ดวงอาทิตย์นั้นเพิ่งขึ้น แต่ โมริ บันชิโร ที่มีอายุเพียง 16 ปี กำลังฝึกฝนการใช้ดาบยาวของเขาอย่างหนัก บันชิโรเป็นซามูไรฝึกหัดผู้ทะเยอทะยาน และวันนี้เขาจะต้องทำให้เหล่าอาจารย์ของเขา ประทับใจมากกว่าครั้งไหน ๆ วันนี้เขาจะขออนุญาต เดินทางไปยังเมืองหลวงเอโดะ เพื่อศึกษาทางการต่อสู้และวิชาการ เป็นเวลาหนึ่งปี และเขาก็ต้องการการสนับสนุนจากเหล่าอาจารย์ รวมถึงพ่อของเขาด้วย ในปี 1800 ที่เมืองปราสาทโคจิ เมืองหลวงของแคว้นโทสะในญี่ปุ่น ไดเมียวเป็นผู้ปกครองแคว้น และมีซามูไรประมาณ 1,500 คนคอยรับใช้ เป็นเวลากว่า 200 ปี ที่ญี่ปุ่นไม่มีสงคราม และซามูไรซึ่งเคยทำหน้าที่หลักเป็นนักรบ ได้เปลี่ยนมาทำหน้าที่ที่หลากหลายขึ้น พวกเขาเป็นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการ อาจารย์ หรือแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญ ด้านพิธีชงชา หรือศิลปิน เพื่อที่จะเตรียมตัว สำหรับหน้าที่อันหลากหลายนี้ ซามูไรหนุ่มอย่างบันชิโร จึงต้องศึกษาทางทั้งสอง การเรียนรู้ทางวรรณคดีและศิลปะการต่อสู้ เมื่ออายุ 15 ปี เขาได้ผ่านพิธีกรรม เข้าสู่วัยผู้ใหญ่และได้รับไดโช หรือดาบคู่ ดาบยาวมีไว้สำหรับการฝึก และต่อสู้ ในขณะที่ดาบสั้นนั้น มีเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น คือสำหรับพิธีกรรมฆ่าตัวตาย หรือเซ็ปปูกุ หากเขาสร้างความอัปยศให้แก่ตนเอง ครอบครัว หรือไดเมียว บันชิโรนับถือซามูไรผู้เป็นตำนาน มิยาโมโตะ มุซาชิ นักดาบผู้มีชื่อเสียง ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อ 150 ก่อนหน้า แต่บันชิโรไม่ได้ชื่นชมแค่ความสามารถ การใช้ดาบของเขาเท่านั้น มิยาโมโตะ มุซาชิ ยังเป็น ศิลปินอักษรวิจิตรและจิตรกรอีกด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่แท้จริง ที่บันชิโรต้องการจะไปเมืองเอโดะ เขาต้องการที่จะเป็นจิตรกรอย่างลับ ๆ ด้วย หลังจากฝึกที่บ้านเสร็จแล้ว เขาบอกลาพ่อ และเดินไปโรงเรียน พ่อของเขากำลังเตรียมตัวที่จะ ติดตามไดเมียวไปยังเมืองหลวง โชกุนโทกุงาวะ หัวหน้ารัฐบาลทหารญี่ปุ่น กำหนดให้ผู้ปกครองท้องถิ่น ต้องย้ายสลับไปมา ระหว่างเมืองปราสาทในแคว้นของตน กับเมืองหลวง การเดินทางไปมาที่สิ้นเปลืองนี้ ทำให้ไดเมียวต้องอยู่ภายใต้อำนาจ และป้องกันไดเมียวไม่ให้สะสม กำลังทหารของตนเอง เพื่อท้าทายอำนาจโชกุนได้ ภรรยาและลูกของไดเมียว จะอยู่ที่เมืองหลวงตลอดเวลา เพื่อเป็นตัวประกัน รับรองความภักดีของไดเมียว แต่การทำเช่นนี้ ไม่ได้ส่งผลต่อไดเมียวเท่านั้น มันยังเป็นตัวกำหนดจังหวะชีวิต ในญี่ปุ่นส่วนใหญ่อีกด้วย ซามูไรต้องติดตามไดเมียวไปเมืองเอโดะด้วย ปีนี้เป็นคราวที่พ่อของบันชิโรต้องไปบ้าง และบันชิโรก็ต้องการที่จะไปกับพ่ออย่างมาก แต่ด้วยที่เขายังต้องฝึกหัดอยู่ เขาจึงต้องขออนุญาต จากทั้งพ่อและแคว้นของเขา ที่โรงเรียน บทเรียนแรกของบันชิโร คือการต่อสู้ด้วยดาบ ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดของอาจารย์ เขาได้จับคู่กับเพื่อนร่วมชั้น และทำตามกระบวนท่า ที่ได้ฝึกไว้ หลังบทเรียนจบ เขาได้ถามอาจารย์ ถึงคำขอที่จะไปเอโดะของเขา อาจารย์ก็แสดงรอยยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกในวันนั้น และบันชิโรจึงรู้สึกมั่นใจว่า เขาจะได้รับการสนับสนุน จากนั้น บันชิโรได้ฝึกยิงธนู ขี่ม้า และว่ายน้ำ ก่อนที่จะเรียนวิชาการ ในช่วงบ่าย วิชาเหล่านี้เกี่ยวกับปรัชญาขงจื๊อ ศีลธรรม และประวัติศาสตร์ เมื่ออาจารย์เรียกถามเขา เขาก็พร้อมที่จะตอบในทันที เพื่อสร้างความมั่นใจว่า เขาจะได้รับการสนับสนุนอีกแรง เมื่อเลิกเรียนแล้ว บันชิโรมั่นใจว่า คำขออย่างเป็นทางการของเขา จะได้รับการรับรอง แต่อุปสรรค ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาต้องเผชิญหน้าคือ การโน้มน้าวพ่อของเขา พ่อของเขาเชื่อว่าศิลปะการต่อสู้ สำคัญกว่าศิลปะวรรณคดี ดังนั้นบันชิโรจึงไม่ได้พูดถึง ความฝันด้านศิลปะของเขา แต่เขากลับพูดถึงอาจารย์ด้านดาบ ผู้มีชื่อเสียงที่เขาจะสามารถไปเรียนด้วยได้ และใบประกาศนียบัตรการสอนที่เขาจะได้รับ เพื่อพัฒนาโอกาสในอาชีพของเขา เมื่อกลับมาโคจิ จากนั้น เขาได้ให้ข้อเสนอ สุดท้ายของเขาว่า ถ้าเขาได้ไปในครั้งนี้และประสบความสำเร็จ พ่อของเขาจะเกษียณและส่งเขาไปแทน ในอนาคตได้ ณ จุดสุดท้ายนี่เอง ที่ทำให้พ่อเชื่อเขา พ่อของบันชิโรตอบตกลง ที่จะพาเขาไปด้วยในการเดินทางครั้งนี้ ท่ามกลางเมืองหลวงอันวุ่นวายนี้ ในที่สุดบันชิโรก็จะได้โอกาส ที่จะทำตามความฝันลับของเขา ในการเป็นจิตรกร