WEBVTT 00:00:00.000 --> 00:00:03.000 ผมอยากจะให้คุณลองนึกถึง 00:00:03.000 --> 00:00:05.000 เวลาที่คุณชอบอะไรอย่างหนึ่ง 00:00:05.000 --> 00:00:07.000 อาจจะเป็นภาพยนตร์ อัลบั้มเพลง เพลง หรือหนังสือ 00:00:07.000 --> 00:00:10.000 แล้วคุณแนะนำสิ่งนั้นให้คนที่คุณชอบ 00:00:10.000 --> 00:00:12.000 อย่างหมดใจ 00:00:12.000 --> 00:00:14.000 แล้วคุณรอคอยปฏิกิริยาจากคนๆนั้น 00:00:14.000 --> 00:00:17.000 ปรากฏว่า คนๆนั้นกลับไม่ชอบสิ่งที่คุณแนะนำเลย 00:00:17.000 --> 00:00:19.000 ที่ผมพูดมานี้ 00:00:19.000 --> 00:00:21.000 เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ 00:00:21.000 --> 00:00:24.000 ผมเจอทุกวันตลอดการทำงาน 6 ปีที่ผ่านมา (เสียงหัวเราะ) 00:00:24.000 --> 00:00:26.000 ผมเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ระดับมัธยมครับ 00:00:26.000 --> 00:00:29.000 ผมขายผลิตภัณฑ์ของผมให้กับตลาด 00:00:29.000 --> 00:00:32.000 ซึ่งไม่ได้อยากซื้อของผมเลย แต่ถูกบังคับโดยกฏหมาย 00:00:32.000 --> 00:00:35.000 เหมือนกับผมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกสนามรบ NOTE Paragraph 00:00:35.000 --> 00:00:38.000 มีทัศนคติหนึ่งเกี่ยวกับนักเรียน ซึ่งผมคิดว่า 00:00:38.000 --> 00:00:40.000 เป็นอะไรที่ใช้ได้กับพวกคุณทุกคนครับ 00:00:40.000 --> 00:00:42.000 ถ้าผมให้พวกคุณ 00:00:42.000 --> 00:00:44.000 ทำข้อสอบปลายภาควิชาคณิตศาสตร์ 00:00:44.000 --> 00:00:46.000 ผมคิดว่ามีคนไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ 00:00:46.000 --> 00:00:48.000 ที่จะทำข้อสอบผ่าน 00:00:48.000 --> 00:00:51.000 ความจริงนี้ไม่ได้ชี้วัดตัวคุณหรือนักเรียนของผมเลย 00:00:51.000 --> 00:00:53.000 แต่มันชี้วัดสิ่งที่เราเรียกว่า การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ 00:00:53.000 --> 00:00:55.000 ในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน NOTE Paragraph 00:00:55.000 --> 00:00:58.000 ผมจะเริ่มโดยแบ่งคณิตศาสตร์เป็นสองจำพวกครับ 00:00:58.000 --> 00:01:01.000 พวกแรกคือ การคำนวณ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณได้หลงลืมไป 00:01:01.000 --> 00:01:03.000 ยกตัวอย่างเช่น การแยกตัวประกอบพหุนามกำลังสอง 00:01:03.000 --> 00:01:05.000 ที่มีสัมประสิทธ์นำมากกว่าหนึ่ง 00:01:05.000 --> 00:01:07.000 อันนี้เป็นอะไรที่คุณสามารถทบทวนใหม่ได้ 00:01:07.000 --> 00:01:09.000 ถ้าหากคุณมีพื้นฐานแน่น 00:01:09.000 --> 00:01:11.000 ในการใช้เหตุผล ส่วนพวกที่สอง เหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ 00:01:11.000 --> 00:01:13.000 ซึ่งเราจะเรียกว่า บทประยุกต์ (แอพพลิเคชัน) 00:01:13.000 --> 00:01:15.000 ของกระบวนการคณิตศาสตร์รอบตัวเรา 00:01:15.000 --> 00:01:17.000 อันนี้แหละครับเป็นสิ่งที่สอนยาก 00:01:17.000 --> 00:01:19.000 แต่เป็นสิ่งที่เราอยากให้นักเรียนเรียนรู้เหลือเกิน 00:01:19.000 --> 00:01:21.000 แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนต่อทางคณิตศาสตร์ก็ตาม 00:01:21.000 --> 00:01:23.000 ถ้าจะพูดก็คือ วิธีการสอนคณิตศาสตร์ในสหรัฐฯ นั้น 00:01:23.000 --> 00:01:25.000 ทำให้นักเรียนของเราไม่จดจำสิ่งที่เรียนไว้ 00:01:26.000 --> 00:01:27.000 ครับ ผมจึงอยากจะพูดถึงว่าทำไม 00:01:27.000 --> 00:01:30.000 สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถึงเป็นหายนะของสังคม แล้วเราสามารถทำอะไรได้บ้าง 00:01:30.000 --> 00:01:32.000 และผมจะจบการพูดนี้ว่า ทำไมเวลานี้ 00:01:32.000 --> 00:01:34.000 จึงเป็นเวลาที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นครูคณิตศาสตร์ NOTE Paragraph 00:01:34.000 --> 00:01:36.000 เรามาเริ่มกันที่ ห้าอาการที่บอกว่า 00:01:36.000 --> 00:01:38.000 คุณกำลังให้เหตุผลเชิงคณิตศาสตร์อย่างไม่ถูกต้อง 00:01:38.000 --> 00:01:40.000 ในห้องเรียนของคุณ 00:01:40.000 --> 00:01:43.000 หนึ่ง การขาดแรงกระตุ้น นักเรียนไม่ริเริ่มด้วยตนเอง 00:01:43.000 --> 00:01:45.000 หลังจากคุณอธิบายเนื้อหาเสร็จ 00:01:45.000 --> 00:01:47.000 มีนักเรียนห้าคนยกมือขึ้นทันที 00:01:47.000 --> 00:01:49.000 เพื่อขอให้คุณอธิบายสิ่งที่คุณเพิ่งอธิบายเมื่อครู่ให้กับพวกเขาที่โต๊ะ 00:01:49.000 --> 00:01:51.000 สอง นักเรียนขาดความพยายาม 00:01:51.000 --> 00:01:53.000 สาม นักเรียนคืนความรู้ ถ้าคุณพบว่า 00:01:53.000 --> 00:01:55.000 คุณสอนของทั้งหมดที่คุณเคยสอนไปแล้ว ในอีกสามเดือนถัดไป 00:01:55.000 --> 00:01:57.000 สี่ นักเรียนเกลียดโจทย์ปัญหา 00:01:57.000 --> 00:01:59.000 ซึ่งคิดเป็น 99 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนผม 00:01:59.000 --> 00:02:01.000 ส่วนอีก 1 เปอร์เซ็นต์ 00:02:01.000 --> 00:02:03.000 ก็รอสูตรสำเร็จอย่างใจจดใจจ่อ 00:02:03.000 --> 00:02:05.000 จะได้เอามาใช้ในโจทย์ได้ทันที 00:02:05.000 --> 00:02:07.000 ข้อนี้นี่อันตรายครับ NOTE Paragraph 00:02:07.000 --> 00:02:10.000 เดวิด มิลช์ ผู้สร้าง รายการโทรทัศน์ "Deadwood" และรายการโทรทัศน์อื่นๆ 00:02:10.000 --> 00:02:13.000 มีคำอธิบายที่ดีสำหรับปรากฏการณ์นี้ 00:02:13.000 --> 00:02:15.000 มิลช์สัญญาว่าจะเลิกผลิต 00:02:15.000 --> 00:02:17.000 ละครที่มีเนื้อหาร่วมสมัย 00:02:17.000 --> 00:02:19.000 หรือรายการที่ใช้ฉากเรื่องราวปัจจุบัน 00:02:19.000 --> 00:02:21.000 เพราะว่าเขาเห็นว่า คนกำลังให้เวลา 00:02:21.000 --> 00:02:24.000 สี่ชั่วโมงต่อวันกับละครซิทคอม "Two and a Half Men" ด้วยความเคารพนะครับ 00:02:24.000 --> 00:02:26.000 มิลช์บอกว่า มันส่งผลต่อวิถีประสาทของเรา 00:02:26.000 --> 00:02:29.000 โดยทำให้ ระบบการคิดคาดหวังแต่ปัญหาที่ง่ายๆ 00:02:29.000 --> 00:02:32.000 ที่มิลช์เรียกว่า ความไม่อดทนต่อการแก้ปัญหาไม่ได้ 00:02:32.000 --> 00:02:35.000 คุณไม่อดทนต่อสิ่งที่ไม่สามารถแก้ได้อย่างรวดเร็ว 00:02:35.000 --> 00:02:38.000 คุณคาดหวังแต่ปัญหาแบบละครซิทคอมที่ทุกอย่างถูกเฉลยภายใน 22 นาที 00:02:38.000 --> 00:02:41.000 3 พักโฆษณา และเสียงหัวเราะในละคร 00:02:41.000 --> 00:02:43.000 แล้วผมจะบอกคุณครับ 00:02:44.000 --> 00:02:47.000 ในสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีปัญหาไหนที่ถูกแก้ได้ง่ายๆ 00:02:47.000 --> 00:02:49.000 ผมเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ 00:02:49.000 --> 00:02:52.000 เพราะว่า ผมจะเกษียณในโลกที่ขับเคลื่อนโดยนักเรียนของผม 00:02:52.000 --> 00:02:54.000 ผมกำลังทำสิ่งผิด 00:02:54.000 --> 00:02:56.000 ต่ออนาคต และคุณภาพชีวิตของผม 00:02:56.000 --> 00:02:58.000 หากผมสอนในรูปแบบซิทคอม 00:02:58.000 --> 00:03:01.000 ผมอยากจะบอกคุณครับว่า วิธีที่หนังสือเรียนที่ใช้กันโดยทั่วไป 00:03:01.000 --> 00:03:04.000 สอนการให้เหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ 00:03:04.000 --> 00:03:06.000 และวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน 00:03:06.000 --> 00:03:09.000 ไม่ต่างกับการดูละคร "Two and a Half Men" ไปวันๆ NOTE Paragraph 00:03:09.000 --> 00:03:11.000 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:03:11.000 --> 00:03:14.000 ยกตัวอย่างจากหนังสือเรียนฟิสิกส์เล่มหนึ่งครับ 00:03:14.000 --> 00:03:16.000 ซึ่งใช้อธิบายการสอนคณิตศาสตร์ได้ไม่ต่างกัน 00:03:16.000 --> 00:03:18.000 ดูตรงนี้ที่แรกครับ 00:03:18.000 --> 00:03:20.000 คุณเห็นตัวเลขสามอย่างนี้ 00:03:20.000 --> 00:03:22.000 แต่ละตัวเลขก็จะถูกนำไปแทนค่าในสูตร 00:03:22.000 --> 00:03:24.000 แล้วในที่สุด 00:03:24.000 --> 00:03:26.000 นักเรียนก็จะได้คำตอบออกมา 00:03:26.000 --> 00:03:28.000 ผมเชื่อในความเป็นจริงครับ 00:03:28.000 --> 00:03:30.000 ลองถามตัวเองนะครับ ว่ามีครั้งไหนไหมที่คุณแก้ปัญหา 00:03:30.000 --> 00:03:32.000 ที่สมควรแก่การแก้ 00:03:32.000 --> 00:03:34.000 โดยมีข้อมูลครบถ้วนอยู่ตรงหน้า 00:03:34.000 --> 00:03:37.000 ไม่มีข้อมูลเกิน ที่คุณต้องคัดออก 00:03:37.000 --> 00:03:39.000 หรือกรณีที่มีข้อมูลไม่เพียงพอ 00:03:39.000 --> 00:03:41.000 แล้วจำเป็นต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม 00:03:41.000 --> 00:03:44.000 ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นด้วย ไม่มีปัญหาไหนง่ายอย่างนั้น 00:03:44.000 --> 00:03:47.000 ผมคิดว่า หนังสือมันช่างเชี่ยวชาญในการตัดกำลังเด็กเหลือเกิน 00:03:47.000 --> 00:03:50.000 ดูนี่ครับ นี่คือแบบฝึกหัด 00:03:50.000 --> 00:03:52.000 เมื่อถึงเวลาที่จะทำโจทย์ปัญหาจริงๆ 00:03:52.000 --> 00:03:54.000 เรามีปัญหาแบบนี้ 00:03:54.000 --> 00:03:57.000 เราจะสลับตัวเลขนิด เปลี่ยนบริบทของโจทย์หน่อย 00:03:57.000 --> 00:04:00.000 แล้วถ้าหากนักเรียนยังนึกโจทย์ต้นแบบไม่ออกอีก 00:04:00.000 --> 00:04:02.000 ตรงนี้ที่ช่วยอธิบายคุณครับว่า 00:04:02.000 --> 00:04:05.000 ตัวอย่างข้อไหนที่คุณสามารถกลับไปดูสูตรได้ 00:04:05.000 --> 00:04:07.000 ผมพูดจริงๆครับว่า คุณสามารถ 00:04:07.000 --> 00:04:10.000 ผ่านข้อสอบบทนี้ไปได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้ฟิสิกส์แม้แต่น้อย 00:04:10.000 --> 00:04:13.000 แค่รู้ว่าจะถอดรหัสหนังสือเรียนอย่างไรก็พอ นี่คือความน่าอายครับ NOTE Paragraph 00:04:13.000 --> 00:04:16.000 ถ้าให้ผมชำแหละแบบนี้กับโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ 00:04:16.000 --> 00:04:18.000 นี่ครับ นี่เป็นโจทย์ที่น่าสนใจ 00:04:18.000 --> 00:04:20.000 เป็นเรื่องเกี่ยวกับนิยามของความชัน 00:04:20.000 --> 00:04:22.000 โดยใช้สกีครับ 00:04:22.000 --> 00:04:24.000 แต่ว่าในข้อนี้คุณมีความสูงที่แตกต่างกันสี่ชั้น 00:04:24.000 --> 00:04:27.000 และผมสงสัยว่า มีใครบ้างครับที่เห็นว่า สี่ชั้นย่อยๆนี้ 00:04:27.000 --> 00:04:30.000 แล้วโดยเฉพาะเวลาที่มันต่อเข้าด้วยกัน 00:04:30.000 --> 00:04:32.000 ให้นักเรียนดูในครั้งเดียว 00:04:32.000 --> 00:04:35.000 สร้างความใจร้อนในการแก้ปัญหา 00:04:35.000 --> 00:04:37.000 ผมจะให้คำจำกัดความครับ ให้คุณเห็นภาพ 00:04:37.000 --> 00:04:39.000 คุณจะเห็นโครงสร้างคณิตศาสตร์ 00:04:39.000 --> 00:04:41.000 มีการกล่าวถึงตาราง ขนาด ชื่อจุด 00:04:41.000 --> 00:04:43.000 จุด แกน อะไรประมาณนั้น 00:04:43.000 --> 00:04:46.000 คุณมีขั้นตอนย่อยๆ ซึ่งนำพอเราไปสู่จุดหมาย 00:04:46.000 --> 00:04:48.000 นั่นคือ คำตอบว่าช่วงไหนมีความชันมากที่สุด NOTE Paragraph 00:04:48.000 --> 00:04:50.000 คุณจะเห็นนะครับว่า 00:04:50.000 --> 00:04:52.000 สิ่งที่เรากำลังทำ 00:04:52.000 --> 00:04:54.000 คือเรามีคำถามที่น่าสนใจ กับคำตอบ 00:04:54.000 --> 00:04:56.000 แล้วเราปูทางตรงเรียบๆ 00:04:56.000 --> 00:04:58.000 จากคำถามตรงสู่คำตอบ 00:04:58.000 --> 00:05:00.000 แล้วดีใจกับนักเรียน ที่พวกเขาสามารถ 00:05:00.000 --> 00:05:02.000 ก้าวผ่านเพียงรอยแยกเล็กๆระหว่างทางที่เราปูไว้ได้ 00:05:02.000 --> 00:05:04.000 นั่นคือสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ครับ 00:05:04.000 --> 00:05:06.000 ผมอยากบอกทุกคนว่า ถ้าเราแยกโจทย์ข้อนี้ในวิธีที่ต่างออกไป 00:05:06.000 --> 00:05:08.000 แล้วสร้างปัญหานี้พร้อมๆ ไปกับนักเรียน 00:05:08.000 --> 00:05:11.000 เราสามารถพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่างที่เรามุ่งหวังได้ NOTE Paragraph 00:05:11.000 --> 00:05:13.000 จากตรงนี้ ผมเริ่มที่ภาพครับ 00:05:13.000 --> 00:05:15.000 แล้วผมถามเลยว่า 00:05:15.000 --> 00:05:17.000 ช่วงไหนที่ชันที่สุด 00:05:17.000 --> 00:05:19.000 ซึงก็จะเกิดการสนทนาขึ้น 00:05:19.000 --> 00:05:22.000 เพราะว่ารูปนี้ถูกสร้างขึ้นให้คุณสามารถคิดได้สองคำตอบ 00:05:22.000 --> 00:05:24.000 คุณก็จะได้นักเรียนสองกลุ่มที่มีคำตอบต่างกัน 00:05:24.000 --> 00:05:26.000 ระหว่างเพื่อนกับเพื่อนนี่แหละครับ 00:05:26.000 --> 00:05:28.000 ให้เขาจับคู่ สอบถามกัน อะไรก็ได้ 00:05:28.000 --> 00:05:30.000 ผลสุดท้าย เราจะพบว่า 00:05:30.000 --> 00:05:32.000 มันจะน่ารำคาญมากที่จะพูดถึง 00:05:32.000 --> 00:05:34.000 นักสกีมุมซ้ายล่างของหน้าจอ 00:05:34.000 --> 00:05:36.000 หรือนักสกีตรงกลาง 00:05:36.000 --> 00:05:38.000 แล้วเราจะตระหนักว่า มันคงดีกว่านี้นะ 00:05:38.000 --> 00:05:40.000 ถ้าเราตั้งชื่อจุด A, B, C และ D 00:05:40.000 --> 00:05:42.000 เพื่อจะได้พูดถึงช่วงต่างๆ ได้ง่ายขึ้น 00:05:42.000 --> 00:05:45.000 เมื่อเราเริ่มได้คำนิยามของความชัน 00:05:45.000 --> 00:05:47.000 เราก็จะคิดอีกว่า มันจะดีมาก ถ้ามีค่าตัวเลขมาให้ 00:05:47.000 --> 00:05:50.000 เพื่อนิยามให้ชัดๆ ว่า ความชันหมายถึงอะไร 00:05:50.000 --> 00:05:52.000 หลังจากนั้นเท่านั้น 00:05:52.000 --> 00:05:54.000 ที่เราจะวางโครงสร้างการคิดเชิงคณิตศาสตร์ 00:05:54.000 --> 00:05:56.000 คณิตศาสตร์ต้องเสริมการสนทนาครับ 00:05:56.000 --> 00:05:58.000 ไม่ใช่ให้การสนทนาเสริมคณิตศาสตร์ 00:05:58.000 --> 00:06:01.000 ณ จุดนั้น ผมอยากบอกว่า 9 ใน 10 ห้องที่สอน 00:06:01.000 --> 00:06:03.000 จะมีพื้นฐานดีพร้อมที่จะเรียนในเรื่องความชันทั้งหลาย 00:06:03.000 --> 00:06:05.000 แต่ถ้าคุณต้องการ 00:06:05.000 --> 00:06:07.000 นักเรียนของคุณก็สามารถสร้างขั้นตอนย่อยๆ ด้วยกันได้ NOTE Paragraph 00:06:07.000 --> 00:06:10.000 คุณเห็นไหมครับว่า เมื่อเทียบกระบวนการนี้กับแบบเดิม 00:06:10.000 --> 00:06:13.000 แบบไหนที่สร้างการแก้ปัญหาแบบเป็นระบบ การให้เหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ที่เราต้องการ 00:06:13.000 --> 00:06:16.000 ในทางปฏิบัติ คำตอบค่อนข้างชัดเจนสำหรับผมครับ 00:06:16.000 --> 00:06:18.000 ผมจะยกเวทีนี้สักครู่ให้กับ ไอนสไตน์ครับ 00:06:18.000 --> 00:06:20.000 คนที่ผมเชื่อว่า สมควรที่จะได้รับเกียรตินี้ 00:06:20.000 --> 00:06:23.000 ไอนสไตน์พูดถึงการออกแบบโจทย์ปัญหาว่าสำคัญมากๆ 00:06:23.000 --> 00:06:25.000 ทว่าจากประสบการณ์ของผมในสหรัฐฯ 00:06:25.000 --> 00:06:27.000 เรายื่นโจทย์ให้กับนักเรียน 00:06:27.000 --> 00:06:30.000 นักเรียนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างโจทย์ NOTE Paragraph 00:06:31.000 --> 00:06:33.000 ดังนั้น 90 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่ผมทำ 00:06:33.000 --> 00:06:35.000 ในช่วงเวลาห้าชั่วโมงต่อสัปดาห์ ของการเตรียมการสอน 00:06:35.000 --> 00:06:38.000 คือการดึงสิ่งที่น่าจะกระตุ้นความสนใจ 00:06:38.000 --> 00:06:40.000 ในโจทย์ปัญหาประมาณนี้จากหนังสือเรียน แล้วสร้างโจทย์นั้นขึ้นใหม่ 00:06:40.000 --> 00:06:43.000 เพื่อให้ปัญหาข้อนั้นสร้างกระบวนการให้เหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ และสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน 00:06:43.000 --> 00:06:45.000 และนี่คือวิธีการครับ 00:06:45.000 --> 00:06:47.000 ผมชอบปัญหาข้อนี้ครับ เกี่ยวกับถังน้ำ 00:06:47.000 --> 00:06:49.000 คำถามถามว่า นานเท่าไร ถังน้ำนี้จึงจะถูกเติมเต็ม 00:06:49.000 --> 00:06:51.000 สิ่งแรกที่เราทำ คือเราลบขั้นตอนย่อยๆออกเสีย 00:06:51.000 --> 00:06:53.000 นักเรียนจะต้องริเริ่ม 00:06:53.000 --> 00:06:55.000 และจะต้องสร้างขั้นตอนย่อยๆ เหล่านั้นขึ้นเอง 00:06:55.000 --> 00:06:58.000 สังเกตด้วยครับว่า ข้อมูลที่ให้มาเป็นข้อมูลทั้งหมดที่เราต้องการ 00:06:58.000 --> 00:07:00.000 ไม่มีอันไหนเป็นตัวหลอก เราเสียไปอย่างหนึ่งครับ 00:07:00.000 --> 00:07:02.000 เพราะนักเรียนต้องตัดสินใจว่า "อืม ... 00:07:02.000 --> 00:07:04.000 ความสูงของถังเกี่ยวหรือไม่? ความกว้างของถังมีผลหรือเปล่า? 00:07:04.000 --> 00:07:07.000 สีของก๊อกน้ำล่ะ? มีอะไรสำคัญบ้างในการเติมน้ำใส่ถัง?" 00:07:07.000 --> 00:07:10.000 คำถามต่างๆ ที่ถูกหลงลืมในหลักสูตรคณิตศาสตร์ 00:07:10.000 --> 00:07:12.000 ตอนนี้เราเลยมีถังน้ำครับ 00:07:12.000 --> 00:07:14.000 ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเติมเต็ม? แค่นั้น NOTE Paragraph 00:07:14.000 --> 00:07:16.000 และเพราะว่าเราอยู่ในศตวรรษที่ 21 00:07:16.000 --> 00:07:19.000 เราเลยชอบที่จะพูดถึงอะไรๆ ที่เป็นของจริง 00:07:19.000 --> 00:07:22.000 ไม่ใช่แค่ลายเส้น หรือรูปวาดประกอบ 00:07:22.000 --> 00:07:24.000 ที่เรามักเห็นบ่อยๆ ในหนังสือเรียน 00:07:24.000 --> 00:07:26.000 เราออกไปข้างนอก แล้วเราถ่ายภาพถังน้ำ 00:07:26.000 --> 00:07:28.000 ตอนนี้คำถามเป็นเรื่องจริงจังมากขึ้น 00:07:28.000 --> 00:07:30.000 จะใช้เวลาเท่าไร น้ำจึงจะเต็มถัง? 00:07:30.000 --> 00:07:32.000 ดีขึ้นไปกว่านี้อีก คืออัดวิดีโอไว้ครับ 00:07:32.000 --> 00:07:35.000 วิดีโอของสักคนเติมน้ำลงในถัง 00:07:35.000 --> 00:07:37.000 เติมน้ำอย่างช้าๆ ช้าเกินไปที่จะรอ 00:07:37.000 --> 00:07:39.000 ครับ มันน่าเบื่อ 00:07:39.000 --> 00:07:41.000 นักเรียนก็จะดูนาฬิกา เกลือกกลิ้งตาไปมา 00:07:41.000 --> 00:07:44.000 ณ จุดๆหนึ่ง พวกเขาจะสงสัยเหมือนกันว่า 00:07:44.000 --> 00:07:47.000 "อีกนานเท่าไหร่เนี่ย กว่ามันจะเต็มถัง" 00:07:47.000 --> 00:07:52.000 (หัวเราะ) 00:07:52.000 --> 00:07:55.000 เหยื่อเรากินเบ็ดเราเข้าให้แล้ว ใช่ไหมครับ NOTE Paragraph 00:07:56.000 --> 00:07:59.000 คำถามที่เกิดจากตรงนี้ เป็นอะไรที่ผมคิดว่าสนุก 00:07:59.000 --> 00:08:01.000 เพราะเหมือนที่ผมได้เกริ่นไว้ 00:08:01.000 --> 00:08:04.000 ผมสอนเด็ก แล้วเนื่องจากประสบการณ์ของผมยังน้อย 00:08:04.000 --> 00:08:06.000 ผมสอนเด็กที่อ่อนคณิตศาสตร์มากที่สุด 00:08:06.000 --> 00:08:09.000 แล้วผมก็มีเด็กบางคนที่ไม่ยอมร่วมวงอภิปรายเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ 00:08:09.000 --> 00:08:11.000 เพราะคนอื่นมีสูตรสำเร็จอยู่แล้ว 00:08:11.000 --> 00:08:14.000 เพราะว่าเขาคิดว่า คนอื่นรู้จักวิธีการใช้สูตร 00:08:14.000 --> 00:08:16.000 เขาก็จะไม่ยอมร่วมวงแก้ปัญหาด้วย 00:08:16.000 --> 00:08:19.000 แต่คราวนี้ นักเรียนทุกคนต้องใช้ไหวพริบเหมือนๆกัน 00:08:19.000 --> 00:08:22.000 ทุกคนเคยเติมน้ำลงอะไรสักอย่างมาแน่ๆ 00:08:22.000 --> 00:08:25.000 ผมก็จะให้เด็กตอบคำถามว่า จะใช้เวลานานเท่าไหร่ 00:08:25.000 --> 00:08:28.000 คราวนี้ผมได้เด็กที่ปกติกลัวที่จะพูดเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ 00:08:28.000 --> 00:08:30.000 ร่วมวงสนทนาด้วย 00:08:30.000 --> 00:08:33.000 เราเขียนชื่อบนกระดาน คู่กับสิ่งที่เขาคาดไว้ 00:08:33.000 --> 00:08:35.000 สิ่งที่เขานำมาสู่วงสนทนาด้วย 00:08:35.000 --> 00:08:37.000 จากนั้นเราก็ทำตามขั้นตอนที่ผมพูดถึง 00:08:37.000 --> 00:08:39.000 และสิ่งที่ดีที่สุด 00:08:39.000 --> 00:08:41.000 คือว่าเราไม่ได้คำตอบจากเฉลย 00:08:41.000 --> 00:08:43.000 จากในท้ายเล่มของคู่มือครู 00:08:43.000 --> 00:08:46.000 ซึ่งไม่ต่างกับที่เราข้ามไปดูตอนจบของหนังเลย 00:08:46.000 --> 00:08:48.000 (เสียงหัวเราะ) 00:08:48.000 --> 00:08:50.000 นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวครับ 00:08:50.000 --> 00:08:52.000 เพราะว่าทฤษฏีที่ได้ผลเสมอ 00:08:52.000 --> 00:08:54.000 ในคำเฉลยท้ายเล่มของคู่มือครู 00:08:54.000 --> 00:08:56.000 เป็นสิ่งดีครับ แต่ 00:08:56.000 --> 00:08:58.000 มันน่ากลัวที่จะพูดพึงมัน 00:08:58.000 --> 00:09:00.000 ในวันที่ทฤษฏีไม่สอดคล้องกับภาคปฏิบัติ 00:09:00.000 --> 00:09:02.000 แต่การสนทนาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีค่า 00:09:02.000 --> 00:09:04.000 ในสิ่งที่มีค่ามากที่สุด NOTE Paragraph 00:09:04.000 --> 00:09:06.000 ผมจึงมาที่นี่เพื่อเสนอเกมสนุกๆ 00:09:06.000 --> 00:09:08.000 เพื่อใช้กับนักเรียนที่มาพร้อมกับ 00:09:08.000 --> 00:09:10.000 โรคร้ายเหล่านี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน 00:09:10.000 --> 00:09:13.000 หลังจากหนึ่งภาคเรียนผ่านไป 00:09:13.000 --> 00:09:15.000 เวลาผมนำเสนอเรื่องอะไร 00:09:15.000 --> 00:09:17.000 ไม่ว่าจะใหม่ หรือไม่คุ้นเคย 00:09:17.000 --> 00:09:19.000 พวกเขาจะร่วมสนทนาสักสามหรือสี่นาที 00:09:19.000 --> 00:09:21.000 เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นภาคเรียน 00:09:21.000 --> 00:09:23.000 ซึ่งเป็นอะไรที่สนุกมาก 00:09:23.000 --> 00:09:26.000 เราไม่กลัวโจทย์ปัญหาอีกต่อไป 00:09:26.000 --> 00:09:29.000 เพราะเรานิยามโจทย์ปัญหาขึ้นใหม่ 00:09:29.000 --> 00:09:31.000 เราไม่จำนนต่อคณิตศาสตร์อีกต่อไป 00:09:31.000 --> 00:09:33.000 เพราะเรากำลังสร้างนิยามคณิตศาสตร์ขี้นใหม่ด้วยกัน 00:09:33.000 --> 00:09:35.000 เท่าที่ผ่านมา มันสนุกครับ NOTE Paragraph 00:09:35.000 --> 00:09:38.000 ผมส่งเสริมครูคณิตศาสตร์ที่ผมคุยด้วยให้ใช้สื่อประสม 00:09:38.000 --> 00:09:40.000 เพราะว่าสื่อช่วยปะติดปะต่อโลกภายนอกกับห้องเรียน 00:09:40.000 --> 00:09:42.000 ด้วยความคมชัด และสีสันสดใส 00:09:42.000 --> 00:09:45.000 ให้พวกเขากระตุ้นปฎิภาณของนักเรียนในสนามเด็กเล่นแห่งนี้ 00:09:45.000 --> 00:09:47.000 ให้พวกเขาถามคำถามที่สั้นที่สุดที่เป็นไปได้ 00:09:47.000 --> 00:09:50.000 แล้วปล่อยให้คำถามที่เหลือ ออกมาระหว่างบทสนทนา 00:09:50.000 --> 00:09:52.000 ให้นักเรียนสร้างโจทย์ปัญหาด้วยตัวเอง 00:09:52.000 --> 00:09:54.000 ดังที่ไอน์สไตน์ได้พูดไว้ 00:09:54.000 --> 00:09:57.000 และท้ายที่สุดแล้ว อย่าบอกเรื่องทั้งหมดให้กับนักเรียน 00:09:57.000 --> 00:09:59.000 เพราะหนังสือเรียนช่วยคุณในทางที่ผิด 00:09:59.000 --> 00:10:02.000 หนังสือลดคุณค่าของหน้าที่ความเป็นครู 00:10:02.000 --> 00:10:05.000 ทำให้การแก้ไขปัญหา การคิดวิเคราะห์ มีความสำคัญน้อยลง NOTE Paragraph 00:10:05.000 --> 00:10:08.000 และนี่คือเหตุผล นี่คือยุคสมัยของครูคณิตศาสตร์ 00:10:08.000 --> 00:10:10.000 เพราะเรามีเครื่องมือที่สามารถสร้าง 00:10:10.000 --> 00:10:12.000 หลักสูตรคุณภาพด้วยมือของเรา 00:10:12.000 --> 00:10:14.000 เป็นอะไรที่ทำได้ง่าย และราคาถูก 00:10:14.000 --> 00:10:16.000 และเครื่องมือที่ใช้แจกจ่าย 00:10:16.000 --> 00:10:18.000 เผยแพร่อย่างถูกลิขสิทธิ์ 00:10:18.000 --> 00:10:21.000 ก็ไม่เคยราคาถูก หรือแพร่หลายแบบนี้มาก่อน 00:10:21.000 --> 00:10:23.000 ผมโพสต์วิดีโอของผมลงในเว็บไซต์ เมื่อไม่นานมานี้ 00:10:23.000 --> 00:10:26.000 มีคนดู 6,000 คนในสองสัปดาห์ 00:10:26.000 --> 00:10:29.000 แถมยังได้อีเมล์จากครูในประเทศที่ผมไม่เคยไป 00:10:29.000 --> 00:10:32.000 ประมาณว่า "สุดยอดมาก เราพูดถึงสิ่งที่คุณกล่าวไว้ 00:10:32.000 --> 00:10:35.000 ผมได้ลองปรับปรุงให้งานของคุณดีขึ้นด้วยนะ" 00:10:35.000 --> 00:10:37.000 ซึ่งน่าอัศจรรย์ครับ 00:10:37.000 --> 00:10:39.000 ผมเขียนปัญหาต่อไปนี้ลงในบล็อกของผมไม่นานมานี้ 00:10:39.000 --> 00:10:41.000 ว่าคุณควรต่อแถวไหน ในร้านขายของ 00:10:41.000 --> 00:10:43.000 แถวหนึ่งมีสินค้า 19 ชิ้น ใน 1 ตะกร้า 00:10:43.000 --> 00:10:46.000 อีกแถวหนึ่งมี 4 ตะกร้า แต่มีสินค้าน้อยชิ้นกว่า 00:10:46.000 --> 00:10:49.000 และแบบจำลองนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของผม 00:10:49.000 --> 00:10:52.000 และทำให้ผมได้ออกรายการโทรทัศน์ ในไม่กี่สัปดาห์ถัดมา 00:10:52.000 --> 00:10:54.000 ซึ่งออกจะประหลาด ใช่ไหมครับ NOTE Paragraph 00:10:54.000 --> 00:10:56.000 จากทั้งหมดนี้ ผมสามารถสรุปได้แค่ว่า 00:10:56.000 --> 00:10:58.000 ไม่ใช่แค่นักเรียน แต่เราทุกคน 00:10:58.000 --> 00:11:00.000 ต้องการสิ่งนี้อย่างเร่งด่วน 00:11:00.000 --> 00:11:02.000 คณิตศาสตร์ทำให้เราเข้าใจโลก 00:11:02.000 --> 00:11:04.000 คณิตศาสตร์คือภาษา 00:11:04.000 --> 00:11:06.000 ของปฏิภาณไหวพริบของคุณ 00:11:06.000 --> 00:11:09.000 ผมจึงอยากกระตุ้นให้พวกคุณ ไม่ว่าจะอยู่ฐานะอะไรในวงการศึกษา 00:11:09.000 --> 00:11:12.000 ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน ผู้ปกครอง ครู นักการศึกษา หรืออะไรก็ตาม 00:11:12.000 --> 00:11:15.000 ให้แน่วแน่ในการปฏิรูปหลักสูตรคณิตศาสตร์ให้ดีขึ้น 00:11:15.000 --> 00:11:18.000 เราต้องการนักแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบครับ ขอบคุณครับ (ปรบมือ)