คุณรู้ไหมว่าหนึ่งในความสุขอันยิ่งใหญ่ ของการท่องเที่ยว และหนึ่งในความดีใจของการศึกษา ด้านชาติพันธุ์วรรณนา คือการได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งยังไม่ลืมวิถีชีวิตอันเก่าแก่ ผู้ซึ่งยังรู้สึกได้ถึงอดีตในสายลม ยังสัมผัสถึงอดีตจากหิน ที่ถูกกัดกร่อนโดยสายฝน ยังลิ้มรสถึงอดีตได้ในใบไม้รสขมของต้นพืช เพียงเพื่อที่จะรู้ว่าเหล่าหมอผี Jaguar ยังคงเดินทางผ่านเลยทางช้างเผือกอยู่ หรือตำนานของผู้อาวุโสชาวอินนุยท์ ยังคงก้องกังวานไปด้วยความหมาย หรือดั่งเช่นที่หิมาลัย เหล่าพระสงฆ์ยังคงมุ่งสู่คำสอนของธรรมะ ซึ่งความจริงคือ การรำลึกถึงการค้นพบหลักของมนุษยวิทยา และนี่คือแนวคิดที่ว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นั้น ไม่มีตัวตนอยู่ในบางสัจธรรม แต่เป็นเพียงแค่รูปแบบของความเป็นจริง เป็นผลที่ตามมาของชุดทางเลือก ในการปรับตัวชุดหนึ่งโดยเฉพาะ ที่เชื้อสายบรรพบุรุษของเรา ได้ทำไว้สำเร็จเมื่อหลายรุ่นก่อน และแน่นอน เราก็ใช้ความสำคัญ ในการปรับตัวเดียวกันนั้นด้วย เราทุกคนเกิดมา เราให้กำเนิดลูกหลานของเราบนโลกนี้ เราได้ผ่านพิธีกรรมแรกเริ่ม เราต้องรับมือกับการตายจากกัน ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่พวกเราล้วนร้องรำทำเพลง เราล้วนมีศิลปะ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ของเพลง จังหวะของการเต้นในทุกๆ วัฒนธรรม และไม่ว่าจะเป็นชาวเผ่าเพนานในป่าบอร์เนียว หรือเหล่าผู้ช่วยนักบวชวูดูในเฮติ หรือเหล่านักรบ แห่งทะเลทราย Kaisut แห่งเคนย่าเหนือ หรือ Curandero ในเทือกเขาแอนดีส หรือชาวคาราวานเซอเร กลางทะเลทรายซาฮาร่า นี่คือคนที่ผมได้บังเอิญ ร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วย เมื่อเดือนก่อน หรือว่าจะเป็นคนเลี้ยงตัวยาค ที่เนินเขาโคโมลังมา เทือกเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งเป็นพระแม่ของผืนพิภพ ผู้คนเหล่านี้สอนเราว่า ยังมีวิธีการดำรงอยู่แบบอื่นๆ อีก วิถีการคิดแบบอื่น วิธีการอื่นสำหรับการกำหนดตัวตน ของคุณเองในโลก และหากคุณลองคิดดู นี่คือแนวคิด ที่จะเติมเต็มคุณด้วยความหวังเท่านั้น ขณะนี้ เหล่าวัฒนธรรมในโลก จำนวนนับไม่ถ้วนได้ร่วมกัน สร้างเครือข่ายชีวิต ด้านจิตวิญญาณและวัฒนธรรม ซึ่งห่อหุ้มดาวเคราะห์ดวงนี้ไว้ และมีความสำคัญ ต่อความสมบูรณ์พูนสุขของโลก เป็นเครือข่ายชีวิตทางชีววิทยา ของชีวิตที่คุณรู้จักกันในชื่อ biosphere และคุณอาจคิดว่าเครือข่ายชีวิตทางวัฒนธรรมนี้ เป็น ethnosphere และคุณอาจบัญญัติให้ ethnosphere เป็นศูนย์รวม ของความคิดและความฝัน ตำนาน แนวคิด แรงบัลดาลใจ สัญชาตญาณที่เกิดขึ้น ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของการรับรู้ Ethnosphere คือมรดกชิ้นยอดของมนุษย์ชาติ นี่คือสัญลักษณ์ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรา และทุกสิ่งที่เราสามารถเป็นได้ ในฐานะ ชาติพันธุ์ที่มีความอยากรู้อยากเห็นอันน่าทึ่ง และดั่งเช่นที่ biosphere ถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรง ethnosphere ก็เป็นเช่นเดียวกัน -- และยังถูกกัดกร่อนในอัตราที่รวดเร็วกว่า ยกตัวอย่างเช่น จะไม่มีนักชีววิทยาคนใดกล้าที่จะพูด ว่า 50% ของชาติพันธุ์ทั้งหมด หรือมากกว่านั้นได้หรือกำลัง ใกล้จะสูญพันธุ์ เพราะว่านั่นไม่ใช่ความจริง แต่ -- สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ในโลกของความหลากหลายด้านชีวภาพ ไม่มาสู่สถานการณ์ ที่เราคิดว่าดีที่สุดเลยแม้แต่น้อย ในโลกแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม และแน่นอนที่สุด ข้อบ่งชี้สำคัญ ก็คือการสาปสูญของภาษา เมื่อคุณแต่ละคนในห้องนี้ได้เกิดมา ในดาวเคราะห์ดวงนี้ มีภาษาที่ใช้พูดกันกว่า 6:00 ภาษา ภาษาไม่เพียงแต่เป็นแค่โครงร่างของคำศัพท์ หรือชุดหลักไวยกรณ์เท่านั้น ภาษาคือประกายแสงของจิตวิญญาณมนุษย์ ภาษาเป็นพาหนะ นำพาจิตวิญญาณของแต่ละวัฒนธรรม ผ่านเข้าสู่โลกแห่งรูปธรรม ภาษาแต่ละภาษานั้น คือผืนป่าอันเก่าแก่แห่งจิตใจ คือลุ่มน้ำ ความคิด และระบบนิเวศน์ ของความเป็นไปได้ทางจิตวิญญาณ และในขณะที่เรานั่งอยู่ในเมืองมอเทอเรย์วันนี้ ในภาษา 6:00 ภาษานี้ มีครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้ถูกนำมาพูดคุย ถ่ายทอดให้เด็กๆ ฟังอีกต่อไป ภาษาไม่ได้ถูกนำไปสอนเด็กทารกอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่า หากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงแล้ว ภาษาเหล่านั้นได้สูญหายไปแล้วจริงๆ จะมีอะไรเปล่าเปลี่ยวมากไปกว่า การถูกห้อมล้อมด้วยความเงียบ การเป็นคนสุดท้ายในกลุ่มคนของคุณ ที่ยังใช้ภาษาของตนเองอยู่ การหมดสิ้นหนทาง ที่จะส่งต่อภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ หรือเฝ้ารอความหวังของลูกหลาน แต่แล้ว ชะตากรรมที่เลวร้ายนั้น เป็นชะตากรรมของใครบางคน ที่อยู่แห่งใดแห่งหนึ่งในโลกนี้ ประมาณทุกๆ 2 สัปดาห์ เพราะว่าทุกๆ 2 สัปดาห์ จะมีผู้สูงอายุจากโลกนี้ไป และได้นำพยางค์สุดท้ายของภาษาอันเก่าแก่ ไปกับเขาด้วย และผมรู้ว่ามีพวกคุณบางคน ที่พูดว่า "แล้วไม่ดีหรือไง โลกจะน่าอยู่ขึ้นไม่ใช่หรือ หากพวกเราทุกคน พูดภาษาเดียวกัน" ผมก็จะบอกว่า "เยี่ยม งั้นเอาภาษา Yoruba เป็นยังไง ใช้ภาษาจีนกวางตุ้งดีมั้ย ใช้ภาษา Kogi แล้วกัน" แล้วคุณจะรู้ในทันทีทันใดว่าเป็นอย่างไร ที่ไม่สามารถใช้ภาษาของตนเองได้ ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะท ำร่วมกับพวกคุณในวันนี้ คือการนำพาคุณ ไปในการเดินทางสู่ ethnosphere การเดินทางสั้นๆ ผ่าน ethnosphere เพื่อที่จะให้คุณได้เริ่มรับรู้ถึงสิ่งที่สูญสิ้นไปจริงๆ มีพวกเราหลายๆ คนที่เหมือนกับลืมไป ว่าเมื่อผมพูด "วิถีการดำรงอยู่ที่แตกต่างออกไป" ผมหมายถึงวิถีการดำรงอยู่ ที่แตกต่างออกไปจริงๆ ตัวอย่างเช่น เด็กชาวบาราซาน่า ในอะเมซอนตะวันตกเฉียงเหนือคนนี้ ชาวเผ่าแห่งอานาคอนด้า ที่เชื่อตามตำนานว่างูอานาคอนด้า ขึ้นมาจากแม่น้ำแห่งน้ำนม จากทางตะวันออกในท้องของงูศักดิ์สิทธ์ นี่คือผู้คนที่ โดยทางการรับรู้แล้ว ไม่สามารถแยกแยะ ความแตกต่างของฟ้าและสีเขียวได้ เพราะว่าท้องฟ้าบนสรวงสวรรค์ นั้นเท่าเทียมกันกับท้องฟ้าแห่งผืนป่า ซึ่งผู้คนได้พึ่งพาอาศัยอยู่ พวกเขามีภาษา และวัฒนธรรมการแต่งงานที่น่าสนใจ ซึ่งเรียกว่าการแต่งงานนอกกลุ่มทางภาษา คุณจะต้องแต่งงานกับผู้ที่พูดภาษาอื่น ซึ่งวัฒนธรรมนี้มีรากเหง้า มาจากตำนานในอดีต แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในบ้านทรงยาวเหล่านี้ มีภาษาที่ใช้พูดอยู่หกหรือเจ็ดภาษา เนื่องจากการแต่งงานข้ามวัฒนธรรม คุณจะไม่ได้ยินใครฝึกใช้ภาษา พวกเขาเพียงแค่ฟังแล้วเริ่มพูดเอง หรือหนึ่งในชนเผ่าที่น่าสนใจที่สุดที่ เท่าที่ผมเคยอาศัยอยู่ด้วย คือเผ่า Waorani แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเอกวาดอร์ ผู้คนที่น่าพิศวงนี้ติดต่อ กับโลกภายนอกอย่างสันติในปี 1958 ในปี 1957 นักเผยแพร่ศาสนา 5 คน พยายามติดต่อ และได้ทำความผิดพลาดร้ายแรง โดยการโปรยรูปภาพอาบมัน ขนาดแปดคูณสิบของตนเองจากบนอากาศ ซึ่งเราคิดว่าเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมิตร โดยลืมไปว่าชนเผ่าแห่งป่าฝนเหล่านี้ ไม่เคยเห็นอะไรที่อยู่ใน รูป 2 มิติมาก่อนเลยในชีวิต พวกเขาเก็บรูปภาพขึ้นมาจากพื้นป่า พยายามมองด้านหลังของใบหน้าเพื่อหารูปทรง แต่ไม่พบอะไร และสรุปว่านี่เป็นสัญญาณของปีศาจ พวกเขาเลยพุ่งหอกใส่นักเผยแพร่ศาสนาทั้ง 5 จนถึงแก่ความตาย แต่พวก Waorani ไม่ได้พุ่งหอกใส่แค่คนนอกเท่านั้น พวกเขาพุ่งหอกใส่กันและกันด้วย 54% ของการเสียชีวิต เกิดจากการพุ่งหอกใส่กันเอง ซึ่งเราลองไล่ย้อนกลับไป 8 ชั่วอายุคน เราพบการตายตามธรรมชาติ 2 ราย และเมื่อเราลองซักไซร้ถามผู้คนเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขายอมรับว่า ผู้เสียชีวิตเหล่านั้นชราภาพมาก ซึ่งกำลังจะแก่ตายอยู่แล้ว เราก็ยังพุ่งหอกใส่เขาอยู่ดี (หัวเราะ) แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขามีสติปัญญาอันเฉียบแหลม เกี่ยวกับป่า ซึ่งเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก นักล่าของพวกเขาสามารถ ตามกลิ่นปัสสาวะของสัตว์ได้ในระยะ 40 ก้าว และสามารถบอกคุณได้ว่าเป็นของสัตว์ชนิดใด ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ผมได้รับงานที่น่าทึ่งมากๆ เมื่อศาสตราจารย์ของผมที่ฮาวาร์ดถามว่า ผมสนใจที่จะไปเฮติหรือไม่ เพื่อลักลอบเข้าไปในสังคมลับ ซึ่งเป็นรากฐานความแข็งแกร่งของ Duvalier และ Tonton Macoutes และเก็บตัวอย่างยาพิษที่ใช้ในพีธีทำซอมบี้ เพื่อที่จะสามารถ ทำความเข้าใจในงานอันน่าตื่นเต้นนี้ ผมต้องเข้าใจบางสิ่งเกี่ยวกับชะตาชีวิตที่น่าทึ่งนี้ ของชาว Vodoun ซึ่งวูดูนั้นไม่ใช่ลัทธิมนต์ดำ ในทางกลับกัน คือทัศนะวิสัยต่อโลกแบบอภิปรัชญาที่ซับซ้อน น่าสนใจมาก หากผมขอให้พวกคุณ บอกชื่อศาสนาที่ยิ่งใหญ่ในโลก คุณจะบอกว่าอย่างไร ศาสนาคริสต์ อิสลาม พุทธ ยิว อะไรก็ตาม แต่มักจะมีทวีปหนึ่งที่ถูกมองข้าม ความเชื่อว่าทวีปแอฟริกา ตั้งแต่ทะเลทรายซาฮาร่าลงไป ไม่มีความเชื่อทางศาสนา แต่จริงๆ แล้วพวกเขามี และวูดูเป็นเพียงแค่การกลั่นกรอง ของแนวคิดทางศาสนาที่ลึกซึ้งยิ่งเหล่านี้ ที่ได้มาระหว่างโศกนาฏกรรม การหนีจากยุคการล่าทาส แต่สิ่งที่ทำให้วูดูน่าสนใจอย่างมาก ก็คือความสัมพันธ์ที่มีชีวิต ระหว่างคนเป็นกับคนตาย เมื่อคนเป็นให้กำเนิดวิญญาณ วิญญาณสามารถ ถูกปลุกจากเบื้องล่างน้ำศักดิ์สิทธ์ ตอบสนองต่อจังหวะการเต้นรำ เพื่อที่จะแยกวิญญาณ ออกจากคนเป็นเพียงช่วงหนึ่ง และในช่วงเสี้ยวเวลาอันเจิดจ้านั้นเอง ผู้ช่วยนักบวชจะกลายเป็นพระเจ้า เพราะอย่างนั้นผู้ปฏิบัติวูดูจึงชอบพูดว่า "พวกคนขาวอย่างคุณ ไปโบสถ์เพื่อพูดถึงพระเจ้า เราเต้นในวิหารของเราแล้วกลายเป็นพระเจ้า" และเพราะว่าคุณถูกสิง คุณเป็นหนึ่งเดียวกับดวงวิญญาณ คุณจะได้รับอันตรายได้อย่างไร ดังนั้น คุณจะเห็น การแสดงอันน่าทึ่งเหล่านี้ เช่น ผู้ช่วยนักบวชวูดูในสภาพเข้าทรง ถือถ่านที่ยังคุกรุ่นอยู่โดยปลอดภัย ช่างเป็นการแสดงถึง ความสามารถของจิตใจที่น่าทึ่ง ซึ่งมีผลต่อร่างกายที่เป็นภาชนะรองรับ เมื่อถูกกระตุ้นในสถาพที่ถูกปลุกเร้าอย่างรุนแรง ในบรรดาผู้คนที่ผมได้เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมด้วยมา พวกที่แปลกประหลาดที่สุดคือเผ่า Kogi แห่ง Sierra Nevada de Santa Marta ในตอนเหนือของโคลัมเบีย ลูกหลานของอารายธรรมโบราณที่กดขี่โหดร้าย ซึ่งเคยครอบครองพื้นที่ราบแถบ ชายฝั่งแคริบเบียนของโคลัมเบีย ในช่วงหลังของการพิชิต ผู้คนเหล่านี้ถอยร่นไป อยู่ในบริเวณภูเขาไฟไปที่โดดเดี่ยว ซึ่งยืนตระหง่านเหนือพื้นที่ ราบแถบชายฝั่งคาริบเบียน ในทวีปที่โชลมไปด้วยเลือด ผู้คนเหล่านี้เท่านั้น ที่ไม่ได้ถูกพิชิตลงโดยชาวสเปน จนกระทั่งทุกวันนี้ พวกเขายังคงถูกปกครองโดยการทำพิธีบวช แต่การฝึกสำหรับการเป็นนักบวชนั้น แปลกประหลาดมาก ผู้ช่วยนักบวชที่ยังเด็กจะถูกพรากไป จากครอบครัว เมื่ออายุได้ 3 หรือ 4 ขวบ ถูกแยกให้อยู่โดดเดี่ยว ในโลกภายใต้เงาของความมืด ให้กระท่อมหินที่ฐาน ของธารน้ำแข็งเป็นเวลา 18 ปี แบ่งเป็นสองช่วง ช่วงละ 9 ปี ถูกเลือกอย่างตั้งใจเพื่อเลียนแบบ กระบวนการตั้งครรภ์เป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งพวกเขาได้อยู่ในครรภ์ของมารดา ตอนนี้ เปรียบได้ว่าพวกเขา ได้อยู่ในครรภ์ของพระแม่ธรณี และตลอดช่วงเวลานี้ พวกเขาได้ถูกปลูกฝังในคุณค่า แห่งชุมชนของพวกเขา คุณค่าที่คอยค้ำจุนจุดประสงค์ ที่คำภาวนาของพวกเขา และคำภาวนาของพวกเขาเท่านั้น ที่คอยค้ำจุนจักรวาล หรือที่เราเรียกว่าสมดุลทางธรรมชาติ และในช่วงท้ายของกรรมวิธีเริ่มแรกอันน่าทึ่งนี้ จู่ๆ วันหนึ่งพวเขาก็ถูกพาออกมา และเป็นครั้งแรกในชีวิตเมืออายุได้ 18 ปี พวกเขาจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้น และในช่วงเวลาแห่งการรับรู้ที่กระจ่าง ของแสงอาทิตย์แรกเริ่มสาดส่องไปทั่วเชิงเขา ที่มีภาพภูมิประเทศอันน่าตื่นตะลึง ในทันทีนั้น ทุกอย่างที่พวกเขา ได้เรียนมาในแบบนามธรรม จะได้รับการยืนยันอย่างเจิดจ้า แล้วนักบวชก็จะถอยออกมา และพูดว่า "เห็นไหม เป็นอย่างที่ได้บอกเจ้าไว้ ว่ามันงดงามเพียงใด นี่คืิอสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องไว้" พวกเขาเรียกตัวเองว่าพี่ชาย และพวกเขาบอกว่า พวกเราที่เป็นน้องชาย เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการทำลายโลก สัญชาตญาณในระดับนี้กลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เมื่อใดที่เรานึกถึงเหล่าชนพื้นเมือง และภูมิประเทศ เราก็จะอ้างถึง Rousseau และเรื่องหลอกลวงเก่าๆ ของคนเถื่อนที่ไร้มลทิน ซึ่งเป็นแนวคิดการเหยียดผิว ในรูปแบบง่ายที่สุด หรือเราอาจจะเลือกอ้างถึง Thoreau แล้วบอกว่าคนเหล่านี้ ใกล้ชิดกับโลกมากกว่าพวกเรา ที่จริงแล้ว ชนพื้นเมืองเหล่านี้ ไม่ได้มีอารมณ์อ่อนไหว หรือรู้สึกอาลัยอาวรณ์ในเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมา สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ในบึง Asmat ที่เต็มไปด้วยเชื้อมาลาเรีย หรือในสายลมอันหนาวเหน็บของธิเบต แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ หล่อหลอมความเร้นลับทางประเพณี ของพื้นพิภพผ่านเวลาและพิธีกรรม ซึ่งไม่ได้มีพื้นฐานมาจากแนวคิด ของการอยู่ใกล้กับสิ่งนี้อย่างมีสติรับรู้ของตน แต่อยู่บนสัญชาตญาณที่เรียบง่ายกว่านั้น แนวคิดที่ว่าโลกจะมีตัวตนอยู่ได้ เพราะโลกมีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยการ รับรู้ของมนุษย์เท่านั้น นั่นหมายความว่าอย่างไร หมายความว่า เด็กคนหนึ่งจากเถือกเขาแอนดีส ที่ถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อว่า ภูเขานั้นคือวิญญาณของ Apu ที่จะคอยชี้นำชะตาชีวิตของเขาและเธอ จะเป็นมนุษย์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีความสัมพันธ์กับแหล่งความรู้นั้น หรือสถานที่นั้นต่างออกไป จากเด็กที่มาจากมอนทาน่า ซึ่งถูกเลี้ยงให้เชื่อว่าภูเขาก็เป็นแค่กองหิน ที่พร้อมสำหรับการทำเหมืองแร่ การเป็นบ้านของวิญญาณ หรือเป็นแค่ก้อนแร่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่น่าสนใจก็คือการเปรียบเทียบ ที่กำหนดความสัมพันธ์ ระหว่างปัจเจกชนกับโลกธรรมชาติ ผมถูกเลี้ยงขึ้นมาในป่าบริทิชโคลัมเบีย ผมเชื่อว่าป่าเกิดขึ้นมาเพื่อถูกตัด ทำให้ผมเป็นคนที่แตกต่างออกไป จากเพื่อนของผมในเผ่า Kwakiutl ผู้ที่เชื่อว่าป่าเหล่านั้น เป็นบ้านของ Hukuk และจงอยปากที่โค้งงอของสวรรค์ และ วิญญาณกินคน ที่อาศัยอยู่ที่ส่วนเหนือสุดของโลก เป็นเหล่าวิญญาณที่พวกเขา ต้องเข้าร่วมในระหว่างพิธีบวช Hamatsa หากคุณเริ่มที่จะดูแนวคิด ที่วัฒนธรรมเหล่านี้ อาจสร้างความเป็นจริงที่แตกต่าง คุณอาจจะเริ่มเข้าใจถึง การค้นพบอันน่าอันเยี่ยมยอดของพวกเขา อย่างเช่นพืชต้นนี้ เป็นรูปภาพที่ผมถ่ายจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของอะมาซอนในเดือนเมษายนที่ผ่านมา นี่คือ ayahuasca ซึ่งพวกคุณหลายคนเคยได้ยินมา ยาปรุงสมุนไพรซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทรุนแรงที่สุด จากเทคนิคของหมอผี สิ่งที่ทำให้ ayahuasca นั้นน่าหลงใหล ไม่ใช่ศักยภาพด้านเภสัชวิทยา ของยาสมุนไพรตัวนี้ แต่เป็นการผลิตของยา ยาทำมาจากวัตถุดิบสองชนิดที่แตกต่างกัน ชนิดแรกคือเถาวัลย์ไม้ ซี่งมีสารจำพวก beta-carboline อยู่ harmine และ harmoline ซึ่งมีฤทธิ์หลอนประสาทอ่อนๆ ในการใช้เถาวัลย์อย่างเดียว จะทำให้รู้สึกเหมือนมีควันสีฟ้า ล่องลอยอยู่เหนือสติสัมปชัญญะของคุณ แต่จะถูกนำไปผสมกับ ใบจากพุ่มไม้ในตระกูลต้นกาแฟ เรียกว่า Psychotria viridis พืชชนิดนี้มีสารจำพวก tryptamine ซึ่งมีฤทธิ์แรงมาก ซึ่งใกล้เคียงกับสาร serotonin ในสมอง หรือ dimethyltryptamine-5 methoxydimethyltryptamine หากคุณเคยพบ Yanomami พวกเขาสูดดมยานัตถุ์นั้น ซึ่งเป็นสารที่พวกเขาทำมาจากพืชหลากพันธุ์ ยังมีสาร methoxydimethyltryptamine อยู่ด้วย หากใช้จมูกสูดผงนั่นเข้าไป จะรู้สึกเหมือนกับถูกยิงออกมา จากลำกล้องปืนไรเฟิล มีรอยด้วยภาพวาดแนวพิศดาร แล้วตกลงสู่ทะเลแห่งกระแสไฟฟ้า (หัวเราะ) สิ่งนี้ไม่ได้สร้างการบิดเบือนความเป็นจริง แต่ก่อให้เกิดการพังทลายของความเป็นจริง จริงๆ แล้ว ผมเคยโต้เถียงกับศาสตราจารย์ของผมชื่อ Richard Evan Shultes ซึ่งเป็นผู้จุดประกายยุคบุปฝาชน ด้วยการค้นพบเห็ดมหัศจรรย์ ในเม็กซิโกในช่วงทศวรรษที่ 1930 ผมเคยแย้งกับท่านว่า คุณไม่สามารถแยกประเภท tryptamine ว่า เป็นสารหลอนประสาท เพราะว่าเมือคุณตกอยู่ในฤทธิ์ของมัน คุณก็หมดสติไม่ได้ประสบกับ อาการหลอนประสาทแล้ว (หัวเราะ) แต่ tryptamine ไม่สามารถเสพโดยการกินได้ เพราะว่ามันถูกต้านทานโดยเอนไซม์ ที่พบในอวัยวะภายในของมนุษย์ตามธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่า mono amine oxidase คุณสามารถกินได้วิธีเดียวโดยการทานร่วมกับ สารเคมีอื่นซึ่งมีฤทธิ์ต้านทาน MAO สิ่งที่น่าสนใจยิ่ง ก็คือ beta-carboline ที่พบในเถาวัลย์ไม้ เป็นตัวยับยั้ง MAO ที่ลงตัวเหมาะเจาะเพียงพอที่จะ ช่วยเสริมพลังของ tryptamine ได้ คุณถึงถามตัวเองว่า จากพืชพันธุ์กว่า 80:00 พันธุ์ ในตระกูลพืชฝาดสมาน คนเหล่านี้หาพืช ที่มีโครงสร้างแตกต่างกัน 2 ชนิด ซึ่งเมื่อนำมาผสมกันในวิธีนี้แล้ว ได้ก่อให้เกิดรูปแบบทางชีวเคมี ของการเป็นตัวเต็มเดี่ยวๆ ที่มากกว่าผลรวมของส่วนต่างๆ เราใช้วิธีที่เรียกให้สวยหรูว่าการลองผิดลองถูก ซึ่งดูแล้วไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อคุณถามชาวอินเดียน พวกเขาตอบว่า "พืชพูดกับพวกเรา" หมายความว่าอย่างไรกัน เผ่า Cofan นี้มี ayahuasca กว่า 17 ชนิด ซึ่งทั้งหมดอยู่แยกกันในป่า เป็นระยะทางที่ไกลมาก ซึ่งในสายตาของพวกเรา มองเห็นเป็นพืชชนิดเดียวกัน แล้วเมื่อคุณถามว่าพวกเขา แยกประเภทออกได้อย่างไร พวกเขาก็จะพูดว่า "หลงนึกว่าคุณรู้เรื่องต้นไม้ซะอีก คือว่า คุณรู้อะไรบ้างมั้ย" ซึ่งผมก็ตอบไปว่า "ไม่รู้" กลายเป็นว่า คุณเก็บพืชแต่และชนิด ทั้ง 17 ชนิด ในคืนพระจันทร์เต็มดวง และพืชจะร้องเพลงให้คุณในโทนที่แตกต่างกัน วิธีนี้จะไม่ทำให้คุณได้ปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ด แต่ก็น่าสนใจมากกว่าการนับเกสรตัวผู้ ตอนนี้ (เสียงปรบมือ) ปัญหา -- ปัญหาคือแม้กระทั่งพวกเรา เห็นใจต่อสถานการณ์อันเลวร้าย ของชนเผ่าเหล่านั้น มองพวกเขาเป็บผู้มีสีสันและน่าอัศจรรย์ แต่ด้วยเหตุบางประการถูกลดจำนวน เหลือแค่ส่วนเล็กๆในหน้าประวัติศาสตร์ ขณะที่โลกแท้จริง หมายถึงโลกของเราก้าวไปข้างหน้า ความจริงก็คือศตวรรษที่ 20 ในอีก 300 ปีข้างหน้า จะไม่ถูกจดจำในเรื่องสงครามต่างๆ หรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่จะถูกจดจำว่าเป็นยุคที่เรายืนอยู่เฉยๆ แล้วอนุมัติอย่างเปิดเผยหรือแอบยอมรับ การทำลายล้างครั้งมโหฬารของทั้งความหลากหลาย ทางชีวภาพและวัฒนธรรม บนดาวเคราะห์ใบนี้ ปัญหาก็ยังคงเดิม วัฒนธรรมทั้งหลายในทุกยุคทุกสมัย ได้ข้าร่วมการเฉลิมฉลองร่วมกับ กับความเป็นไปได้ในชีวิตอย่างสม่ำเสมอ และปัญหาก็ไม่ใช่ที่ตัวเทคโนโลยีเอง ชาวอินเดียนเผ่า Sioux ไม่ได้เลิกเป็น Sioux เมื่อพวกเขาเลิกใช้ธนูและลูกศร ไม่ต่างไปจากที่ชาวอเมริกัน ไม่ได้เลิกเป็นชาวอเมริกัน เมื่อพวกเขาเลิกใช้ม้าและรถเทียมม้า ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงหรือเทคโนโลยี ที่คุกคามความมั่นคงของ ethnosphere แต่เป็นพลังต่างหาก ใบหน้าหยาบช้าของการปกครอง และเมื่อใดที่คุณมองไปรอบๆ โลก คุณจะพบว่าวัฒนธรรมเหล่านี้ ไม่ควรที่จะสูญหายไป ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตหลากหลาย ที่ถูกขับไล่ไปสู่การดับสูญโดยอำนาจที่เขารู้จักดี ซึ่งพวกเขาไม่สามารถปรับตัวให้เข้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่าอันเลวทราม ในบ้านเกิดของชาวเพนาน ชาวเผ่าเร่ร่อนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากซาลาวัก ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่า อย่างอิสระจนกระทั่งถึงรุ่นก่อน ตอนนี้ถูกลดสภาพลงเหลือ เพียงทาสและการค้าประเวณี ตามชายฝั่งแม่น้ำ ที่คุณจะเห็นแม่น้ำที่เหลือเพียงแค่โคลน ซึ่งดูเหมือนจะพัดพาครึ่งหนึ่ง ของหมู่เกาะบอร์เนียวไป ถึงทะเลจีนใต้ ซึ่งมีเรือขนสินค้าญี่ปุ่นลอยลำอยู่สุดขอบฟ้า พร้อมที่จะรับท่อนซุงที่ถูกกระชากออก จากป่าให้เต็มท้องเรือ หรือในกรณีของ Yanomami คือเชื้อของโรคร้ายที่ได้เข้ามา ในช่วงหลังของการค้นพบทองคำ หรือหากเราไปที่เทือกเขาในธิเบต ซึ่งในช่วงหลังๆ ผมได้ทำการค้นคว้าวิจัยไว้มาก คุณจะเห็นใบหน้าอันหยาบกร้าน ของการยึดครองทางการเมือง คุณรู้ใช่ไหม ว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ จะถูกประนามจากทุกฝ่าย แต่การทำลายล้างวัฒนธรรม (ethnocide) การทำลายล้างวิถีชีวิตของผู้คน กลับไม่เพียงไม่ได้รับการประนาม แต่กลับได้รับการเฉลิมฉลอง โดยนับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนา คุณไม่สามารถเข้าใจถึงความเจ็บปวดของธิเบตได้ จนกว่าคุณจะได้สำรวจดูในระดับพื้นดิน ผมเคยเดินทางจากเมืองเฉิงตูทางตะวันตกของจีน เป็นระยะทาง 6:00 ไมล์ ทางภาคพื้นดินผ่านเขตตะวันตกเฉียงใต้ ของธิเบตสู่เมืองลาซา ร่วมกับเพื่อนร่วมงานอายุน้อย และเมื่อผมไปถึงลาซา ผมก็ได้เข้าใจถึงความจริงเบื้องหลังสถิติ ที่พวกคุณเคยได้ยิน อนุเสาวรีย์อันศักดิ์สิทธิ์ 6:00 แห่ง ซึ่งถูกรื้อลงมาจนกลายเป็นธุลีดิน คนกว่า 1.2 ล้านคนถูกฆ่าโดยนักปฏิวัติ ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม พ่อของเด็กหนุ่มคนนี้ถูกตราหน้าว่า เป็นปันเชน ลามะ ซึ่งหมายความว่าเขาถูกฆ่าในทันที ในช่วงการบุกของจีน ลุงของเขาหนีไปกับองค์ดาไลลามะ ในกลุ่มผู้หลบหนี ซึ่งพาผู้คนอพยพไปยังเนปาล แม่ของเขาถูกจองจำเนื่องจาก ความผิดเพราะมีฐานะร่ำรวย เขาถูกลอบนำเข้าไปในคุกเมื่ออายุได้ 2 ขวบ โดยให้หลบอยู่ใต้กระโปรงของแม่ เพราะเธอไม่สามารถอยู่โดยไม่มีเขาได้ พี่สาวซึ่งได้ทำเรื่องกล้าหาญนั้น ถูกจับเข้าค่ายอบรมศึกษา วันหนึ่งเธอได้เหยียบปลอกแขน ของประธานเหมาโดยไม่ตั้งใจ และเพราะการกระทำผิดนั้น เธอถูกลงโทษให้ใช้แรงงานหนักเป็นเวลา 7 ปี ความเจ็บปวดของธิเบตอาจเป็นสิ่งที่ไม่อาจรับได้ แต่จิดวิญญาณไถ่บาปของผู้คนเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง และในท้ายที่สุด ก็จะเหลือแค่การเลือก ว่าเราอยากมีชีวิตอยู่ในโลกสีโทนเดียว อันน่าเบื่อซ้ำซาก หรือเราต้องการจะรับโลกที่มากด้วยสีสัน แห่งความหลากหลายกันแน่ Margaret Mead นักมนุษย์วิทยาที่ยิ่งใหญ่เคยพูดเอาไว้ว่าก่อนสิ้นลม ว่าสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือการที่กำลังเข้าไปสู่ โลกทัศน์โดยรวมที่มืดบอดนี้ ไม่เพียงแต่เราจะเห็นสุดขอบ การจินตนาการของมนุษย์ ซึ่งเหลือเป็นเพียงแค่ทัศนะภาวะ ของความคิดที่คับแคบ แต่เป็นการที่เราตื่นจากความฝันในสักวันหนึ่ง โดยที่ลืมเลือนว่ายังมีความเป็นไปได้อื่นๆ อีก และเป็นการถ่อมตนที่จะระลึกถึง เผ่าพันธุ์ของเราซึ่งอาจจะ มีมานานกว่า 600:00 ปี การปฏิวัติหลังยุคหิน -- ซึ่งทำให้เรามีการเกษตรกรรม ซึ่งเป็นเวลาที่เรายอมให้กับลัทธิแห่งเมล็ดพันธุ์ บทกวีของเหล่าหมอผีถูกแทนที่ ด้วยความจืดชืดของการเป็นนักเทศ เราได้สร้างระบบชนชั้นวรรณะ เมื่อ 10:00 ปีก่อนเท่านั้น ยุคอุตสาหกรรมที่เรารู้จักในปัจจุบัน มีอายุเพียงแค่ 300 ปีเท่านั้น ประวัติศาสตร์สั้นๆ นั้นไม่ได้บอกผม ว่าเรามีคำตอบสำหรับหรับทุกความท้าทาย ที่เราจะเผชิญในสหัสวรรษหน้า เมื่อวัฒนธรรมมากมายในโลกนี้ ถูกถามถึงความหมายของการเป็นมนุษย์ พวกเขาจะตอบกลับมาด้วยเสียงที่แตกต่างกัน : 10:00 เสียง และในเสียงเพลงนั้นเอง ที่เราจะค้นพบความเป็นไปได้อีกครั้ง ในการเป็นสิ่งที่เราเป็น: สิ่งมีชีวิตที่มีความรับรู้สมบูรณ์ รับรู้เต็มที่ที่จะทำให้คนและผืนป่าท้งหมด มีหนทางที่จะเบ่งบาน และมีช่วงเวลาแห่งการมองโลกในแง่ดี นี่คือรูปที่ผมได้ถ่ายที่แหลม ทางตอนเหนือของเกาะ Baffin เมื่อผมไปล่าปลาวาฬขนาดเล็กกับชาวอินนุยท์ และชายคนนี้ชื่อโอลาย่า ได้เล่าเรื่องสนุกสนานของปู่ให้ผมฟัง รัฐบาลของแคนนาดานั้นไม่ได้ใจดีเสมอไป กับชาวอินนุยท์ และในช่วงทศวรรษที่ 1950 เพื่อก่อตั้งอำนาจอธิปไตยของเรา เราบังคับให้พวกเขาไปอยู่ในชุมชน ปู่ของชายชราคนนี้ไม่ยอมไป ทางครอบครัวซึ่งห่วงใยในชีวิตของเขา ได้ปลดอาวุธเขา เครื่องมือทั้งหมด คุณต้องเข้าใจว่าชาวอินนุยท์นั้น ไม่ได้กลัวความหนาว พวกเขาใช้มันให้เป็นประโยชน์ ส่วนกระดานเลื่อนของเลื่อนหิมะของเขานั้น เดิมทีทำจากปลา หุ้มด้วยหนังกวาง caribou ปู่ของชายคนนี้ไม่ได้หวาดกลัวค่ำคืน ในคาบสมุทรอาร์คติก หรือพายุหิมะที่โหมกระหน่ำอยู่ เขาเพียงแค่แอบลอบออกไป และลดกางเกงหนังแมวน้ำ แล้วถ่ายอุจจาระลงบนมือ และเมื่ออุจาระเริ่มแข็ง เขาก็แต่งรูปทรงให้กลายเป็นใบมีด เขาพ่นน้ำลายใส่ปลายมีดอุจจาระ และมื่อมันแข็งเต็มที่เขาก็ใช้มันฆ่าหมา เขาถลกหนังมันและนำมาดัดแปลงเป็นสายรัด นำซี่โครงของหมามาทำเป็นเลื่อน รัดหมาตัวที่อยู่ติดกัน แล้วหายไปบนแผ่นน้ำแข็ง โดยมีมีดอุจจาระเหน็บไว้ที่เอว การเอาตัวรอดตัวเปล่ามันต้องแบบนี้ (หัวเราะ) และเรื่องนี้ ในหลายๆ ด้านแล้ว (เสียงปรบมือ) คือสัญลักษณ์แห่งความยืดหยุ่นของชาวอินนุยท์ และในชนเผ่าพื้นเมืองทั้งหมดทั่วโลก ในเดือนเมษายน ปี 1999 รัฐบาลแคนนาดา ได้ยกอำนาจการปกครองทั้งหมด คืนแก่ชาวอินนุยท์ เป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่า รัฐแคลิฟอร์เนียและเท็กซัสรวมกัน เป็นบ้านเกิดใหม่ของเราที่เรียกว่า Nunavut เป็นพรมแดนอิสระ พวกเขาควบคุมทรัพยากรแร่ทั้งหมด ถือเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของการที่ประเทศ ที่สามารถบรรลุถึงการให้คืนแก่ประชาชน และในท้ายที่สุด ผมคิดว่ามันชัดเจนเพียงพอ อย่างน้อยก็สำหรับพวกเราที่ได้เดินทาง ไปสู่ที่ห่างไกลสุดขอบดาวเคราะห์ดวงนี้ เพื่อรับรู้ว่าที่เหล่านั้นไม่ได้ห่างไกลเลย ที่เหล่านั้นเป็นบ้านเกิดของใครบางคน เป็นตัวแทนของกิ่งก้านสาขาของจินตนาการมนุษย์ ทีย้อนกลับไปถึงครั้งโบราณกาล และสำหรับเราทุกคน ความฝันของเด็กเหล่านี้ ก็เป็นเหมือนกับความฝันของลูกหลานของเรา ซึ่งกลายเป็นภูมิศาสตร์แห่งความหวังอันเปลือยเปล่า ท้ายที่สุด สิ่งที่เราต้องการทำที่ National Geographic คือ เราเชื่อว่านักการเมือง จะไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ เราคิดว่าการโต้เถียง -- (เสียงปรบมือ) เราคิดว่าการโต้เถียงไม่ใช่การโน้มน้าว แต่เราคิดว่าการเล่าเรื่องราวสามารถเปลี่ยนโลกได้ และเราอาจจะเป็นสถาบันเล่าเรื่องที่ดีที่สุด ในโลก โดยที่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์เรากว่า 35 ล้านครั้ง ในแต่ละเดือน กว่า 156 ประเทศมีรายการโทรทัศน์ของเรา วารสารของเรามีผู้อ่านเป็นจำนวนหลายล้านคน และสิ่งที่เราทำคือการเดินทาง สู่ ethnosphere ซึ่งเราจะนำผู้ชมของเรา ไปสู่สถานที่ของความมหัศจรรย์ทางวัฒนธรรม ซึ่งพวกเขาจะต้องตื่นตะลึง จากสิ่งที่เขาได้พบเห็นมา และหวังว่า พวกเขาแต่ละคนจะยินดีรับ หัวใจของการค้นพบทางมนุษยวิทยา ว่าโลกนี้ควรจะดำรงอยู่ด้วยหนทาง ที่หลากหลาย ที่เราสามารถหาหนทางในการมีชีวิต ในโลกที่มีวัฒนธรรมที่หลากหลายอย่างแท้จริง ที่ซึ่งสติปัญญาทั้งหมดของทุกคน สามารถมีส่วนร่วมต่อความผาสุข ของพวกเราทั้งปวง ขอบคุณทุกคนมากครับ (ปรบมือ)