WEBVTT 00:00:07.121 --> 00:00:08.769 สสารทั้งหมดรอบตัวคุณ 00:00:08.769 --> 00:00:10.395 ประกอบขึ้นมาจากหน่วยเล็กจิ๋ว 00:00:10.395 --> 00:00:12.146 ที่เรียกว่าโมเลกุล 00:00:12.146 --> 00:00:13.398 และโมเลกุลเองก็ประกอบ 00:00:13.398 --> 00:00:15.146 ขึ้นจากอะตอม 00:00:15.146 --> 00:00:16.980 โมเลกุลแยกสลายอยู่เรื่อย ๆ 00:00:16.980 --> 00:00:19.063 แล้วก็ก่อตัวเป็นโมเลกุลใหม่ 00:00:19.063 --> 00:00:20.313 ในทางตรงกันข้าม 00:00:20.313 --> 00:00:22.248 อะตอมแทบทุกตัว ที่คุณเคยสัมผัส 00:00:22.248 --> 00:00:23.813 ตลอดช่วงชีวิตของคุณ 00:00:23.813 --> 00:00:25.417 อะตอมที่อยู่ในพื้นดิน ใต้เท้าคุณ 00:00:25.417 --> 00:00:27.419 ในอากาศที่คุณสูดหายใจ ในอาหารที่คุณกิน 00:00:27.419 --> 00:00:29.712 อะตอมที่รวมกันเป็นสิ่งมีชีวิต ทุกชีวิต รวมถึงคุณด้วย 00:00:29.712 --> 00:00:31.900 ดำรงอยู่มาแล้วหลายพันล้านปี 00:00:31.900 --> 00:00:34.882 ถูกสร้างขึ้น ในสถานที่ที่ต่างไปจากโลกเรามาก 00:00:34.882 --> 00:00:38.349 อะตอมมีที่มาที่ไปอย่างไร? ผมจะเล่าให้คุณฟัง 00:00:38.349 --> 00:00:39.933 เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อ 14 พันล้านปีก่อน 00:00:39.933 --> 00:00:41.685 ด้วยเหตุการณ์ที่เราเรียกว่า บิ๊กแบง 00:00:41.685 --> 00:00:44.856 ซึ่งทำให้เกิดจักรวาล ที่มีแต่แก๊สล้วน ๆ 00:00:44.856 --> 00:00:46.896 ยังไม่มีดาวฤกษ์ ยังไม่มีดาวเคราะห์ 00:00:46.896 --> 00:00:48.480 แก๊สที่มีก็เป็นแค่อะตอม 00:00:48.480 --> 00:00:50.479 ของธาตุที่เรียบง่ายที่สุด 00:00:50.479 --> 00:00:52.313 ประมาณ 75 เปอร์เซนต์เป็น ไฮโดรเจน 00:00:52.313 --> 00:00:54.396 และเกือบทั้งหมดที่เหลือเป็น ฮีเลียม 00:00:54.396 --> 00:00:57.314 ไม่มีธาตุพวก คาร์บอน ออกซิเจน หรือไนโตรเจน 00:00:57.314 --> 00:00:59.396 ไม่มีเหล็ก เงิน หรือทอง 00:00:59.396 --> 00:01:03.146 บางจุดมีแก๊สหนาแน่นกว่าจุดอื่นเล็กน้อย 00:01:03.165 --> 00:01:05.981 แรงดึงดูดจะยิ่งดูดให้จุดนั้น ๆ มีแก๊สสะสมมากขึ้น 00:01:05.981 --> 00:01:07.980 ซึ่งก็ยิ่งทำให้แรงดึงดูดมีมากขึ้นไปอีก 00:01:07.980 --> 00:01:10.670 แล้วดึงแก๊สมาเพิ่มอีก เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ 00:01:10.670 --> 00:01:13.507 ท้ายที่สุด ก็เกิดลูกบอลแก๊สลูกใหญ่ขึ้น 00:01:13.507 --> 00:01:15.312 มันจะหดเล็กลงเพราะแรงดึงดูดของตัวเอง 00:01:15.312 --> 00:01:18.055 และส่งผลให้ภายในร้อนขึ้นด้วย 00:01:18.055 --> 00:01:19.645 ณ จุดนึง แกนลูกบอลนั้น 00:01:19.645 --> 00:01:22.147 ก็ร้อนพอ จนเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นขึ้น 00:01:22.147 --> 00:01:24.896 อะตอมไฮโดรเจนชนและรวมตัวกันเป็นฮีเลียม 00:01:24.896 --> 00:01:27.063 พร้อมทั้งปลดปล่อยพลังงานออกมา 00:01:27.063 --> 00:01:30.564 มากพอที่จะต้านการหดตัวเนื่องจากแรงดึงดูด 00:01:30.564 --> 00:01:32.563 เมื่อพลังงานที่ผลักออก จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ 00:01:32.563 --> 00:01:35.113 เท่ากันกับแรงที่ดึงดูดให้แก๊สหดตัวเข้า 00:01:35.113 --> 00:01:37.063 สมดุลก็เกิดขึ้น 00:01:37.063 --> 00:01:39.369 และดาวฤกษ์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น 00:01:39.369 --> 00:01:40.367 ในช่วงชีวิตของดวงดาว 00:01:40.367 --> 00:01:42.480 ปฏิกิริยาฟิวชั่นในแกนของดาวขนาดมหึมา 00:01:42.480 --> 00:01:44.064 ไม่ได้ผลิตแค่ฮีเลียม 00:01:44.064 --> 00:01:46.206 แต่ยังมีคาร์บอน ออกซิเจน ไนโตรเจน 00:01:46.206 --> 00:01:50.125 และธาตุอื่น ๆ ในตารางธาตุทั้งหมด ไล่ไปจนถึงเหล็ก 00:01:50.125 --> 00:01:52.146 แต่ท้ายที่สุด เชื้อเพลิงภายในแกนจะหมดลง 00:01:52.146 --> 00:01:54.089 ทำให้ดาวทั้งดวงยุบตัว 00:01:54.089 --> 00:01:56.257 และก่อให้เกิดการระเบิดที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ 00:01:56.257 --> 00:01:58.480 ที่เราเรียกว่า ซุปเปอร์โนวา 00:01:58.480 --> 00:01:59.595 ณ จุดนี้มีสองสิ่งที่ควรพูดถึง 00:01:59.595 --> 00:02:01.563 เกี่ยวกับการสร้างธาตุของซุปเปอร์โนวา 00:02:01.563 --> 00:02:04.310 อย่างแรก การระเบิดนั้นปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา 00:02:04.310 --> 00:02:05.935 มากจนการฟิวชั่นรุนแรงกว่าปกติ 00:02:05.935 --> 00:02:08.564 ทำให้เกิดธาตุที่มีอะตอมหนักกว่าเหล็ก 00:02:08.564 --> 00:02:10.897 อย่างเงิน ทอง และยูเรเนียมขึ้นมา 00:02:10.897 --> 00:02:12.730 อย่างที่สอง ธาตุทั้งหมดที่ถูกสะสม 00:02:12.730 --> 00:02:14.145 อยู่ในแกนของดาวฤกษ์ 00:02:14.145 --> 00:02:16.695 อย่างคาร์บอน ออกซิเจน ไนโตรเจน เหล็ก 00:02:16.695 --> 00:02:19.561 รวมไปถึงธาตุที่เกิดจากการระเบิดซุเปอร์โนวา 00:02:19.561 --> 00:02:21.981 จะถูกพ่นกระจายไปในอวกาศ 00:02:21.981 --> 00:02:24.397 ไปผสมปะปนกับแก๊สที่มีอยู่เดิม ณ จุดต่าง ๆ 00:02:24.397 --> 00:02:26.480 แล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยตัวเอง 00:02:26.480 --> 00:02:28.667 กลุ่มเมฆแก๊สตอนนี้มีธาตุอยู่หลายชนิด 00:02:28.667 --> 00:02:31.083 นอกเหนือจากไฮโดรเจนและฮีเลียมดั้งเดิม 00:02:31.083 --> 00:02:32.548 เกิดบริเวณที่ความหนาแน่นสูงขึ้น 00:02:32.548 --> 00:02:34.672 ซึ่งจะดึงดูดสสารเข้ามาเพิ่มอีก เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ 00:02:34.672 --> 00:02:37.548 เช่นเดิม ดาวฤกษ์ดวงใหม่ก็จะก่อตัวขึ้น 00:02:37.548 --> 00:02:40.302 ดวงอาทิตย์ของเราเกิดขึ้นแบบนี้ ประมาณ 5 พันล้านปีก่อน 00:02:40.302 --> 00:02:42.231 แปลว่าในแก๊สที่ก่อตัวเป็นดวงอาทิตย์ 00:02:42.231 --> 00:02:44.266 ได้เก็บสะสมธาตุต่าง ๆ มากมาย 00:02:44.266 --> 00:02:47.980 จากการระเบิดซุปเปอร์โนวา ตั้งแต่จักรวาลถือกำเนิด 00:02:47.980 --> 00:02:50.646 นั่นคือที่มาว่าธาตุต่าง ๆ มารวมอยู่ในดวงอาทิตย์ได้อย่างไร 00:02:50.646 --> 00:02:52.862 แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นไฮโดรเจน 71 เปอร์เซนต์ 00:02:52.862 --> 00:02:55.565 และที่เหลือเกือบทั้งหมดเป็นฮีเลียม 27 เปอร์เซนต์ 00:02:55.565 --> 00:02:56.483 แต่ขอให้จำไว้ว่า 00:02:56.498 --> 00:02:57.813 ในขณะที่ดาวฤกษ์แรกเริ้มมีแต่ 00:02:57.813 --> 00:02:59.647 ไฮโดรเจนและฮีเลียมล้วน ๆ 00:02:59.647 --> 00:03:01.481 แต่มีธาตุอื่น ๆ ในตารางธาตุ 00:03:01.481 --> 00:03:03.731 ถึงสองเปอร์เซนต์ในดวงอาทิตย์ 00:03:03.731 --> 00:03:05.146 แล้วโลกล่ะ? 00:03:05.146 --> 00:03:07.997 ดาวเคราะห์เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากการก่อตัวของดาวฤกษ์ 00:03:07.997 --> 00:03:11.126 จากเมฆแก๊สกลุ่มเดียวกับที่ก่อเป็นดาวฤกษ์ 00:03:11.126 --> 00:03:13.042 ดาวเคราะห์เล็ก ๆ อย่างโลก ไม่มีแรงดึงดูดพอ 00:03:13.042 --> 00:03:15.587 จะรั้งไฮโดรเจนหรือฮีเลียมไว้ได้มาก 00:03:15.587 --> 00:03:17.672 เพราะแก๊สทั้งสองเบามาก 00:03:17.672 --> 00:03:20.312 ดังนั้น ถึงแม้ว่าคาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน และธาตุอื่น ๆ 00:03:20.312 --> 00:03:23.731 จะมีอยู่แค่สองเปอร์เซนต์ ในกลุ่มเมฆแก๊สที่ก่อตัวเป็นโลก 00:03:23.731 --> 00:03:26.307 ธาตุหนักเหล่านี้ก็รวมตัวกันเป็นมวลหลักของโลก 00:03:26.307 --> 00:03:28.266 และทุกสิ่งบนโลก 00:03:28.266 --> 00:03:29.518 ลองคิดดู 00:03:29.518 --> 00:03:31.645 ยกเว้นไฮโดรเจนและฮีเลียมบางส่วน 00:03:31.645 --> 00:03:33.145 พื้นที่คุณเดิน 00:03:33.145 --> 00:03:35.230 อากาศที่คุณหายใจ 00:03:35.230 --> 00:03:36.813 ทุกสิ่งประกอบจากอะตอม 00:03:36.813 --> 00:03:38.731 ซึ่งถูกสร้างขึ้นในดวงดาว 00:03:38.731 --> 00:03:40.813 ตอนที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเรื่องนี้ 00:03:40.813 --> 00:03:42.731 เมื่อสมัยครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 00:03:42.731 --> 00:03:45.033 ฮาร์โลว์ แชปลี นักดาราศาสตร์ผู้โด่งดัง กล่าวไว้ว่า 00:03:45.033 --> 00:03:48.620 "เราเป็นพี่น้องกับก้อนหิน เป็นญาติกับก้อนเมฆ"