WEBVTT 00:00:00.370 --> 00:00:01.928 ฉันเป็นนักเขียนพจนานุกรมคะ 00:00:01.928 --> 00:00:03.682 ฉันทำพจนานุกรม 00:00:03.682 --> 00:00:05.121 และหน้าที่ของฉันก็คือ 00:00:05.121 --> 00:00:08.841 พยายามใส่คำทุกคำลงใน พจนานุกรม 00:00:08.841 --> 00:00:14.924 หน้าที่ฉันไม่ใช่การตัดสินว่าคำนั้นๆ แปล ว่าอะไร นั่นเป็นงานของคุณ NOTE Paragraph 00:00:14.924 --> 00:00:17.821 ทุกคนที่พูดภาษาอังกฤษ ตัดสินร่วมกัน 00:00:17.821 --> 00:00:20.153 อะไรใช่คำ และไม่ใช่คำ 00:00:20.153 --> 00:00:25.305 ทุกภาษาก็แค่กลุ่มคนที่ตกลง ที่จะเข้าใจซึ่งกันและกัน 00:00:25.305 --> 00:00:29.909 เดี๋ยวนี้ บางครั้งเวลาที่ผู้คนพยายาม ตัดสินว่านี่เป็นคำที่ดีหรือไม่ดี 00:00:29.909 --> 00:00:31.677 พวกเขาไม่ได้มีเหตุผลดีๆ นักหรอก 00:00:31.677 --> 00:00:34.488 ก็มักจะพูดกันว่า "เพราะมันเป็นแกรมม่า (ไวยากรณ์)" 00:00:34.488 --> 00:00:36.422 (เสียงหัวเราะ) 00:00:36.862 --> 00:00:40.425 ฉันไม่ค่อยใส่ใจแกรมม่ามากนัก อย่าไปบอกใครเชียว NOTE Paragraph 00:00:40.425 --> 00:00:43.564 แต่คำว่า "แกรมม่า" จริงๆ แล้ว มีอยู่ 2 ประเภท 00:00:43.564 --> 00:00:46.434 คือ แกรมม่าประเภทที่อาศัยอยู่ ในสมองของเรา 00:00:46.434 --> 00:00:48.543 และถ้าคุณเป็นเจ้าของภาษา ในภาษานั้น 00:00:48.543 --> 00:00:50.132 หรือเก่งภาษานั้น 00:00:50.132 --> 00:00:53.531 มันเป็นกฎที่ใช้แบบไม่รู้ตัว เวลาที่คุณพูดภาษานั้นๆ 00:00:53.531 --> 00:00:56.552 และนี่คือการเรียนภาษา เมื่อเราเรียนตอนเด็ก 00:00:56.552 --> 00:00:58.189 มาดูตัวอย่างกันค่ะ 00:00:58.189 --> 00:00:59.714 นี่คือ วัค ใช่ไหมคะ 00:00:59.714 --> 00:01:01.775 นี่คือ วัค 00:01:01.775 --> 00:01:03.471 และนี่ก็อีกตัว 00:01:03.471 --> 00:01:04.634 มีตัวแบบนี้ 2 ตัว 00:01:04.634 --> 00:01:05.923 พวกนั้นเป็น... 00:01:05.923 --> 00:01:07.107 ผู้ชม: วัคส์ 00:01:07.107 --> 00:01:10.820 เอริน แม็คคีน: ใช่เลย คุณรู้ว่า ต้องแปลง วัค เป็นพหูพจน์ยังไง 00:01:10.820 --> 00:01:12.301 กฎนั้นอยู่ในหัวของเรา 00:01:12.301 --> 00:01:15.250 มันไม่จำเป็นต้องสอน คุณก็แค่เข้าใจมันเอง 00:01:15.250 --> 00:01:18.879 นี่เป็นการทดลองที่สร้างโดย ศาสตราจารย์ (ที่มหาวิทยาลัยบอสตัน) 00:01:18.879 --> 00:01:22.024 ชื่อว่าชอน เบอร์โก กลีสัน ในปี 1958 00:01:22.024 --> 00:01:25.049 ที่จริงเราก็พูดเรื่องนี้กันมานานแล้ว NOTE Paragraph 00:01:25.049 --> 00:01:28.563 กฎธรรมชาติที่อยู่ ในสมองคุณ 00:01:28.563 --> 00:01:32.785 มันไม่เหมือนกับกฎจราจร มันเหมือนกับกฎของธรรมชาติมากกว่า 00:01:32.785 --> 00:01:36.140 และไม่มีใครมาเตือนคุณให้ทำ ตามกฎนี้ด้วย จริงไหมคะ 00:01:36.140 --> 00:01:39.093 พอคุณออกจากบ้านในตอนเช้า แม่คุณก็ไม่ได้พูดว่า 00:01:39.093 --> 00:01:41.972 "ลูกรัก แม่ว่าวันนี้น่าจะหนาว ใส่เสื้อมีหมวกซะ 00:01:41.972 --> 00:01:44.439 แล้วอย่าลืมทำตามกฎแรงโน้มถ่วงด้วยนะลูก" 00:01:44.439 --> 00:01:46.325 ไม่มีใครพูดแบบนี้กันหรอก 00:01:46.325 --> 00:01:53.182 มาถึงอีกกฎกันบ้าง ที่จะออกทาง มารยาท มากกว่าทางธรรมชาติ 00:01:53.182 --> 00:01:56.046 เช่นคุณคิดถึงคำว่าหมวก 00:01:56.046 --> 00:01:58.296 เมื่อคุณรู้ว่าหมวกใช้ยังไง 00:01:58.296 --> 00:02:01.163 ไม่มีใครต้องบอกคุณว่า "อย่าใส่หมวกที่เท้านะ" 00:02:01.163 --> 00:02:04.507 สิ่งที่เขาต้องบอกคุณคือ "คุณใส่หมวกในอาคารได้ไหม" 00:02:04.507 --> 00:02:06.264 ใครสามารถใส่หมวกได้ 00:02:06.264 --> 00:02:09.396 หมวกแบบไหนที่คุณใส่ได้ 00:02:09.396 --> 00:02:11.818 เหล่านี้คือแกรมม่าในประเภท ที่สอง 00:02:11.818 --> 00:02:16.121 ซึ่งนักภาษาศาสตร์เรียกบ่อยครั้ง ว่าการใช้งานแบบตรงข้ามแกรมม่า NOTE Paragraph 00:02:16.121 --> 00:02:20.255 บางครั้งคนเราใช้กฎนี้เป็น หลักแกรมม่า 00:02:20.255 --> 00:02:23.043 เพื่อกดให้คนไม่กล้าคิดคำใหม่ๆ 00:02:23.043 --> 00:02:25.727 และฉันคิดว่ามัน.. อืม โง่ 00:02:25.727 --> 00:02:28.993 ตัวอย่างเช่น คนที่มัก พูดกับคุณเสมอว่าให้ 00:02:28.993 --> 00:02:34.233 คิดนอกกรอบ สร้างเพลงใหม่ งานศิปะ ประดิษฐ์ของ พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 00:02:34.233 --> 00:02:36.271 แต่พอพูดถึงเรื่อง คำ พวกเขาก็แบบ 00:02:36.271 --> 00:02:40.991 "ไม่! อย่า ความคิดสร้างสรรค์หยุดตรงนั้น เจ้าคนอ่อนวัยไร้เดียงสา พับเก็บไปซะ" 00:02:41.004 --> 00:02:42.421 (เสียงหัวเราะ) 00:02:42.421 --> 00:02:44.142 แต่นั่นมันไม่จริงสำหรับฉันเลย 00:02:44.142 --> 00:02:46.474 คำต่างๆ มันเจ๋ง เราควรมีคำเยอะๆ 00:02:46.474 --> 00:02:50.530 ฉันอยากให้คุณสร้าง คำให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้ 00:02:50.530 --> 00:02:55.538 และฉันจะบอก 6 วิธีที่คุณ สามารถสร้างคำในภาษาอังกฤษได้ NOTE Paragraph 00:02:55.550 --> 00:02:57.639 วิธีแรกเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด 00:02:57.639 --> 00:02:59.862 ง่ายๆ เลย ขโมยจากภาษาอื่น 00:02:59.862 --> 00:03:02.686 ["ไปขโมยชาวบ้านกัน"] (เสียงหัวเราะ) 00:03:03.936 --> 00:03:05.764 นักภาษาศาสตร์เรียกว่า การยืม 00:03:05.764 --> 00:03:08.824 แต่ เราไม่เคยคืนคำเหล่านั้น ดังนั้น ฉันจะเรียกแบบซื่อๆ 00:03:08.824 --> 00:03:10.784 เลยนะว่า การขโมย 00:03:10.784 --> 00:03:14.154 เรามักเลือกเอาคำต่างๆ จาก สิ่งที่เราชอบ เช่น อาหารที่อร่อย 00:03:14.154 --> 00:03:17.944 เราเอา "คุมเควท" (ส้มจี้ด) จากภาษาจีน แล้วก็ "คาราเมล" จากภาษาฝรั่งเศส 00:03:17.944 --> 00:03:20.851 แล้วเราก็เลือกเอาคำ จากของเจ๋งๆ อย่างเช่น "นินจา" ใช่ไหมคะ 00:03:20.851 --> 00:03:22.301 คำนี้เราเอามาจากภาษาญี่ปุ่น 00:03:22.301 --> 00:03:25.570 ซึ่งเป็นเทคนิคที่เจ๋งมากเพราะ มันยากที่จะขโมยนินจาจริงๆ 00:03:25.570 --> 00:03:27.684 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:03:27.684 --> 00:03:30.944 อีกวิธีที่คุณจะสร้างคำ ในภาษาอังกฤษคือ 00:03:30.944 --> 00:03:33.885 ยำคำภาษาอังกฤษ 2 คำเข้าด้วยกัน 00:03:33.885 --> 00:03:35.572 วิธีนี้เรียกว่า การประสม 00:03:35.572 --> 00:03:37.082 คำในภาษาอังกฤษเหมือนกับเลโก้ 00:03:37.082 --> 00:03:40.447 ถ้าคุณใช้กำลังมากพอ คุณสามารถยำ 2 คำไหนเข้าด้วยกันก็ได้ 00:03:40.447 --> 00:03:42.112 (เสียงหัวเราะ) 00:03:42.832 --> 00:03:44.627 เราทำแบบนี้ในภาษาอังกฤษเสมอแหละ 00:03:44.627 --> 00:03:50.105 อย่างเช่น "อกหัก" "หนอนหนังสือ" "ปราสาททราย" ทั้งหมดนี้ก็ประสมกัน 00:03:50.105 --> 00:03:53.606 ดังนั้นก็ลุยเลย ลองสร้างคำอย่าง "หน้าเป็ด" แต่อย่าทำหน้าแบบนั้นก็พอ 00:03:53.606 --> 00:03:55.085 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:03:55.835 --> 00:03:59.848 อีกหนึ่งทางในการสร้างคำใน ภาษาอังกฤษก็คล้ายๆ การประสม 00:03:59.848 --> 00:04:04.899 แต่คุณใช้แรงมากเกินไป ตอนที่คุณอัดมันเข้าด้วยกัน 00:04:04.899 --> 00:04:06.534 ทำให้บางส่วนหลุดออกไป 00:04:06.534 --> 00:04:08.215 วิธีนี้คือการสนธิคำ 00:04:08.215 --> 00:04:12.064 อย่าง "บรันช์" คือการกลืนกันของ "มื้อเช้า" และ "มื้อกลางวัน" 00:04:12.064 --> 00:04:14.796 "โมเทล" กลืนระหว่าง "รถ" กับ "โรงแรม" 00:04:14.796 --> 00:04:17.737 มีใครในที่นี้รู้บ้างว่า "โมเทล" เป็นคำสนธิ 00:04:17.737 --> 00:04:19.581 ใช่ คำนี้เก่ามากในภาษาอังกฤษ 00:04:19.581 --> 00:04:22.692 ที่หลายคนไม่ทราบว่ามีบาง ส่วนหายไป 00:04:22.692 --> 00:04:26.987 "เอ็ดดูเทนเม้นท์" ก็สนธิ ระหว่าง "การศึกษา" และ "ความบันเทิง" 00:04:26.987 --> 00:04:32.197 และแน่นอน "อิเล็กโทรคิวท์" สนธิกัน ของ "ไฟฟ้า" กับ "การประหาร" 00:04:32.197 --> 00:04:34.007 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:04:34.007 --> 00:04:37.328 คุณสามารถสร้างคำใหม่ โดยการเปลี่ยนการทำงานมันซะ 00:04:37.328 --> 00:04:38.941 วิธีนี้เรียกว่า เปลี่ยนการใช้งาน 00:04:38.941 --> 00:04:41.242 คุณเอาคำหนึ่งที่เป็นหนึ่งใน บทพูด 00:04:41.242 --> 00:04:43.522 แล้วเปลี่ยนไปไว้อีกส่วน ของบทพูด 00:04:43.522 --> 00:04:47.541 โอเค ใครในที่นี้รู้บ้างว่า "เพื่อน" ไม่ได้เป็นกริยาตลอด 00:04:48.881 --> 00:04:53.076 "เพื่อน" ใช้เป็นคำนาม แล้วเรา เอามาใช้เป็นกริยาด้วย 00:04:53.076 --> 00:04:56.345 คำเกือบทุกคำในภาษาอังกฤษใช้เป็นกริยาได้ 00:04:56.345 --> 00:04:58.978 คุณสามารถเอาคำคุณศัพท์ มาใช้เป็นคำนามได้ 00:04:58.978 --> 00:05:02.705 "คอมเมอร์เชียล" เป็นคำคุณศัพท์ แต่ตอนนี้เราใช้เป็นคำนามด้วย 00:05:02.705 --> 00:05:05.151 และแน่นอนว่า คุณทำให้เป็นสีเขียวได้ NOTE Paragraph 00:05:05.151 --> 00:05:08.489 อีกวิธีนึงในการสร้างคำภาษาอังกฤษ คือการตัดทอนรูปคำ 00:05:08.489 --> 00:05:11.747 คุณก็เอาคำมา แล้วก็บีบ ให้มันเล็กลงหน่อย 00:05:11.747 --> 00:05:16.568 เช่นว่า ในภาษาอังกฤษ เรามีคำว่า "เอดิเตอร์" ก่อนหน้าคำว่า "เอดิต" 00:05:16.568 --> 00:05:18.320 คำว่า "เอดิต" มาจาก "เอดิเตอร์" 00:05:18.320 --> 00:05:21.065 บางครั้งวิธีลดทอนนี้ก็ฟังดูตลกๆ 00:05:21.065 --> 00:05:25.453 บูล์โดเซอร์ บูล์โดซ บัทเลอร์ บัททัล แล้วก็ บักเกลอร์ เบอร์เกิล 00:05:25.453 --> 00:05:27.078 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:05:27.278 --> 00:05:29.050 อีกวิธีสำหรับภาษาอังกฤาในการสร้างคำ 00:05:29.050 --> 00:05:32.220 คือ การเอาตัวอักษรแรกของคำ มารวมกัน 00:05:32.220 --> 00:05:35.251 เช่น องค์การอวกาศแห่งชาติของประเทศอเมริกา กลางเป็น นาซ่า 00:05:35.251 --> 00:05:38.963 และแน่นอนว่าคุณใช้ได้กับทุกคำ โอ เอ็ม จี! NOTE Paragraph 00:05:38.963 --> 00:05:44.602 ดังนั้น มันไม่เกี่ยวว่า คำจะดูตลกแค่ไหน 00:05:44.602 --> 00:05:46.608 มันสามารถเป็นคำที่ดีในภาษาอังฤษได้ 00:05:46.608 --> 00:05:50.626 "สุดจี้ดจริงๆ" ก็เป็นคำที่ใช่ สำหรับภาษาอังกฤษ 00:05:50.626 --> 00:05:53.489 "คนเป็นกลาง" ก็ดีสำหรับ ภาษาอังกฤษ 00:05:53.489 --> 00:05:58.067 คำ ไม่จำเป็นต้องฟังดูปกติ มันสามารถฟังดูขำๆ ได้ NOTE Paragraph 00:05:58.067 --> 00:06:00.256 ทำไมคุณไม่สร้างคำล่ะ 00:06:00.256 --> 00:06:02.397 คุณควรสร้างคำขึ้นเพราะทุกคำ 00:06:02.397 --> 00:06:06.918 คือโอกาสในการสื่อความคิด และความหมายของคุณออกมา 00:06:06.918 --> 00:06:09.514 และคำใหม่ได้ความสนใจจากคนรอบๆ 00:06:09.514 --> 00:06:12.163 ทำให้คนทั่วไปจับจ้อง ว่าคุณพูดว่าอะไร 00:06:12.163 --> 00:06:15.427 และให้โอกาสที่ดีกว่ากับคุณ ในการส่งความหมายต่อ 00:06:15.427 --> 00:06:18.376 คนในวงการนี้ พูดว่า 00:06:18.376 --> 00:06:19.938 "ในอนาคตคุณสามารถทำแบบนี้ 00:06:19.938 --> 00:06:23.471 ช่วยแบบนั้น ช่วยค้นพบ ช่วย ประดิษฐ์ต่างๆ" 00:06:23.471 --> 00:06:25.100 คุณสร้างคำได้เดี๋ยวนี้ 00:06:25.100 --> 00:06:27.433 ภาษาอังกฤษไม่มีเลขอายุจำกัด 00:06:27.433 --> 00:06:29.859 เอาเลยค่ะ เริ่มสร้างคำตั้งแต่วันนี้ 00:06:29.859 --> 00:06:33.546 ส่งมาให้ฉัน แล้วฉันจะดึงพวกมัน มาอยู่ในพจนานุกรมออนไลน์ Wordnik 00:06:33.546 --> 00:06:34.835 ขอบคุณมากค่ะ 00:06:34.835 --> 00:06:39.642 (เสียงปรบมือ)