WEBVTT 00:00:00.000 --> 00:00:00.670 00:00:00.670 --> 00:00:02.790 เรารู้แล้วว่า กฎผลคูณบอกเราว่า 00:00:02.790 --> 00:00:06.510 ถ้าเรามีผลคูณของฟังก์ชันสองตัว -- สมมุติว่า 00:00:06.510 --> 00:00:10.200 f ของ x กับ g ของ x -- และเราอยากหา 00:00:10.200 --> 00:00:15.520 อนุพันธ์ของตัวนี้ นี่ก็ 00:00:15.520 --> 00:00:16.980 จะเท่ากับอนุพันธ์ 00:00:16.980 --> 00:00:20.280 ของฟังก์ชันแรก คือ f ไพรม์ของ x คูณ 00:00:20.280 --> 00:00:27.950 ฟังก์ชันที่สอง คูณ g ของ x บวกฟังก์ชันนี้ 00:00:27.950 --> 00:00:30.830 ไม่ต้องหาอนุพันธ์ แล้วบวก f 00:00:30.830 --> 00:00:33.165 ของ x คูณอนุพันธ์ของฟังก์ชันที่สอง 00:00:33.165 --> 00:00:37.220 00:00:37.220 --> 00:00:39.870 สองเทอม ในแต่ละเทอม เราจะหาอนุพันธ์ของ 00:00:39.870 --> 00:00:42.370 ฟังก์ชันหนึ่ง แต่ไม่หาอีกฟังก์ชัน แล้วเราก็สลับ 00:00:42.370 --> 00:00:45.340 ตรงนี้คืออนุพันธ์ของ f, ไม่ใช่ g 00:00:45.340 --> 00:00:47.522 ตรงนี้คืออนุพันธ์ของ g, ไม่ใช่ f 00:00:47.522 --> 00:00:49.230 นี่เป็นเพียงการทบทวน 00:00:49.230 --> 00:00:50.790 นี่คือกฎผลคูณ 00:00:50.790 --> 00:00:52.373 ทีนี้ สิ่งที่เราจะทำ 00:00:52.373 --> 00:00:53.780 คือใช้กฎผลคูณอีกครั้งเพื่อทำ 00:00:53.780 --> 00:00:56.754 สิ่งที่หนังสือแคลคูลัสหลายเล่ม อาจเรียกว่ากฎผลหาร 00:00:56.754 --> 00:00:58.670 ผมมีความรู้สึกผสมกันเวลาพูดถึงกฎผลหาร 00:00:58.670 --> 00:01:01.086 ถ้าคุณรู้มัน มันอาจทำให้การคิด 00:01:01.086 --> 00:01:03.879 เร็วกว่า แต่จริงๆ แล้วมันตรงมาจากกฎผลคูณ 00:01:03.879 --> 00:01:04.379 00:01:04.379 --> 00:01:06.320 และว่ากันตามตรง ผมมักลืมกฎผลหาร 00:01:06.320 --> 00:01:09.230 และผมต้องพิสูจน์ใหม่จากกฎผลคูณ 00:01:09.230 --> 00:01:10.970 ลองดูว่าเรากำลังพูดถึงอะไร 00:01:10.970 --> 00:01:14.650 ลองนึกภาพถ้าเรามีพจน์ที่ 00:01:14.650 --> 00:01:19.140 เขียนได้เป็น f ของ x หารด้วย g ของ x 00:01:19.140 --> 00:01:21.990 และเราอยากหาอนุพันธ์ของตัวนี้ 00:01:21.990 --> 00:01:26.700 อนุพันธ์ของ f ของ x ส่วน g ของ x 00:01:26.700 --> 00:01:29.610 สิ่งที่เรารู้คือการสังเกต 00:01:29.610 --> 00:01:32.990 ว่านี่ก็เหมือนกับอนุพันธ์ -- แทนที่ 00:01:32.990 --> 00:01:34.610 จะเขียน f ของ x ส่วน g ของ x 00:01:34.610 --> 00:01:40.355 เราเขียนเป็น f ของ x คูณ g ของ x ยกกำลังลบ 1 ได้ 00:01:40.355 --> 00:01:44.162 00:01:44.162 --> 00:01:45.620 และตอนนี้เราใช้กฎผลคูณ 00:01:45.620 --> 00:01:47.910 กับกฎลูกโซ่นิดหน่อยได้ 00:01:47.910 --> 00:01:50.520 อันนี้จะเท่ากับอะไร? 00:01:50.520 --> 00:01:52.030 เราแค่ใช้กฎผลคูณ 00:01:52.030 --> 00:01:54.970 มันคืออนุพันธ์ของฟังก์ชันแรกตรงนี้ -- 00:01:54.970 --> 00:01:59.880 มันจะเท่ากับ f ไพรม์ของ x -- 00:01:59.880 --> 00:02:03.780 คูณฟังก์ชันที่สองเฉยๆ ซึ่งก็คือ 00:02:03.780 --> 00:02:13.460 g ของ x ยกกำลังลบ 1 บวกฟังก์ชันแรก 00:02:13.460 --> 00:02:17.960 คือแค่ f ของ x คูณอนุพันธ์ 00:02:17.960 --> 00:02:19.439 ของฟังก์ชันที่สอง 00:02:19.439 --> 00:02:21.980 และตรงนี้เราจะต้องใช้กฎลูกโซ่นิดหน่อย 00:02:21.980 --> 00:02:22.640 00:02:22.640 --> 00:02:24.434 อนุพันธ์ของตัวนอก ซึ่ง 00:02:24.434 --> 00:02:25.850 เรามองเป็นอะไรสักอย่าง 00:02:25.850 --> 00:02:28.660 ยกกำลังลบ 1 เทียบกับอะไรสักอย่างนั่น 00:02:28.660 --> 00:02:31.700 จะเท่ากับลบ 1 คูณอะไรสักอย่างนั้น ซึ่ง 00:02:31.700 --> 00:02:34.525 ในกรณีนี้คือ g ของ x ยกกำลังลบ 2 00:02:34.525 --> 00:02:36.150 แล้วเราต้องหาอนุพันธ์ 00:02:36.150 --> 00:02:37.740 ของฟังก์ชันตัวในเทียบกับ 00:02:37.740 --> 00:02:41.880 x ซึ่งก็คือแค่ g ไพรม์ของ x 00:02:41.880 --> 00:02:42.890 แล้วคุณก็ได้แแล้ว 00:02:42.890 --> 00:02:44.490 เราหาอนุพันธ์ของตัวนี้ได้ 00:02:44.490 --> 00:02:46.750 โดยใช้กฎผลคูณกับกฎลูกโซ่ 00:02:46.750 --> 00:02:48.260 ทีนี้ นี่คือรูปที่คุณ 00:02:48.260 --> 00:02:49.660 อาจเห็นเวลาคนพูดถึง 00:02:49.660 --> 00:02:51.410 กฎผลหารในหนังสือเลขของคุณ 00:02:51.410 --> 00:02:53.620 ลองดูว่าเราจัดรูปพจน์นี้หน่อยได้ไหม 00:02:53.620 --> 00:02:57.480 ทั้งหมดนี้จะเท่ากับ -- เราเขียนเทอมนี้ 00:02:57.480 --> 00:03:03.490 ตรงนี้เป็น f ไพรม์ของ x ส่วน g ของ x 00:03:03.490 --> 00:03:07.720 00:03:07.720 --> 00:03:10.160 และเราเขียนทั้งหมดนี้เป็น -- เรา 00:03:10.160 --> 00:03:12.020 ใส่เครื่องหมายลบนี่ข้างหน้าได้ 00:03:12.020 --> 00:03:20.070 เราได้ลบ f ของ x คูณ g ไพรม์ของ x 00:03:20.070 --> 00:03:24.620 00:03:24.620 --> 00:03:28.555 แล้วทั้งหมดนั้นส่วน g ของ x กำลังสอง 00:03:28.555 --> 00:03:30.650 ขอผมเขียนให้สวยหน่อยนะ 00:03:30.650 --> 00:03:33.835 ทั้งหมดนั้นส่วน g ของ x กำลังสอง 00:03:33.835 --> 00:03:36.789 00:03:36.789 --> 00:03:38.830 และมันยังไม่ใช่รูปที่คุณมัก 00:03:38.830 --> 00:03:40.240 เห็นในหนังสือแคลคูลัส 00:03:40.240 --> 00:03:42.855 เวลาทำ เราต้องใช้เศษส่วนสองตัวนี้ 00:03:42.855 --> 00:03:44.980 ลองคูณทั้งเศษและส่วน 00:03:44.980 --> 00:03:47.720 ด้วย g ของ x เราจะได้มีทุกอย่างในรูปของ g 00:03:47.720 --> 00:03:49.810 ของ x กำลังสองเป็นตัวส่วน 00:03:49.810 --> 00:03:52.430 ถ้าเราคูณตัวเศษด้วย g ของ x 00:03:52.430 --> 00:03:54.740 เราจะได้ g ของ x ตรงนี้แล้ว 00:03:54.740 --> 00:03:57.530 ตัวส่วนจะเป็น g ของ x กำลังสอง 00:03:57.530 --> 00:03:59.050 และตอนนี้เราพร้อมจะบวกแล้ว 00:03:59.050 --> 00:04:02.450 เราได้อนุพันธ์ของ f 00:04:02.450 --> 00:04:08.910 ของ x ส่วน g ของ x เท่ากับ อนุพันธ์ของ f ของ x คูณ g 00:04:08.910 --> 00:04:15.460 ของ x ลบ -- ไม่ใช่บวกแล้ว -- ขอผมเขียน 00:04:15.460 --> 00:04:28.020 ด้วยสีขาว -- f ของ x คูณ g ไพรม์ของ x 00:04:28.020 --> 00:04:34.320 ทั้งหมดนั้นส่วน g ของ x กำลังสอง 00:04:34.320 --> 00:04:36.410 ย้ำอีกครั้ง คุณหาอันนี้ได้ 00:04:36.410 --> 00:04:38.420 จากกฎผลคูณและกฎลูกโซ่ 00:04:38.420 --> 00:04:41.150 บางครั้ง การจำอาจช่วย 00:04:41.150 --> 00:04:45.110 ให้แก้ปัญหาในรูปนี้ง่ายขึ้น 00:04:45.110 --> 00:04:48.010 และถ้าคุณอยากเห็นรูปแบบระหว่างผลกฎคูณ 00:04:48.010 --> 00:04:50.430 กับผลหาร อนุพันธ์ของ 00:04:50.430 --> 00:04:53.050 ฟังก์ชันหนึ่งคูณอีกฟังก์ชันหนึ่ง 00:04:53.050 --> 00:04:55.710 และแทนที่จะบวกอนุพันธ์ 00:04:55.710 --> 00:04:57.860 ของฟังก์ชันที่สองคูณฟังก์ชันแรก 00:04:57.860 --> 00:04:59.140 ตอนนี้เราลบมันแทน 00:04:59.140 --> 00:05:02.190 และทั้งหมดนั้นมีส่วนฟังก์ชันที่สองกำลังสอง 00:05:02.190 --> 00:05:05.212 อะไรก็ตามที่อยู่ในตัวส่วน ทั้งหมดนั้นกำลังสอง 00:05:05.212 --> 00:05:06.670 เมื่อเราหาอนุพันธ์ 00:05:06.670 --> 00:05:08.720 ของฟังก์ชันในตัวส่วนบนนี้ 00:05:08.720 --> 00:05:12.070 มันมีเครื่องหมายลบ แล้วเราก็ใส่ทุกอย่าง 00:05:12.070 --> 00:05:14.930 ส่วนฟังก์ชันที่สองกำลังสอง