WEBVTT 00:00:00.000 --> 00:00:02.000 เริ่มต้นอย่างนี้ละกันค่ะ 00:00:02.000 --> 00:00:04.000 2-3 ปีก่อน มีผู้จัดงานคนนึงโทรมาหา 00:00:04.000 --> 00:00:06.000 เพราะฉันกำลังจะไปพูดบรรยาย 00:00:06.000 --> 00:00:08.000 เธอโทรมา แล้วบอกว่า 00:00:08.000 --> 00:00:10.000 "ฉันกำลังคิดไม่ตก 00:00:10.000 --> 00:00:12.000 ว่าจะเขียนแนะนำคุณยังไงในใบปลิวโฆษณา" 00:00:12.000 --> 00:00:14.000 ฉันเลยถามไปว่า "มีปัญหาตรงไหนเหรอคะ" 00:00:14.000 --> 00:00:16.000 เธอตอบว่า "คือ ฉันเคยฟังคุณพูด 00:00:16.000 --> 00:00:19.000 และคิดว่าฉันน่าจะเรียกคุณว่า'นักวิจัย' 00:00:19.000 --> 00:00:21.000 แต่ก็กลัวว่า ถ้าเรียกคุณว่า'นักวิจัย' แล้วจะไม่มีใครมาฟัง 00:00:21.000 --> 00:00:23.000 เพราะคนเขาจะคิดว่าคุณน่าเบื่อและไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเขา" 00:00:23.000 --> 00:00:25.000 (หัวเราะ) 00:00:25.000 --> 00:00:27.000 โอเค 00:00:27.000 --> 00:00:29.000 เธอบอกว่า"แต่ที่ฉันชอบเกี่ยวกับการบรรยายของคุณน่ะ 00:00:29.000 --> 00:00:31.000 คือความที่คุณเป็นนักเล่าเรื่อง 00:00:31.000 --> 00:00:34.000 ก็เลยคิดว่าเรียกคุณว่า'นักเล่าเรื่อง'แล้วกัน" 00:00:34.000 --> 00:00:37.000 ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนความเป็นนักวิชาการและความไม่มั่นใจของฉัน 00:00:37.000 --> 00:00:39.000 ถามว่า "จะเรียกฉันว่าอะไรนะ" 00:00:39.000 --> 00:00:42.000 เธอบอกว่า "จะเรียกคุณว่า'นักเล่าเรื่อง'ค่ะ" 00:00:42.000 --> 00:00:45.000 ฉันเลย แบบว่า "ไม่เรียกว่า'ภูตน้อยมหัศจรรย์'ไปซะเลยล่ะ" 00:00:45.000 --> 00:00:48.000 (หัวเราะ) 00:00:48.000 --> 00:00:51.000 ฉันก็บอกว่า "เดี๋ยวขอคิดแป๊บนึง" 00:00:51.000 --> 00:00:54.000 ฉันพยายามจะควานหาความกล้าในตัวเอง 00:00:54.000 --> 00:00:57.000 แล้วก็คิดว่า ฉันเป็นนักเล่าเรื่องจริงๆ 00:00:57.000 --> 00:00:59.000 ฉันเป็นนักวิจัยเชิงคุณภาพ 00:00:59.000 --> 00:01:01.000 ฉันรวบรวมเรื่องราว นั่นคือสิ่งที่ฉันทำ 00:01:01.000 --> 00:01:04.000 แล้วบางที เรื่องราวเหล่านั้นก็คือข้อมูลที่มีจิตวิญญาณ 00:01:04.000 --> 00:01:06.000 บางที ฉันอาจจะเป็นแค่นักเล่าเรื่องจริงๆ 00:01:06.000 --> 00:01:08.000 ฉันเลยบอกเธอไปว่า "เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ 00:01:08.000 --> 00:01:11.000 คุณเรียกฉันว่า'นักวิจัย-เล่าเรื่อง'แล้วกัน" 00:01:11.000 --> 00:01:14.000 เธอตอบว่า "ฮาฮา คนแบบนั้นไม่มีในโลกหรอกค่ะ" 00:01:14.000 --> 00:01:16.000 (หัวเราะ) 00:01:16.000 --> 00:01:18.000 ค่ะ ฉันเป็นนักวิจัย-เล่าเรื่อง 00:01:18.000 --> 00:01:20.000 ที่จะมาบรรยายในวันนี้ 00:01:20.000 --> 00:01:22.000 เพราะเราพูดถึงการเปิดกว้างทางการเรียนรู้กันบ่อยๆ 00:01:22.000 --> 00:01:24.000 ฉันเลยอยากจะพูดกับพวกคุณ และเล่าเรื่องบางเรื่อง 00:01:24.000 --> 00:01:27.000 เกี่ยวกับงานวิจัยของฉันชิ้นหนึ่ง 00:01:27.000 --> 00:01:30.000 ที่เปลี่ยนพื้นฐานความเข้าใจของฉัน 00:01:30.000 --> 00:01:33.000 มันยังได้เปลี่ยนวิธีที่ฉันใช้ชีวิต และรัก 00:01:33.000 --> 00:01:35.000 และทำงาน และเลี้ยงลูก NOTE Paragraph 00:01:35.000 --> 00:01:37.000 นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องค่ะ 00:01:37.000 --> 00:01:40.000 ตอนที่ฉันยังเป็นนักวิจัยอายุน้อย เป็นนักศึกษาปริญญาเอก 00:01:40.000 --> 00:01:42.000 ปีแรก มีศาสตราจารย์วิจัยคนนึง 00:01:42.000 --> 00:01:44.000 ที่พูดกับพวกเราว่า 00:01:44.000 --> 00:01:46.000 "มันเป็นอย่างนี้ 00:01:46.000 --> 00:01:49.000 ถ้าคุณวัดมันไม่ได้ มันไม่มีอยู่จริง" 00:01:49.000 --> 00:01:52.000 ฉันคิดว่าเขาล้อเล่นกับฉันไปอย่างนั้น 00:01:52.000 --> 00:01:55.000 ฉันว่า"จริงเหรอ" เขาก็ว่า"แน่นอน" 00:01:55.000 --> 00:01:57.000 คุณต้องเข้าใจนะคะ 00:01:57.000 --> 00:01:59.000 ว่าฉันจบป.ตรีสาขาสังคมสงเคราะห์ ป.โทสาขาสังคมสงเคราะห์ 00:01:59.000 --> 00:02:01.000 และตอนนั้นกำลังเรียนป.เอกสาขาสังคมสงเคราะห์ 00:02:01.000 --> 00:02:03.000 ตลอดเส้นทางการศึกษาของฉัน 00:02:03.000 --> 00:02:05.000 ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน 00:02:05.000 --> 00:02:07.000 ที่เชื่อประมาณว่า 00:02:07.000 --> 00:02:10.000 "ชีวิตมันยุ่งเหยิง ทำใจรักมันซะ" 00:02:10.000 --> 00:02:12.000 แต่ฉันออกจะเป็นแบบ "ชีวิตมันยุ่งเหยิง 00:02:12.000 --> 00:02:15.000 ก็สะสางเสียสิ จัดการให้เรียบร้อย 00:02:15.000 --> 00:02:17.000 แล้วก็จัดลงไปในกล่องข้าวแบบญี่ปุ่น" 00:02:17.000 --> 00:02:19.000 (หัวเราะ) 00:02:19.000 --> 00:02:22.000 ฉันเลยคิดว่าหาพรหมลิขิตของตัวเองเจอแล้ว 00:02:22.000 --> 00:02:25.000 พบกับอาชีพที่เหมาะกับฉัน 00:02:25.000 --> 00:02:28.000 จริงๆนะคะ มีประโยคที่พูดกันบ่อยในวงการสังคมสงเคราะห์ 00:02:28.000 --> 00:02:31.000 "ใช้ความลำบากของงานมาเป็นกำลัง" 00:02:31.000 --> 00:02:34.000 แต่ฉันเป็นพวก "ต่อยความลำบากให้หน้าหงาย 00:02:34.000 --> 00:02:36.000 ผลักออกไปให้พ้นทาง แล้วก็ได้เกรดAทุกตัว" 00:02:36.000 --> 00:02:39.000 นั่นเป็นคาถาของฉันค่ะ 00:02:39.000 --> 00:02:41.000 ฉันก็เลยตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก 00:02:41.000 --> 00:02:44.000 แล้วฉันก็คิดว่า รู้อะไรมั้ย เนี่ยแหละอาชีพของฉัน 00:02:44.000 --> 00:02:47.000 เพราะฉันสนใจในหัวข้อที่ยุ่งเหยิง 00:02:47.000 --> 00:02:49.000 แต่ฉันอยากทำให้มันไม่ยุ่ง 00:02:49.000 --> 00:02:51.000 ฉันอยากเข้าใจมัน 00:02:51.000 --> 00:02:53.000 ฉันอยากจะเจาะลึกลงไปในเรื่องเหล่านั้น 00:02:53.000 --> 00:02:55.000 ที่ฉันรู้ว่าสำคัญ 00:02:55.000 --> 00:02:57.000 เพื่อจะถอดรหัสมาแสดงให้ทุกคนได้เห็น NOTE Paragraph 00:02:57.000 --> 00:03:00.000 ที่ที่ฉันเริ่มคือเรื่อง'ความสัมพันธ์' 00:03:00.000 --> 00:03:03.000 เพราะเมื่อคุณเป็นนักสังคมสงเคราะห์มา 10 ปี 00:03:03.000 --> 00:03:05.000 สิ่งที่คุณตระหนักได้คือ 00:03:05.000 --> 00:03:08.000 ความสัมพันธ์เป็นเหตุผลที่เรามานั่งอยู่ตรงนี้ 00:03:08.000 --> 00:03:11.000 มันเป็นสิ่งที่สร้างจุดประสงค์และความหมายให้ชีวิตเรา 00:03:11.000 --> 00:03:13.000 นี่แหละคือคำตอบ 00:03:13.000 --> 00:03:15.000 ไม่ว่าคุณจะพูดกับใคร 00:03:15.000 --> 00:03:18.000 คนที่ทำงานเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์ สุขภาพจิต ทารุณกรรม หรือการถูกทอดทิ้ง 00:03:18.000 --> 00:03:20.000 สิ่งที่พวกเรารู้คือว่า ความสัมพันธ์ 00:03:20.000 --> 00:03:23.000 ความสามารถที่จะรู้สึกถึงความสัมพันธ์ 00:03:23.000 --> 00:03:26.000 ตามหลักชีวะและประสาทวิทยา คือปัจจัยของสิ่งมีชีวิต 00:03:26.000 --> 00:03:28.000 มันคือสิ่งที่ทำให้เรามาอยู่ตรงนี้ 00:03:28.000 --> 00:03:31.000 ฉันเลยคิดว่า รู้อะไรมั้ย ฉันจะเริ่มที่ความสัมพันธ์นี่แหละ 00:03:31.000 --> 00:03:34.000 คุณรู้จักสถานการณ์นั้นดี 00:03:34.000 --> 00:03:36.000 เวลาที่คุณได้รับการประเมินจากหัวหน้า 00:03:36.000 --> 00:03:39.000 แล้วหัวหน้าบอกว่าคุณทำ37อย่างได้เยี่ยมมาก 00:03:39.000 --> 00:03:41.000 และมีอย่างนึงที่เป็น'สิ่งที่ควรปรับปรุง' 00:03:41.000 --> 00:03:43.000 (หัวเราะ) 00:03:43.000 --> 00:03:46.000 แต่คุณก็เอาแต่คิดซ้ำๆถึงไอ้เจ้า'สิ่งที่ควรปรับปรุง'นี่ 00:03:47.000 --> 00:03:50.000 งานวิจัยของฉันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน 00:03:50.000 --> 00:03:53.000 เพราะเวลาที่คุณถามใครๆเกี่ยวกับความรัก 00:03:53.000 --> 00:03:55.000 เขาจะตอบคุณด้วยเรื่องอกหัก 00:03:55.000 --> 00:03:57.000 เวลาคุณถามเรื่องความผูกพัน 00:03:57.000 --> 00:04:00.000 เขาจะเล่าถึงประสบการณ์ที่ปวดร้าวที่สุด 00:04:00.000 --> 00:04:02.000 ของการถูกแบ่งแยก 00:04:02.000 --> 00:04:04.000 และเวลาที่คุณถามเรื่องความสัมพันธ์ 00:04:04.000 --> 00:04:07.000 เรื่องที่เขาเล่ากลับเป็นเรื่องการตัดขาด NOTE Paragraph 00:04:07.000 --> 00:04:10.000 แค่เพียงไม่นาน ประมาณ6สัปดาห์หลังจากเริ่มงานวิจัย 00:04:10.000 --> 00:04:13.000 ที่ฉันได้พบกับสิ่งไร้นิยามสิ่งนี้ 00:04:13.000 --> 00:04:16.000 ซึ่งช่วยเผยความลับของความสัมพันธ์ 00:04:16.000 --> 00:04:19.000 ในแบบที่ฉันไม่เข้าใจและไม่เคยเห็นมาก่อน 00:04:19.000 --> 00:04:21.000 ฉันเลยถอยออกมาจากงานวิจัย 00:04:21.000 --> 00:04:24.000 เพราะคิดว่าจะต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าสิ่งนี้คืออะไร 00:04:24.000 --> 00:04:27.000 ปรากฏว่าสิ่งนี้คือความละอาย 00:04:27.000 --> 00:04:29.000 ความละอายจริงๆแล้วเข้าใจได้ง่ายๆว่า 00:04:29.000 --> 00:04:31.000 เป็นความกลัวการถูกตัดขาด 00:04:31.000 --> 00:04:33.000 มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉันหรือเปล่า 00:04:33.000 --> 00:04:36.000 ที่ถ้าคนอื่นได้รู้หรือได้เห็น 00:04:36.000 --> 00:04:39.000 แล้วฉันจะไม่มีค่าพอสำหรับความสัมพันธ์อีกต่อไป 00:04:39.000 --> 00:04:41.000 ความรู้สึกแบบนี้ ฉันบอกคุณได้เลยค่ะ 00:04:41.000 --> 00:04:43.000 ว่ามันเป็นเรื่องปกติมาก เรามีกันทุกคน 00:04:43.000 --> 00:04:45.000 คนที่ไม่รู้จักความละอาย 00:04:45.000 --> 00:04:47.000 จะไม่สามารถรู้สึกเห็นใจเพื่อนมนุษย์หรือว่าเข้าใจความสัมพันธ์ได้ 00:04:47.000 --> 00:04:49.000 ไม่มีใครอยากจะพูดถึงเรื่องนี้ 00:04:49.000 --> 00:04:52.000 และยิ่งพูดถึงมันน้อยลงเท่าไหร่ คุณก็จะมีมันมากขึ้นเท่านั้น 00:04:54.000 --> 00:04:56.000 สิ่งที่เป็นพื้นฐานของความละอาย 00:04:56.000 --> 00:04:58.000 หรือความคิดที่ว่า"ฉันไม่ดีพอ" 00:04:58.000 --> 00:05:00.000 ซึ่งเราทุกคนรู้จักดี 00:05:00.000 --> 00:05:02.000 "ฉันไม่อะไรพอ ฉันไม่ผอมพอ 00:05:02.000 --> 00:05:04.000 ไม่รวยพอ ไม่สวยพอ ไม่ฉลาดพอ 00:05:04.000 --> 00:05:06.000 ไม่สำคัญพอ" 00:05:06.000 --> 00:05:08.000 สิ่งที่เป็นต้นเหตุสำคัญ 00:05:08.000 --> 00:05:11.000 คือความรู้สึกอ่อนแออย่างรุนแรง 00:05:11.000 --> 00:05:13.000 ความคิดที่ว่า 00:05:13.000 --> 00:05:15.000 เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ 00:05:15.000 --> 00:05:18.000 เราต้องยอมให้คนอื่นเห็นตัวตนของเรา 00:05:18.000 --> 00:05:20.000 ตัวตนที่แท้จริง NOTE Paragraph 00:05:20.000 --> 00:05:23.000 คุณก็รู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับความอ่อนแอ ฉันเกลียดความอ่อนแอ 00:05:23.000 --> 00:05:25.000 ฉันก็เลยคิดว่า นี่เป็นโอกาส 00:05:25.000 --> 00:05:28.000 ที่ฉันจะใช้ไม้บรรทัดไล่ตีมันให้กระเจิง 00:05:28.000 --> 00:05:31.000 เป็นไงเป็นกัน ฉันจะต้องเข้าใจมันให้ได้ 00:05:31.000 --> 00:05:34.000 ฉันจะใช้เวลาหนึ่งปี เพื่อวิเคราะห์ชำแหละความละอาย 00:05:34.000 --> 00:05:36.000 จะทำความเข้าใจว่าความอ่อนแอทำงานอย่างไร 00:05:36.000 --> 00:05:39.000 และฉันจะเอาชนะมัน 00:05:39.000 --> 00:05:42.000 ค่ะ ตอนนั้นฉันรู้สึกพร้อม แล้วก็ตื่นเต้นมากๆ 00:05:44.000 --> 00:05:46.000 แน่ล่ะ มันไม่จบลงด้วยดีหรอก 00:05:46.000 --> 00:05:49.000 (หัวเราะ) 00:05:49.000 --> 00:05:51.000 ดูก็รู้แล้ว 00:05:51.000 --> 00:05:53.000 ถ้าให้ฉันพูดถึงเรื่องความละอาย 00:05:53.000 --> 00:05:55.000 ฉันคงพูดได้ยาวจนกินเวลาของผู้บรรยายคนอื่นๆ 00:05:55.000 --> 00:05:58.000 แต่นี่คือใจความสำคัญที่ฉันอยากจะบอกคุณ 00:05:58.000 --> 00:06:01.000 สิ่งนี้อาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ฉันได้เรียนรู้ 00:06:01.000 --> 00:06:04.000 ตลอดทศวรรษที่ฉันทำวิจัยมา 00:06:04.000 --> 00:06:06.000 เวลาหนึ่งปีของฉัน 00:06:06.000 --> 00:06:08.000 กลายเป็นหกปี 00:06:08.000 --> 00:06:10.000 เรื่องราวเป็นพันๆเรื่อง 00:06:10.000 --> 00:06:13.000 การสัมภาษณ์ การประชุมกลุ่มย่อยเป็นร้อยๆ 00:06:13.000 --> 00:06:15.000 ช่วงหนึ่ง บางคนถึงกับส่งบันทึกส่วนตัวมาให้ 00:06:15.000 --> 00:06:18.000 และส่งเรื่องราวของพวกเขาให้ฉัน 00:06:18.000 --> 00:06:21.000 ข้อมูลเป็นพันๆในเวลาหกปี 00:06:21.000 --> 00:06:23.000 ทำให้ฉันเข้าใจระดับนึง NOTE Paragraph 00:06:23.000 --> 00:06:25.000 ฉันเหมือนจะเข้าใจว่านี่แหละคือความละอาย 00:06:25.000 --> 00:06:27.000 นี่แหละคือวิธีที่มันทำงาน 00:06:27.000 --> 00:06:29.000 ฉันเขียนหนังสือ 00:06:29.000 --> 00:06:31.000 ฉันตีพิมพ์ทฤษฎี 00:06:31.000 --> 00:06:34.000 แต่ว่ามีบางอย่างที่มันไม่ใช่ 00:06:34.000 --> 00:06:36.000 และสิ่งที่ว่านั่นคือ 00:06:36.000 --> 00:06:38.000 ถ้าฉันนำคนที่ฉันสัมภาษณ์ 00:06:38.000 --> 00:06:41.000 มาแบ่งคร่าวๆโดยใช้เกณฑ์ที่ว่า 00:06:41.000 --> 00:06:44.000 ใครรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง 00:06:44.000 --> 00:06:46.000 นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดค่ะ 00:06:46.000 --> 00:06:48.000 ความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า 00:06:48.000 --> 00:06:51.000 พวกเขารู้สึกถึงความรักและความผูกพัน 00:06:51.000 --> 00:06:53.000 และอีกกลุ่มที่ต้องพยายามดิ้นรนหามัน 00:06:53.000 --> 00:06:55.000 คนที่มักจะสงสัยว่าตัวเองดีพอมั้ย 00:06:55.000 --> 00:06:57.000 มันมีแค่ตัวแปรเดียว 00:06:57.000 --> 00:06:59.000 ที่แยกคนที่มี 00:06:59.000 --> 00:07:01.000 ความรู้สึกรักและผูกพัน 00:07:01.000 --> 00:07:03.000 ออกจากคนที่ต้องต่อสู้เพื่อความรู้สึกเหล่านั้น 00:07:03.000 --> 00:07:05.000 และตัวแปรนั้นคือ คนที่รู้สึกถึง 00:07:05.000 --> 00:07:07.000 ความรักและความผูกพัน 00:07:07.000 --> 00:07:10.000 เชื่อว่าตัวเองมีค่าสำหรับความรักและความผูกพัน 00:07:10.000 --> 00:07:12.000 แค่นั้นเอง 00:07:12.000 --> 00:07:14.000 พวกเขาเชื่อว่าเขามีค่าพอ 00:07:15.000 --> 00:07:18.000 และสำหรับฉัน ส่วนสำคัญที่สุด 00:07:18.000 --> 00:07:21.000 ที่ทำให้เราขาดความสัมพันธ์ 00:07:21.000 --> 00:07:24.000 คือความกลัวว่าเราไม่มีค่าพอสำหรับความสัมพันธ์นั้นๆ 00:07:24.000 --> 00:07:26.000 ทั้งในมุมมองส่วนตัวและทางวิชาการ 00:07:26.000 --> 00:07:29.000 มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องการเข้าใจมากขึ้น 00:07:29.000 --> 00:07:32.000 ฉันก็เลย 00:07:32.000 --> 00:07:34.000 เอาบทสัมภาษณ์ทั้งหมดมา 00:07:34.000 --> 00:07:37.000 ตรงไหนที่ฉันเห็นความรู้สึกมีค่า ตรงไหนที่ฉันเห็นคนใช้ชีวิตอย่างนั้น 00:07:37.000 --> 00:07:40.000 และดูเฉพาะตรงนั้น NOTE Paragraph 00:07:40.000 --> 00:07:42.000 คนเหล่านี้มีอะไรเหมือนกัน 00:07:42.000 --> 00:07:44.000 ฉันเป็นโรคบ้าเครื่องใช้สำนักงานอยู่นิดๆค่ะ 00:07:44.000 --> 00:07:47.000 แต่ว่านั่นเป็นอีกการบรรยายได้อีกเรื่อง 00:07:47.000 --> 00:07:50.000 ฉันมีแฟ้มกระดาษมะนิลา แล้วก็มีปากกาสี 00:07:50.000 --> 00:07:52.000 แล้วฉันก็แบบ จะเรียกงานวิจัยนี้ว่าอะไรดีนะ 00:07:52.000 --> 00:07:54.000 แล้วคำแรกที่นึกออก 00:07:54.000 --> 00:07:56.000 คือคำว่า เต็มใจ 00:07:56.000 --> 00:07:59.000 คนพวกนี้เป็นคนเต็มใจ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกมีค่า 00:07:59.000 --> 00:08:02.000 ฉันเลยเขียนที่หัวแฟ้มกระดาษมะนิลา 00:08:02.000 --> 00:08:04.000 และเริ่มดูข้อมูล 00:08:04.000 --> 00:08:06.000 จริงๆแล้ว ฉันดูข้อมูลก่อน 00:08:06.000 --> 00:08:08.000 ใช้เวลาสี่วัน 00:08:08.000 --> 00:08:11.000 กับการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเข้มข้น 00:08:11.000 --> 00:08:14.000 ที่ฉันกลับไป หาข้อมูลสัมภาษณ์ หาเรื่องเล่า หาเหตุการณ์ 00:08:14.000 --> 00:08:17.000 อะไรคือใจความสำคัญ อะไรคือรูปแบบ 00:08:17.000 --> 00:08:20.000 สามีของฉันออกจากเมืองไปกับลูกๆ 00:08:20.000 --> 00:08:23.000 เพราะฉันมักจะเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งแบบแจ็กสัน โพลล็อก 00:08:23.000 --> 00:08:25.000 เวลาที่ฉันเอาแต่เขียน 00:08:25.000 --> 00:08:28.000 และอยู่ในอารมณ์นักวิจัย 00:08:28.000 --> 00:08:30.000 และนี่คือสิ่งที่ฉันค้นพบค่ะ 00:08:32.000 --> 00:08:34.000 สิ่งที่คนเหล่านี้มีเหมือนกัน 00:08:34.000 --> 00:08:36.000 คือความกล้า(courage) 00:08:36.000 --> 00:08:39.000 ฉันอยากจะแยกความกล้า(courage)กับความองอาจ(bravery)ก่อน 00:08:39.000 --> 00:08:41.000 ความกล้า(courage)ในความหมายดั้งเดิม 00:08:41.000 --> 00:08:43.000 เมื่อตอนที่คำนี้เข้ามาในภาษาอังกฤษตอนแรกๆ 00:08:43.000 --> 00:08:46.000 มันมาจากภาษาละติน cor แปลว่า หัวใจ 00:08:46.000 --> 00:08:48.000 และความหมายดั้งเดิม 00:08:48.000 --> 00:08:51.000 คือการเล่าเรื่องราวของตัวเราด้วยหัวใจทั้งดวง 00:08:51.000 --> 00:08:53.000 คนเหล่านี้ 00:08:53.000 --> 00:08:55.000 สรุปง่ายๆว่า มีความกล้า 00:08:55.000 --> 00:08:57.000 ที่จะบกพร่อง 00:08:58.000 --> 00:09:00.000 เขาเหล่านี้รู้จักรักตัวเองก่อน 00:09:00.000 --> 00:09:03.000 แล้วจึงเอาใจใส่คนอื่น 00:09:03.000 --> 00:09:06.000 เพราะความจริงที่ว่า เราไม่สามารถรักคนอื่นได้ 00:09:06.000 --> 00:09:09.000 ถ้าเราไม่มีความเมตตาต่อตัวเองก่อน 00:09:09.000 --> 00:09:11.000 และสุดท้ายคือ พวกเขามีความสัมพันธ์ 00:09:11.000 --> 00:09:13.000 และนี่คือส่วนที่ยาก 00:09:13.000 --> 00:09:16.000 เพราะความจริงใจ 00:09:16.000 --> 00:09:19.000 พวกเขายอมทิ้งตัวตนที่เขาคิดว่าเขาควรจะเป็น 00:09:19.000 --> 00:09:21.000 เพื่อจะเป็นตัวเอง 00:09:21.000 --> 00:09:24.000 ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ 00:09:24.000 --> 00:09:26.000 ในการสร้างความสัมพันธ์ NOTE Paragraph 00:09:28.000 --> 00:09:30.000 อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน 00:09:30.000 --> 00:09:32.000 คือสิ่งนี้ 00:09:35.000 --> 00:09:38.000 พวกเขาเต็มใจยอมรับความอ่อนแอ 00:09:40.000 --> 00:09:43.000 พวกเขาเชื่อว่า 00:09:43.000 --> 00:09:46.000 สิ่งที่ทำให้เขาอ่อนแอ 00:09:46.000 --> 00:09:48.000 ทำให้เขางดงาม 00:09:50.000 --> 00:09:52.000 พวกเขาไม่ได้พูดถึงความอ่อนแอ 00:09:52.000 --> 00:09:54.000 ว่าเป็นสิ่งที่ง่ายดาย 00:09:54.000 --> 00:09:57.000 แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่ามันเจ็บปวด 00:09:57.000 --> 00:09:59.000 เหมือนจากในการสัมภาษณ์เรื่องความละอายก่อนหน้านี้ 00:09:59.000 --> 00:10:02.000 พวกเขาแค่บอกว่ามันจำเป็น 00:10:03.000 --> 00:10:05.000 พวกเขาพูดถึงความสมัครใจ 00:10:05.000 --> 00:10:08.000 ที่จะบอกว่า"ฉันรักคุณ"ก่อน 00:10:08.000 --> 00:10:11.000 ความสมัครใจ 00:10:11.000 --> 00:10:13.000 ที่จะทำอะไร 00:10:13.000 --> 00:10:16.000 ที่ไม่มีการประกันผล 00:10:16.000 --> 00:10:18.000 ความสมัครใจ 00:10:18.000 --> 00:10:20.000 ที่จะรอโทรศัพท์จากคุณหมอ 00:10:20.000 --> 00:10:22.000 หลังจากที่ไปตรวจมะเร็งเต้านม 00:10:23.000 --> 00:10:26.000 พวกเขาสมัครใจที่จะลงทุนในความสัมพันธ์ 00:10:26.000 --> 00:10:29.000 ที่ไม่แน่ว่าจะงอกงาม 00:10:29.000 --> 00:10:32.000 พวกเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องพื้นฐาน NOTE Paragraph 00:10:32.000 --> 00:10:35.000 ส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่ามันเป็นการหักหลัง 00:10:35.000 --> 00:10:38.000 ฉันไม่อยากเชื่อว่าฉันสาบานจะอุทิศตน 00:10:38.000 --> 00:10:40.000 ให้กับการวิจัยไปแล้ว 00:10:40.000 --> 00:10:42.000 เพราะคำนิยามของการวิจัย 00:10:42.000 --> 00:10:45.000 คือการควบคุมและพยากรณ์ เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ 00:10:45.000 --> 00:10:47.000 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ 00:10:47.000 --> 00:10:49.000 ควบคุมและพยากรณ์ต่อไป 00:10:49.000 --> 00:10:51.000 แล้วตอนนี้ภารกิจของฉัน 00:10:51.000 --> 00:10:53.000 ที่จะควบคุมและพยากรณ์ 00:10:53.000 --> 00:10:56.000 ให้คำตอบมาว่า วิธีใช้ชีวิตคือการยอมรับความอ่อนแอ 00:10:56.000 --> 00:10:59.000 หยุดควบคุม หยุดพยากรณ์ 00:10:59.000 --> 00:11:02.000 สิ่งนี้นำไปสู่อาการประสาทเสียเล็กๆ 00:11:02.000 --> 00:11:06.000 (หัวเราะ) 00:11:06.000 --> 00:11:09.000 ซึ่งที่จริงดูเหมือนอย่างนี้มากกว่า 00:11:09.000 --> 00:11:11.000 (หัวเราะ) 00:11:11.000 --> 00:11:13.000 มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 00:11:13.000 --> 00:11:16.000 ฉันเรียกมันว่าอาการป่วยทางจิต นักจิตบำบัดของฉันเรียกมันว่าการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ 00:11:17.000 --> 00:11:19.000 การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณฟังดูดีกว่าอาการป่วยทางจิต 00:11:19.000 --> 00:11:21.000 แต่ฉันยืนยันได้ค่ะ ว่ามันคืออาการป่วยทางจิต 00:11:21.000 --> 00:11:23.000 ฉันต้องเลิกดูข้อมูล แล้วก็หานักจิตบำบัด 00:11:23.000 --> 00:11:26.000 จะบอกอะไรให้ค่ะ คุณรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร 00:11:26.000 --> 00:11:29.000 เมื่อโทรหาเพื่อนๆ แล้วบอกว่า "ฉันคิดว่าฉันต้องไปหานักจิตบำบัด 00:11:29.000 --> 00:11:32.000 มีใครแนะนำมั้ย" 00:11:32.000 --> 00:11:34.000 เพราะว่าเพื่อนของฉันประมาณห้าคนบอกว่า 00:11:34.000 --> 00:11:36.000 "อู่ย ฉันไม่อยากเป็นนักจิตบำบัดของเธอหรอก" 00:11:36.000 --> 00:11:39.000 (หัวเราะ) 00:11:39.000 --> 00:11:41.000 ฉันว่า"หมายความว่ายังไง" 00:11:41.000 --> 00:11:44.000 แล้วพวกเขาก็บอกว่า"เปล่า ก็นะ 00:11:44.000 --> 00:11:46.000 อย่าพกไม้บรรทัดไปด้วยแล้วกัน" 00:11:46.000 --> 00:11:49.000 ฉันก็เลย"โอเค" NOTE Paragraph 00:11:51.000 --> 00:11:53.000 หลังจากฉันก็หานักจิตบำบัดเจอ 00:11:53.000 --> 00:11:56.000 ตอนที่ฉันเจอเธอครั้งแรก ไดอะน่า 00:11:56.000 --> 00:11:58.000 ฉันเอารายการ 00:11:58.000 --> 00:12:01.000 ของวิธีใช้ชีวิตของคนเต็มใจไปด้วย แล้วฉันก็นั่งลง 00:12:01.000 --> 00:12:03.000 เธอถามว่า"เป็นยังไงบ้างคะ" 00:12:03.000 --> 00:12:06.000 ฉันบอกว่า"สบายดีค่ะ โอเคค่ะ" 00:12:06.000 --> 00:12:08.000 เธอถาม"มีเรื่องอะไรเหรอคะ" 00:12:08.000 --> 00:12:11.000 เธอเป็นนักจิตบำบัดสำหรับนักจิตบำบัด 00:12:11.000 --> 00:12:13.000 เพราะพวกเราก็ต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญ 00:12:13.000 --> 00:12:16.000 เพราะเขาจับความตอแหลได้เก่ง 00:12:16.000 --> 00:12:18.000 (หัวเราะ) 00:12:18.000 --> 00:12:20.000 ฉันเลยบอกว่า 00:12:20.000 --> 00:12:22.000 "คืออย่างนี้ค่ะ ฉันมีปัญหาใหญ่" 00:12:22.000 --> 00:12:24.000 เธอพูดว่า"ปัญหาอะไรคะ" 00:12:24.000 --> 00:12:27.000 ฉันตอบว่า "คือ ปัญหากับความอ่อนแอค่ะ 00:12:27.000 --> 00:12:30.000 และฉันรู้ว่าความอ่อนแอเป็นแก่น 00:12:30.000 --> 00:12:32.000 ของความละอายและความกลัว 00:12:32.000 --> 00:12:34.000 และของการดิ้นรนเพื่อความมีค่า 00:12:34.000 --> 00:12:37.000 แต่ปรากฏว่ามันก็เป็นจุดกำเนิด 00:12:37.000 --> 00:12:40.000 ของความสุข และความสร้างสรรค์ 00:12:40.000 --> 00:12:42.000 ของความผูกพัน ของความรัก 00:12:42.000 --> 00:12:44.000 และฉันคิดว่า ฉันมีปัญหา 00:12:44.000 --> 00:12:47.000 และฉันต้องการความช่วยเหลือค่ะ" 00:12:47.000 --> 00:12:49.000 และฉันบอกว่า "แต่ขออย่างนึง 00:12:49.000 --> 00:12:51.000 ไม่เอาเรื่องครอบครัว 00:12:51.000 --> 00:12:53.000 หรือเรื่องน้ำเน่าวัยเด็ก" 00:12:53.000 --> 00:12:55.000 (หัวเราะ) 00:12:55.000 --> 00:12:58.000 "ฉันแค่ต้องการแผน" 00:12:58.000 --> 00:13:02.000 (หัวเราะ) 00:13:02.000 --> 00:13:05.000 (ปรบมือ) 00:13:05.000 --> 00:13:07.000 ขอบคุณค่ะ 00:13:09.000 --> 00:13:12.000 เธอก็ทำท่านี้ 00:13:12.000 --> 00:13:14.000 (หัวเราะ) 00:13:14.000 --> 00:13:17.000 ฉันเลยบอกว่า"แย่มาก ใช่มั้ยคะ" 00:13:17.000 --> 00:13:20.000 เธอบอกว่า"ไม่ดีหรือไม่ร้ายหรอกค่ะ" 00:13:20.000 --> 00:13:22.000 (หัวเราะ) 00:13:22.000 --> 00:13:24.000 "มันก็เป็นอย่างที่มันเป็นค่ะ" 00:13:24.000 --> 00:13:27.000 ฉันเลยว่า"โอ้พระเจ้า ซวยแน่คราวนี้" NOTE Paragraph 00:13:27.000 --> 00:13:30.000 (หัวเราะ) NOTE Paragraph 00:13:30.000 --> 00:13:32.000 แล้วมันก็แย่ และก็ไม่แย่ 00:13:32.000 --> 00:13:35.000 ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี 00:13:35.000 --> 00:13:37.000 มีคนบางคน 00:13:37.000 --> 00:13:40.000 ที่เมื่อเข้าใจว่าความอ่อนแอและความอะเอียดอ่อนเป็นสิ่งสำคัญ 00:13:40.000 --> 00:13:43.000 พวกเขายอมรับมันด้วยความเต็มใจ 00:13:43.000 --> 00:13:45.000 หนึ่ง นั่นไม่ใช่ฉันค่ะ 00:13:45.000 --> 00:13:48.000 และ สอง ฉันไม่สุงสิงกับคนแบบนั้น 00:13:48.000 --> 00:13:51.000 (หัวเราะ) 00:13:51.000 --> 00:13:54.000 สำหรับฉัน มันเป็นหนึ่งปีของการต่อสู้อย่างนักเลงข้างถนน 00:13:54.000 --> 00:13:56.000 ชกกันจนน่วม 00:13:56.000 --> 00:13:58.000 ความอ่อนแอผลักมา ฉันก็ผลักตอบ 00:13:58.000 --> 00:14:01.000 ฉันแพ้การต่อสู้นั้น 00:14:01.000 --> 00:14:03.000 แต่ก็ได้ชีวิตกลับคืนมา NOTE Paragraph 00:14:03.000 --> 00:14:05.000 แล้วฉันถึงได้กลับไปทำงานวิจัยอีก 00:14:05.000 --> 00:14:07.000 และใช้เวลาปีสองสามปีถัดมา 00:14:07.000 --> 00:14:10.000 พยายามที่ทำความเข้าใจจริงๆว่า พวกคนเต็มใจนั้น 00:14:10.000 --> 00:14:12.000 เขาตัดสินใจอย่างไร 00:14:12.000 --> 00:14:14.000 แล้วเรากำลังทำอะไร 00:14:14.000 --> 00:14:16.000 กับความอ่อนแอ 00:14:16.000 --> 00:14:18.000 ทำไมการต่อสู้กับมันถึงได้ยากลำบากนัก 00:14:18.000 --> 00:14:21.000 มีฉันคนเดียวหรือเปล่าที่ต้องต่อสู้กับความอ่อนแอ 00:14:21.000 --> 00:14:23.000 ไม่ 00:14:23.000 --> 00:14:25.000 แล้วนี่ก็คือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ 00:14:26.000 --> 00:14:29.000 เราเมินเฉยต่อความอ่อนแอ 00:14:29.000 --> 00:14:31.000 เวลาที่เรารอโทรศัพท์แจ้งผล 00:14:31.000 --> 00:14:33.000 ตลกดีค่ะ ฉันโพสบนTwitterกับFacebook 00:14:33.000 --> 00:14:35.000 ถามว่า"คุณนิยามคำว่า'ความอ่อนแอ'อย่างไร 00:14:35.000 --> 00:14:37.000 อะไรทำให้คุณรู้สึกอ่อนแอ" 00:14:37.000 --> 00:14:40.000 และภายในเวลาชั่วโมงครึ่ง มีคนตอบกลับมา150คำตอบ 00:14:40.000 --> 00:14:42.000 เพราะฉันอยากรู้ว่า 00:14:42.000 --> 00:14:44.000 คนเขาคิดอะไรกัน 00:14:45.000 --> 00:14:47.000 การขอให้สามีช่วย 00:14:47.000 --> 00:14:50.000 เพราะฉันป่วย และเราเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ 00:14:50.000 --> 00:14:53.000 การชวนสามีให้มีเซ็กส์ 00:14:53.000 --> 00:14:55.000 การชวนภรรยาให้มีเซ็กส์ 00:14:55.000 --> 00:14:58.000 การถูกปฏิเสธ เมื่อขอเป็นแฟน 00:14:58.000 --> 00:15:00.000 การรอโทรศัพท์จากโรงพยาบาล 00:15:00.000 --> 00:15:03.000 การโดนไล่ออก การไล่คนออก 00:15:03.000 --> 00:15:05.000 นี่คือโลกที่เราอาศัยอยู่ค่ะ 00:15:05.000 --> 00:15:08.000 เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอ 00:15:08.000 --> 00:15:10.000 และวิธีหนึ่งที่เราใช้จัดการกับมัน 00:15:10.000 --> 00:15:12.000 คือเมินเฉยต่อความอ่อนแอ NOTE Paragraph 00:15:12.000 --> 00:15:14.000 และฉันคิดว่ามีหลักฐานค่ะ 00:15:14.000 --> 00:15:16.000 แม้ว่ามันจะไม่ใช่เหตุผลเดียว 00:15:16.000 --> 00:15:18.000 แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นสาเหตุหลัก 00:15:18.000 --> 00:15:22.000 ที่พวกเราเป็นหนี้ 00:15:22.000 --> 00:15:25.000 น้ำหนักเกิน 00:15:25.000 --> 00:15:28.000 เสพสารและใช้ยา 00:15:28.000 --> 00:15:30.000 มากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา 00:15:33.000 --> 00:15:36.000 ฉันได้เรียนรู้จากงานวิจัยว่าปัญหาคือ 00:15:36.000 --> 00:15:39.000 คุณไม่สามารถเลือกเมินเฉยต่ออารมณ์เป็นอย่างๆได้ 00:15:40.000 --> 00:15:43.000 คุณไม่สามารถบอกว่า นี่เป็นสิ่งไม่ดี 00:15:43.000 --> 00:15:45.000 นี่คือความอ่อนแอ นี่คือความเศร้า นี่คือความละอาย 00:15:45.000 --> 00:15:47.000 นี่คือความกลัว นี่คือความผิดหวัง 00:15:47.000 --> 00:15:49.000 ฉันไม่อยากรู้สึกสิ่งพวกนี้ 00:15:49.000 --> 00:15:52.000 ฉันจะกินเบียร์สักสองสามแก้วกับมัฟฟินกล้วยหอมกับถั่ว 00:15:52.000 --> 00:15:54.000 (หัวเราะ) 00:15:54.000 --> 00:15:56.000 ฉันไม่อยากรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ 00:15:56.000 --> 00:15:58.000 ฉันรู้นะคะว่านั่นเป็นเสียงหัวเราะอย่างเข้าใจ 00:15:58.000 --> 00:16:01.000 ฉันเลี้ยงชีพด้วยการวิเคราะห์ชีวิตพวกคุณ 00:16:01.000 --> 00:16:03.000 พระเจ้า 00:16:03.000 --> 00:16:05.000 (หัวเราะ) 00:16:05.000 --> 00:16:08.000 คุณไม่สามารถเมินเฉยต่อความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้นได้ 00:16:08.000 --> 00:16:10.000 โดยไม่เฉยชาต่ออารมณ์อื่นๆของเราไปด้วย 00:16:10.000 --> 00:16:12.000 คุณไม่สามารถเลือกเฉยชาเป็นอย่างๆได้ 00:16:12.000 --> 00:16:15.000 ดังนั้น เวลาที่เราเฉยชาต่อสิ่งเหล่านั้น 00:16:15.000 --> 00:16:17.000 เราเฉยชาต่อความปิติ 00:16:17.000 --> 00:16:19.000 เราเฉยชาต่อความตื้นตันใจ 00:16:19.000 --> 00:16:21.000 เราเฉยชาต่อความสุข 00:16:21.000 --> 00:16:24.000 แล้วเราก็เลยทุกข์ 00:16:24.000 --> 00:16:26.000 เมื่อเรามองหาจุดมุ่งหมายและความหมายของชีวิต 00:16:26.000 --> 00:16:28.000 เราจึงรู้สึกอ่อนแอ 00:16:28.000 --> 00:16:31.000 แล้วเราก็ดื่มเบียร์ กินมัฟฟินกล้วยกับถั่ว 00:16:31.000 --> 00:16:34.000 แล้วมันก็กลายเป็นวัฏจักรอันตราย NOTE Paragraph 00:16:36.000 --> 00:16:39.000 สิ่งหนึ่งที่เราต้องคิดถึง 00:16:39.000 --> 00:16:41.000 คือเราเฉยชาทำไมและอย่างไร 00:16:41.000 --> 00:16:44.000 และมันไม่จำเป็นต้องเป็นการเสพติด 00:16:44.000 --> 00:16:46.000 อีกอย่างหนึ่งที่เราทำ 00:16:46.000 --> 00:16:49.000 คือเราทำให้สิ่งที่ไม่แน่นอน เป็นสิ่งแน่นอน 00:16:50.000 --> 00:16:53.000 ศาสนาเปลี่ยนจากความเชื่อเกี่ยวกับความศรัทธาและความลึกลับ 00:16:53.000 --> 00:16:55.000 เป็นความแน่นอน 00:16:55.000 --> 00:16:58.000 ฉันถูก คุณผิด หุบปาก 00:16:58.000 --> 00:17:00.000 แค่นั้น 00:17:00.000 --> 00:17:02.000 แค่ความแน่นอน 00:17:02.000 --> 00:17:04.000 ยิ่งกลัวมาก เรายิ่งรู้สึกอ่อนแอมาก 00:17:04.000 --> 00:17:06.000 แล้วเราก็จะยิ่งกลัวมากขึ้น 00:17:06.000 --> 00:17:08.000 การเมืองทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น 00:17:08.000 --> 00:17:10.000 ไม่มีการอภิปราย 00:17:10.000 --> 00:17:12.000 ไม่มีการคุยกัน 00:17:12.000 --> 00:17:14.000 มีแต่การกล่าวโทษ 00:17:14.000 --> 00:17:17.000 คุณรู้ไหมคะว่าการกล่าวโทษถูกอธิบายว่าอย่างไรในงานวิจัย 00:17:17.000 --> 00:17:20.000 วิธีปลดปล่อยความเจ็บปวดและความลำบาก 00:17:21.000 --> 00:17:23.000 เราอยากให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ 00:17:23.000 --> 00:17:26.000 ตัวอย่างคนที่อยากมีชีวิตแบบนี้ ก็คือฉันเนี่ยแหละ 00:17:26.000 --> 00:17:28.000 แต่มันเป็นไปไม่ได้ค่ะ 00:17:28.000 --> 00:17:30.000 เพราะสิ่งที่เราทำคือ เราตัดเอาไขมันจากก้น 00:17:30.000 --> 00:17:32.000 ไปแปะไว้ที่แก้ม 00:17:32.000 --> 00:17:35.000 (หัวเราะ) 00:17:35.000 --> 00:17:37.000 ฉันหวังว่าอีกร้อยปีในอนาคต 00:17:37.000 --> 00:17:39.000 คนจะหันกลับมามองแล้วคิดว่า"โห" NOTE Paragraph 00:17:39.000 --> 00:17:41.000 (หัวเราะ) NOTE Paragraph 00:17:41.000 --> 00:17:43.000 และเราสร้างความสมบูรณ์แบบ อย่างอันตรายที่สุด 00:17:43.000 --> 00:17:45.000 กับเด็กๆ 00:17:45.000 --> 00:17:47.000 ฉันจะบอกให้ค่ะ ว่าเราคิดถึงเด็กๆยังไง 00:17:47.000 --> 00:17:50.000 พวกเขาถูกสร้างให้พร้อมที่จะดิ้นรนตั้งแต่เกิด 00:17:50.000 --> 00:17:53.000 และเมื่อเราอุ้มลูกที่ดูสมบูรณ์แบบไว้ในอ้อมแขน 00:17:53.000 --> 00:17:55.000 หน้าที่ของเราไม่ใช่การพูดว่า "ดูสิ เธอช่างสมบูรณ์แบบ 00:17:55.000 --> 00:17:57.000 หน้าที่ของฉันคือต้องรักษาความสมบูรณ์แบบเอาไว้ 00:17:57.000 --> 00:18:00.000 ต้องให้เธอเข้าทีมเทนนิสได้ภายในป.5 แล้วก็เข้าม.Yaleได้ภายในม.1" 00:18:00.000 --> 00:18:02.000 นั่นไม่ใช่งานของเราค่ะ 00:18:02.000 --> 00:18:04.000 หน้าที่ของเราคือมองดูแล้วก็พูดว่า 00:18:04.000 --> 00:18:07.000 "รู้มั้ย เธอไม่ได้สมบูรณ์แบบ และเธอถูกสร้างมาเพื่อสู้ 00:18:07.000 --> 00:18:09.000 แต่ว่าเธอมีค่าพอสำหรับความรัก และความผูกพัน" 00:18:09.000 --> 00:18:11.000 นั่นคืองานของเรา 00:18:11.000 --> 00:18:13.000 ถ้าเรามีเด็กๆทั้งรุ่นที่ถูกเลี้ยงแบบนั้น 00:18:13.000 --> 00:18:16.000 เราจะกำจัดปัญหาที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ได้หมด 00:18:16.000 --> 00:18:20.000 เราแสร้งคิดว่าสิ่งที่เราทำ 00:18:20.000 --> 00:18:23.000 ไม่ได้ส่งผลต่อคนอื่น 00:18:23.000 --> 00:18:25.000 เราทำอย่างนั้นในชีวิตส่วนตัว 00:18:25.000 --> 00:18:27.000 เราทำอย่างนั้นในธุรกิจ 00:18:27.000 --> 00:18:29.000 ไม่ว่าจะเป็นการอุดหนุนธุรกิจล้มละลาย หรือกรณีน้ำมันรั่ว 00:18:29.000 --> 00:18:31.000 การเรียกคืนสินค้า 00:18:31.000 --> 00:18:33.000 เราแสร้งทำเป็นว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ 00:18:33.000 --> 00:18:36.000 ไม่ได้มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อคนอื่น 00:18:36.000 --> 00:18:39.000 อยากจะบอกพวกบริษัทใหญ่ว่า เราไม่ใช่เด็กอมมือแล้ว เรารู้ 00:18:40.000 --> 00:18:42.000 เราแค่อยากให้คุณจริงใจ 00:18:42.000 --> 00:18:44.000 แล้วบอกว่า"เราขอโทษ 00:18:44.000 --> 00:18:47.000 เราจะแก้ไขมัน" NOTE Paragraph 00:18:50.000 --> 00:18:52.000 แต่ว่ามันมีอีกวิธีหนึ่ง สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากจะฝากไว้ 00:18:52.000 --> 00:18:54.000 ฉันค้นพบว่า 00:18:54.000 --> 00:18:56.000 การเปิดเผยตัวตนของเรา 00:18:56.000 --> 00:18:58.000 ให้ถูกมองเห็นอย่างลึกซึ้ง 00:18:58.000 --> 00:19:01.000 ยอมเปราะบางให้ได้มองเห็น 00:19:01.000 --> 00:19:03.000 การรักทั้งสุดจิตสุดใจ 00:19:03.000 --> 00:19:05.000 ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรมารับประกัน 00:19:05.000 --> 00:19:07.000 มันยากมาก 00:19:07.000 --> 00:19:10.000 ฉันบอกคุณได้เลยในฐานะพ่อแม่ ว่ามันยากเจ็บปวดและมากๆ 00:19:12.000 --> 00:19:15.000 ในการรู้สึกถึงความตื้นตันและความปิติ 00:19:15.000 --> 00:19:17.000 ในเวลาที่น่าหวาดกลัว 00:19:17.000 --> 00:19:19.000 ที่เราสงสัยว่า"ฉันรักเธอได้มากขนาดนี้จริงเหรอ 00:19:19.000 --> 00:19:21.000 ฉันเชื่อในสิ่งนี้ทั้งใจจริงๆรึเปล่า 00:19:21.000 --> 00:19:24.000 ฉันดุได้ขนาดนี้เลยเหรอ" 00:19:24.000 --> 00:19:26.000 ในการหยุดยั้งตัวเอง แทนการกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้น 00:19:26.000 --> 00:19:29.000 แล้วพูดว่า "ฉันน่ะโชคดีมาก 00:19:29.000 --> 00:19:32.000 เพราะการที่ฉันรู้สึกอ่อนแอ แปลว่าฉันยังมีชีวิต" 00:19:33.000 --> 00:19:36.000 และสุดท้าย ที่อาจจะสำคัญที่สุด 00:19:36.000 --> 00:19:39.000 คือการเชื่อว่าเราเพียงพอ 00:19:39.000 --> 00:19:41.000 เพราะเมื่อเราเริ่มต้นจาก 00:19:41.000 --> 00:19:44.000 ความเชื่อที่ว่า"เราเพียงพอแล้ว" 00:19:45.000 --> 00:19:48.000 เราจะหยุดร้องตะโกน และเริ่มรับฟัง 00:19:49.000 --> 00:19:51.000 เราจะอ่อนโยนและมีเมตตาต่อคนรอบข้างมากขึ้น 00:19:51.000 --> 00:19:54.000 และเราก็จะอ่อนโยนและมีเมตตาต่อตัวเองด้วย NOTE Paragraph 00:19:54.000 --> 00:19:56.000 นั่นคือทั้งหมดที่ฉันมี ขอบคุณค่ะ NOTE Paragraph 00:19:56.000 --> 00:19:59.000 (เสียงปรบมือ)