1 00:00:07,051 --> 00:00:09,603 การค้นพบโครงสร้าง DNA 2 00:00:09,603 --> 00:00:14,170 เป็นหนึ่งในการค้นพบที่สำคัญที่สุด ทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ผ่านมา 3 00:00:14,170 --> 00:00:16,224 ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยก็ว่าได้ 4 00:00:16,224 --> 00:00:20,163 โครงสร้างเกลียวคู่ที่โด่งดัง แทบจะเป็นตัวแทนของวัตสันและคริก 5 00:00:20,163 --> 00:00:24,327 สองนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล ในฐานะผู้ค้นพบสิ่งดังกล่าว 6 00:00:24,327 --> 00:00:26,442 แต่ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่คุณอาจรู้จัก 7 00:00:26,442 --> 00:00:28,382 โรสริน แฟรงคลิน 8 00:00:28,382 --> 00:00:32,567 คุณอาจเคยได้ยินว่าข้อมูลของเธอ สนับสนุนแนวคิดที่ยอดเยี่ยมของวัตสันและคริก 9 00:00:32,567 --> 00:00:36,850 หรือนักวิทยาศาสตร์ที่แต่งตัวเรียบ ๆ จอมหาเรื่อง 10 00:00:36,850 --> 00:00:41,859 อย่างที่วัตสันบรรยายเอาไว้ในหนังสือ "เดอะ ดับเบิล ฮีลิกซ์" 11 00:00:41,859 --> 00:00:43,852 แต่ต้องขอบคุณผู้เขียนชีวประวัติของเธอ 12 00:00:43,852 --> 00:00:47,191 ที่สืบประวัติชีวิตของเธอ และสัมภาษณ์ผู้ใกล้ชิด 13 00:00:47,191 --> 00:00:50,917 เรารู้แล้วว่านั่นไม่ได้ใกล้เคียงกับเรื่องจริงเลย 14 00:00:50,917 --> 00:00:54,851 และการอุทิศเพื่อวิทยาศาสตร์ของเธอ ก็ไม่ได้ถูกตีแผ่ออกมาอย่างเต็มที่ 15 00:00:54,851 --> 00:00:56,721 ลองมาฟังเรื่องจริงกัน 16 00:00:56,721 --> 00:01:01,475 โรสริน เอลซี แฟรงคลิน เกิดที่กรุงลอนดอน ในค.ศ. 1920 17 00:01:01,475 --> 00:01:04,612 เธออยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น 18 00:01:04,612 --> 00:01:08,764 ซึ่งไม่ใช่เรื่องทั่วไปหรือเป็นเส้นทางอาชีพ ที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ในเวลานั้น 19 00:01:08,764 --> 00:01:11,039 แต่อย่างไรเสียเธอก็มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ 20 00:01:11,039 --> 00:01:14,325 เธอได้รับทุนการศึกษาที่เคมบริดจ์ เพื่อศึกษาด้านเคมี 21 00:01:14,325 --> 00:01:16,112 ที่ซึ่งเธอได้รับปริญญาเอก 22 00:01:16,112 --> 00:01:19,397 และต่อมาได้ทำการวิจัยเรื่องโครงสร้างของถ่าน 23 00:01:19,397 --> 00:01:23,700 ที่นำไปสู่การพัฒนาหน้ากากป้องกันก๊าซ ของอังกฤษระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง 24 00:01:23,700 --> 00:01:26,256 ในปี ค.ศ. 1951 เธอไปที่คิงส์ คอลเลจ 25 00:01:26,256 --> 00:01:29,790 เพื่อใช้เทคนิคเอ็กซ์เรย์ เพื่อศึกษาโครงสร้างของดีเอ็นเอ 26 00:01:29,790 --> 00:01:32,414 ซึ่งต่อมาเป็นหัวข้อหนึ่งที่ร้อนแรงที่สุด ในวงการวิทยาศาสตร์ 27 00:01:32,414 --> 00:01:35,449 แฟรงคลินพัฒนาห้องทดลองเอ็กซ์เรย์ และทำการวิจัย 28 00:01:35,449 --> 00:01:40,120 โดยยิงเอ็กซ์เรย์ที่มีพลังงานสูง ลงบนผลึกเปียกที่มีขนาดเล็กของดีเอ็นเอ 29 00:01:40,120 --> 00:01:43,804 แต่วัฒนธรรมองค์กรในวงการศึกษาในเวลานั้น ไม่เป็นมิตรต่อผู้หญิงสักเท่าไรนัก 30 00:01:43,804 --> 00:01:46,286 และแฟรงคลินก็ถูกแยก ออกจากเพื่อนร่วมงานของเธอ 31 00:01:46,286 --> 00:01:48,609 เธอปะทะกับ มัวริส วิลคินส์ 32 00:01:48,609 --> 00:01:52,974 เพื่อนร่วมวิจัยที่ทึกทักเอาว่า แฟรงคลินถูกจ้างมาเป็นผู้ช่วยของเขา 33 00:01:52,974 --> 00:01:54,472 แต่แฟรงคลินก็ยังคงทำงานต่อไป 34 00:01:54,472 --> 00:02:01,193 และในปี ค.ศ. 1952 เธอได้ภาพถ่ายที่ 51 ซึ่งเป็นภาพเอ็กเรย์ดีเอ็นเอที่โด่งดังที่สุด 35 00:02:01,193 --> 00:02:03,630 แค่จะได้ภาพมาก็ต้องใช้เวลา 100 ชั่วโมงแล้ว 36 00:02:03,630 --> 00:02:07,485 การคำนวณที่สำคัญต่อการวิเคราะห์นั้น ต้องใช้เวลาเป็นปี 37 00:02:07,485 --> 00:02:10,448 ในขณะนั้น นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา เจมส์ วัตสัน 38 00:02:10,448 --> 00:02:12,787 และนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ฟราซิส คริก 39 00:02:12,787 --> 00:02:15,730 กำลังศึกษาเพื่อค้นหาโครงสร้างดีเอ็นเออยู่ 40 00:02:15,730 --> 00:02:17,252 โดยที่แฟรงคลินไม่ได้ล่วงรู้ 41 00:02:17,252 --> 00:02:21,667 วิลคินส์นำเอาภาพ 51 ไป และแสดงให้วัตสันกับคลิกดู 42 00:02:21,667 --> 00:02:25,078 แทนที่จะคำนวณตำแหน่งของแต่ละอะตอม 43 00:02:25,078 --> 00:02:27,942 พวกเขาทำการวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของเฟรงคลิน 44 00:02:27,942 --> 00:02:31,442 และใช้สิ่งนั้น เพื่อสร้างโครงสร้างต่าง ๆ ที่น่าจะเป็นไปได้ 45 00:02:31,442 --> 00:02:34,220 ท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้โครงสร้างที่ถูกต้อง 46 00:02:34,220 --> 00:02:37,169 ดีเอ็นเอ ประกอบด้วยสองสายเกลียว 47 00:02:37,169 --> 00:02:42,416 ตั้งอยู่ตรงข้ามกันโดยมีเบสอยู่ตรงกลาง เหมือนกับขั้นของบันได 48 00:02:42,416 --> 00:02:46,670 วัตสันและคริกตีพิมพ์แบบจำลองของพวกเขา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1953 49 00:02:46,670 --> 00:02:50,215 ในขณะนั้น แฟรงคลินทำการคำนวณสำเร็จ 50 00:02:50,215 --> 00:02:51,664 และได้ข้อสรุปเดียวกัน 51 00:02:51,664 --> 00:02:54,398 และส่งผลงานของเธอเองเพื่อตีพิมพ์ 52 00:02:54,398 --> 00:02:56,721 นิตยสารตีพิมพ์ผลงานทั้งสองนี้ด้วยกัน 53 00:02:56,721 --> 00:02:58,883 แต่เอาผลงานของแฟรงคลินไว้สุดท้าย 54 00:02:58,883 --> 00:03:02,882 ทำให้เหมือนกับว่าการทดลองของเธอ เป็นแค่การยืนยันการค้นพบของวัตสันและคลิก 55 00:03:02,882 --> 00:03:05,381 แทนที่จะเป็นการจุดประกายให้งานดังกล่าว 56 00:03:05,381 --> 00:03:07,920 แต่แฟรงคลินได้หยุดงานวิจัย เกี่ยวกับดีเอ็นเอไปแล้ว 57 00:03:07,920 --> 00:03:11,018 และเสียชีวิตด้วยมะเร็งในปี ค.ศ. 1958 58 00:03:11,018 --> 00:03:15,107 โดยไม่เคยรู้ว่าวัตสันและคลิกเห็นภาพของเธอ 59 00:03:15,107 --> 00:03:19,326 วัตสัน คลิก และวิลคินส์ ได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1962 60 00:03:19,326 --> 00:03:21,421 สำหรับงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของพวกเขา 61 00:03:21,421 --> 00:03:25,006 บ่อยครั้งที่ว่ากันว่าเฟรงคลิน น่าจะได้รับการยอมรับโดยผู้ให้รางวัลโนเบล 62 00:03:25,006 --> 00:03:28,288 ถ้าพวกเขาสามารถให้รางวัล หลังจากผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้วได้ 63 00:03:28,288 --> 00:03:31,638 และ อันที่จริง มันเป็นไปได้ว่า เธออาจได้รางวัลถึงสองครั้ง 64 00:03:31,638 --> 00:03:37,302 งานของเธอเกี่ยวกับโครงสร้างของไวรัส ทำให้ เพื่อนร่วมงานของเธอได้รางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1982 65 00:03:37,302 --> 00:03:42,636 มันถึงเวลาแล้วที่จะเล่าเรื่องราวอันกล้าหาญ ของผู้หญิงที่ต่อสู้กับการเหยียดเพศในวงการวิทยาศาสตร์ 66 00:03:42,636 --> 00:03:47,514 และผู้ที่งานวิจัยของเขาได้ปฏิวัติวงการแพทย์ ชีววิทยา และการเกษตร 67 00:03:47,514 --> 00:03:51,039 มันถึงเวลาแล้วที่จะยกย่อง โรสริน เอลซี่ แฟรงคลิน 68 00:03:51,039 --> 00:03:53,534 มารดาของโครงสร้างเกลียวคู่ที่โลกลืม