ก่อนอื่นฉันจะเริ่มด้วยการพูดถึงออทิสติกสักหน่อย
ว่ามันคืออะไร
ออทิสติกนี่มีความหลากหลายมาก
ตั้งแต่รุนแรงสุดๆ คือเด็กที่ไม่พูดเลยตลอดชีวิต
ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ฉลาดสุดๆ
ที่จริงวันนี้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนอยู่บ้านเลย
เพราะในที่นี้ มีคนที่มีความเป็นออทิสติกอยู่ในสายเลือดเยอะแยะ
คุณคง...
(เสียงปรบมือ)
มันเป็นคุณลักษณะที่มีระดับมากน้อยแตกต่างกัน
พวกเนิร์ดที่สนใจอะไรบางอย่างแบบสุดขั้ว กลายเป็น
แอสเพอร์เกอร์ หรือออทิสติกอ่อนๆ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉันหมายความว่า ถ้าไอน์สไตน์ โมสาร์ต
และเทสลามีชีวิตอยู่วันนี้ เขาคงถูกจะวินิจฉัย
ว่าเป็นออทิสติกอ่อนๆ นะ
สิ่งหนึ่งที่ฉันห่วงจริงๆ ก็คือ
จะทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้น
และเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อไป
อย่างที่บิลเกตส์พูดไปเมื่อเช้านี้
โอเค ทีนี้ ถ้าคุณอยากเข้าใจ
คนเป็นออทิสติก และพวกสัตว์ต่างๆ
ฉันอยากจะพูดถึงรูปแบบวิธีคิดที่แตกต่างกันออกไป
คุณต้องข้ามให้พ้นวัจนภาษา (ภาษาที่เป็นถ้อยคำ)
ฉันคิดเป็นภาพ
ฉันไม่ได้คิดเป็นภาษา
ทีนี้ ลักษณะพิเศษของสมองของคนเป็นออทิสติก
คือการใส่ใจรายละเอียด
โอเค นี่เป็นแบบทดสอบที่คุณจะต้อง
เลือกอักษรตัวใหญ่ หรืออักษรตัวเล็ก
สมองของคนเป็นออทิสติก
เห็นอักษรตัวเล็กได้เร็วกว่า
ในขณะที่สมองคนปกติละเลยรายละเอียดพวกนี้ไป
ทีนี้ เวลาคุณสร้างสะพาน รายละเอียดเป็นสิ่งสำคัญมาก
เพราะสะพานอาจพังได้ถ้าคุณละเลยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
สิ่งหนึ่งที่ฉันเป็นห่วงเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ทุกวันนี้
ก็คือ อะไรๆ มันเป็นนามธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้คนห่างเหินจากการทำงาน
ชนิดที่ได้ลงไม้ลงมือทำจริงๆ
ฉันกังวลจริงๆ ที่เห็นโรงเรียนจำนวนมาก
ตัดรายวิชาเชิงปฏิบัติออกไป
เพราะศิลปะ และวิชาทำนองนี้
เป็นวิชาที่ฉันทำได้ดี
โอเค ในงานปศุสัตว์ที่ฉันทำ
ฉันสังเกตเห็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ หลายอย่างที่คนส่วนใหญ่ไม่สังเกต
อะไรที่ทำให้วัวตกใจและขัดขืน
อย่างเช่น ธงที่โบกสะบัดอยู่หน้าศูนย์พยาบาลสัตว์
ฟาร์มแห่งนี้เกือบจะรื้อศูนย์พยาบาลสัตว์ทิ้งไปแล้ว
ความจริงที่เขาต้องทำคือแค่เอาธงออกไป
อย่าให้มีอะไรที่เคลื่อนไหววูบวาบ แสงสีที่ตัดกัน
ช่วงต้นยุค 70 ที่ฉันเริ่มทำงาน ฉันลงไปคลาน
ในทางเดินของวัวเพื่อดูว่ามันเห็นอะไรบ้าง
คนอื่นมองว่าฉันบ้า แต่ฉันพบว่า เสื้อคลุมที่พาดไว้บนรั้วทำให้มันกลัว
เงาวูบวาบ และสายยางบนพี้นก็ทำให้มันตกใจไม่ยอมเดิน
คนทั่วไปไม่สังเกตสิ่งเหล่านี้
โซ่ที่ห้อยลงมาจากรั้วด้วย
หนัง (ชีวประวัติของ Temple) สื่อสารเรื่องนี้ออกมาได้ดีมาก
ที่จริงฉันชอบที่หนังเล่าถึง
โปรเจ็คทุกอย่างที่ฉันทำเลย
เขาเอาภาพที่ฉันวาดมาใช้ในหนังด้วย
อ้อ หนังที่ว่านั้นชื่อ "Temple Grandin"
ไม่ใช่ "Thinking in Picture" (ชื่อหนังสือชีวประวัติของ Temple)
ทีนี้ คำว่าคิดเป็นภาพนี่มันคืออะไร
มันคือหนังที่ฉายอยู่ในหัวคุณเลยแหละ
สมองของฉันทำงานเหมือน Google ที่ใช้ค้นหาภาพ
ตอนเด็กๆ ฉันไม่รู้ว่าวิธีการคิดของฉันต่างจากคนอื่น
ฉันคิดว่าทุกคนคิดเป็นภาพ
จนเมื่อฉันเขียนหนังสือเรื่อง Thinking In Pictures
ฉันไปสัมภาษณ์ผู้คนว่าเขามีวิธีการคิดยังไง
ฉันตกใจมากที่พบว่าวิธีการคิดของฉัน
มันต่างจากคนอื่นมากเลย
อย่างถ้าฉันพูดถึง "ยอดหอคอยของโบสถ์"
คนส่วนใหญ่ก็จะคิดถึงยอดหอคอยทั่วๆ ไปแบบคร่าวๆ
แม้ว่าจะคนในห้องนี้อาจจะไม่ได้คิดแบบนี้
แต่คนส่วนใหญ่ข้างนอกเขาคิดแบบนี้
ส่วนฉันจะเห็นเป็นภาพที่เจาะจงเลย
มันแวบขึ้นมาในหัวฉัน เหมือนกูเกิ้ลสำหรับหารูปภาพ
ในหนังเขาก็ทำซีนหนึ่งไว้ดีมาก
ตอนที่มีคนพูดคำว่า "รองเท้า" แล้วภาพของเท้ามากมายจากยุคปี 50 และ 60
แวบเข้ามาในจินตนาการของฉัน
โอเค นี่คือโบสถ์ที่ฉันไปตอนเด็กๆ
ชัดเจนและเจาะจงแบบนี้เลย มีอีก อันนี้คือฟอร์ท คอลลินส์
โอเค เอาโบสถ์ที่ดังๆ บ้างดีไหม
คือ ภาพมันจะแวบเข้ามาแบบนี้
เร็วมากๆ เหมือนกูเกิ้ลสำหร้บค้นหารูปภาพ
แล้วจะแวบขึ้นมาทีละรูป
แล้วฉันก็จะคิดต่อว่า เอ เติมหิมะเข้าไปดีไหม
หรือจะเป็นภาพท้องฟ้ามีพายุฝน
แล้วก็สร้างเป็นวิดีโอขึ้นมาในหัว
ทีนี้ การคิดเป็นภาพนี่เป็นประโยชน์มหาศาล
ในงานออกแบบโรงเรือนและการจัดการปศุสัตว์
และฉันก็พยายามอย่างมากที่จะปรับปรุง
วิธีการปฏิบัติกับวัวก่อนที่มันจะถูกส่งเข้าโรงชำแหละ
ฉันไม่เอาภาพน่าสยองของโรงชำแหละมาฉายหรอก
ฉันอัพโหลดภาพพวกนั้นขึ้นบนยูทูปแล้ว ถ้าคุณอยากดูนะ
แต่หนึ่งในสิ่งที่ฉันทำได้ในงานออกแบบของฉัน
ก็คือ ฉันสามารถทดสอบการทำงาน
ของเครื่องมือที่ฉันออกแบบได้ในจินตนาการ
เหมือนระบบคอมพิวเตอร์เสมือนจริง
นี่เป็นภาพจากมุมมองทางอากาศ
ของอุปกรณ์ตัวหนึ่งในโปรเจ็คของฉันที่ได้นำไปถ่ายทอดในหนัง
เจ๋งดีนะ ว่าไหม
ฉันว่ามีคนที่เป็นแอสเพอร์เกอร์
และออทิสติกหลายแบบเลยนะ ที่ทำงานอยู่ในกองถ่ายหนังน่ะ
(เสียงหัวเราะ)
แต่อย่างหนึ่งที่ฉันห่วงมากเลย
ก็คือ ปัจจุบันคนหนุ่มสาวที่เป็นแบบนี้หายไปไหนกัน
พวกเขาไม่ได้เข้าทำงานในซิลิกอนแวลี่ย์ ที่ซึ่งเหมาะกับพวกเขา
(เสียงหัวเราะ)
(เสียงปรบมือ)
สิ่งหนึ่งที่ฉันเรียนรู้ตั้งแต่ยังวัยรุ่นเพราะว่าฉันไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่ง
ก็คือ ฉันต้องขายงานของฉัน ไม่ใช่ตัวตนของฉัน
และวิธีการขายงานระบบจัดการปศุสัตว์ของฉัน
คือการโชว์ภาพที่ฉันวาด ฉันโชว์รูปเครื่องมือต่างๆ
อีกอย่างที่ช่วยฉันได้คือ ตอนที่ฉันเด็กๆ
นั่นคือ ยุคปี 50 คุณจะถูกสอนเรื่องมารยาท
ว่าคุณไม่สามารถไปหยิบสินค้าในร้านมาจากชั้น
แล้วโยนเล่นไปมาได้
พอเด็กโตถึงช่วงเกรด 3 เกรด 4 (9-10 ขวบ)
คุณอาจจะเห็นเด็กคนนี้เริ่มกลายเป็นนักคิดด้วยภาพ
วาดรูปที่มีมิติความลึกได้
ทีนี้ ฉันอยากจะเน้นว่า เด็กออทิสติกทุกคน
ไม่ได้กลายเป็นนักคิดด้วยภาพกันทุกคน
ฉันมีภาพสแกนสมองที่ทำเมื่อสองสามปีก่อน
ฉันเคยพูดเล่นสนุกๆ ว่า
ฉันมีสายอินเทอร์เน็ตใหญ่ยักษ์
ฝังอยู่ในสมองส่วนการมองเห็นของตัวเอง
นี่เป็นภาพถ่ายแบบ tensor ของสมองฉัน
แสดงให้เห็นว่าสายอินเทอร์เน็ตในหัวของฉัน
มันใหญ่กว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า
เส้นสีแดงนั่นคือของฉัน
เส้นสีน้ำเงินเป็นของคนที่นำมาเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นผู้หญิงวัยเดียวกับฉัน
เห็นไหม ฉันมีเส้นสีแดงเส้นใหญ่เยอะแยะ
ของคนปกติ สีน้ำเงินนั่น
เส้นเล็กกว่ามาก
ตอนนี้งานวิจัยบางชิ้นเผยว่า
คนเราคิดด้วยสมองส่วนการมองเห็นได้จริงๆ แต่จะมากน้อยต่างไปในแต่ละคน
ทีนี้ คนที่คิดด้วยภาพก็คือสมองรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
คุณเห็นแล้วใช่ไหม ว่าสมองของคนเป็นออทิสติกนั้นมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ดีอย่างหนื่ง แต่อย่างอื่นแย่
เรื่องที่ฉันแย่คือพีชคณิต และฉันก็ไม่เคยได้รับอนุญาต
ให้ลงเรียนเรขาคณิตหรือตรีโกณมิติ
ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่แย่มาก ฉันพบว่ามีเด็กจำนวนมากที่อยากข้ามพีชคณิต
ไปเรียนเรขาคณิตและตรีโกณมิติเลย
ทีนี้ สมองอีกแบบหนึ่ง คือ นักคิดระบบหรือแบบแผน
อะไรที่เป็นนามธรรมกว่า นั่นคือพวกวิศวกร
นักโปรแกรมคอมพิวเตอร์
เอาละ นี่คือการคิดเป็นระบบแบบแผน เจ้าตั๊กแตนตำข้าวตัวนี้
ทำมาจากกระดาษแผ่นเดียว
ไม่ใช้เทปกาว ไม่มีการตัด
ลวดลายบนพี้นหลังนั่นคือแบบที่ใช้พับเจ้าตั๊กแตนตัวนี้
นี่คือรูปแบบการคิดต่างๆ
คิดเป็นภาพเสมือนจริง อย่างฉัน
คิดเป็นระบบแบบแผน เช่น ดนตรี และคณิตศาสตร์
คนพวกนี้บางคนก็จะมีปัญหาเรื่องการอ่าน
คุณจะพบปัญหาแบบนี้
ในเด็กที่เป็นโรค dyslexia (อาการความบกพร่องในการอ่าน) ด้วย
คุณจะเห็นสมองที่แตกต่างแบบนี้
แล้วก็มีสมองที่คิดเป็นคำพูด ซึ่งเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้
ทีนี้ อีกประเด็นคือเรื่องประสาทสัมผัส
ฉันกังวลมากที่ต้องใส่เครื่องมือนี้ไว้บนหน้า
ฉันก็เลยเข้ามาก่อนครึ่งชั่วโมง
เพื่อจะได้ใส่มัน แล้วทำตัวให้เคยชินกับมัน
แล้วต้องดัดมันออกไปไม่ให้มันมาแกะกะแถวคาง
แต่ประสาทสัมผัสนี่เป็นปัญหาจริงๆ เด็กบางคนไม่ชอบแสงฟลูออเรสเซนต์
บางคนมีปัญหาว่าไวต่อเสียงมาก
ต่างคนก็มีปัญหาต่างกันออกไป
ทีนี้ การคิดเป็นภาพช่วยฉันได้มาก
ในการทำความเข้าใจสัตว์
เพราะอะไร ลองคิดดู การคิดของสัตว์ก็ใช้ข้อมูลจากประสาทสัมผัส
ไม่ได้ใช้คำพูด พวกมันคิดเป็นภาพ
คิดเป็นเสียง คิดเป็นกลิ่น
ลองคิดดูสิ ว่ามีข้อมูลอยู่บนหัวจ่ายน้ำดับเพลิงอันหนึ่งมากแค่ไหน
พวกสัตว์รู้ว่าก่อนหน้านี้มีใครผ่านมาตรงนั้นบ้าง ตั้งแต่เมื่อไหร่
เป็นมิตรหรือศัตรู มีใครที่มันจะจับคู่ด้วยได้ไหม
มีข้อมูลมหาศาลเลยบนหัวจ่ายน้ำดับเพลิงอันหนึ่ง
เป็นข้อมูลที่มีรายละเอียดมาก
รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้
ช่วยฉันได้มากในการทำความเข้าใจสัตว์
ทีนี้ สมองของสัตว์ แล้วก็สมองของฉันด้วย
เราเอาข้อมูลที่ได้จากประสาทสัมผัส
มาจัดเป็นหมวดหมู่
คนขี่ม้า
กับคนที่ยืนบนพี้น
เป็นสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
คุณอาจจะเจอม้าที่เคยถูกคนขี่ทำร้าย
มันไม่กลัวสัตวแพทย์นะ
ไม่กลัวช่างทำเกือกม้าด้วย แต่คุณขี่มันไม่ได้นะ
คนอาจจะเจอม้าอีกตัว ที่ถูกช่างทำเกือกตีเอา
มันก็จะกลัวใครก็ตามที่ยืนบนพื้น
รวมทั้งสัตวแพทย์ด้วย แต่มันกลับยอมให้คนขี่
วัวก็เหมือนกัน
คนขี่ม้า
กับคนที่เดินเท้า เป็นสองอย่างที่แตกต่างกัน
เห็นไหมล่ะ มันคือภาพสองภาพที่ไม่เหมือนกัน
ทีนี้ ฉันอยากให้คุณเห็นว่ามันจำเพาะเจาะจงขนาดไหน
ไอ้ความสามารถที่จะจัดข้อมูลเข้าหมวดหมู่เป็นประเภทเนี่ย
ฉันพบว่าคนส่วนใหญ่จัดระบบข้อมูลที่มีรายละเอียดมากๆ ได้ไม่ดี
เวลาฉันไปซ่อมอุปกรณ์
หรือไปแก้ปัญหาอะไรในโรงงาน
ดูเหมือนผู้คนในโรงงานพวกนั้นเขาคิดไม่ออกว่า "นี่เรามีปัญหาเรื่องคน
หรือว่าเรื่องอุปกรณ์กันแน่"
พูดอีกอย่างคือ แยะแยะหมวดหมู่ปัญหาเรื่องเครื่องมือ
กับปัญหาเรื่องคนออกจากกันไม่ได้
ฉันพบว่าคนจำนวนมากมีปัญหาเรื่องนี้
ทีนี้ พอฉันคิดออกว่ามันเป็นปัญหาทางเครื่องมือ
แล้วมันเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันแก้ได้
หรือว่ามันมีปัญหาทั้งระบบกันแน่
คนส่วนมากแยกแยะเรื่องนี้ไม่ออกอีกเช่นกัน
ลองดูสิ อย่างเช่นการแก้ปัญหา
ว่าจะทำอย่างไรให้สายการบินมีความปลอดภัยมากขึ้น
ใช่ ฉันบินมาเป็นล้านไมล์แล้วนี่
ฉันบินไปไหนมาไหนเยอะมาก
ถ้าฉันไปที่ทบวงการบินพลเรือนของสหรัฐอเมริกา
คุณว่าฉันจะไปดูอะไรบ้าง?
ฉันจะไปดูหางเครื่องบิน
คุณรู้ไหม โศกนาฏกรรมเครื่องบินตกห้าครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา
ถ้าไม่ใช่ว่าหางหลุดออกมา ก็ต้องมีอุปกรณ์บางอย่างที่อยู่ในหาง
ชำรุดเสียหาย
มันคือหางเครื่องบิน ง่ายๆ เลย
แล้วรู้ไหม เวลานักบินเดินดูรอบเครื่องบิน
เขาไม่เห็นสิ่งที่อยู่ในหางเครื่องบิน
แต่เวลาฉันมาคิด
ฉันดึงข้อมูลรายละเอียดปลีกย่อยอันนี้ขึ้นมา
มันเป็นข้อมูลที่จำเพาะเจาะจงมาก เห็นไหม ฉันคิดจากข้อมูลขึ้นมา
ฉันเอาข้อมูลชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกันเหมือนตัวต่อ
ทีนี้ นี่คือเจ้าม้าตัวหนึ่ง
ที่กลัวหมวกคาวบอยสีดำเอามากๆ
เพราะมันเคยถูกใครบางคนที่ใส่หมวกสีดำทำร้ายเอา
ถ้าคุณใส่หมวกสีขาว อันนี้ไม่มีปัญหา
ทีนี้ ประเด็นสำคัญก็คือ โลกเราต้องการ
มันสมองทุกรูปแบบ
ให้มาทำงานร่วมกัน
เราต้องมาช่วยกันสร้างมันสมองแบบต่างๆ เหล่านี้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันโมโหมากตลอดเวลาที่
ฉันเดินทางไปประชุมเรื่องออทิสติกในที่ต่างๆ
ก็คือ ฉันเห็นเด็กเนิร์ดที่มีสมองอัจฉริยะมากมาย
พวกนี้เข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง
แล้วก็ไม่มีใครใส่ใจที่จะพัฒนาเขาในทางที่เขาสนใจเลย
เช่น ความสนใจทางวิทยาศาสตร์
ประเด็นนี้ทำให้ฉันคิดถึงครูวิทยาศาสตร์ของฉัน
หนังถ่ายทอดภาพครูสอนวิทยาศาสตร์ของฉันได้งดงามมาก
ฉันมันก็แค่เด็กโง่ๆ เซ่อๆ คนหนึ่ง
ตอนอยู่มัธยมปลายฉันไม่สนใจเรียนเลย
จนกระทั่งฉันเข้าเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของคุณครูคาร์ล็อก
หรือด็อกเตอร์คาร์ล็อกที่คุณเห็นในหนัง
เขาให้การบ้านที่ท้าทาย
ให้ฉันคิดว่าจะสร้างห้องลวงตาได้อย่างไร
นั่นแหละ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ
ให้เด็กได้เห็นอะไรเจ๋งๆ
รู้ไหม อย่างหนึ่งที่ฉันว่า TED น่าจะทำ ก็คือ
บอกทุกๆ โรงเรียนให้รู้ว่ามีเล็กเชอร์ที่ยอดเยี่ยมมากมายใน TED
และยังมีอะไรเจ๋งๆ อีกเยอะมากในอินเทอร์เน็ต
ที่สามารถทำให้เด็กสนใจได้
เพราะฉันเห็นเด็กเนิร์ดพวกนี้จำนวนมาก
แล้วพวกครูในภาคกลางแถบตะวันตก (ของอเมริกา) รวมทั้งภาคอื่นๆ ด้วย
ถ้าไม่ได้เข้าถึงเทคโนโลยีพวกนี้
เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเด็กพวกนี้ดี
แล้วเขาก็เลยไม่ได้เดินตามแนวทางที่ถูก
ทีนี้ ประเด็นคือ คุณอาจจะฝึกให้สมอง
เชี่ยวชาญทางการคิด การใช้กระบวนการทางปัญญา
หรือสมองคุณอาจจะมีทักษะทางสังคมเป็นเยี่ยม
ตอนนี้มีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า คนที่เป็นออทิสติก
อาจจะมีเครือข่ายใยประสาทที่พิเศษ
ในสมองที่เป็นเลิศ แต่เราสูญเสียวงจรเรื่องสังคมไป
มันได้อย่างเสียอย่าง ระหว่างการคิด กับการเข้าสังคม
ถ้าเป็นรุนแรงมากๆ
คุณก็อาจได้เห็นคนที่พูดหรือใช้ภาษาไม่ได้เลย
ในสมองของคนปกติทั่วไป
สมองที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาจะคลุมสมองส่วนการคิดเป็นภาพ
ที่เรามีเหมือนกับสัตว์ นี่เป็นงานวิจัยของด๊อกเตอร์บรูซ มิลเลอร์
เขาศึกษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์
ที่มีภาวะสมองเสื่อมในส่วนกลีบขมับส่วนหน้า
สมองส่วนการใช้ภาษาของผู้ป่วยเสื่อมไปหมดแล้ว
แล้วดูสิ ภาพวาดชิ้นนี้วาดโดยผู้ป่วยที่เคยเป็นช่างติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์
แล้วยังมีแวนโก๊ะซึ่งไม่รู้เรื่องฟิสิกส์เลย
แต่ฉันว่ามันน่าสนใจมากเลย
เพราะล่าสุดมีงานวิจัยที่แสดงว่า
ลวดลายในภาพวาดของแวนโก๊ะ
ตรงกับแบบจำลองทางสถิติของความผันผวน
ซึ่งทำให้เกิดแนวคิดที่น่าสนใจขึ้นมาว่า
บางที แบบแผนทางคณิตศาสตร์บางอย่าง
อาจจะอยู่ในสมองของมนุษย์อยู่แล้ว
แล้วยังมีเรื่องของ วูลฟ์แฟรม อีก (ผู้พูดก่อนหน้า เทมเปิล)
ฉันนั่งจดบันทึกคำค้นทั้งหมด
ที่ฉันสามารถใช้ได้
เพราะฉันคิดว่ามันเป็นตัวอย่างในการบรรยายเรื่องออทิสติกของฉันได้ด้วย
เราต้องหาอะไรที่น่าสนใจมาให้เด็กพวกนี้ดู
แต่ตอนนี้ โรงเรียนเอาวิชาซ่อมรถ
การร่างแบบ และศิลปะออกจากหลักสูตร
ฉันว่าศิลปะเป็นวิชาที่ดีที่สุดในโรงเรียน
เราต้องนึกถึงมันสมองที่แตกต่างหลากหลายเหล่านี้
และเราต้องช่วยกันพัฒนาสมองเหล่านี้
เพราะแน่นอนว่าเราจำเป็นต้องอาศัย
คนเหล่านี้ในอนาคต
ทีนี้มาพูดเรื่องงานบ้าง
ครูวิทยาศาสตร์ของฉันกระตุ้นให้ฉันเรียนหนังสือ
เพราะฉันเป็นเด็กโง่ๆ เซ่อๆ คนหนึ่งที่ไม่อยากเรียน
แต่คุณรู้ไหม ตอนนั้นฉันทำงานหาประสบการณ์อยู่นะ
ฉันสังเกตเห็นว่าเด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้เรียนรู้เรื่องพื้นฐานบางอย่าง
เช่น การตรงต่อเวลา
ฉันถูกสอนเรื่องนี้ตอนฉันอายุแปดขวบ
แล้วก็มารยาทบนโต๊ะอาหารเวลาไปงานเลี้ยงที่บ้านคุณยายในวันเสาร์
ฉันถูกสอนมาตั้งแต่ยังเด็กมากๆ
แล้วตอนฉันอายุ 13 ฉันได้งานในร้านตัดเสื้อ
งานเย็บผ้า
ฉันไปฝึกงานตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย
ฉันประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ
แล้วก็เรียนรู้ที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมาย
คุณรู้ไหม ที่จริงตอนเด็กๆ ฉันไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากวาดรูปม้า
แม่ของฉันบอกว่า "ไหนลองวาดรูปอย่างอื่นหน่อยสิ"
เด็กๆ เหล่านี้ต้องเรียนรู้ที่จะทำอย่างอื่นด้วย
เช่น ถ้าเด็กหมกมุ่นกับตัวต่อเลโก
ก็ให้เขาต่อเลโกเป็นของต่างๆ
เพราะสมองของคนเป็นออทิสติก
มักจะหมกมุ่นกับอะไรบางอย่าง
เช่น ถ้าเด็กชอบรถแข่ง
ก็ใช้รถแข่งมาสอนเลขเขาสิ
ไหนลองคิดซิว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่รถถึงจะวิ่งได้ระยะทางเท่านั้นเท่านี้
พูดง่ายๆ คือ ใช้ความหมกมุ่นนั้น
มาสร้างแรงจูงใจให้เด็ก นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำ
ฉันเหลืออดจริงๆ กับพวกครู
โดยเฉพาะย่านอื่นที่ไม่ใช่แถบนี้
เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเด็กฉลาดๆ พวกนี้
นั่นทำให้ฉันโมโหมาก
คนที่คิดเป็นภาพทำอะไรได้บ้างเมื่อเขาโตขึ้น
กราฟฟิกดีไซน์ งานมากมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ถ่ายภาพ ออกแบบอุตสาหกรรม
นักคิดระบบแบบแผน พวกนี้ก็จะกลายเป็น
นักคณิตศาสตร์ วิศวกรซอฟแวร์
นักโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อะไรทำนองนั้น
แล้วก็มีสมองที่ถนัดเรื่องถ้อยคำ พวกนี้ก็จะเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่เก่ง
เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม
เพราะสำหรับคนที่เป็นออทิสซึมอย่างฉัน
ฉันต้องเรียนรู้ทักษะทางสังคม ซึ่งเหมือนการเล่นละคร
มันต้องเรียนน่ะ มันจำเป็นนะ
และเราก็จำเป็นต้องดูแลเด็กพวกนี้อย่างใกล้ชิด
ซึ่งต้องอาศัยพี่เลี้ยงที่คอยให้คำปรึกษา
อย่างครูสอนวิทยาศาสตร์ของฉัน เขาไม่ได้มีประกาศนียบัตรวิชาชีพครู
เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซ่า
ตอนนี้บางรัฐก็เริ่มเปลี่ยนแล้ว
โดยให้คนที่มีปริญญาทางชีววิทยา เคมี
มาสอนชีววิทยาและเคมีในโรงเรียนได้
เราต้องทำอย่างนี้
เพราะสิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตเห็นคือ
ครูที่ดีสำหรับเด็กจำนวนมาก
ไปอยู่ในวิทยาลัยชุมชน
เราต้องหาครูดีๆ แบบนี้เข้ามาในโรงเรียนมัธยมบ้าง
อีกอย่างหนึ่งที่จะได้ผลดีมากๆ ก็คือ
มีคนมากมายที่เกษียณแล้ว
จากวงการซอฟต์แวร์ เราให้เขามาสอนเด็กๆ ก็ได้
สิ่งที่เขาสอนจะเก่าก็ไม่เป็นไร
เพราะสิ่งที่เราต้องการคือการจุดประกาย
ทำให้เด็กตื่นเต้นสนอกสนใจ
ถ้าคุณทำให้เขาสนใจได้ เดี๋ยวเขาก็เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่มีทั้งหมดต่อเอง
ครูพี่เลี้ยงจึงสำคัญมากๆ
ฉันไม่รู้จะย้ำยังไงให้มากกว่านี้
ถึงสิ่งดีๆ ที่ครูวิทยาศาสตร์ทำให้ฉัน
เราต้องแนะแนวทางให้เด็กๆ เหล่านี้ จ้างเขามาทำงาน
และถ้าคุณรับเด็กเหล่านี้เข้ามาฝึกงาน
ประเด็นคือ กับเด็กออทิสติกและแอสเพอร์เกอร์
คุณต้องมอบหมายงานแบบเจาะจง อย่าบอกแค่ว่าให้ "ออกแบบซอฟต์แวร์"
คุณต้องบอกเขาให้เจาะจงชัดเจนกว่านั้น
เช่น "ออกแบบซอฟต์แวร์สำหรับโทรศัพท์
ให้มันทำงานบางอย่างที่คุณต้องการ
โดยใช้หน่วยความจำไม่เกินเท่านี้"
คุณต้องบอกให้ชัดเจนแบบนี้
เอาล่ะ ฉันพูดจบแล้ว
ขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ค่ะ
ฉันยินดีมากที่ได้มาพูดวันนี้
(เสียงปรบมือ)
โอ้ คุณมีคำถามเหรอ โอเค
(เสียงปรบมือ)
คริส แอนเดอร์สัน: ขอบคุณมากครับ
คุณรู้ไหม ผมชอบที่คุณเคยเขียนไว้
ว่า "ถ้ามีปาฏิหาริย์
ทำให้โรคออทิสติกหายไปจากโลกนี้
วันนี้มนุษย์ก็คงยังพบปะสังสรรค์กันหน้ากองไฟ
ตรงปากทางเข้าถ้ำอยู่"
เทมเปิล แกรมดิน: เพราะอะไรล่ะ คุณรู้ไหมใครเอาหินมาทำหอกทำขวานเป็นคนแรก
บรรพบุรุษเราที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ ถ้าคุณกำจัดยีนของอาการออทิสติกไปหมด
ก็คงจะไม่มีซิลิกอนแวลีย์อีกต่อไป
วิกฤตพลังงานก็คงจะไม่ได้รับการแก้ไขด้วย
(เสียงปรบมือ)
คริส: ครับ ผมอยากถามคุณอีกสองสามคำถาม
ถ้าคุณคิดว่าคำถามไหนไม่เหมาะสม
ก็บอกผมเลยนะ ว่า "ขอคำถามถัดไป"
ถ้าเกิดมีใครสักคนในที่นี้
มีลูกเป็นออทิสติก
หรือรู้จักเด็กที่เป็นออทิสติก
ที่แปลกแยก ไม่ยอมคุยกับเขา
คุณจะแนะนำว่ายังไงครับ?
เทมเปิล: อย่างแรกคือ คุณต้องดูว่าเด็กอายุเท่าไหร่
ถ้าเด็กอายุ สอง สาม หรือสี่ขวบ
ไม่พูด ไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ฉันขอเน้นสุดๆ เลยนะว่า
อย่าทิ้งไว้ คุณต้องคอยสอนตัวต่อตัวอย่างน้อย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ที่คุณต้องเข้าใจคือ โรคออทิสติกมีความรุนแรงหลายระดับ
ประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่เป็นออทิสติก
จะไม่สามารถพูด และไม่สามารถไปทำงาน
ที่ซิลิกอนแวลีย์ได้ เป็นไปไม่ได้เลย
แต่อีกครึ่งหนึ่ง คุณจะเจอเด็กเนิร์ด
ที่มีอาการออทิสติกอ่อนๆ
กลุ่มนี้ละ ที่คุณต้องไปจุดประกายให้เขา
โดยให้ทำอะไรที่น่าสนใจ
ฉันเองเข้าสังคมได้ก็เพราะเจอคนที่มีความสนใจร่วมกัน
ฉันขี่ม้ากับเด็กคนอื่น ฉันทำจรวดจำลองกับเด็กคนอื่น
ทำแล็บอิเล็กทรอนิกส์กับเด็กคนอื่น
ตอนยุค 60 นั่น เราเอากระจกติดเข้ากับ
แผ่นยางที่หุ้มลำโพง แล้วจัดงานแสดงแสงสีเสียง
ซึ่งพวกเรารู้สึกว่ามันเจ๋งมากเลย
คริส: มันจะเกินจริงไปไหมครับ
ถ้าเขาจะคาดหวังว่า
เด็กคนนั้นจะรักเขา
เทมเปิล: ฉันจะบอกให้ เด็กเหล่านี้จะจงรักภักดีกับคุณมาก
ถ้าบ้านคุณไฟไหม้ เขาจะลุยเข้าไปช่วยคุณออกมาเลยล่ะ
คริส: ว้าว ทีนี้ คนส่วนใหญ่ ถ้าคุณไปถามเขาว่า
อะไรที่เขารักและเอาใจใส่มากที่สุด เขาจะตอบทำนองว่า
"ลูกของฉัน" หรือ "คนรักของฉัน"
แล้วคุณล่ะครับ อะไรที่คุณรักและใส่ใจมากที่สุด?
เทมเปิล: ฉันรักสิ่งที่ฉันทำ อยากให้สิ่งฉันทำ
เปลี่ยนโลกให้น่าอยู่ขึ้น
เวลามีคุณแม่ของเด็กออทิสติกพูดกับฉันว่า
"ลูกฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เพราะหนังสือของคุณ
หรือเพราะได้ฟังคุณพูด" นั่นล่ะที่ทำให้ฉันมีความสุข
คุณรู้ไหม โรงฆ่าสัตว์ที่ฉันเคยทำงานด้วย
เมื่อช่วงปี 80 มันแย่มากๆ เลย
ฉันสร้างระบบง่ายๆ สำหรับให้คะแนนโรงฆ่าสัตว์ขึ้นมา
แค่นับว่ามีวัวกี่ตัวที่ล้ม
มีวัวกี่ตัวที่ถูกตี
วัวกี่ตัวที่ร้องสุดใจขาดดิ้น
ง่ายมากๆ อย่างนี้เลย
คุณสังเกตเห็นอะไรง่ายๆ บางอย่างได้กับตา
มันได้ผลดีมาก ฉันมีความสุขเวลาที่เห็น
อะไรที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกได้จริงๆ
เราต้องมีอะไรที่จับต้องได้แบบนั้นมากขึ้น
และลดอะไรที่เป็นนามธรรมลงซะบ้าง
(เสียงปรบมือ)
คริส: ตอนที่เราคุยโทรศัพท์กัน
คุณพูดอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมทึ่งมาก
คุณบอกว่าคุณสนใจเซิร์ฟเวอร์ฟาร์ม เล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมครับ
เทมเปิล: ฉันตื่นเต้นมากเลยตอนที่ได้อ่านเรื่องนี้
เพราะเซิร์ฟเวอร์เป็นที่เก็บความรู้
เหมือนห้องสมุด
ฉันว่าความรู้เป็นอะไรที่มีค่ามาก
เมื่อสิบกว่าปีก่อน
ห้องสมุดของเราโดนน้ำท่วม
นั่นเป็นยุคก่อนที่อินเทอร์เน็ตจะบูม
ฉันเศร้ามากเลยที่หนังสือทั้งหมดเสียหาย
เพราะมันหมายถึงความรู้ถูกทำลายไปด้วย
ฉันเลยสนใจเซิร์ฟเวอร์ฟาร์ม หรือศูนย์ข้อมูล
เพราะมันคือห้องสมุดชั้นดีที่เอาไว้เก็บความรู้
คริส: เทมเปิล ผมอยากบอกว่าผมดีใจมากจริงๆ ที่คุณมาพูดให้กับเราที่ TED
เทมเปิล: ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณ
(เสียงปรบมือ)