1 00:00:07,072 --> 00:00:11,132 คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ โดยใช้เพียงลมปากได้อย่างไร 2 00:00:11,132 --> 00:00:15,653 อริสโตเติล เริ่มหาคำตอบต่อคำถามนี้ นานกว่า 2,000 ปีมาแล้ว 3 00:00:15,653 --> 00:00:18,152 ในตำราว่าด้วยเรื่องวาทศิลป์ 4 00:00:18,152 --> 00:00:19,993 วาทศิลป์ ตามแนวคิดเห็นของอริสโตเติล 5 00:00:19,993 --> 00:00:24,013 คือ ศิลปะแห่งการมองเห็น หนทางในการจูงใจ 6 00:00:24,013 --> 00:00:27,143 และในปัจจุบัน เราประยุกต์มัน ให้เข้ากับการสื่อสารในทุกรูปแบบ 7 00:00:27,143 --> 00:00:29,582 หากแต่อริสโตเติล มุ่งเน้นไปที่การกล่าวสุนทรพจน์ 8 00:00:29,582 --> 00:00:33,623 และเขาได้อธิบายถึงสามรูปแบบ ของการพูดโน้มน้าวใจไว้ดังนี้ 9 00:00:33,623 --> 00:00:35,713 นิติวาทศิลป์ (Forensic/Judical Rhetoric) 10 00:00:35,713 --> 00:00:38,753 มีการให้ข้อเท็จจริง และการตัดสินเกี่ยวกับอดีต 11 00:00:38,753 --> 00:00:41,314 คล้ายกันกับเหล่านักสืบ ที่สถานที่เกิดอาชญากรรม 12 00:00:41,314 --> 00:00:43,714 วาทศิลป์เฉพาะกิจ (Epideictic/ Demonstrative Rhetoric) 13 00:00:43,714 --> 00:00:46,134 เป็นการประกาศถึงสถานการณ์ปัจจุบัน 14 00:00:46,134 --> 00:00:48,384 ดังเช่น สุนทรพจน์ในพิธีแต่งงาน 15 00:00:48,384 --> 00:00:52,064 แต่วิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่งความเปลี่ยนแปลง คือการใช้วิธีวาทศิลป์แนวเสรี 16 00:00:52,064 --> 00:00:54,253 หรือ ซิมบูวลิวทิกอน (symbouleutikon) 17 00:00:54,253 --> 00:00:56,164 วาทศิลป์แนวเสรีให้ความสนใจกับอนาคต 18 00:00:56,164 --> 00:00:59,164 แทนที่จะเป็นอดีตหรือปัจจุบันกาล 19 00:00:59,164 --> 00:01:01,254 วาทศิลป์ของนักการเมือง 20 00:01:01,254 --> 00:01:05,085 ถูกใช้ในการอภิปรายกฎหมายใหม่ด้วยการ ลองจินตนาการว่ามันอาจส่งผลกระทบอย่างไร 21 00:01:05,085 --> 00:01:08,106 อย่างเช่น ตอนที่โรนัลด์ เรแกน ประกาศเตือนว่าระบบสุขภาพขั้นพื้นฐาน 22 00:01:08,106 --> 00:01:11,274 จะนำไปสู่เหตุการณ์ ที่นักสังคมศาสตร์ในอนาคต 23 00:01:11,274 --> 00:01:16,135 จะต้องสอนคนไปชั่วลูกสืบหลาน ว่ามันเคย เป็นอย่างไรเมื่อผู้คนในอเมริกาเคยมีเสรีภาพ 24 00:01:16,135 --> 00:01:19,465 แต่วาทศิลป์ของนักเคลื่อนไหว ก็ยังทำให้ เกิดกระแสความเปลี่ยนแปลงอีกด้วย 25 00:01:19,465 --> 00:01:21,995 อย่างเช่น "ความฝัน" ของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ 26 00:01:21,995 --> 00:01:24,195 ที่ว่าสักวันหนึ่งที่ลูก ๆ ของเขา จะดำรงชีวิตในประเทศชาติหนึ่ง 27 00:01:24,195 --> 00:01:26,905 ที่พวกเขาจะไม่ต้องถูกตัดสิน จากสีผิวของพวกเขา 28 00:01:26,905 --> 00:01:29,255 แต่ตัดสินกันด้วยอุปนิสัยของพวกเขา 29 00:01:29,255 --> 00:01:33,117 จากทั้งสองกรณี ผู้พูดได้แสดงให้ผู้ฟัง เห็นถึงภาพอนาคตที่เป็นไปได้ 30 00:01:33,117 --> 00:01:37,064 และพยายามจะขอการสนับสนุน ในการหลีกเลี่ยงหรือทำให้มันเป็นจริง 31 00:01:37,064 --> 00:01:39,435 แต่อะไรที่ทำให้วาทศิลป์แนวเสรี มีข้อได้เปรียบ 32 00:01:39,435 --> 00:01:41,465 นอกเหนือไปจากการใช้อนาคตกาลล่ะ 33 00:01:41,465 --> 00:01:44,923 ตามความเห็นของอริสโตเติล มีสิ่งจูงใจอยู่สามประการ คือ 34 00:01:44,923 --> 00:01:46,066 บุคลิกลักษณะ (เอธอส; Ethos) 35 00:01:46,066 --> 00:01:47,025 เหตุผล (โลกอส; Logos) 36 00:01:47,025 --> 00:01:48,477 และการปลุกเร้าอารมณ์ (พาธอส; Pathos) 37 00:01:48,477 --> 00:01:52,145 เอธอส คือวิธีที่เราชักจูงผู้ฟัง ด้วยความน่าเชื่อถือของเรา 38 00:01:52,145 --> 00:01:56,856 ค.ศ. 1941 วินสตัน เชอร์ชิล กล่าวถึง สภาคองเกรสของสหรัฐโดยประกาศว่า 39 00:01:56,856 --> 00:02:01,244 "ตลอดชีวิต ข้าพเจ้าสามัคคีปรองดอง กับกระแสน้ำจากทั้งสองฝั่งฟาก 40 00:02:01,244 --> 00:02:05,615 ของมหาสมุทรแอตแลนติก ในการทัดทานเอกสิทธิ์และระบบผูกขาด" 41 00:02:05,615 --> 00:02:09,776 ซึ่งเป็นการเน้นย้ำจุดเด่นของเขา ในฐานะผู้เป็นที่มุ่งมันศรัทธาประชาธิปไตย 42 00:02:09,776 --> 00:02:12,686 เนิ่นนานก่อนหน้านั้น ในการแก้ต่าง แทนอาร์คิอัสผู้เป็นกวี 43 00:02:12,686 --> 00:02:16,367 คิเคโร (Cicero) กงสุลชาวโรมัน ใช้ปัญญาในเชิงปฏิบัติของตนเอง 44 00:02:16,367 --> 00:02:18,657 และความเชี่ยวชาญในฐานะ นักการเมืองคนหนึ่ง ในสุนทรพจน์ที่ว่า 45 00:02:18,657 --> 00:02:21,538 "จากการศึกษาค้นคว้า ด้านศาสตร์และศิลป์ของข้าพเจ้า 46 00:02:21,538 --> 00:02:23,828 และจากการฝึกฝนอย่างใส่ใจ ข้าพเจ้าต้องขอบอกว่า 47 00:02:23,828 --> 00:02:27,407 ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตเลย ที่ข้าพเจ้าจะมิอาจรับได้ถึงเพียงนี้" 48 00:02:27,407 --> 00:02:30,736 และในที่สุดคุณก็สามารถ ที่จะแสดงความเพิกเฉย 49 00:02:30,736 --> 00:02:33,866 หรือแสดงว่าคุณไม่ได้รู้สึกถูกกระตุ้น ด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว 50 00:02:33,866 --> 00:02:37,247 โลกอส คือการใช้ตรรกะและเหตุผล 51 00:02:37,247 --> 00:02:41,138 กลวิธีนี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือ ในทางวาทศิลป์ได้ เช่น การอุปมา 52 00:02:41,138 --> 00:02:42,177 การยกตัวอย่าง 53 00:02:42,177 --> 00:02:45,177 และการอ้างอิงงานวิจัยหรือสถิติ 54 00:02:45,177 --> 00:02:47,728 แต่มันไม่ใช่เพียงแค่ข้อเท็จจริง และตัวเลขเท่านั้น 55 00:02:47,728 --> 00:02:51,148 มันยังเป็นโครงสร้างและเนื้อหา ของสุนทรพจน์เองด้วย 56 00:02:51,148 --> 00:02:54,907 ประเด็นก็คือ การใช้ความรู้เชิงข้อเท็จจริง ในการจูงใจผู้ฟัง 57 00:02:54,907 --> 00:02:58,577 ดังเช่น การถกเถียงของโซจูร์เนอร์ ทรูธ ในหัวข้อสิทธิสตรี 58 00:02:58,577 --> 00:03:02,597 "ฉันมีกล้ามมากพอ ๆ กับผู้ชายไม่ว่าคนใด และทำงานได้มากทัดเทียมกับผู้ชาย 59 00:03:02,597 --> 00:03:06,788 ฉันทั้งไถนา เกี่ยวข้าว กระเทาะเปลือกข้าว ตัดต้นไม้ และถางหญ้า 60 00:03:06,788 --> 00:03:09,939 แล้วมีผู้ชายหน้าไหนทำได้มากกว่านี้ไหม" 61 00:03:09,939 --> 00:03:14,472 น่าเสียดายที่ผู้พูดยังสามารถชักจูงผู้คน ด้วยข้อมูลผิด ๆ 62 00:03:14,472 --> 00:03:16,939 ที่ผู้ฟังเข้าใจว่าถูกต้องได้อีกด้วย 63 00:03:16,939 --> 00:03:19,589 เช่น ความคิดที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด แต่ยังเป็นที่เชื่อถือกันในวงกว้าง 64 00:03:19,589 --> 00:03:22,247 ว่าวัคซีนก่อให้เกิดโรคออทิซึม 65 00:03:22,247 --> 00:03:25,602 และสุดท้าย "พาธอส" ดึงดูดเข้าถึงอารมณ์ 66 00:03:25,602 --> 00:03:29,639 และในยุคแห่งสื่อมวลชนของเรานี้ มันมักจะเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลที่สุด 67 00:03:29,639 --> 00:03:32,208 โดยปกติแล้ว พาธอสไม่ได้ดีหรือเลวร้ายอะไร 68 00:03:32,208 --> 00:03:35,309 แต่มันอาจไร้ซึ่งเหตุผลและคาดเดาไม่ได้ 69 00:03:35,309 --> 00:03:37,868 มันเรียกผู้คนให้มาชุมนุมกันเพื่อสันติภาพ 70 00:03:37,868 --> 00:03:40,259 ได้ง่ายดายพอ ๆ กับ การกระตุ้นให้เกิดสงคราม 71 00:03:40,259 --> 00:03:41,703 การโฆษณาส่วนใหญ่ 72 00:03:41,703 --> 00:03:45,609 ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ความงามที่ยืนยันว่า จะลบเลือนความบกพร่องทางกายภาพ 73 00:03:45,609 --> 00:03:47,919 ไปจนถึงรถยนต์ที่ทำให้เรารู้สึกมีหน้ามีตา 74 00:03:47,919 --> 00:03:50,419 ล้วนขึ้นอยู่กับพาธอสทั้งสิ้น 75 00:03:50,419 --> 00:03:54,728 เสน่ห์เชิงวาทศิลป์ของอริสโตเติล ยังคงเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในปัจจุบัน 76 00:03:54,728 --> 00:03:56,799 แต่การที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกใช้แบบไหน 77 00:03:56,799 --> 00:03:59,372 เป็นเรื่องของการรู้ว่าจุดประสงค์คืออะไร และผู้ฟังของคุณเป็นใคร 78 00:03:59,372 --> 00:04:01,629 เช่นเดียวกันกับกาละเทศะ 79 00:04:01,629 --> 00:04:04,369 และบางทีนั่นก็อาจสำคัญพอ ๆ กับ ความช่างสังเกต 80 00:04:04,369 --> 00:04:08,490 ว่าเมื่อใดที่กลวิธีในการจูงใจเดียวกันนี้ ถูกใช้กับคุณ