ผมอยากจะพูดกับคุณ
เกี่ยวกับอนาคตของวงการแพทย์
แต่ก่อนที่ผมจะทำอย่างนั้น
ผมอยากจะพูดถึงอดีตนิดหน่อย
ตลอดประวัติศาสตร์ทางการแพทย์
จนถึงเมื่อไม่นานมานี้
เรามีแนวคิดเกี่ยวกับความเจ็บป่วย
และการรักษา
ในรูปแบบที่ค่อนข้างเรียบง่ายชัดเจน
อันที่จริง รูปแบบนั้นมันก็เรียบง่ายจริง ๆ
จนคุณสามารถสรุปมันได้ในเพียงหกคำ
เป็นโรค กินยา ฆ่ามัน
ครับ เหตุผลที่รูปแบบนั้นเป็นที่นิยม
ก็เพราะการปฏิวัติทางยาปฏิชีวนะ
พวกคุณหลายคนคงจะไม่รู้
แต่เราได้ผลบุญ
ของการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นปีที่หนึ่งร้อย
ในสหรัฐอเมริกา
แต่สิ่งที่คุณรู้ก็คือ
การนำมันมาใช้นั้น
เป็นเหมือนช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลง
คุณมีสารเคมี
ไม่ว่ามันจะมาจากธรรมชาติ
หรือจากการสังเคราะห์ในห้องทดลอง
และมันจะกระจายไปทั่วร่างกายของคุณ
และไปหาเป้าหมายของมัน
เข้าจับกับเป้าหมาย --
ซึ่งเป็นจุลชีพ
หรือส่วนหนึ่งของจุลชีพ --
และจากนั้นก็ปิดกั้น
แม่กุญแจและลูกกุญแจ
ด้วยความคล่องแคล่ว
และจำเพาะเจาะจงอย่างยิ่ง
และคุณอาจติดโรคร้ายแรง
อะไรสักอย่างมาก่อนหน้านี้
เช่น ปอดบวม ซิฟิลิส วัณโรค --
และการเปลี่ยนมันให้กลายเป็น
ความเจ็บป่วยที่รักษาและบำบัดได้
คุณมีเชื้อปอดบวม
คุณกินเพนิซิลิน
คุณฆ่าจุลชีพ
และคุณก็หายจากโรค
แนวคิดที่น่าดึงดูด
ศักยภาพที่เทียบได้กับ
แม่กุญแจกับลูกกุญแจ
และการฆ่าอะไรสักอย่าง
มันแพร่กระจายไปทั่ววงการชีววิทยา
มันเป็นการเปลี่ยนแปลง
อย่างที่ไม่มีอะไรเหมือน
และเราก็ใช้เวลา 100 ปีที่ผ่านมา
ในการพยายามทำตามแบบแผนนั้น
ครั้งแล้วครั้งเล่า
กับโรคที่ไม่ใช่โรคติดต่อ
ในโรคเรื้อรัง อย่างเช่น เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
และมันก็ได้ผล
แต่มันได้ผลแค่บางส่วน
ให้ผมแสดงให้คุณดูนะครับ
ครับ ถ้าคุณพิจารณาองค์รวมทั้งหมด
ของปฏิกิริยาเคมีทั้งหมดในร่างกายมนุษย์
ทุก ๆ ปฏิกิริยาเคมี
ที่ร่างกายของคุณจะทำได้
คนส่วนใหญ่คิดว่ามันมีจำนวนเป็นล้าน
เอาเป็นว่ามีประมาณล้านหนึ่งก็แล้วกัน
และคุณก็ตั้งคำถามว่า
มีส่วนปฏิกิริยาจำนวนเท่าไร
ที่จะสามารถใช้เป็นเป้าหมาย
ของเภสัชภัณฑ์ทั้งหลาย
ซึ่งก็คือสารเคมีทางการแพทย์ทั้งหมด
จำนวนนั้นก็คือ 250
ที่เหลือคือสารเคมีที่เราไม่รู้จัก
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ 0.025 เปอร์เซ็นต์
ของปฏิกิริยาเคมีทั้งหมดในร่างกาย
อันที่จริงแล้วสามารถเป็นเป้าหมาย
ของกลไกแม่กุญแจและลูกกุญแจได้
ครับ ถ้าคุณคิดว่าสรีรวิทยาของมนุษย์
เป็นดั่งเครือข่ายโทรศัพท์ระหว่างประเทศ
ที่มีจุดที่มีปฏิสัมพันธ์กัน
และส่วนที่มีปฏิสัมพันธ์กัน
จากนั้นสารเคมีทางการแพทย์ของเราทั้งหมด
ก็จัดการในส่วนมุมเล็ก ๆ
ที่ขอบ ที่ส่วนนอกของเครือข่ายนั้น
มันเหมือนกับว่า
สารเคมีทางเภสัชกรรมของเราทั้งหมด
เป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ชุมสาย
ใน วิชิตา แคนซัส
ที่ง่วนอยู่กับโทรศัพท์ 10 หรือ 15 สาย
แล้วเราจะทำอย่างไรกับแนวคิดนี้ล่ะ
จะเป็นอย่างไร ถ้าเราสามารถจัดระเบียบ
วิธีการนี้ใหม่ได้
อันที่จริง มันกลายเป็นว่า ธรรมชาติ
ได้ให้แนวคิดว่าเราจะรู้สึก
ต่อความเจ็บป่วยอย่างไร
ในทางที่แตกต่างกันไป
แทนที่จะเป็นเรื่องของโรค
ยา และเป้าหมาย
อันที่จริง ธรรมชาติถูกจัดระเบียบ
ตามลำดับจากด้านล่างสู่ด้านบน
ไม่ใช่จากด้านบนลงมา
และเราเริ่มต้นจากหน่วยที่ทำงานด้วยตัวเอง
แบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งเรียกว่า เซลล์
หน่วยที่ทำงานด้วยตัวเอง
แบบกึ่งอัตโนมัตินี้
ก่อกำเนิดเป็นหน่วยที่ทำงานด้วยตัวเอง
แบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งเรียกว่า อวัยวะ
และอวัยวะเหล่านี้รวมตัวกัน
เพื่อก่อกำเนิดเป็นสิ่งที่เรียกว่า มนุษย์
และสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
สุดท้ายแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อม
ซึ่งส่วนหนึ่งทำงานด้วยตัวเอง
และส่วนหนึ่งเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ
แผนภาพที่มีการลดหลั่นเป็นลำดับนี้
มันเจ๋งตรงที่
มันถูกสร้างขึ้นมาจากด้านล่าง
แทนที่จะเป็นการสร้างมาจากด้านบน
มันทำให้เราสามารถคิดถึง
เรื่องความเจ็บป่วย
ในแบบที่แตกต่างออกไปได้
ลองพิจารณาดูโรค อย่างเช่น มะเร็ง
ตั้งแต่ยุค 1950
เราพยายามง่วนอยู่กับการหารูปแบบ
แม่กุญแจและลูกกุญแจให้กับมะเร็ง
เราพยายามที่จะฆ่าเซลล์
โดยใช้เคมีบำบัดมากมาย
หรือการบำบัดแบบกำหนดเป้าหมาย
และอย่างที่เรารู้ ๆ กัน
มันได้ผล
มันได้ผลสำหรับโรคอย่าง มะเร็งเม็ดเลือดขาว
มันได้ผลกับบางรูปแบบ
ของมะเร็งเต้านม
แต่สุดท้ายแล้ว คุณก็ไปถึงจุดสูงสุด
ของวิธีการนั้น
และเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้เอง
เราเพิ่งจะเริ่มคิดที่จะใช้ระบบภูมิคุ้มกัน
จำไว้นะครับว่าอันที่จริง
เซลล์มะเร็งไม่ได้เติบโตขึ้นมาในสุญญากาศ
มันเติบโตอยู่ในร่างกายมนุษย์
และคุณจะใช้ความสามารถของเรา
ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์เรา
ในการโจมตีมะเร็งไม่ได้เชียวหรือ
อันที่จริง มันนำเราไปสู่ยาใหม่
ที่น่าทึ่งที่สุดสำหรับรักษามะเร็ง
และท้ายที่สุด
มันมีระดับของสิ่งแวดล้อมไม่ใช่หรือ
รู้ไหมครับ ว่าเราไม่ได้คิดถึงมะเร็ง
ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม
แต่ให้ผมได้ยกตัวอย่างให้คุณฟังเกี่ยวกับ
สิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดมะเร็งอย่างมาก
มันเรียกว่า คุก
คุณเอาความเดียวดาย ความเครียด
และการถูกกักขัง
ลองนึกต่อไปนะครับว่ามีอะไรอีก
พับม้วนมันด้วยกระดาษสีขาวแผ่นเล็ก ๆ
หนึ่งในสารกระตุ้นประสาทที่มีฤทธิ์มากที่สุด
ที่เรารู้จักในนาม นิโคติน
และเอาหนึ่งในสารเสพติดที่มีฤทธิ์มากทึ่สุด
ที่คุณรู้จักเติมเข้าไป
และคุณก็จะได้สิ่งแวดล้อม
ที่พร้อมจะก่อให้เกิดมะเร็ง
แต่คุณสามารถมีสิ่งแวดล้อม
ที่ต้านการเกิดมะเร็งได้เช่นกัน
มีความพยายามที่จะสร้างสื่อกลาง
ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยนแปลงสื่อกลาง
ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม
เราพยายามเปลี่ยนสื่อกลางเมตาบอลิก
สำหรับมะเร็งรูปแบบอื่น ๆ
หรือลองพิจารณาโรคอื่น อย่างเช่น
โรคเครียด
เช่นเดียวกัน มันก่อตัวจากด้านล่างขึ้นไป
ตั้งแต่ยุค 1960 และ 1970
เราพยายามอย่างมาก
ในการปิดการทำงานของโมเลกุล
ที่กำกับทำงานระหว่างเซลล์ประสาท --
เซราโทนิน โดปามีน --
และพยายามรักษาอาการเครียด
ด้วยวิธีการนั้น
และมันก็ได้ผล
แต่จากนั้น เราก็ไปถึงทางตัน
และตอนนี้เราก็รู้ว่า
สิ่งที่คุณจะต้องทำจริง ๆ ก็คือ
เปลี่ยนสรีรวิทยาของอวัยวะ
ซึ่งก็คือสมอง
ย้อนมันกลับ จัดรูปแบบมันใหม่
และจากนั้น แน่นอนครับ
การศึกษามากมายได้แสดงว่า
การบำบัดด้วยการพูดคุย
ทำให้เกิดสิ่งดังกล่าวเหล่านี้
และการศึกษามากมาย
ได้แสดงให้เห็นว่า การบำบัดด้วยการพูดคุย
เมื่อใช่ร่วมกับเภสัชภัณฑ์ และยาแล้ว
มีประสิทธิภาพมากกว่า
ใช้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง
เราจะสามารถจินตนาการถึงสิ่งแวดล้อม
ที่จะเปลี่ยนความเครียดนั้นได้หรือไม่
เราจะสามารถกั้นสัญญาณ
ที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดได้หรือเปล่า
เช่นเดียวกันครับ เคลื่อนขึ้นไป
ตามสายโซ่ที่ลดหลั่นกันอย่างเป็นระเบียบนี้
สิ่งที่สำคัญจริง ๆ
อาจจะไม่ใช่ตัวยาเอง แต่เป็นการเปรียบเปรย
แทนที่จะเป็นการฆ่าอะไรสักอย่าง
ในกรณีของโรคเกี่ยวกับการเสื่อมสภาพ
ที่เรื้อรัง --
เช่น ไตล้มเหลว เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง ข้อเสื่อม --
บางที สิ่งที่เราต้องทำกันจริง ๆ
ก็คือการเปลี่ยนการเปรียบเปรย
และบางที นั่นก็เป็นกุญแจสำคัญ
เพื่อสร้างกรอบการคิดใหม่ของเรา
เกี่ยวกับวงการแพทย์
เอาล่ะครับ แนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
ของการสร้างแนวคิดใหม่นี้
พาผมกลับไปยังรากเหง้า
ในแบบที่เป็นส่วนตัว เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน
ประมาณ 10 ปีก่อน --
ผมเป็นนักวิ่งมาเกือบทั้งชีวิต --
ผมออกไปวิ่ง ตอนเช้าวันเสาร์
และกลับมา ตื่นขึ้นมา
และไม่อาจขยับตัวได้
เข่าขวาของผมบวม
และคุณก็ได้ยินเสียงกรุบกรับของกระดูก
ที่กระทบกัน ที่เป็นการสื่อลางร้าย
และประโยชน์หนึ่งของการเป็นแพทย์ก็คือ
คุณสามารถส่งตัวเองไปตรวจ MRI ได้
ผมได้ผล MRI ในอีกสัปดาห์ต่อมา
และมันก็มีหน้าตาเป็นแบบนี้
โดยรวมแล้วกระดูกอ่อนมินิสคัส
ที่อยู่ระหว่างกระดูก
ถูกฉีกเสียจนไม่เหลือ
และกระดูกเองก็แตกด้วย
เอาล่ะครับ ถ้าคุณมองมาที่ผม
และรู้สึกเสียใจไปกับผม
ให้ผมได้บอกอะไรคุณสักนิดนะครับ
ถ้าผมได้ผล MRI ของทุกคนในที่นี้
เราจะพบว่า พวกคุณ 60 เปอร์เซ็นต์
จะมีอาการของการเสื่อมของกระดูก
และการเสื่อมของกระดูกอ่อน
85 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงทุกคน
ตอนมีอายุประมาณ 70 ปี
จะมีอาการกระดูกอ่อนเสื่อม
ในระดับปานกลางถึงรุนแรง
50 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์
ของผู้ชายในที่นี้
จะมีอาการแบบนั้นเช่นกัน
ฉะนั้น มันเป็นโรคที่พบได้มาก
ครับ อีกประโยชน์หนึ่งของการเป็นแพทย์
ก็คือคุณสามารถทำการทดลอง
กับอาการป่วยของตัวเองได้
ฉะนั้น ประมาณ 10 ปีก่อน
ผมนำกระบวนการนี้ไปยังห้องทดลอง
และเราก็เริ่มทำการทดลองง่าย ๆ
พยายามแก้ไขการเสื่อมสภาพนี้
เราพยายามที่จะฉีดสารเคมี
เข้าไปในช่องว่างระหว่างเขาของสัตว์
เพื่อพยายามย้อน
การเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนกลับ
และเราสรุปกระบวนการ
ที่แสนจะยาวนานนั้นได้ง่าย ๆ ว่า
ที่สุดแล้ว มันไม่เหลืออะไรเลย
มันไม่เกิดอะไรขึ้นเลยครับ
และจากนั้นประมาณเจ็ดปีก่อน ผมก็ได้
นักเรียนวิจัยของผมคนหนึ่งจากออสเตรเลีย
สิ่งที่น่ารักสำหรับชาวออสเตรเลีย
ก็คือพวกเขาชอบมองอะไรกลับหัว
(เสียงหัวเราะ)
และแดนก็บอกผมว่า "รู้อะไรไหม
บางทีมันไม่ใช่ปัญหาเรื่องกลไกหรอก
บางทีมันอาจเป็นปัญหาทางเคมี
บางทีมันอาจเป็นปัญหาเรื่องสเต็มเซลล์"
หรือพูดอีกนัยหนึ่ง เขามีสองสมมติฐาน
อย่างแรก มันมีสิ่งที่เรียกว่า
สเต็มเซลล์โครงกระดูก --
ซึ่งก็คือ สเต็มเซลล์โครงกระดูก
ที่สร้างโครงกระดูก
กระดูกแข็ง กระดูกอ่อน
และโครงสร้างเส้นใยของโครงกระดูก
ของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
เช่นเดียวกับสเต็มเซลล์ในเลือด
เช่นเดียวกับที่มันมีสเต็มเซลล์
ในระบบประสาท
และอย่างที่สองก็คือ การเสื่อมสภาพ
หรือการพร่องประสิทธิภาพของสเต็มเซลล์นี้
คือสิ่งที่ทำให้เกิดข้อกระดูกเสื่อม
ซึ่งเป็นอาการที่พบได้มาก
ฉะนั้น คำถามก็คือ
เรากำลังมองหายารักษา
ในเมื่อเราควรที่จะมองหาเซลล์หรือเปล่า
เราก็เลยเปลี่ยนแบบจำลองของเรา
และตอนนี้ เราก็เริ่มมองหา
สเต็มเซลล์โครงกระดูก
และเพื่อเป็นการสรุปเรื่องให้กระชับ
ประมาณห้าปีก่อน เราพบเซลล์เหล่านี้
พวกมันอยู่ในโครงกระดูก
นี่คือแผนภาพและภาพถ่ายจริงของพวกมัน
ส่วนสีขาวคือกระดูก
และคอลัมสีแดงที่คุณเห็นเหล่านี้
และเซลล์สีเหลือง
คือเซลล์ที่เกิดขึ้น
จากสเต็มเซลล์โครงกระดูกเซลล์เดียว --
คอลัมของกระดูกอ่อน กระดูกแข็ง
เกิดมาจากเซลล์เพียงเซลล์เดียว
เซลล์เหล่านี้น่าทึ่งมาก
พวกมันมีคุณสมบัติสี่ประการ
อย่างแรกคือพวกมันอยู่ในที่ที่พวกมันควรอยู่
พวกมันอยู่ใต้พื้นผิวของกระดูก
ใต้กระดูกอ่อน
ครับ ในทางชีววิทยา
บริเวณและสถานที่มันมีความสำคัญ
และพวกมันก็ย้ายเข้าไปในบริเวณที่เหมาะสม
และก่อกำเนิดเป็นกระดูกและกระดูกอ่อน
นั่นครับ
คุณสมบัติที่น่าสนใจอีกประการคือ
คุณสามารถเอาพวกมันออกมา
จากโครงกระดูกของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
คุณเลี้ยงพวกมันในจานเลี้ยงเชื้อ
ในห้องทดลอง
และพวกมัน
ก็อยากจะสร้างกระดูกอ่อนใจจะขาดแล้ว
จำไว้นะครับว่า เราไม่สามารถสร้างกระดูกอ่อน
ได้จากความรักหรือว่าเงิน
เซลล์เหล่านี้อยากจะสร้างกระดูกอ่อนมาก
พวกมันสร้างกระดูกอ่อนของพวกมันเอง
ไว้ล้อมรอบพวกมัน
อย่างที่สาม พวกมันยัง
เป็นผู้ซ่อมแซมส่วนที่หักที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ที่เราไม่เคยพบมาก่อน
นี่คือกระดูกเล็ก ๆ
กระดูกของหนูที่เราทำให้มีรอยแตก
และปล่อยให้มันซ่อมตัวเอง
สเต็มเซลล์เหล่านี้เข้ามา
และซ่อมกระดูก ในส่วนสีเหลือง
กระดูกอ่อน ในส่วนสีขาว
เกือบที่จะสมบูรณ์
คุณจะเห็นพวกมันมากมาย
ถ้าย้อมด้วยสีย้อมเรืองแสง
คุณจะเห็นว่าพวกมันดูคล้าย ๆ
กับกาวในระดับเซลล์
เข้ามาในบริเวณของรอยแตก
ซ่อมบริเวณนั้น
แลจากนั้นก็หยุดการทำงาน
ตอนนี้ อย่างที่สี่ เป็นสิ่งที่ลางร้าย
และมันก็คือ จำนวนของพวกมัน
ลดลงอย่างรวดเร็ว
รวดเร็วประมาณ สิบถึงสิบหน้าเท่า
เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น
และสิ่งที่เกิดขึ้นน่ะหรือครับ
ก็คือเราพบว่า
พวกเรามีความเปลี่ยนแปลง
เราพยายามตามล่าหายา
แต่เราก็จบลงที่การมาค้นหาทฤษฎี
และในทำนองเดียวกัน
เรากลับไปได้ความคิดในแบบเก่า ๆ
เกี่ยวกับ เซลล์ สิ่งมีชีวิต
สิ่งแวดล้อม
เพราะว่าเราไม่ได้คิดเกี่ยวกับ
สเต็มเซลล์กระดูก
เราคิดถึงโรคข้อเสื่อม
ในแบบของโรคระดับเซลล์
และจากนั้น คำถามต่อไปก็คือ
แล้วอวัยวะล่ะ
เราสร้างสิ่งนี้เป็นอวัยวะภายนอกร่างกาย
ได้หรือเปล่า
เราจะสามารถปลูกถ่ายกระดูกอ่อน
เข้าไปในบริเวณที่เกิดแผล
และบางทีที่น่าสนใจที่สุด
คุณจะสามารถสร้างขึ้นไป
จนถึงสิ่งแวดล้อมได้หรือเปล่า
ครับ เรารู้ว่าการออกกำลังสร้างกระดูกใหม่
แต่เอาจริง ๆ นะครับ
ไม่มีใครจะออกกำลังกายกันหรอก
แล้วคุณนึกวิธีที่จะเอากระดูกเข้าและออก
อย่างไม่ต้องใช้แรงได้หรือเปล่า
เพื่อที่คุณจะได้สร้างหรือทำให้กระดูกอ่อน
เจริญเกิดขึ้นมาใหม่
และบางทีที่น่าสนใจ
และน่าจะมีความสำคัญมากที่สุด
คำถามก็คือ คุณจะนำเอาแบบจำลองนี้
ไปใช้กับโลกความเป็นจริงนอกวงการแพทย์ได้ไหม
สิ่งที่เป็นความท้าทาย ดังที่ผมได้บอกก่อนหน้านี้
ไม่ใช่การฆ่าอะไรสักอย่าง
แต่เป็นการเลี้ยงอะไรสักอย่าง
และผมก็คิดว่า
มันก็ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจที่สุด
และการที่เราคิดเกี่ยวกับอนาคตของวงการแพทย์
ยาของคุณจะเป็นเซลล์ ไม่ใช่ยาเม็ด
เราจะเลี้ยงเซลล์ได้อย่างไร
เราจะหยุดการเติบโตอย่างลุกลาม
ของเซลล์เหล่านี้ได้อย่างไร
เราทราบถึงปัญหาที่ทำให้เกิดการเติบโต
แบบลุกลามนี้
เราจะสามารถปลูกถ่ายยีนฆ่าตัวตาย
เข้าไปในเซลล์เหล่านี้ได้หรือเปล่า
เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของพวกมัน
ยาของคุณจะเป็นอวัยวะ
ที่ถูกสร้างขึ้นภายนอกร่างกาย
และปลูกถ่ายเข้าไปในร่างกายได้หรือไม่
แล้วมันจะหยุดการเสื่อมถอยได้หรือเปล่า
ถ้าหากอวัยวะที่ต้องการเป็นความทรงจำล่ะ
ในกรณีของโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท
อวัยวะเหล่านี้มีความทรงจำอยู่
เราจะปลูกถ่ายความทรงจำกลับไปได้อย่างไร
เราเก็บรักษาอวัยวะเหล่านี้ได้หรือเปล่า
อวัยวะแต่ละอย่างจะต้องถูกพัฒนา
สำหรับมนุษย์แต่ละคน
และนำมันกลับไปใช่หรือเปล่า
และบางที ที่น่าฉงนที่สุด
ยาของคุณจะเป็นสิ่งแวดล้อมได้หรือไม่
คุณจะจดสิทธิบัตรสิ่งแวดล้อมได้หรือเปล่า
ในทุก ๆ วัฒนธรรม
จอมเวทย์ได้ใช้สิ่งแวดล้อมเป็นยา
เราจะจินตนาการถึงสิ่งนั้น
เพื่ออนาคตของพวกเราได้หรือเปล่า
ผมได้บรรยายไปมากเกี่ยวกับแบบจำลอง
ผมเริ่มการบรรยายนี้ด้วยแบบจำลอง
ฉะนั้น ให้ผมจบการบรรยายนี้
ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างแบบจำลอง
สิ่งที่เราทำในฐานะนักวิทยาศาสตร์
เมื่อสถาปนิกสร้างแบบจำลอง
เขาหรือเธอก็พยายามที่จะแสดง
โลกขนาดเล็ก ๆ ให้กับคุณ
แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์กำลังสร้างแบบจำลอง
เขาหรือเธอพยายามที่จะสร้าง
โลกในแบบการเปรียบเปรย
เขาหรือเธอพยายามที่จะสร้าง
หนทางใหม่ในการมองเห็น
แบบดั้งเดิมเป็นการเปลี่ยนระดับ
แบบอย่างหลังเป็นการเปลี่ยนการรับรู้
ทีนี้ ยาปฏิชีวนะ
ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนการรับรู้
ในรูปแบบความคิดของเราเกี่ยวกับยา
ที่ทำให้วิธีที่เราคิด
เกี่ยวกับยาในหลายร้อยปีที่ผ่านมา
ถูกเติมแต่งและทำให้บิดเบี้ยวอย่างสมบูรณ์
แต่เราต้องการแบบจำลองใหม่
เพื่อที่จะเป็นแนวคิดด้านการแพทย์ในอนาคต
นั่นคือความท้าทาย
มันมีภาพลักษณ์ที่เป็นที่นิยม
ที่เป็นเหตุผลว่า การที่เรา
ไม่มีในการเปลี่ยนแปลงสำคัญ
เกี่ยวกับการบำบัดรักษาความเจ็บป่วย
ก็เป็นเพราะเราไม่มียาที่มีประสิทธิภาพพอ
และมันก็จริงเพียงบางส่วน
แต่บางทีเหตุผลที่แท้จริงก็คือ
เราไม่มีวิธีคิดอ่านเกี่ยวกับการแพทย์
ที่ทรงพลังพอต่างหาก
มันจริงที่ว่า
มันน่าจะดีทีเดียวที่จะมียาใหม่ ๆ
แต่บางทีสิ่งที่เป็นความท้าทายสำคัญ
คือ M ทั้งสามที่เป็นนามธรรม
ซึ่งได้แก่ กลไกล แบบจำลอง
และการเปรียบเปรย
ของคุณครับ
(เสียงปรบมือ)
คริส แอนเดอร์สัน:
ผมชอบการเปรียบเปรยจริง ๆ
มันเชื่อมต่อเข้าไปได้อย่างไรครับ
มีการบรรยายมากมายเกี่ยวกับเทคโนโลยี
เกี่ยวกับการแพทย์ส่วนบุคคล
ที่เรามีข้อมูลทั้งหมด
และการบำบัดทางการแพทย์สำหรับอนาคต
จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคุณอย่างจำเพาะ
จีโนมของคุณ บริบทของคุณตอนนี้
นั่นมันใช้ได้กับแบบจำลอง
ที่คุณมีอยู่ตรงนี้หรือเปล่าครับ
สิทธัตถะ มุกเคอร์จี:
มันเป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ
เราคิดถึงการแพทย์ส่วนบุคคล
อย่างมากในส่วนของจีโนม
นั่นเป็นเพราะว่ายีน
เป็นการเปรียบเปรยที่เด่นชัด
อีกครั้งครับ ถ้าจะใช้คำเดียวกัน
ในการแพทย์ทุกวันนี้
ที่เราคิดว่าจีโนมจะขับเคลื่อน
การแพทย์ส่วนบุคคล
แต่แน่นอน จีโนมเป็นเพียงพื้นฐาน
ของโซ่สายยาวของสิ่งมีชีวิต
ในแบบที่มันเป็น
โซ่ที่ว่านี้ เป็นหน่วยแรกที่ถูกจัดเรียงของสิ่งนั้น
ซึ่งก็คือเซลล์
ฉะนั้น ถ้าเรากำลังจะทำให้เกิด
การแพทย์ส่วนบุคคลในลักษณะนี้
เราจะต้องคิดถึงการบำบัดระดับเซลล์
แบบส่วนบุคคล
และจากนั้นการบำบัดด้วยอวัยวะ
หรืออวัยวะส่วนบุคคล
และสุดท้ายแล้วการบำบัดส่วนบุคคล
สำหรับสิ่งแวดล้อม
ฉะนั้น ผมคิดว่าทุก ๆ ขั้นตอนครับ
มันมีการเปรียบเปรย
มันเป็นเต่าที่เรียงต่อกันไปเรื่อย ๆ
ครับ ในเรื่องนี้ มันเป็นการแพทย์ส่วนบุคคล
ที่เรียงต่อกันไปเรื่อย ๆ
คริส: ฉะนั้น เมื่อคุณบอกว่า
การแพทย์อาจเป็นเซลลื
และไม่ได้เป็นยา
คุณพูดถึงเซลล์ของตัวคุณเองใช่ไหมครับ
สิทธัตถะ: แน่นอนครับ
คริส: ฉะนั้น เปลี่ยนไปหาสเต็มเซลล์
บางที่อาจทดสอบมันกับยาทุก ๆ แบบ
หรืออะไรแบบนั้น
สิทธัตถะ: และไม่ใช่บางทีหรอกครับ
นั่นคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ครับ
นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
อันที่จริง เรากำลังคืบหน้าไปอย่างช้า ๆ
ไม่ได้ไปจากจีโนม
แต่รวมเอาจีโนมไว้ด้วย
กับสิ่งที่เราเรียกว่า ระบบที่กำกับตัวเอง
กึ่งอัตโนมัติ ในหลาย ๆ ระดับ
อย่างเซลล์ อย่างอวัยวะ
อย่างสิ่งแวดล้อม
คริส: ขอบคุณมากครับ
สิทธัตถะ: ยินดีครับ ขอบคุณครับ