000 ไปเรียนเรขาคณิตและตรีโกณมิติเลย 144 00:05:57,000 --> 00:06:00,000 ทีนี้ สมองอีกแบบหนึ่ง คือ นักคิดระบบหรือแบบแผน 145 00:06:00,000 --> 00:06:02,000 อะไรที่เป็นนามธรรมกว่า นั่นคือพวกวิศวกร 146 00:06:02,000 --> 00:06:04,000 นักโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 147 00:06:04,000 --> 00:06:06,000 เอาละ นี่คือการคิดเป็นระบบแบบแผน เจ้าตั๊กแตนตำข้าวตัวนี้ 148 00:06:06,000 --> 00:06:08,000 ทำมาจากกระดาษแผ่นเดียว 149 00:06:08,000 --> 00:06:10,000 ไม่ใช้เทปกาว ไม่มีการตัด 150 00:06:10,000 --> 00:06:13,000 ลวดลายบนพี้นหลังนั่นคือแบบที่ใช้พับเจ้าตั๊กแตนตัวนี้ 151 00:06:13,000 --> 00:06:15,000 นี่คือรูปแบบการคิดต่างๆ 152 00:06:15,000 --> 00:06:18,000 คิดเป็นภาพเสมือนจริง อย่างฉัน 153 00:06:18,000 --> 00:06:22,000 คิดเป็นระบบแบบแผน เช่น ดนตรี และคณิตศาสตร์ 154 00:06:22,000 --> 00:06:24,000 คนพวกนี้บางคนก็จะมีปัญหาเรื่องการอ่าน 155 00:06:24,000 --> 00:06:26,000 คุณจะพบปัญหาแบบนี้ 156 00:06:26,000 --> 00:06:29,000 ในเด็กที่เป็นโรค dyslexia (อาการความบกพร่องในการอ่าน) ด้วย 157 00:06:29,000 --> 00:06:31,000 คุณจะเห็นสมองที่แตกต่างแบบนี้ 158 00:06:31,000 --> 00:06:34,000 แล้วก็มีสมองที่คิดเป็นคำพูด ซึ่งเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ 159 00:06:34,000 --> 00:06:36,000 ทีนี้ อีกประเด็นคือเรื่องประสาทสัมผัส 160 00:06:36,000 --> 00:06:40,000 ฉันกังวลมากที่ต้องใส่เครื่องมือนี้ไว้บนหน้า 161 00:06:40,000 --> 00:06:43,000 ฉันก็เลยเข้ามาก่อนครึ่งชั่วโมง 162 00:06:43,000 --> 00:06:45,000 เพื่อจะได้ใส่มัน แล้วทำตัวให้เคยชินกับมัน 163 00:06:45,000 --> 00:06:48,000 แล้วต้องดัดมันออกไปไม่ให้มันมาแกะกะแถวคาง 164 00:06:48,000 --> 00:06:51,000 แต่ประสาทสัมผัสนี่เป็นปัญหาจริงๆ เด็กบางคนไม่ชอบแสงฟลูออเรสเซนต์ 165 00:06:51,000 --> 00:06:54,000 บางคนมีปัญหาว่าไวต่อเสียงมาก 166 00:06:54,000 --> 00:06:57,000 ต่างคนก็มีปัญหาต่างกันออกไป 167 00:06:57,000 --> 00:07:01,000 ทีนี้ การคิดเป็นภาพช่วยฉันได้มาก 168 00:07:01,000 --> 00:07:03,000 ในการทำความเข้าใจสัตว์ 169 00:07:03,000 --> 00:07:06,000 เพราะอะไร ลองคิดดู การคิดของสัตว์ก็ใช้ข้อมูลจากประสาทสัมผัส 170 00:07:06,000 --> 00:07:10,000 ไม่ได้ใช้คำพูด พวกมันคิดเป็นภาพ 171 00:07:10,000 --> 00:07:13,000 คิดเป็นเสียง คิดเป็นกลิ่น 172 00:07:13,000 --> 00:07:16,000 ลองคิดดูสิ ว่ามีข้อมูลอยู่บนหัวจ่ายน้ำดับเพลิงอันหนึ่งมากแค่ไหน 173 00:07:16,000 --> 00:07:19,000 พวกสัตว์รู้ว่าก่อนหน้านี้มีใครผ่านมาตรงนั้นบ้าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ 174 00:07:19,000 --> 00:07:22,000 เป็นมิตรหรือศัตรู มีใครที่มันจะจับคู่ด้วยได้ไหม 175 00:07:22,000 --> 00:07:25,000 มีข้อมูลมหาศาลเลยบนหัวจ่ายน้ำดับเพลิงอันหนึ่ง 176 00:07:25,000 --> 00:07:29,000 เป็นข้อมูลที่มีรายละเอียดมาก 177 00:07:29,000 --> 00:07:31,000 รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ 178 00:07:31,000 --> 00:07:33,000 ช่วยฉันได้มากในการทำความเข้าใจสัตว์ 179 00:07:33,000 --> 00:07:37,000 ทีนี้ สมองของสัตว์ แล้วก็สมองของฉันด้วย 180 00:07:37,000 --> 00:07:39,000 เราเอาข้อมูลที่ได้จากประสาทสัมผัส 181 00:07:39,000 --> 00:07:41,000 มาจัดเป็นหมวดหมู่ 182 00:07:41,000 --> 00:07:43,000 คนขี่ม้า 183 00:07:43,000 --> 00:07:45,000 กับคนที่ยืนบนพี้น 184 00:07:45,000 --> 00:07:47,000 เป็นสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง 185 00:07:47,000 --> 00:07:50,000 คุณอาจจะเจอม้าที่เคยถูกคนขี่ทำร้าย 186 00:07:50,000 --> 00:07:52,000 มันไม่กลัวสัตวแพทย์นะ 187 00:07:52,000 --> 00:07:55,000 ไม่กลัวช่างทำเกือกม้าด้วย แต่คุณขี่มันไม่ได้นะ 188 00:07:55,000 --> 00:07:58,000 คนอาจจะเจอม้าอีกตัว ที่ถูกช่างทำเกือกตีเอา 189 00:07:58,000 --> 00:08:00,000 มันก็จะกลัวใครก็ตามที่ยืนบนพื้น 190 00:08:00,000 --> 00:08:03,000 รวมทั้งสัตวแพทย์ด้วย แต่มันกลับยอมให้คนขี่ 191 00:08:03,000 --> 00:08:05,000 วัวก็เหมือนกัน 192 00:08:05,000 --> 00:08:07,000 คนขี่ม้า 193 00:08:07,000 --> 00:08:09,000 กับคนที่เดินเท้า เป็นสองอย่างที่แตกต่างกัน 194 00:08:09,000 --> 00:08:11,000 เห็นไหมล่ะ มันคือภาพสองภาพที่ไม่เหมือนกัน 195 00:08:11,000 --> 00:08:14,000 ทีนี้ ฉันอยากให้คุณเห็นว่ามันจำเพาะเจาะจงขนาดไหน 196 00:08:14,000 --> 00:08:18,000 ไอ้ความสามารถที่จะจัดข้อมูลเข้าหมวดหมู่เป็นประเภทเนี่ย 197 00:08:18,000 --> 00:08:21,000 ฉันพบว่าคนส่วนใหญ่จัดระบบข้อมูลที่มีรายละเอียดมากๆ ได้ไม่ดี 198 00:08:21,000 --> 00:08:23,000 เวลาฉันไปซ่อมอุปกรณ์ 199 00:08:23,000 --> 00:08:25,000 หรือไปแก้ปัญหาอะไรในโรงงาน 200 00:08:25,000 --> 00:08:29,000 ดูเหมือนผู้คนในโรงงานพวกนั้นเขาคิดไม่ออกว่า "นี่เรามีปัญหาเรื่องคน 201 00:08:29,000 --> 00:08:31,000 หรือว่าเรื่องอุปกรณ์กันแน่" 202 00:08:31,000 --> 00:08:33,000 พูดอีกอย่างคือ แยะแยะหมวดหมู่ปัญหาเรื่องเครื่องมือ 203 00:08:33,000 --> 00:08:35,000 กับปัญหาเรื่องคนออกจากกันไม่ได้ 204 00:08:35,000 --> 00:08:38,000 ฉันพบว่าคนจำนวนมากมีปัญหาเรื่องนี้ 205 00:08:38,000 --> 00:08:41,000 ทีนี้ พอฉันคิดออกว่ามันเป็นปัญหาทางเครื่องมือ 206 00:08:41,000 --> 00:08:43,000 แล้วมันเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันแก้ได้ 207 00:08:43,000 --> 00:08:46,000 หรือว่ามันมีปัญหาทั้งระบบกันแน่ 208 00:08:46,000 --> 00:08:49,000 คนส่วนมากแยกแยะเรื่องนี้ไม่ออกอีกเช่นกัน 209 00:08:49,000 --> 00:08:51,000 ลองดูสิ อย่างเช่นการแก้ปัญหา 210 00:08:51,000 --> 00:08:53,000 ว่าจะทำอย่างไรให้สายการบินมีความปลอดภัยมากขึ้น 211 00:08:53,000 --> 00:08:55,000 ใช่ ฉันบินมาเป็นล้านไมล์แล้วนี่ 212 00:08:55,000 --> 00:08:57,000 ฉันบินไปไหนมาไหนเยอะมาก 213 00:08:57,000 --> 00:09:00,000 ถ้าฉันไปที่ทบวงการบินพลเรือนของสหรัฐอเมริกา 214 00:09:00,000 --> 00:09:04,000 คุณว่าฉันจะไปดูอะไรบ้าง? 215 00:09:04,000 --> 00:09:06,000 ฉันจะไปดูหางเครื่องบิน 216 00:09:06,000 --> 00:09:09,000 คุณรู้ไหม โศกนาฏกรรมเครื่องบินตกห้าครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา 217 00:09:09,000 --> 00:09:13,000 ถ้าไม่ใช่ว่าหางหลุดออกมา ก็ต้องมีอุปกรณ์บางอย่างที่อยู่ในหาง 218 00:09:13,000 --> 00:09:15,000 ชำรุดเสียหาย 219 00:09:15,000 --> 00:09:17,000 มันคือหางเครื่องบิน ง่ายๆ เลย 220 00:09:17,000 --> 00:09:19,000 แล้วรู้ไหม เวลานักบินเดินดูรอบเครื่องบิน 221 00:09:19,000 --> 00:09:21,000 เขาไม่เห็นสิ่งที่อยู่ในหางเครื่องบิน 222 00:09:21,000 --> 00:09:23,000 แต่เวลาฉันมาคิด 223 00:09:23,000 --> 00:09:26,000 ฉันดึงข้อมูลรายละเอียดปลีกย่อยอันนี้ขึ้นมา 224 00:09:26,000 --> 00:09:29,000 มันเป็นข้อมูลที่จำเพาะเจาะจงมาก เห็นไหม ฉันคิดจากข้อมูลขึ้นมา 225 00:09:29,000 --> 00:09:33,000 ฉันเอาข้อมูลชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกันเหมือนตัวต่อ 226 00:09:33,000 --> 00:09:35,000 ทีนี้ นี่คือเจ้าม้าตัวหนึ่ง 227 00:09:35,000 --> 00:09:37,000 ที่กลัวหมวกคาวบอยสีดำเอามากๆ 228 00:09:37,000 --> 00:09:39,000 เพราะมันเคยถูกใครบางคนที่ใส่หมวกสีดำทำร้ายเอา 229 00:09:39,000 --> 00:09:42,000 ถ้าคุณใส่หมวกสีขาว อันนี้ไม่มีปัญหา 230 00:09:42,000 --> 00:09:45,000 ทีนี้ ประเด็นสำคัญก็คือ โลกเราต้องการ 231 00:09:45,000 --> 00:09:47,000 มันสมองทุกรูปแบบ 232 00:09:47,000 --> 00:09:49,000 ให้มาทำงานร่วมกัน 233 00:09:49,000 --> 00:09:52,000 เราต้องมาช่วยกันสร้างมันสมองแบบต่างๆ เหล่านี้ 234 00:09:52,000 --> 00:09:55,000 สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันโมโหมากตลอดเวลาที่ 235 00:09:55,000 --> 00:09:57,000 ฉันเดินทางไปประชุมเรื่องออทิสติกในที่ต่างๆ 236 00:09:57,000 --> 00:10:00,000 ก็คือ ฉันเห็นเด็กเนิร์ดที่มีสมองอัจฉริยะมากมาย 237 00:10:00,000 --> 00:10:03,000 พวกนี้เข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง 238 00:10:03,000 --> 00:10:05,000 แล้วก็ไม่มีใครใส่ใจที่จะพัฒนาเขาในทางที่เขาสนใจเลย 239 00:10:05,000 --> 00:10:07,000 เช่น ความสนใจทางวิทยาศาสตร์ 240 00:10:07,000 --> 00:10:10,000 ประเด็นนี้ทำให้ฉันคิดถึงครูวิทยาศาสตร์ของฉัน 241 00:10:10,000 --> 00:10:13,000 หนังถ่ายทอดภาพครูสอนวิทยาศาสตร์ของฉันได้งดงามมาก 242 00:10:13,000 --> 00:10:15,000 ฉันมันก็แค่เด็กโง่ๆ เซ่อๆ คนหนึ่ง 243 00:10:15,000 --> 00:10:18,000 ตอนอยู่มัธยมปลายฉันไม่สนใจเรียนเลย 244 00:10:18,000 --> 00:10:21,000 จนกระทั่งฉันเข้าเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของคุณครูคาร์ล็อก 245 00:10:21,000 --> 00:10:24,000 หรือด็อกเตอร์คาร์ล็อกที่คุณเห็นในหนัง 246 00:10:24,000 --> 00:10:27,000 เขาให้การบ้านที่ท้าทาย 247 00:10:27,000 --> 00:10:30,000 ให้ฉันคิดว่าจะสร้างห้องลวงตาได้อย่างไร 248 00:10:30,000 --> 00:10:32,000 นั่นแหละ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ 249 00:10:32,000 --> 00:10:34,000 ให้เด็กได้เห็นอะไรเจ๋งๆ 250 00:10:34,000 --> 00:10:37,000 รู้ไหม อย่างหนึ่งที่ฉันว่า TED น่าจะทำ ก็คือ 251 00:10:37,000 --> 00:10:40,000 บอกทุกๆ โรงเรียนให้รู้ว่ามีเล็กเชอร์ที่ยอดเยี่ยมมากมายใน TED 252 00:10:40,000 --> 00:10:42,000 และยังมีอะไรเจ๋งๆ อีกเยอะมากในอินเทอร์เน็ต 253 00:10:42,000 --> 00:10:44,000 ที่สามารถทำให้เด็กสนใจได้ 254 00:10:44,000 --> 00:10:47,000 เพราะฉันเห็นเด็กเนิร์ดพวกนี้จำนวนมาก 255 00:10:47,000 --> 00:10:50,000 แล้วพวกครูในภาคกลางแถบตะวันตก (ของอเมริกา) รวมทั้งภาคอื่นๆ ด้วย 256 00:10:50,000 --> 00:10:52,000 ถ้าไม่ได้เข้าถึงเทคโนโลยีพวกนี้ 257 00:10:52,000 --> 00:10:54,000 เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเด็กพวกนี้ดี 258 00:10:54,000 --> 00:10:56,000 แล้วเขาก็เลยไม่ได้เดินตามแนวทางที่ถูก 259 00:10:56,000 --> 00:10:58,000 ทีนี้ ประเด็นคือ คุณอาจจะฝึกให้สมอง 260 00:10:58,000 --> 00:11:01,000 เชี่ยวชาญทางการคิด การใช้กระบวนการทางปัญญา 261 00:11:01,000 --> 00:11:04,000 หรือสมองคุณอาจจะมีทักษะทางสังคมเป็นเยี่ยม 262 00:11:04,000 --> 00:11:06,000 ตอนนี้มีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า คนที่เป็นออทิสติก 263 00:11:06,000 --> 00:11:08,000 อาจจะมีเครือข่ายใยประสาทที่พิเศษ 264 00:11:08,000 --> 00:11:11,000 ในสมองที่เป็นเลิศ แต่เราสูญเสียวงจรเรื่องสังคมไป 265 00:11:11,000 --> 00:11:15,000 มันได้อย่างเสียอย่าง ระหว่างการคิด กับการเข้าสังคม 266 00:11:15,000 --> 00:11:17,000 ถ้าเป็นรุนแรงมากๆ 267 00:11:17,000 --> 00:11:20,000 คุณก็อาจได้เห็นคนที่พูดหรือใช้ภาษาไม่ได้เลย 268 00:11:20,000 --> 00:11:22,000 ในสมองของคนปกติทั่วไป 269 00:11:22,000 --> 00:11:25,000 สมองที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาจะคลุมสมองส่วนการคิดเป็นภาพ 270 00:11:25,000 --> 00:11:28,000 ที่เรามีเหมือนกับสัตว์ นี่เป็นงานวิจัยของด๊อกเตอร์บรูซ มิลเลอร์ 271 00:11:28,000 --> 00:11:31,000 เขาศึกษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ 272 00:11:31,000 --> 00:11:33,000 ที่มีภาวะสมองเสื่อมในส่วนกลีบขมับส่วนหน้า 273 00:11:33,000 --> 00:11:36,000 สมองส่วนการใช้ภาษาของผู้ป่วยเสื่อมไปหมดแล้ว 274 00:11:36,000 --> 00:11:41,000 แล้วดูสิ ภาพวาดชิ้นนี้วาดโดยผู้ป่วยที่เคยเป็นช่างติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์ 275 00:11:41,000 --> 00:11:45,000 แล้วยังมีแวนโก๊ะซึ่งไม่รู้เรื่องฟิสิกส์เลย 276 00:11:45,000 --> 00:11:47,000 แต่ฉันว่ามันน่าสนใจมากเลย 277 00:11:47,000 --> 00:11:49,000 เพราะล่าสุดมีงานวิจัยที่แสดงว่า 278 00:11:49,000 --> 00:11:51,000 ลวดลายในภาพวาดของแวนโก๊ะ 279 00:11:51,000 --> 00:11:54,000 ตรงกับแบบจำลองทางสถิติของความผันผวน 280 00:11:54,000 --> 00:11:56,000 ซึ่งทำให้เกิดแนวคิดที่น่าสนใจขึ้นมาว่า 281 00:11:56,000 --> 00:11:58,000 บางที แบบแผนทางคณิตศาสตร์บางอย่าง 282 00:11:58,000 --> 00:12:00,000 อาจจะอยู่ในสมองของมนุษย์อยู่แล้ว 283 00:12:00,000 --> 00:12:02,000 แล้วยังมีเรื่องของ วูลฟ์แฟรม อีก (ผู้พูดก่อนหน้า เทมเปิล) 284 00:12:02,000 --> 00:12:04,000 ฉันนั่งจดบันทึกคำค้นทั้งหมด 285 00:12:04,000 --> 00:12:06,000 ที่ฉันสามารถใช้ได้ 286 00:12:06,000 --> 00:12:10,000 เพราะฉันคิดว่ามันเป็นตัวอย่างในการบรรยายเรื่องออทิสติกของฉันได้ด้วย 287 00:12:10,000 --> 00:12:12,000 เราต้องหาอะไรที่น่าสนใจมาให้เด็กพวกนี้ดู 288 00:12:12,000 --> 00:12:14,000 แต่ตอนนี้ โรงเรียนเอาวิชาซ่อมรถ 289 00:12:14,000 --> 00:12:16,000 การร่างแบบ และศิลปะออกจากหลักสูตร 290 00:12:16,000 --> 00:12:19,000 ฉันว่าศิลปะเป็นวิชาที่ดีที่สุดในโรงเรียน 291 00:12:19,000 --> 00:12:21,000 เราต้องนึกถึงมันสมองที่แตกต่างหลากหลายเหล่านี้ 292 00:12:21,000 --> 00:12:24,000 และเราต้องช่วยกันพัฒนาสมองเหล่านี้ 293 00:12:24,000 --> 00:12:27,000 เพราะแน่นอนว่าเราจำเป็นต้องอาศัย 294 00:12:27,000 --> 00:12:30,000 คนเหล่านี้ในอนาคต 295 00:12:30,000 --> 00:12:32,000 ทีนี้มาพูดเรื่องงานบ้าง 296 00:12:32,000 --> 00:12:34,000 ครูวิทยาศาสตร์ของฉันกระตุ้นให้ฉันเรียนหนังสือ 297 00:12:34,000 --> 00:12:37,000 เพราะฉันเป็นเด็กโง่ๆ เซ่อๆ คนหนึ่งที่ไม่อยากเรียน 298 00:12:37,000 --> 00:12:39,000 แต่คุณรู้ไหม ตอนนั้นฉันทำงานหาประสบการณ์อยู่นะ 299 00:12:39,000 --> 00:12:41,000 ฉันสังเกตเห็นว่าเด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้เรียนรู้เรื่องพื้นฐานบางอย่าง 300 00:12:41,000 --> 00:12:43,000 เช่น การตรงต่อเวลา 301 00:12:43,000 --> 00:12:45,000 ฉันถูกสอนเรื่องนี้ตอนฉันอายุแปดขวบ 302 00:12:45,000 --> 00:12:48,000 แล้วก็มารยาทบนโต๊ะอาหารเวลาไปงานเลี้ยงที่บ้านคุณยายในวันเสาร์ 303 00:12:48,000 --> 00:12:51,000 ฉันถูกสอนมาตั้งแต่ยังเด็กมากๆ 304 00:12:51,000 --> 00:12:54,000 แล้วตอนฉันอายุ 13 ฉันได้งานในร้านตัดเสื้อ 305 00:12:54,000 --> 00:12:56,000 งานเย็บผ้า 306 00:12:56,000 --> 00:12:59,000 ฉันไปฝึกงานตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย 307 00:12:59,000 --> 00:13:02,000 ฉันประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ 308 00:13:02,000 --> 00:13:05,000 แล้วก็เรียนรู้ที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมาย 309 00:13:05,000 --> 00:13:09,000 คุณรู้ไหม ที่จริงตอนเด็กๆ ฉันไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากวาดรูปม้า 310 00:13:09,000 --> 00:13:11,000 แม่ของฉันบอกว่า "ไหนลองวาดรูปอย่างอื่นหน่อยสิ" 311 00:13:11,000 --> 00:13:13,000 เด็กๆ เหล่านี้ต้องเรียนรู้ที่จะทำอย่างอื่นด้วย 312 00:13:13,000 --> 00:13:15,000 เช่น ถ้าเด็กหมกมุ่นกับตัวต่อเลโก 313 00:13:15,000 --> 00:13:18,000 ก็ให้เขาต่อเลโกเป็นของต่างๆ 314 00:13:18,000 --> 00:13:20,000 เพราะสมองของคนเป็นออทิสติก 315 00:13:20,000 --> 00:13:22,000 มักจะหมกมุ่นกับอะไรบางอย่าง 316 00:13:22,000 --> 00:13:24,000 เช่น ถ้าเด็กชอบรถแข่ง 317 00:13:24,000 --> 00:13:26,000 ก็ใช้รถแข่งมาสอนเลขเขาสิ 318 00:13:26,000 --> 00:13:29,000 ไหนลองคิดซิว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่รถถึงจะวิ่งได้ระยะทางเท่านั้นเท่านี้ 319 00:13:29,000 --> 00:13:33,000 พูดง่ายๆ คือ ใช้ความหมกมุ่นนั้น 320 00:13:33,000 --> 00:13:36,000 มาสร้างแรงจูงใจให้เด็ก นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำ 321 00:13:36,000 --> 00:13:39,000 ฉันเหลืออดจริงๆ กับพวกครู 322 00:13:39,000 --> 00:13:42,000 โดยเฉพาะย่านอื่นที่ไม่ใช่แถบนี้ 323 00:13:42,000 --> 00:13:44,000 เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเด็กฉลาดๆ พวกนี้ 324 00:13:44,000 --> 00:13:46,000 นั่นทำให้ฉันโมโหมาก 325 00:13:46,000 --> 00:13:48,000 คนที่คิดเป็นภาพทำอะไรได้บ้างเมื่อเขาโตขึ้น 326 00:13:48,000 --> 00:13:51,000 กราฟฟิกดีไซน์ งานมากมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 327 00:13:51,000 --> 00:13:56,000 ถ่ายภาพ ออกแบบอุตสาหกรรม 328 00:13:56,000 --> 00:13:58,000 นักคิดระบบแบบแผน พวกนี้ก็จะกลายเป็น 329 00:13:58,000 --> 00:14:01,000 นักคณิตศาสตร์ วิศวกรซอฟแวร์ 330 00:14:01,000 --> 00:14:05,000 นักโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อะไรทำนองนั้น 331 00:14:05,000 --> 00:14:08,000 แล้วก็มีสมองที่ถนัดเรื่องถ้อยคำ พวกนี้ก็จะเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่เก่ง 332 00:14:08,000 --> 00:14:11,000 เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม 333 00:14:11,000 --> 00:14:13,000 เพราะสำหรับคนที่เป็นออทิสซึมอย่างฉัน 334 00:14:13,000 --> 00:14:16,000 ฉันต้องเรียนรู้ทักษะทางสังคม ซึ่งเหมือนการเล่นละคร 335 00:14:16,000 --> 00:14:19,000 มันต้องเรียนน่ะ มันจำเป็นนะ 336 00:14:19,000 --> 00:14:22,000 และเราก็จำเป็นต้องดูแลเด็กพวกนี้อย่างใกล้ชิด 337 00:14:22,000 --> 00:14:24,000 ซึ่งต้องอาศัยพี่เลี้ยงที่คอยให้คำปรึกษา 338 00:14:24,000 --> 00:14:27,000 อย่างครูสอนวิทยาศาสตร์ของฉัน เขาไม่ได้มีประกาศนียบัตรวิชาชีพครู 339 00:14:27,000 --> 00:14:29,000 เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซ่า 340 00:14:29,000 --> 00:14:31,000 ตอนนี้บางรัฐก็เริ่มเปลี่ยนแล้ว 341 00:14:31,000 --> 00:14:33,000 โดยให้คนที่มีปริญญาทางชีววิทยา เคมี 342 00:14:33,000 --> 00:14:36,000 มาสอนชีววิทยาและเคมีในโรงเรียนได้ 343 00:14:36,000 --> 00:14:38,000 เราต้องทำอย่างนี้ 344 00:14:38,000 --> 00:14:40,000 เพราะสิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตเห็นคือ 345 00:14:40,000 --> 00:14:42,000 ครูที่ดีสำหรับเด็กจำนวนมาก 346 00:14:42,000 --> 00:14:44,000 ไปอยู่ในวิทยาลัยชุมชน 347 00:14:44,000 --> 00:14:47,000 เราต้องหาครูดีๆ แบบนี้เข้ามาในโรงเรียนมัธยมบ้าง 348 00:14:47,000 --> 00:14:50,000 อีกอย่างหนึ่งที่จะได้ผลดีมากๆ ก็คือ 349 00:14:50,000 --> 00:14:53,000 มีคนมากมายที่เกษียณแล้ว 350 00:14:53,000 --> 00:14:56,000 จากวงการซอฟต์แวร์ เราให้เขามาสอนเด็กๆ ก็ได้ 351 00:14:56,000 --> 00:14:59,000 สิ่งที่เขาสอนจะเก่าก็ไม่เป็นไร 352 00:14:59,000 --> 00:15:02,000 เพราะสิ่งที่เราต้องการคือการจุดประกาย 353 00:15:02,000 --> 00:15:05,000 ทำให้เด็กตื่นเต้นสนอกสนใจ 354 00:15:05,000 --> 00:15:08,000 ถ้าคุณทำให้เขาสนใจได้ เดี๋ยวเขาก็เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่มีทั้งหมดต่อเอง 355 00:15:08,000 --> 00:15:10,000 ครูพี่เลี้ยงจึงสำคัญมากๆ 356 00:15:10,000 --> 00:15:12,000 ฉันไม่รู้จะย้ำยังไงให้มากกว่านี้ 357 00:15:12,000 --> 00:15:15,000 ถึงสิ่งดีๆ ที่ครูวิทยาศาสตร์ทำให้ฉัน 358 00:15:15,000 --> 00:15:18,000 เราต้องแนะแนวทางให้เด็กๆ เหล่านี้ จ้างเขามาทำงาน 359 00:15:18,000 --> 00:15:20,000 และถ้าคุณรับเด็กเหล่านี้เข้ามาฝึกงาน 360 00:15:20,000 --> 00:15:23,000 ประเด็นคือ กับเด็กออทิสติกและแอสเพอร์เกอร์ 361 00:15:23,000 --> 00:15:26,000 คุณต้องมอบหมายงานแบบเจาะจง อย่าบอกแค่ว่าให้ "ออกแบบซอฟต์แวร์" 362 00:15:26,000 --> 00:15:28,000 คุณต้องบอกเขาให้เจาะจงชัดเจนกว่านั้น 363 00:15:28,000 --> 00:15:31,000 เช่น "ออกแบบซอฟต์แวร์สำหรับโทรศัพท์ 364 00:15:31,000 --> 00:15:33,000 ให้มันทำงานบางอย่างที่คุณต้องการ 365 00:15:33,000 --> 00:15:35,000 โดยใช้หน่วยความจำไม่เกินเท่านี้" 366 00:15:35,000 --> 00:15:37,000 คุณต้องบอกให้ชัดเจนแบบนี้ 367 00:15:37,000 --> 00:15:39,000 เอาล่ะ ฉันพูดจบแล้ว 368 00:15:39,000 --> 00:15:41,000 ขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ค่ะ 369 00:15:41,000 --> 00:15:43,000 ฉันยินดีมากที่ได้มาพูดวันนี้ 370 00:15:43,000 --> 00:15:55,000 (เสียงปรบมือ) 371 00:15:55,000 --> 00:15:58,000 โอ้ คุณมีคำถามเหรอ โอเค 372 00:15:58,000 --> 00:15:59,000 (เสียงปรบมือ) 373 00:15:59,000 --> 00:16:03,000 คริส แอนเดอร์สัน: ขอบคุณมากครับ 374 00:16:03,000 --> 00:16:05,000 คุณรู้ไหม ผมชอบที่คุณเคยเขียนไว้ 375 00:16:05,000 --> 00:16:07,000 ว่า "ถ้ามีปาฏิหาริย์ 376 00:16:07,000 --> 00:16:10,000 ทำให้โรคออทิสติกหายไปจากโลกนี้ 377 00:16:10,000 --> 00:16:13,000 วันนี้มนุษย์ก็คงยังพบปะสังสรรค์กันหน้ากองไฟ 378 00:16:13,000 --> 00:16:15,000 ตรงปากทางเข้าถ้ำอยู่" 379 00:16:15,000 --> 00:16:17,000 เทมเปิล แกรมดิน: เพราะอะไรล่ะ คุณรู้ไหมใครเอาหินมาทำหอกทำขวานเป็นคนแรก 380 00:16:17,000 --> 00:16:20,000 บรรพบุรุษเราที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ ถ้าคุณกำจัดยีนของอาการออทิสติกไปหมด 381 00:16:20,000 --> 00:16:22,000 ก็คงจะไม่มีซิลิกอนแวลีย์อีกต่อไป 382 00:16:22,000 --> 00:16:24,000 วิกฤตพลังงานก็คงจะไม่ได้รับการแก้ไขด้วย 383 00:16:24,000 --> 00:16:27,000 (เสียงปรบมือ) 384 00:16:27,000 --> 00:16:29,000 คริส: ครับ ผมอยากถามคุณอีกสองสามคำถาม 385 00:16:29,000 --> 00:16:31,000 ถ้าคุณคิดว่าคำถามไหนไม่เหมาะสม 386 00:16:31,000 --> 00:16:33,000 ก็บอกผมเลยนะ ว่า "ขอคำถามถัดไป" 387 00:16:33,000 --> 00:16:35,000 ถ้าเกิดมีใครสักคนในที่นี้ 388 00:16:35,000 --> 00:16:37,000 มีลูกเป็นออทิสติก 389 00:16:37,000 --> 00:16:39,000 หรือรู้จักเด็กที่เป็นออทิสติก 390 00:16:39,000 --> 00:16:42,000 ที่แปลกแยก ไม่ยอมคุยกับเขา 391 00:16:42,000 --> 00:16:44,000 คุณจะแนะนำว่ายังไงครับ? 392 00:16:44,000 --> 00:16:46,000 เทมเปิล: อย่างแรกคือ คุณต้องดูว่าเด็กอายุเท่าไหร่ 393 00:16:46,000 --> 00:16:48,000 ถ้าเด็กอายุ สอง สาม หรือสี่ขวบ 394 00:16:48,000 --> 00:16:50,000 ไม่พูด ไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 395 00:16:50,000 --> 00:16:52,000 ฉันขอเน้นสุดๆ เลยนะว่า 396 00:16:52,000 --> 00:16:56,000 อย่าทิ้งไว้ คุณต้องคอยสอนตัวต่อตัวอย่างน้อย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 397 00:16:56,000 --> 00:16:59,000 ที่คุณต้องเข้าใจคือ โรคออทิสติกมีความรุนแรงหลายระดับ 398 00:16:59,000 --> 00:17:01,000 ประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่เป็นออทิสติก 399 00:17:01,000 --> 00:17:03,000 จะไม่สามารถพูด และไม่สามารถไปทำงาน 400 00:17:03,000 --> 00:17:06,000 ที่ซิลิกอนแวลีย์ได้ เป็นไปไม่ได้เลย 401 00:17:06,000 --> 00:17:08,000 แต่อีกครึ่งหนึ่ง คุณจะเจอเด็กเนิร์ด 402 00:17:08,000 --> 00:17:10,000 ที่มีอาการออทิสติกอ่อนๆ 403 00:17:10,000 --> 00:17:12,000 กลุ่มนี้ละ ที่คุณต้องไปจุดประกายให้เขา 404 00:17:12,000 --> 00:17:14,000 โดยให้ทำอะไรที่น่าสนใจ 405 00:17:14,000 --> 00:17:17,000 ฉันเองเข้าสังคมได้ก็เพราะเจอคนที่มีความสนใจร่วมกัน 406 00:17:17,000 --> 00:17:21,000 ฉันขี่ม้ากับเด็กคนอื่น ฉันทำจรวดจำลองกับเด็กคนอื่น 407 00:17:21,000 --> 00:17:23,000 ทำแล็บอิเล็กทรอนิกส์กับเด็กคนอื่น 408 00:17:23,000 --> 00:17:25,000 ตอนยุค 60 นั่น เราเอากระจกติดเข้ากับ 409 00:17:25,000 --> 00:17:28,000 แผ่นยางที่หุ้มลำโพง แล้วจัดงานแสดงแสงสีเสียง 410 00:17:28,000 --> 00:17:31,000 ซึ่งพวกเรารู้สึกว่ามันเจ๋งมากเลย 411 00:17:31,000 --> 00:17:33,000 คริส: มันจะเกินจริงไปไหมครับ 412 00:17:33,000 --> 00:17:35,000 ถ้าเขาจะคาดหวังว่า 413 00:17:35,000 --> 00:17:38,000 เด็กคนนั้นจะรักเขา 414 00:17:38,000 --> 00:17:40,000 เทมเปิล: ฉันจะบอกให้ เด็กเหล่านี้จะจงรักภักดีกับคุณมาก 415 00:17:40,000 --> 00:17:42,000 ถ้าบ้านคุณไฟไหม้ เขาจะลุยเข้าไปช่วยคุณออกมาเลยล่ะ 416 00:17:42,000 --> 00:17:45,000 คริส: ว้าว ทีนี้ คนส่วนใหญ่ ถ้าคุณไปถามเขาว่า 417 00:17:45,000 --> 00:17:47,000 อะไรที่เขารักและเอาใจใส่มากที่สุด เขาจะตอบทำนองว่า 418 00:17:47,000 --> 00:17:50,000 "ลูกของฉัน" หรือ "คนรักของฉัน" 419 00:17:50,000 --> 00:17:53,000 แล้วคุณล่ะครับ อะไรที่คุณรักและใส่ใจมากที่สุด? 420 00:17:53,000 --> 00:17:55,000 เทมเปิล: ฉันรักสิ่งที่ฉันทำ อยากให้สิ่งฉันทำ 421 00:17:55,000 --> 00:17:57,000 เปลี่ยนโลกให้น่าอยู่ขึ้น 422 00:17:57,000 --> 00:17:59,000 เวลามีคุณแม่ของเด็กออทิสติกพูดกับฉันว่า 423 00:17:59,000 --> 00:18:01,000 "ลูกฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เพราะหนังสือของคุณ 424 00:18:01,000 --> 00:18:03,000 หรือเพราะได้ฟังคุณพูด" นั่นล่ะที่ทำให้ฉันมีความสุข 425 00:18:03,000 --> 00:18:06,000 คุณรู้ไหม โรงฆ่าสัตว์ที่ฉันเคยทำงานด้วย 426 00:18:06,000 --> 00:18:08,000 เมื่อช่วงปี 80 มันแย่มากๆ เลย 427 00:18:08,000 --> 00:18:12,000 ฉันสร้างระบบง่ายๆ สำหรับให้คะแนนโรงฆ่าสัตว์ขึ้นมา 428 00:18:12,000 --> 00:18:14,000 แค่นับว่ามีวัวกี่ตัวที่ล้ม 429 00:18:14,000 --> 00:18:16,000 มีวัวกี่ตัวที่ถูกตี 430 00:18:16,000 --> 00:18:18,000 วัวกี่ตัวที่ร้องสุดใจขาดดิ้น 431 00:18:18,000 --> 00:18:20,000 ง่ายมากๆ อย่างนี้เลย 432 00:18:20,000 --> 00:18:22,000 คุณสังเกตเห็นอะไรง่ายๆ บางอย่างได้กับตา 433 00:18:22,000 --> 00:18:24,000 มันได้ผลดีมาก ฉันมีความสุขเวลาที่เห็น 434 00:18:24,000 --> 00:18:27,000 อะไรที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกได้จริงๆ 435 00:18:27,000 --> 00:18:29,000 เราต้องมีอะไรที่จับต้องได้แบบนั้นมากขึ้น 436 00:18:29,000 --> 00:18:31,000 และลดอะไรที่เป็นนามธรรมลงซะบ้าง 437 00:18:31,000 --> 00:18:38,000 (เสียงปรบมือ) 438 00:18:38,000 --> 00:18:40,000 คริส: ตอนที่เราคุยโทรศัพท์กัน 439 00:18:40,000 --> 00:18:42,000 คุณพูดอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมทึ่งมาก 440 00:18:42,000 --> 00:18:46,000 คุณบอกว่าคุณสนใจเซิร์ฟเวอร์ฟาร์ม เล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมครับ 441 00:18:46,000 --> 00:18:49,000 เทมเปิล: ฉันตื่นเต้นมากเลยตอนที่ได้อ่านเรื่องนี้ 442 00:18:49,000 --> 00:18:52,000 เพราะเซิร์ฟเวอร์เป็นที่เก็บความรู้ 443 00:18:52,000 --> 00:18:54,000 เหมือนห้องสมุด 444 00:18:54,000 --> 00:18:56,000 ฉันว่าความรู้เป็นอะไรที่มีค่ามาก 445 00:18:56,000 --> 00:18:58,000 เมื่อสิบกว่าปีก่อน 446 00:18:58,000 --> 00:19:00,000 ห้องสมุดของเราโดนน้ำท่วม 447 00:19:00,000 --> 00:19:02,000 นั่นเป็นยุคก่อนที่อินเทอร์เน็ตจะบูม 448 00:19:02,000 --> 00:19:04,000 ฉันเศร้ามากเลยที่หนังสือทั้งหมดเสียหาย 449 00:19:04,000 --> 00:19:06,000 เพราะมันหมายถึงความรู้ถูกทำลายไปด้วย 450 00:19:06,000 --> 00:19:08,000 ฉันเลยสนใจเซิร์ฟเวอร์ฟาร์ม หรือศูนย์ข้อมูล 451 00:19:08,000 --> 00:19:11,000 เพราะมันคือห้องสมุดชั้นดีที่เอาไว้เก็บความรู้ 452 00:19:11,000 --> 00:19:14,000 คริส: เทมเปิล ผมอยากบอกว่าผมดีใจมากจริงๆ ที่คุณมาพูดให้กับเราที่ TED 453 00:19:14,000 --> 00:19:17,000 เทมเปิล: ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณ 454 00:19:17,000 --> 00:19:23,000 (เสียงปรบมือ)