ทำไมต้องแกะสลักฟักทองในวันฮาโลวีน
สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ
ช่วงปลายเดือนตุลาแบบนี้ แน่นอนนะคะ
บรรยากาศของเทศกาลเทศกาลนึงเนี่ยเข้มข้นมาก
มองไปทางไหน ห้างร้านต่างๆ
ก็มีแต่คนแต่งตัวเป็นแม่มด
แต่งชุดดำยาว อะไรแบบนี้
หรือว่าประดับตกแต่งด้วยผีต่างๆ
และแน่นอนค่ะรวมไปถึงอย่างนึงด้วย
นั่นก็คือ ฟักทองแกะสลัก นั่นเอง
เอ๊ ผี แม่มด อะไรต่างๆ ก็พอเข้าใจได้ว่า
เกี่ยวกับวันฮาโลวีนนะ เพราะเป็นวันปล่อยผี
แต่ฟักทองเนี่ยเกี่ยวอะไรด้วย
มันก็แบบเป็นผักเป็นผลไม้
อยู่ของมันดีๆ ทำไมต้องไปแกะสลักมันด้วย
ทำไมต้องแกะสลักฟักทอง
ทำไมไม่แกะสลักแอปเปิล อะไรอย่างงี้นะคะ
ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องนึงที่วิวอยากรู้มานานมากๆแล้วค่ะ
ดังนั้นนะคะวันนี้วิวไปหาคำตอบมาแล้วเรียบร้อย
แล้วก็จะนำมาแบ่งปันให้ทุกคนฟังค่ะ
ซึ่งถ้าใครฟังวิวแล้วรู้สึกว่า
เฮ้ย มันยังลึกไม่พออะไรต่างๆ
อยากหาอ่านเองเพิ่มนะคะ
อ้างอิงของวิวอยู่ด้านล่างเลยค่ะ
และที่สำคัญนะคะ เนื่องจากเรื่องพวกนี้ที่วิวกำลังจะเล่าเนี่ย
มันเป็นตำนาน มันเป็นนิทานอะเนาะ
มันเป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นต่อรุ่น
ดังนั้นแต่ละแหล่งเนี่ยอาจจะมี
ข้อความบางส่วนที่ไม่เหมือนกันนะคะ
ถ้าสมมติว่าใครฟังแล้วแบบ เฮ้ย
ฉันเคยฟังเวอร์ชันอื่นมาที่มันแตกต่างตรงนั้นตรงนี้
ก็สามารถคอมเมนต์คุยกันด้านล่างได้ค่ะ
สำหรับตอนนี้ก่อนอื่นเลย
ก่อนที่จะไปฟังคำตอบของวิวกันเนี่ยนะคะ
อย่าลืมกดติดตามวิวให้ครบทุกช่องทางค่ะ
เพราะว่าแต่ละช่องทางก็เนื้อหาไม่เหมือนกันนะ
เอาล่ะ ตอนนี้พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้ง
สนุกแล้วก็ได้สาระกันรึยังคะ
ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ
ก่อนที่จะไปตอบคำถามได้นะคะว่า
ทำไมเราต้องแกะสลักฟักทองในวันฮาโลวีน
บอกเลยค่ะว่ามันมีเรื่องที่เราจะต้องรู้จักเนี่ย
ทั้งหมดสองเรื่องด้วยกันค่ะ
เรื่องแรกนะคะเป็นความเชื่อของชาวเคลติกค่ะ
ซึ่งชาวเคลติกเนี่ยก็คือชาวยุโรปตะวันตกนะคะ
ที่อาศัยอยู่บริเวณที่เป็นบริตทานี เวลส์
ไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ คอร์นวอลล์ ประมาณนั้นค่ะ
ทีนี้ถามว่าชาวเคลติกมีความเชื่ออะไรนะคะ
ชาวเคลติกสมัยโบร่ำโบราณเนี่ยค่ะ เขาทำอาชีพอะไร
นึกสภาพมนุษย์ยุคนั้น
แน่นอนนะคะ อาชีพหลักของมนุษย์ก็คือการเกษตรนั่นเอง
แล้วถามว่าคนที่ทำการเกษตร อะไรคือสิ่งที่สำคัญ
นั่นก็คือฤดูกาลนั่นเองค่ะ
โดยเฉพาะฤดูกาลเก็บเกี่ยวนะคะ
ช่วงเวลาเดือนตุลาคมแบบนี้เป็นช่วงเวลาที่
เขาจะเฉลิมฉลองเรื่องเทศกาลเก็บเกี่ยวอะไรต่างๆกัน
เราจะเห็นว่าประเทศต่างๆในโลกชอบมี
เทศกาลอะไรอยู่ช่วงนี้ ที่เกี่ยวกับเก็บเกี่ยวเนาะ
แน่นอนค่ะชาวเคลติกเป็นหนึ่งในนั้น
และที่สำคัญ ลองนึกถึงบรรยากาศที่ยุโรปนะคะ
ใครที่เคยไปยุโรปจะรู้ค่ะว่า
ช่วงซัมเมอร์เนี่ย ช่วงฤดูร้อนเนี่ยนะคะ
กลางวันจะยาวนานมากแบบ
สองทุ่มสามทุ่ม พระอาทิตย์ก็ยังอยู่บนฟ้าเลย
ในขณะที่ช่วงฤดูใบไม้ผลิกะฤดูใบไม้ร่วงเนี่ย
ก็จะเห็นว่าเออ พระอาทิตย์ก็ตกดินตามปกติ
คุ้นๆเหมือนกับประเทศไทยนี่แหละ
ในขณะที่ฤดูหนาวเนี่ยนะคะ
ไปเที่ยวแทบไม่คุ้มเลยค่ะ เพราะว่าอะไร
สี่โมงเย็น นู่น พระอาทิตย์ตกปุกแล้ว
อ้าว มืดแล้วซะอย่างนั้นนะคะ
วันนึงเนี่ยมีเวลากลางวันสั้นนิดเดียวเองค่ะ
ดังนั้นไม่แปลกเลยนะคะที่พวกชาวยุโรป
หรือพวกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศหนาวเนี่ย
จะชอบโยงฤดูหนาวกับความตาย
ความแห้งแล้ง ความทรมาทรกรรมอะไรต่างๆค่ะ
เช่นเดียวกัน ชาวเคลติกก็มีจินตนาการนะคะว่า
ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวเนี่ยที่กำลังจะเปลี่ยนผ่าน
จากช่วงฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปสู่ฤดูหนาว
ก็เหมือนกับว่าฉันจะไม่ได้เจอ
ท้องฟ้าสดใสยาวนานไปอีกนานแล้ว
โอ๊ะ นี่มันจะต้องเกี่ยวกับความตายแน่ๆเลย
ดังนั้นนะคะเขาก็เลยจัดเทศกาลเทศกาลนึงขึ้นค่ะ
เพื่อเฉลิมฉลองปลายฤดูเก็บเกี่ยวและ
เขาก็เชื่อว่าในเทศกาลนี้ก็คือเทศกาลของคนตายนั่นเอง
เพราะเป็นเทศกาลเหมือนแบบว่าปล่อยผี ประมาณนั้น
คือชาวเคลติกเนี่ยเชื่อว่าเวลาคนตายไปเนี่ยนะคะ
ตายๆๆๆๆๆ ตายตลอดปีเนี่ย
พอตายๆไปวิญญาณก็โดนกักไว้รวมกันนี่แหละค่ะ
จนกระทั่งมาถึงช่วงปลายเดือนตุลา
ในเทศกาลที่เขาจะเฉลิมฉลองนี่แหละ
วิญญาณเหล่านั้นก็จะเดินทางข้ามจากโลกของเราเนี่ย
ไปที่โลกของคนตายพร้อมๆกันค่ะ
ในขณะเดียวกันนะคะ วิญญาณรุ่นพี่ที่เดินทางไปก่อน
ในปีก่อนนู้นๆๆๆๆ ที่เดินทางไปนานแสนนานแล้ว
ในวันนี้ก็จะได้รับอนุญาตค่ะ
ให้กลับไปเยี่ยมญาติได้
ให้กลับมาเยี่ยมโลกของเราได้นะคะ
ดังนั้นเมื่อประตูของสองโลกเปิดหากัน
ก็เลยจะต้องมีการเฉลิมฉลองขึ้น
ซึ่งเขาเฉลิมฉลองด้วยการจัดเทศกาล Bonfire ขึ้นค่ะ
ก็คือเป็นแบบก่อกองไฟใหญ่ๆ
แล้วก็เฉลิมฉลองกันรอบกองไฟนะคะ
ถามว่าแล้วในเทศกาล Bonfire เนี่ย
เขามีความเชื่ออะไร
เขาก็เชื่อกันว่าพวกวิญญาณต่างๆเนี่ยนะคะ
มันไม่กล้าสู้แสงสว่างค่ะ
ดังนั้นในขณะที่ทุกคนเฉลิมฉลองกันเนี่ย
ในเงามืดเนี่ยก็จะเป็นโซนที่วิญญาณอยู่
เดินร่อนเร่กันไปทั่วๆไปหมดเลยนะคะ
โอเค เราฉลอง Bonfire อยู่
เราก็ปลอดภัยเนาะ ปลอดภัยจากวิญญาณต่างๆ
แต่บ้านของเราอะมันไม่ปลอดภัย
ใครจะอยากให้อยู่ดีๆก็มีวิญญาณที่ไหนก็ไม่รู้
เดินเข้าบ้านตัวเองใช่มั้ยคะ
ดังนั้นค่ะ ชาวเคลติกก็เลยมีวิธีแก้นะคะด้วยการ
เอาหัวผักกาดหรือว่าผักต่างๆเนี่ย
ซึ่งหัวผักกาดมันเหมาะสุดเพราะมันแข็งอะนะ
ขึ้นมาค่ะแล้วก็จัดการเจาะรูตรงกลางนะคะ
เจาะๆๆๆ เจาะเข้าไปค่ะ
แล้วก็เอาก้อนถ่านแดงๆหรือว่า
เอาเทียนเนี่ยนะคะใส่ลงไปตรงกลางค่ะ
แล้วก็วางเรียงไว้หน้าบ้านตัวเอง เรียงๆๆๆๆ
ด้วยความเชื่อที่ว่าถ้าสมมติว่าวิญญาณร้ายเดินมาถึงเนี่ย
เห็นตะเกียงอันนี้ปุ๊บก็จะแบบ
อุ๊ย ตรงนี้มีแสงสว่าง ฉันไม่เข้าบ้านนี้ดีกว่า
แล้วก็เดินจากไปค่ะ
ในขณะที่ถ้าวิญญาณดีเดินผ่านมานะคะ
แสงตะเกียงที่เรียงกันบ้านต่อบ้านต่อบ้านเนี่ย
ก็จะเป็นเหมือนกับแสงตะเกียงที่นำทางให้
วิญญาณดีเนี่ยเดินไปถูกทางนั่นเองค่ะ
ซึ่งความเชื่อตรงนี้นะคะ
มันแบ่งเป็นสองแบบด้วยกันค่ะ
แบบแรกก็บอกว่า
แค่วางไว้เฉยๆ ไม่ได้แกะสลักเนาะ
แต่อีกแบบนึงเนี่ยบอกว่า
เขามีการแกะสลักหัวผักกาดด้วยค่ะ
เป็นหน้าคนอะไรอย่างนี้เพื่อที่จะได้ทำให้
พวกวิญญาณร้ายเนี่ยหนีไปนะคะ
เรื่องที่สองที่ทุกคนจำเป็นจะต้องรู้จัก
เพื่อที่จะรู้ว่าเราแกะสลักฟักทองทำไม
ก็คือเรื่องของ Jack o' lantern นั่นเอง
คุ้นๆมะ Jack o' lantern
หลายคนน่าจะพอรู้นะคะว่าฟักทองแกะสลักเนี่ย
มันมีชื่อเรียกว่า Jack o' lantern
แต่รู้มั้ยคะว่าตำนานของ Jack o' lantern พูดถึงอะไรค่ะ
ตำนานเรื่องนี้นะคะเขาพูดถึงคนคนนึงค่ะชื่อว่าแจ็ค
แจ็คเนี่ยนะคะเป็นช่างตีเหล็กค่ะ
แล้วไม่ใช่ช่างตีเหล็กธรรมดานะ
แต่เป็นช่างตีเหล็กที่ได้รับฉายาว่า
เป็นคนขี้เหนียวมากกกนะคะ
ขี้เหนียวขนาดที่ว่าเขาเรียกว่า Stingy Jack เลยนะ
ถามว่าขี้เหนียวขนาดไหนนะคะ
เรื่องเนี่ยเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนึงค่ะ
ซึ่งแจ็คเนี่ยอยากกินเหล้าแต่ไม่อยากจ่ายตังนะคะ
ดังนั้นแจ็คก็เลยหาคนไปดื่มด้วยค่ะ
ซึ่งก็ไม่รู้อีท่าไหนนะ แจ็คก็ไปอัญเชิญปีศาจนะคะ
Devil เนี่ย ลงมาดื่มเหล้ากับตัวเองค่ะ
มาดื่มเป็นเพื่อน ก็นั่งดื่มกันไป ดื่มๆๆ ดื่มไปดื่มมา
ดื่มเสร็จแล้วนะคะปรากฏว่าแจ็คไม่อยากจ่ายตังค่ะ
ประมาณว่าไม่เอาอะ งก ทำไงดี
มีเพื่อนกินเหล้าอยู่แล้วใช่มะ
เพื่อนเป็นใคร เพื่อนเป็น Devil ค่ะ
ดังนั้นแจ็คก็เลยหันไปบอก Devil ประมาณว่า
เฮ้ย นายๆ เราไม่อยากจ่ายตังอะ ช่วยเราหน่อยดิ
เรารู้ว่านายแปลงร่างได้ใช่ม้า
นายอะแปลงร่างเป็นเหรียญเงินหน่อยดิ
เดี๋ยวเราเอาเงินอันนี้ไปจ่ายที่บาร์
แล้วเดี๋ยวนายก็ไปแอบคืนร่างตรงไหนก็ได้นะ
เราจะได้ไม่ต้องเสียเงินกันทั้งคู่ไง ดีมั้ย ดีมั้ย
ถามว่า Devil เอาด้วยมั้ยนะคะ
บอกเลยว่า Devil เอาด้วยค่ะ
ดังนั้นนะคะ Devil ก็เลยแปลงร่างเป็นเหรียญเงินค่ะ
ซึ่งถามว่าแจ็คเอาเหรียญเงินนี้ไปจ่ายค่าเหล้ารึเปล่า
บอกเลยว่าเปล่าค่ะ คือแจ็คมันเลวกว่านั้นค่ะ
จังหวะที่กำลังจะเอาไปจ่ายตังเนี่ย
แจ็คมันก็เล็งเห็นแล้วว่า
เอ้า จริงๆแล้วเจ้าของร้านมันก็ไม่ได้เฝ้าร้านดีขนาดนั้น
ชักดาบได้เลยนิหน่า ไม่ต้องจ่ายหรอก
ดังนั้นนะคะแจ็คก็เลยชักดาบออกจากร้านไปเลยค่ะ
แล้วก็ออกไปนอกร้านปุ๊บ
ทีนี้เหรียญที่เป็น Devil เนี่ยทำยังไง
แจ็คเนี่ยนะคะเก็บใส่กระเป๋าค่ะแล้วก็
เอาไม้กางเขนเงินอันเล็กๆเนี่ยยัดลงไปด้วย
ดังนั้น Devil ก็เลยกลับร่างตัวเองไม่ได้ซะอย่างนั้น
แจ็คเนี่ยขัง Devil ไว้ในกระเป๋ากางเกง
ตัวเองเป็นเวลาค่อนข้างนานนะคะ
เสร็จแล้ววันนึงแจ็คก็ไปตกลงกับ Devil ค่ะประมาณว่า
เฮ้ย Devil สนุกมั้ย
อยู่ในกระเป๋ากางเกงเราตั้งนานแล้วเนี่ย
แปลงร่างกลับก็แปลงไม่ได้
เป็นเหรียญเงินมาตั้งนานแล้ว
อยากกลับร่างตัวเองอะดี้
ถ้าอยากกลับร่างตัวเองนะ ได้ เดี๋ยวเราปล่อยคืน
แต่สัญญากับเราข้อนึงได้มั้ย
นายอะต้องสัญญากับเรานะว่า
ถ้าเราปล่อยนายวันนี้
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราตายเนี่ย
นายเป็นคนคุมนรกใช่มั้ย
นายห้ามเอาวิญญาณเราลงไปนรกน้า
โอเคเปล่า โอเคเปล่า
ซึ่งแน่นอนนะคะ Devil อยากกลับร่าง
Devil ก็ตกลง โอเค ดีล นะคะ
ก็ Devil เรื่องนี้มันจะดูโง่ๆนิดนึงนะ
ไม่เหมือน Devil ปกติค่ะ
หลังจากนั้นนะคะ Devil ก็ยังเป็นเพื่อนกับแจ็คอยู่
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนกันทำไมน่ะนะ
ปรากฏว่าวันนึงแจ็คก็อยากกินผลไม้บนต้นอะไรอย่างงี้
ก็แบบหลอก Devil อีก ประมาณว่า
Devil นายอะแข็งแรงกว่าเรา
นายปีนขึ้นไปเก็บผลไม้ให้เราบนต้นไม้หน่อยดิ
เดี๋ยวเรารออยู่ข้างล่างแล้วเราแบ่งกันกินนะ
ก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ Devil เชื่อนะคะ
แต่อย่างไรก็ตามค่ะ Devil ก็เชื่อ
แล้วก็ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้ให้แจ็คค่ะ
ถามว่า Devil ปีนขึ้นไปแล้วแจ็คทำอะไร
แจ็คไปแกะสลักไม้กางเขน ปักๆๆๆๆๆๆๆ
เอาไว้ที่โคนต้นไม้ Devil ลงไม่ได้
แจ็คก็ไปตกลงกับ Devil อีกรอบประมาณว่า
นายอยากให้เราเอาไม้กางเขนออกใช่มั้ยล่า
นายสัญญากับเราก่อนนะเพื่อความชัวร์
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราตาย
ห้ามเอาวิญญาณเราลงนรกเด็ดขาดเลยน้า
Devil ก็ทำอะไรไม่ได้นะคะ
อยากลงจากต้นไม้ก็เลยตกลงไปตามนั้นค่ะ
ซึ่งเรื่องราวก็ดำเนินไปแบบนี้นะคะจนกระทั่งถึงวันนึงค่ะ
ที่นายแจ็คเนี่ยก็ตายจากไปจริงๆนะคะ
ปรากฏว่าพอตายปุ๊บเกิดอะไรขึ้น
แน่นอนว่าก็ความเชื่อปกติอะ
จะไปสวรรค์หรือจะไปนรกใช่มั้ย
แจ็คเป็นคนแบบนี้คิดว่าสวรรค์รับตัวมั้ยคะ
ฝั่งสวรรค์ก็บอกว่า ไม่เอา แจ็ค
นายคุณสมบัติไม่ผ่าน ห้ามมาสวรรค์เด็ดขาด
ปกติคนที่โดนปฏิเสธจากสวรรค์
ต้องไปทางไหน ต้องไปนรกใช่มะ
ปรากฏว่าแจ็คก็เดินไปที่ The Gate of Hell
หรือว่าประตูนรกนั่นเอง
Devil ก็บอกว่า ไม่แจ็ค เราสัญญากับนายไว้แล้ว
เรารับวิญญาณนายมาตรงนี้ไม่ได้
ดังนั้นนะคะแจ็คก็เลยติดอยู่ในระหว่างสองโลกค่ะ
ก็ไม่รู้จะทำยังไง Devil ก็เลย
ให้ตะเกียงอันนึงกับแจ็คนะคะบอกว่า
อะ แจ็ค เอาตะเกียงไปนะ
ไปเดินส่องหาทางของนายเอง
ไปเดินตามหานรกของนายเอง เพราะนรกของเราอะ
ไม่รับนายเข้ามาอยู่หรอก นะคะ
เขาก็เลยบอกว่าวิญญาณของแจ็คเนี่ยนะคะ
ติดอยู่ระหว่างสองโลกค่ะ
เดินส่องตะเกียง เดินไป เดินไป เดินไป
เพื่อหาที่อยู่ของตัวเอง
มาจนถึงสมัยปัจจุบันนี้เนี่ยแหละค่ะ
แล้วถามว่าเรื่องราวสองเรื่องนี้
ที่วิวเล่าเนี่ยมันมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง
แล้วมันไปเกี่ยวกับฟักทองได้ยังไงนะคะ
ก็ต้องบอกว่ามันย้อนกลับไปที่ประมาณศตวรรษที่ 8 ค่ะ
ตอนนั้นเนี่ยศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกนะคะ
มีการย้ายวันสำคัญวันนึงค่ะ
คือ All Saints' Day เนี่ยไปที่วันที่ 1 November
หรือว่า 1 พฤศจิกายนนั่นเองค่ะ
ดังนั้นเหมือนคริสต์มาสวันที่ 25
วันที่ 24 กลางคืนก็ต้องเป็นคริสต์มาสอีฟใช่มั้ย
วันที่ 31 ตุลาคมตอนกลางคืนก็เลยกลายเป็น
All Hallows' Eve หรือว่า
ที่กลายมาเป็นคำว่า Halloween นั่นเองค่ะ
ทีนี้ศาสนาคริสต์เนี่ยก็ค่อนข้างจะได้รับอิทธิพล
จากศาสนาต่างๆที่เป็นศาสนาท้องถิ่น
ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเข้ามาใช่มั้ยคะ
ดังนั้นความเชื่อของชาวเคลติก ไอที่จัด
เทศกาล Bonfire อะไรต่างๆ เทศกาลปล่อยผี
ก็เลยมาปะปนกับเทศกาล All Hallows' Eve นี่แหละค่ะ
ที่สำคัญนะคะ เรื่องราวของแจ็คมันก็ดูเข้ากันดี
ตะเกียงของแจ็คเนี่ยบางที่ก็บอกว่า
เป็นหัวผักกาดแกะสลักเอาเทียนใส่เข้าไปเหมือนกัน
อ้าว มันก็คล้ายๆกับความเชื่อของชาวเคลติก
ดังนั้นปนกันไปปนกันมาค่ะ
ตะเกียงของแจ็คกับความเชื่อของชาวเคลติก
ก็เลยยัดรวมกันเข้ามาในวันฮาโลวีนตอนนั้นนี่แหละค่ะ
แต่เอ๊ะ แล้วมันเปลี่ยนจากหัวผักกาด
มาเป็นฟักทองได้ยังไงนะคะ
ก็ต้องบอกว่าจริงๆแล้วฟักทองค่ะ
เป็นพืชประจำถิ่นที่อเมริกาเหนือนะคะ
คือที่ยุโรปแต่เดิมเนี่ยไม่มีฟักทองเนาะ
ซึ่งประมาณปีค.ศ. 1584 ค่ะ
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชาวยุโรป
กำลังสำรวจอเมริกาอะไรต่างๆอยู่นะ
ถือว่าเป็น The New Land
เป็นดินแดนใหม่ ประมาณนี้ใช่มั้ยคะ
ตอนนั้นค่ะ มีชาวฝรั่งเศสคนนึงนะคะ
ชื่อว่าคุณคาร์เทียร์ เนี่ย
เขาเดินทางไปที่อเมริกาแล้วก็ไปสำรวจ
บริเวณ St. Laurence ปัจจุบันนี้เนี่ยแหละค่ะ
ไปถึงเขาก็ไปเจอกับผลไม้ชนิดนึง เขาก็บรรยายว่า
โห มันเป็น Giant Melon มันเป็นเมลอนยักษ์อะ
คือที่ยุโรปมีแต่ผลเมลอนนะคะ
อันนี้แบบเมลอนยักษ์สีส้มๆ ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรดีนะคะ
หลังจากนั้นนะคะชาวยุโรปก็เลย
ได้เริ่มรู้จักฟักทองเนี่ยแหละค่ะ
แล้วก็ตั้งชื่อไปตั้งชื่อมา
กลายมาเป็น Pumpkin นั่นเองนะคะ
ซึ่งฟักทองที่อเมริกาเนี่ยมันมีเยอะมากกก
เรียกได้ว่าเป็นพืชประจำถิ่นเลยว่าอย่างงั้นเถอะค่ะ
ดังนั้นนะคะในช่วงประมาณทศวรรษที่ 1800 ค่ะ
ตอนนี้ในยุโรปพวกชาวไอร์แลนด์
เขาก็ฉลองฮาโลวีนกันมาแล้วใช่มั้ยคะ
ด้วยการแกะสลักหัวผักกาดมาตลอด
ปรากฏว่าในช่วงนั้นค่ะ
เขาก็อพยพกันมาจากยุโรปมาอยู่ที่อเมริกาค่ะ
มาถึงปรากฏว่ามาเจอฟักทอง
เฮ้ยแก ฟักทองมันเหมาะที่จะ
ใช้แกะสลักมากกว่าหัวผักกาดอีก
มันแกะง่ายกว่า มันสวยกว่า
ทรงมันก็แบบดูสวยกว่า
หัวผักกาดแกะออกมาแล้วมันแปลกๆอะ
ดังนั้นะคะเขาก็เลยเริ่มหันมาใช้ฟักทองในการ
แกะสลัก Jack o' lantern ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาค่ะ
และหลังจากนั้นนะคะวัฒนธรรมนี้ก็
แพร่กระจายไปทั่วอเมริกา เริ่มฮิตขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มมีการตลาดเข้ามาอะไรต่างๆ
ดังนั้นเทศกาลฮาโลวีนก็เลย
กลายเป็นหนึ่งในเทศกาลฮิตในอเมริกา
รวมถึงฟักทองแกะสลักก็เลย
กลายเป็นสัญลักษณ์ของฮาโลวีนเนี่ยแหละค่ะ
หวังว่าทุกคนจะได้คำตอบนะคะว่า
ฟักทองแกะสลักเกี่ยวอะไรกับฮาโลวีนค่ะ
เป็นไงบ้าง ถ้าใครมีความเห็นต่างยังไงหรือว่า
เจอข้อมูลอื่นมาก็คอมเมนต์คุยกันด้านล่างได้นะคะ
สำหรับวันนี้ถ้าใครชื่นชอบคลิปนี้นะคะ
อย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว
แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆมาดูด้วยกันค่ะ
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ บ๊ายบาย
สวัสดีค่ะ
จริงๆเรื่องราวของ Devil นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเนาะ
สำหรับใครที่ดูเรื่อง Lucifer มาก็น่าจะ
อยากรู้เกี่ยวกับ Devil ซึ่งดูฉลาดกว่านี้หลายเท่า
ถ้ามีโอกาส เดี๋ยวไว้โอกาสหน้าวิวจะมาเล่า
เรื่อง The Devil โดยตรงให้ฟังแล้วกันค่ะ
สัญญาว่า The Devil มันไม่ได้โง่ขนาดนี้
คือเรื่องนี้มันแบบเฮ้อออ
เป็นนิทานอธิบายเหตุน่ะนะทุกคน
ดังนั้นช่างมันเถอะค่ะ วันนี้ลาไปก่อนนะคะ
บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ