คริส แอนเดอร์สัน: เป็นเวลานานมาแล้ว ที่ผมทั้งหลงใหลและประหลาดใจ ไปกับแง่มุมต่าง ๆ ของเน็ตฟลิกซ์ คุณทำสิ่งเกินคาดไว้มากมาย ผมขอพูดอย่างนั้น หนึ่งในสิ่งเกินคาดเหล่านั้น ผมคิดว่าเมื่อประมาณ 6 ปีมาแล้ว ในตอนนั้นบริษัทกำลังไปได้ดีมาก แต่คุณยังเป็นแค่ผู้ให้บริการถ่ายทอดเนื้อหา ทั้งภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ของผู้อื่น คุณได้พิสูจน์กับวงการลงทุน ว่าคุณมาถูกทาง ในการเปลี่ยนธุรกิจ จากการส่งแค่แผ่นดีวีดี ไปเป็นการถ่ายทอดเนื้อหาออนไลน์ และคุณเติบโตอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นคุณมีสมาชิกถึง 6 ล้านคน และมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่คุณก็เลือกช่วงเวลานั้น ในการตัดสินใจครั้งสำคัญยิ่ง ชนิดเอาบริษัทเป็นเดิมพัน การตัดสินใจนั้นคืออะไร และอะไรเป็นแรงจูงใจให้ทำอย่างนั้นครับ รีด ฮาสติ้งส์: ผู้ประกอบธุรกิจ เครือข่ายเคเบิลทีวีในยุคที่ผ่านมา เริ่มจากการใช้เนื้อหาของผู้อื่น และเติบโตผ่านการ ผลิตเนื้อหาของตนเอง เราเห็นแนวคิดนี้มาสักพักแล้ว และเราได้พยายามเริ่มสร้างเนื้อหา ของเราเองตั้งแต่ปี 2005 ครั้งนั้นเรายังมีแค่ดีวีดี เราซื้อภาพยนตร์จาก Sundance แมกกี้ จิลเลนฮาล "เชอรี่เบบี้" คือสิ่งที่นำเสนอด้วยดีวีดี เราเป็นสตูดิโอขนาดเล็ก แต่มันไม่ได้ผล เพราะเราเล็กเกินไป และอย่างที่คุณกล่าว ในปี 2011 เท็ด ซารานดอส คู่หูผมที่เน็ตฟลิกซ์ ซึ่งดูแลเนื้อหา ตื่นเต้นมากกับ "เฮ้าส์ออฟคาร์ดส์" ในขณะนั้น มันใช้ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ เป็นการลงทุนที่วิเศษมาก ถึงกับแข่งกับเอชบีโอได้เลย เรื่องนั้นนับเป็นพัฒนาการครั้งใหญ่ ที่เขาทำได้อย่างถูกต้องพอดี คริส: มันสร้างรายได้เป็นสัดส่วนสำคัญ ให้กับบริษัทเลยทีเดียว ในตอนนั้น คุณมั่นใจได้อย่างไร ว่านั่นคือสิ่งที่คุ้มค่า เพราะถ้ามันผิดพลาด ก็อาจจะทำให้บริษัท เสียหายอย่างหนักได้เลย รีด: จริง ๆ แล้วเราไม่มั่นใจเลย เป็นความกดดันอย่างใหญ่หลวง พวกเราลุ้นกันมาก ครับ มันน่ากลัว (เสียงหัวเราะ) คริส: นั่นไม่ใช่แค่การสร้างเนื้อหาใหม่ ถ้าผมเข้าใจถูกต้อง นั่นคือการ นำเสนอแนวคิด การรับชมอย่างไม่หยุดพัก ไม่ใช่แค่ "เราจะสร้างชุดเนื้อหาที่สุดยอด" แต่ ตูม! ทำทั้งหมดรวดเดียวเลย ขณะที่วิธีการรับชมของผู้บริโภค แบบนั้นยังไม่เคยถูกทดสอบ ทำไมคุณถึงกล้าเสี่ยงอย่างนั้น รีด: เราเติบโตมากับการส่งแผ่นดีวีดี ซึ่งมีทั้งซีรีส์และการจัดชุดพิเศษ พวกเราทุกคนมีประสบการณ์รับชม สุดยอดเนื้อหาจากเอชบีโอ ผ่านทางดีวีดี ติด ๆ กัน หลาย ๆ ตอน ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราฉุกคิด คุณรู้ไหมว่าเนื้อหาที่เป็นตอน ๆ โดยเฉพาะซีรีส์ จะทรงพลังมาก หากรับชมได้ทั้งหมดในคราวเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่โทรทัศน์ปกติทำไม่ได้ ทั้งสองประเด็นนั้นทำให้ การตอบรับดีมาก คริส: แล้วผลออกมาเป็นตัวเลข ชัดเจนทันทีเลยไหมครับ ว่าจำนวนชั่วโมงที่มีการรับชม เนื้อหาที่ผลิตเอง เช่น "เฮ้าออฟคาร์ดส์" สามารถสร้างกำไรให้คุณได้มากกว่า การซื้อเนื้อหาของคนอื่นมาฉาย รีด: เราเป็นระบบสมาชิก จึงไม่ได้เก็บข้อมูลลึกขนาดนั้น ที่จริงแล้วมันเป็นการสร้าง ตราสินค้าให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้ผู้คนอยากสมัครสมาชิกมากขึ้น ซึ่ง "เฮ้าออฟคาร์ดส์" ทำได้ตามนั้นเลย เพราะผู้คนจำนวนมากจะพูดถึงมัน และเชื่อมโยงชื่อนั้นมาถึงเรา ขณะที่เรื่อง "แมดเม็น" สุดยอดซีรีย์ของค่าย ACM ที่เรานำมาฉาย ผู้ชมไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับเน็ตฟลิกซ์ แม้ผู้ชมจะรับชมผ่านเน็ตฟลิกซ์ คริส: คุณจึงผลิตสุดยอดซีรีส์เหล่านี้ขึ้นมา "นาร์โคส์" "เจสซีกา โจนส์" "ออเรนจ์อีสเดอะนิวแบล็ก" "เดอะคราวน์" "แบล็กมิลเรอร์" ซึ่งผมชื่นชอบส่วนตัว "เสตรนเจอร์ธิงส์" และอื่น ๆ และในปีนี้ ขนาดการลงทุนที่คุณวางแผนไว้ ในการสร้างเนื้อหาใหม่ ไม่ใช่ 100 ล้านเหรียญอีกต่อไป มันจะเป็นเท่าไรครับ รีด: ประมาณ 8 พันล้านเหรียญ ทั่วโลก และนั่นยังไม่พอ ยังมีสุดยอดรายการอีกมาก บนเครือข่ายอื่น ๆ หนทางยังยาวไกลสำหรับเรา คริส: แต่ 8 พันล้าน ณ ตอนนี้ก็มากกว่าผู้ผลิตเนื้อหา รายอื่น ๆ อยู่แล้วใช่ไหมครับ รีด: ไม่ใช่ครับ ดิสนีย์ยังเงินหนากว่านั้น และถ้าซื้อกิจการฟอกซ์ได้ ดิสนีย์ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นอีก และ 8 พันล้านนี่คือกระจายไปทั่วโลก จริง ๆ มันเลยไม่ได้เยอะขนาดนั้น (เสียงหัวเราะ) คริส: แต่ก็ชัดเจนว่า บาร์รี่ ดิลเลอร์ และอีกหลายคนในธุรกิจสื่อ รู้สึกว่าบริษัทนี้มาจากไหนก็ไม่รู้ จู่ ๆ ก็เติบโตและปฏิวัติธุรกิจอย่างแท้จริง ดังเช่นที่บล็อกบัสเตอร์เคยกล่าวไว้ว่า "เราจะสร้างวีดีโอ ที่ได้รับความนิยมถล่มทลาย" และใน 6 ปีให้หลัง บล็อกบัสเตอร์ก็ใหญ่เทียบเท่าดิสนีย์ ผมหมายความว่า เรื่องแบบนี้ แทบเป็นไปไม่ได้ แต่กลับเป็นไปได้ รีด: ต้องยกให้เป็นความดีของอินเทอร์เน็ต ซึ่งก้าวหน้าเร็วมาก ทุกอย่างรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงเร็วมาก คริส: ผมคิดว่า วัฒนธรรมของเน็ตฟลิกซ์ จะต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดา ที่ทำให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างกล้าหาญ ซึ่งผมจะไม่เรียกว่า "บ้าระห่ำ" แต่เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญ และไตร่ตรองดีแล้ว รีด: ใช่เลย เรามีจุดแข็งอย่างหนึ่ง นั่นคือเราเกิดและเติบโตมากับดีวีดี และเรารู้แล้วว่าการเติบโตนั้น เป็นแค่เรื่องชั่วคราว ไม่มีใครคิดว่าเราจะส่งดีวีดี ทางไปรษณีย์ได้เป็นร้อยปี ซึ่งคุณก็จะวิตกมาก ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร และนั่นเป็นส่วนหนึ่ง ของแนวคิดพื้นฐานของเรา คือการกังวลอย่างจริงจัง ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ และเมื่อพูดถึงวัฒนธรรมองค์กร ส่วนสำคัญคืออิสรภาพ และความรับผิดชอบ ผมภูมิใจกับตัวเองที่มีเรื่อง ให้ตัดสินใจน้อยมากในไตรมาสหนึ่ง และเราทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในเรื่องนี้ มีบางครั้งที่ผมไม่ต้องตัดสินใจอะไรเลย ตลอดทั้งไตรมาส (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) คริส: มีเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เกี่ยวกับพนักงานของคุณ ตัวอย่างเช่น ผมดูในแบบสำรวจ เหมือนว่าพนักงานเน็ตฟลิกซ์ ได้รับเงินเดือนสูงสุด เมื่อเทียบกับคนในองค์กรอื่น ที่มีตำแหน่งใกล้เคียงกัน และมีแนวโน้มจะลาออกต่ำสุด และหากคุณลองค้นหา ว่าวัฒนธรรมองค์กรของเน็ตฟลิกซ์มีอะไรบ้าง คุณจะเห็นคำตักเตือนที่น่าประหลาดใจ ที่มีต่อพนักงาน ลองยกตัวอย่างสักหน่อยไหมครับ รีด: บริษัทแรกของผม ค่อนข้างหมกมุ่นกับกระบวนการ ย้อนไปช่วงทศวรรษ 1990 เมื่อใดที่ผู้คนทำงานผิดพลาด เราจะพยายามสร้างกระบวนการ ขึ้นมาควบคุม เพื่อให้มั่นใจว่าข้อผิดพลาดนั้น จะไม่เกิดขึ้นอีก ซึ่งค่อนข้างจะเถรตรงเกินไป ปัญหาคือ เมื่อเราพยายามจะสร้างระบบ ที่ป้องกันความไม่ฉลาดของผู้คน กลับยิ่งมีแต่คนไม่ฉลาด ที่อยากทำงานกับเรา และหลังจากนั้น ตลาดก็เปลี่ยนไป ในกรณีนี้คือจากภาษา C++ ไปเป็น Java แต่คุณก็รู้ดี ว่ามันย่อมมี การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ที่บริษัทไม่สามารถปรับตัวได้ และบริษัทก็ถูกซื้อไป โดยคู่แข่งรายใหญ่สุด ที่เน็ตฟลิกซ์ ผมจึงเน้นอย่างมาก กับการทำงานโดยไม่มีกระบวนการ โดยที่งานไม่โกลาหล เราได้พัฒนากลไกทั้งหมดนี้ ทั้งการมีสุดยอดพนักงาน การเห็นสอดคล้องกัน การพูดได้อย่างเปิดเผย การแบ่งปันข้อมูล ภายในองค์กร ผู้คนต่างทึ่ง กับข้อมูลมหาศาลที่แบ่งปันกัน รวมทั้งกลยุทธ์หลักต่าง ๆ เราเหมือนเป็นพวก "ต่อต้านแอปเปิ้ล" รู้ไหมว่าเขาแบ่งฝ่ายงานอย่างไร เราทำตรงข้ามกันเลย นั่นคือ ทุกคนจะได้รับข้อมูลทุกอย่าง เราพยายามสร้างความรู้สึก รับผิดชอบให้กับผู้คน และความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ ผมพบว่า การตัดสินใจใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ที่ผมไม่รู้มาก่อนเลย ซึ่งดีมาก และส่วนใหญ่ การตัดสินใจเหล่านั้นเกิดเป็นผลดี คริส: เหมือนกับว่าคุณตื่นมา แล้วมาอ่านเจอทางอินเทอร์เน็ต รีด: ก็มีบ้าง คริส: แบบว่า อ้อ เรากำลังบุกตลาดจีน รีด: ใช่ นั่นเป็นก้าวใหญ่อันหนึ่ง คริส: และคุณอนุญาตให้พนักงาน กำหนดวันลาพักร้อนเอง นั่นมัน .. รีด: ใช่ วันลาพักร้อน คือสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะในทางปฏิบัติ คนส่วนใหญ่ก็จะทำอย่างนั้นอยู่ดี นั่นแหละ เรามีอิสรภาพมากมาย คริส: รวมทั้งความกล้าหาญ ซึ่งคุณอยากให้ เป็นคุณค่าพื้นฐานขององค์กร รีด: ใช่เลย เราอยากให้พนักงานพูดความจริง เราพูดกันว่า "การเห็นต่างอย่างเงียบ ๆ คือการไม่ซื่อสัตย์" เราจะรับไม่ได้ หากปล่อยผ่านการตัดสินใจ โดยที่ไม่ได้แสดงความเห็นของคุณออกมา และโดยส่วนใหญ่คือ โดยที่ไม่ได้เขียนบันทึกไว้ พวกเราเน้นมาก กับการตัดสินใจได้อย่างดี ซึ่งต้องอาศัยการโต้เถียง ที่เกิดเป็นประจำ แต่เราไม่ได้โต้เถียงอย่างรุนแรง เช่น ตะโกนด่ากัน ไม่ใช่แบบนั้น ความสงสัยใคร่รู้ ทำให้ผู้คนแสดงความเห็น คริส: คุณยังมีอาวุธลับอีกอย่าง ที่เน็ตฟลิกซ์ นั่นคือคลังข้อมูลมหาศาล เราได้ยินมาในช่วงสัปดาห์นี้ ว่าคุณกำลังเดินหน้าทำสิ่งที่น่าทึ่ง โดยสร้างอัลกอริธึม หรือกลไกคำนวณ อันชาญฉลาดที่เน็ตฟลิกซ์ ย้อนไปก่อนหน้า คุณเปิดกลไกคำนวณ ให้ผู้คนทั่วโลกได้เห็น และประกาศว่า "ถ้ามีใคร สร้างระบบแนะนำเนื้อหาได้ดีกว่าเรา เราจะให้รางวัลหนึ่งล้านเหรียญ" และคุณก็จ่ายจริง ๆ สำหรับกลไกคำนวณ ที่ดีกว่าของคุณ 10 เปอร์เซ็นต์ รีด: ถูกต้องครับ คริส: ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีไหม จะทำอีกหรือเปล่า รีด: มันน่าตื่นเต้นมาก ตอนนั้นคือปี 2007 แต่เราก็ไม่ได้ทำแบบนั้นอีก ชัดเจนว่ามันเป็นเครื่องมือที่ ออกแบบเป็นพิเศษมาก ๆ ผมมองว่ามันเป็นโชคในจังหวะเวลาที่ดี ไม่ได้เป็นแนวทางการทำงานปกติ เราลงทุนไปเยอะมากในกลไกคำนวณ เพื่อให้เราแนะนำเนื้อหาได้ลงตัว กับแต่ละคน เพื่อให้สนุกและง่ายในการค้นหา คริส: ที่คุณทำ เหมือนเป็น การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ คุณถามผู้คนว่า "คุณคิดอย่างไรกับภาพยนตร์ 10 เรื่องนี้" "เรื่องไหนที่คุณว่าดีที่สุด" และพยายามจับคู่ภาพยนตร์เหล่านั้น กับคำแนะนำภาพยนตร์เรื่องใหม่ แต่คุณก็เปลี่ยนวิธีไปจากนั้น เล่าให้พวกเราฟังหน่อยครับ รีด: ได้เลยครับ ทุกคนจะให้คะแนน "ชินเลอร์ส์ลิสต์" ในระดับ 5 ดาว และให้คะแนน "เดอะดูโอเวอร์" ของอดัม แซนด์เลอร์ แค่ 3 ดาว แต่สิ่งที่คุณเปิดดูจริง ๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ เกือบทั้งหมดจะเป็นของอดัม แซนด์เลอร์ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อคุณคิดวิเคราะห์ถึงคุณภาพ มันจะคล้าย ๆ กับความทะเยอะทะยานส่วนตัว แต่การเอาใจผู้ใช้งานได้ดีกว่านั้น คือการพิจารณาสิ่งที่ผู้ใช้งาน เลือกจริง ๆ พวกเขาแสดงออกว่า ชื่นชอบความบันเทิงในแบบง่าย ๆ คริส: ผมขอเวลาสัก 2-3 นาที พูดถึงเรื่องนี้ เพราะผมสนใจประเด็นนี้มาก ไม่ใช่กับแค่เน็ตฟลิกซ์ แต่เป็นภาพรวมของอินเทอร์เน็ต ความแตกต่างระหว่างคุณค่า ในอุดมคติ กับสิ่งที่แสดงออกจริง ซึ่งคุณฉลาดมากที่ไม่สนใจ กับสิ่งที่ผู้คนพูดมากนัก แต่สังเกตสิ่งที่ผู้คนทำ จนค้นพบสิ่งนั้น "สุดยอดมาก ผมไม่เคยคิดว่าจะชอบดู รายการทำอาหารแนวใหม่ ที่ชื่อ "เนลด์อิต" รีด: มันชื่อ "เนลด์อิต" ใช่มั้ย คริส: มันตลกมาก ผมไม่เคยคิดมาก่อน แต่มันอาจจะมีความเสี่ยงหรือไม่ หากเราทำตามสิ่งที่ระบบค้นพบ จากพฤติกรรมคนดูมากเกินไป รีด: พวกเรายินดีมาก ที่ทำให้ผู้คนมีความสุข บางครั้งคุณก็อยากผ่อนคลาย และดูรายการอย่าง "เนลด์อิต" ซึ่งสนุก ไม่เครียด แต่ในบางเวลา ผู้คนก็อยากดูรายการที่เข้มข้น "มัดบาวน์" ได้รับการเสนอชื่อ ชิงออสการ์ มันเป็นรายการที่ยอดเยี่ยมและเข้มข้น ผู้คนรับชม "มัดบาวน์" รวมกันมากกว่า 20 ล้านชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาล กว่าการฉายในโรงภาพยนตร์ หรือช่องทางใด ๆ เรามีทั้งรายการที่เหมือนขนมหวาน แต่ก็มีรายการที่เป็นผักมีประโยชน์มากมาย และถ้าคุณได้รับในสัดส่วนที่พอดี คุณก็ได้บริโภคถูกหลักโภชนาการ คริส: ใช่เลย แต่จะเป็นไปได้ไหมที่กลไกคำนวณ จะพาคนดูออกไปจากผักมีประโยชน์ ไปหาแต่ขนมหวาน ถ้าคุณไม่จัดการให้ดี เราเพิ่งคุยกันถึงยูทิวบ์ ที่กลไกคำนวณ ที่ฉลาดมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะพาคนไปชมเนื้อหาที่สุดโต่ง หรือจำเพาะเจาะจงมากขึ้น จึงจินตนาการได้ไม่ยาก ว่ากลไกคำนวณของเน็ตฟลิกซ์ จากค่าพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ระบบค้นพบ จะค่อย ๆ รีด: ก็เป็นไปได้ คริส: พวกเราคงเคยรับชม เนื้อหาวาบหวิวที่มีความรุนแรง หรือบางคนก็อาจจะเคย แต่ว่า (เสียงหัวเราะ) ไม่ใช่ผม ผมเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงเรื่องพวกนี้ แต่ (เสียงหัวเราะ) แต่มันก็เป็นไปได้ใช่ไหม รีด: ในทางปฏิบัติ คุณพูดถูก ที่เราไม่ควรอิงตามกลไกคำนวณอย่างเดียว มีส่วนผสมของความเห็นกับสิ่งที่เรายึดถือ และเราเป็นผู้คัดสรรเนื้อหามาบริการ เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการ อย่างเฟซบุ๊คหรือยูทิวบ์ เรามีประเด็นที่ต้องคิดน้อยกว่า ซึ่งก็คือ อะไรคือเนื้อหาอันยอดเยี่ยม ที่เราจะได้มา แต่ในมุมมองนั้น กลไกคำนวณก็เป็นเครื่องมือ คริส: จอห์น ดูเออร์เพิ่งพูดถึง การประเมินสิ่งที่ควรประเมิน สำหรับธุรกิจ สิ่งที่ควรประเมิน ผมคิดว่า คือการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการ ซึ่งผมคิดว่า เป็นข้อได้เปรียบที่แตกต่างของคุณ ฐานผู้ใช้บริการเติบโตขึ้นตามระยะเวลา ที่เขาใช้ไปกับเน็ตฟลิกซ์หรือเปล่า ทำให้พวกเขา ยังคงใช้บริการต่อหรือไม่ หรือเป็นผลจากการมีรายการ ที่ไม่ต้องใช้เวลามาก อย่างเช่นการชมรายการ "เนลด์อิต" จบทั้งชุด หรืออะไรก็ตาม ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เข้าถึงได้มากกว่า พวกเขาอาจจะคิดว่า "เรื่องนี้มันอิ่มใจ เรื่องนั้นมันสุดยอด ฉันดีใจที่ได้ดูเรื่องนี้ ร่วมกับครอบครัว" ที่ว่ามานั้นเป็นแนวทางหนึ่ง ของรูปแบบธุรกิจหรือไม่ ที่ซึ่งมีปริมาณเนื้อหาน้อยกว่า แต่ได้รับอรรถรสมากกว่า หรืออาจจะเป็นเนื้อหาจรรโลงใจ รีด: และผู้คนก็เลือกชม เนื้อหาที่จรรโลงใจ คุณคิดถูกแล้ว คือเมื่อผู้คนพูดถึงเน็ตฟลิกซ์ เขาจะพูดถึงรายการ ที่ทำให้เขาฉุกคิด "13 รีซันส์วาย" หรือ "เดอะคราวน์" ล้วนแต่ส่งผลกระทบด้านบวก อย่างมากมาย แม้แต่การเติบโต ของฐานผู้ใช้บริการที่คุณพูดถึง ที่มาจากรายการใหญ่และน่าจดจำเหล่านั้น แต่สิ่งที่เราอยากทำ คือการนำเสนอความหลากหลาย คุณไม่อยากดูเนื้อหาแบบเดิม ๆ ทุกคืน ต่อให้เป็นเนื้อหาที่คุณชอบก็ตาม คุณอยากลองดูเนื้อหาที่ต่างกันไป ซึ่งเราไม่พบว่าผู้ชม ชอบเนื้อหาวาบหวิวที่มีความรุนแรง กลับกัน เราพบว่ามีการรับชม เนื้อหาที่หลากหลาย "แบล็กมิลเรอร์" ตอนนี้เรากำลังถ่ายทำภาค 5 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังไปได้ไม่สวย ตอนที่ยังฉายทางบีบีซีเท่านั้น แต่กับรูปแบบการเผยแพร่แบบตามสั่ง คุณสามารถผลิตรายการที่ ใหญ่กว่ามาก ๆ ได้ คริส: คุณจะบอกว่ามนุษย์ สามารถเสพติดได้ โดยทั้งเทพและมารของเขาเอง รีด: แต่ก็นั่นแหละ เราพยายามไม่คิดถึงคำว่าเสพติด แต่เราคิดถึงมันในด้านที่ว่า คุณจะทำอะไรเมื่อคุณอยากจะพักผ่อน คุณสามารถเปิดทีวีทั่วไป เล่นวิดีโอเกมส์ หรือดูยูทิวบ์ หรือคุณอาจจะดูเน็ตฟลิกซ์ และถ้าเราจะทำตัวเองให้ดีเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเรามีเนื้อหาที่หลากหลาย ผู้คนก็จะเลือกรับชมเรามากขึ้น คริส: แต่ในองค์กรของคุณ ก็มีคน ที่คอยติดตามต่อเนื่อง ถึงผลกระทบ จากสุดยอดกลไกการคำนวณ ที่คุณสร้างขึ้น แค่เพื่อให้รู้เท่าทันว่า "เราแน่ใจไหมว่านี่คือทิศทาง ที่เราอยากไป" รีด: ผมคิดว่าพวกเราได้เรียนรู้ แล้วคุณก็จะรู้สึกถ่อมตัวและพูดว่า "เห็นมั้ย ไม่มีเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ" กลไกการคำนวณก็เป็นส่วนหนึ่ง มีเรื่องวิธีการผลิตเนื้อหาต่าง ๆ และก็ยังมีด้านความสัมพันธ์ กับสังคมต่าง ๆ มีหลายประเด็น ที่เราต้องพิจารณา ถ้าคุณหมกมุ่นเกินไป กับการ "เพิ่มยอดรับชม" หรือ "เพิ่มผู้ใช้บริการ" ก็เป็นไปได้ยากที่จะเติบโต หรือเป็นบริษัทยิ่งใหญ่อย่างที่ต้องการ เราคิดว่าความสำเร็จ ประเมินได้จากหลากปัจจัย คริส: พูดถึงกลไกการคำนวณ ที่เป็นประเด็นขึ้นมา คุณเองเป็นกรรมการของเฟซบุ๊ค และคุณก็ให้คำแนะนำกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เราควรรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ที่ผู้คนยังไม่รู้ รีด: หลายคนรู้จักเขา หรือเคยเจอเขามาแล้ว ผมหมายถึง เขาเป็นคนพิเศษ เป็นคนชั้นนำอย่างแท้จริง และเครือข่ายสังคม ไม่ว่าจะเป็นยูทิวบ์ หรือเฟซบุ๊ค ก็ชัดเจนว่ามีความพยายาม ที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเห็นได้จากเทคโนโลยีใหม่ต่าง ๆ อย่างเมื่อวานนี้ที่เราพูดถึง ดีเอ็นเอที่พิมพ์ออกมาได้ ซึ่งมันมีทั้งด้านยอดเยี่ยมและด้านน่ากลัว เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ เช่นโทรทัศน์ที่เริ่มเป็นที่นิยมในสหรัฐ ในยุคปี 2500 เศษ ๆ มันถูกเรียกว่า "ดินแดนรกร้างอันกว้างใหญ่" และโทรทัศน์จะทำลายความคิดผู้คน แต่ความคิดผู้คนก็ยังเป็นปกติดี มันมีการปรับตัวเกิดขึ้น แต่ผมมองว่า เทคโนโลยีใหม่มีทั้งด้านบวกและลบ สำหรับสื่อสังคมออนไลน์ เราเพิ่งเข้าใจมัน คริส: คณะกรรมการบริหารของเฟซบุ๊ค ให้ความสำคัญแค่ไหน กับการพิจารณาประเด็นเหล่านี้ หรือเชื่อว่า จริง ๆ แล้ว บริษัทถูกวิจารณ์ในแง่ลบเกินไป รีด: เฟซบุ๊คไม่ได้ถูกปฏิบัติ อย่างเกินเลยไปทั้งหมด ซึ่งมาร์คก็เป็นผู้นำในการ ปรับปรุงเฟซบุ๊ค และเขาจริงจังกับเรื่องนี้อย่างมาก คริส: รีด ผมอยากพูดถึงความมุ่งมั่น อีกด้านของคุณ คุณบริหารเน็ตฟลิกซ์ได้อย่างดีเลิศ คุณเป็นมหาเศรษฐี และคุณทุ่มเทเวลาและเงินทองจำนวนมาก ไปกับการศึกษา รีด: ใช่ครับ คริส: ทำไมต้องเป็นด้านการศึกษา และตอนนี้คุณทำอะไรอยู่บ้าง รีด: ทันทีที่จบปริญญาตรี ผมไปเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ ม.ปลาย ต่อมาผมก็ทำธุรกิจ และกลายมาเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ผมคิดว่าผมเอียงไปในด้านการศึกษา และพยายามสร้างความแตกต่าง ให้เกิดขึ้น และเรื่องสำคัญที่ผมค้นพบก็คือ นักการศึกษาอยากทำงาน กับนักการศึกษาคนอื่น ๆ ที่มีฝีมือ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีเอกลักษณ์ ในหลายด้านให้กับเยาวชน ระบบของเราต้องการความหลากหลาย มากกว่าที่เรามีตอนนี้ และต้องการองค์กรการศึกษา ที่เน้นนักการศึกษามากกว่านี้ ปัญหาที่ซับซ้อน คือ ขณะนี้ในสหรัฐฯ หลายโรงเรียน ถูกบริหารโดยคณะกรรมการท้องถิ่น และโรงเรียนต้องบรรลุความต้องการ ที่หลากหลายในชุมชน และสิ่งที่เราต้องการคือ ความหลากหลายยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในสหรัฐฯ มีโรงเรียนรัฐบาล อยู่รูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า โรงเรียนรัฐบาลที่เป็นอิสระ ซึ่งบริหารโดยองค์กรไม่แสวงกำไร และผมให้ความสำคัญกับ โรงเรียนลักษณะนี้มาก เพราะถ้าเรามีโรงเรียน ที่บริหารโดยองค์กรไม่แสวงกำไร โรงเรียนเหล่านั้นจะมีเป้าหมายชัดเจน และดูแลนักการศึกษาได้ดี ผมเป็นกรรมการเครือโรงเรียนรัฐบาล ที่เป็นอิสระ KIPP ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายขนาดใหญ่ เยาวชน 30,000 คนต่อปี ได้รับการศึกษา ที่กระตุ้นการเรียนรู้อย่างมาก คริส: วาดภาพให้ผมเข้าใจหน่อย ว่าโรงเรียนควรเป็นอย่างไร รีด: ขึ้นอยู่กับเด็ก ๆ คิดในแง่ว่า เมื่อมีเด็กหลากหลาย ก็มีความต้องการที่หลากลาย ที่จะต้องบรรลุ จึงไม่มีตัวแบบตายตัว เพียงอย่างเดียว ซึ่งคุณอยากจะสามารถเลือกได้ ขึ้นอยู่กับเด็กและ สิ่งที่คุณคิดว่าเด็กจะต้องการ ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับผู้สอน รวมถึงการตั้งคำถามและกระตุ้นให้เรียนรู้ ประมาณนั้น ซึ่งการที่เด็ก ป.5 กว่า 30 คน ต้องเรียนสิ่งเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ทำให้ภาพยุคอุตสาหกรรม ชัดขึ้นมาทันที แต่การเปลี่ยนแปลงภายใต้ โครงสร้างรัฐบาลปัจจุบัน เป็นไปได้ยากมาก แต่กระนั้น โรงเรียนแนวใหม่เหล่านี้ ก็กำลังผลักดัน ให้เด็ก ๆ ได้ลองสิ่งใหม่ มองว่าเป็นการปฏิรูป การกำกับดูแล ที่องค์กรไม่แสวงหากำไร สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง ทางการศึกษาได้ คริส: บางครั้งเราพบว่ามีคำวิจารณ์ ว่าโรงเรียนแบบนี้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กำลังดึงทรัพยากร ออกไปจากระบบการศึกษาภาครัฐ เราควรกังวลในเรื่องนี้ไหม รีด: พวกเขาคือโรงเรียนรัฐ ผมหมายความว่า มีโรงเรียนรัฐหลายรูปแบบ แต่ถ้าคุณดูที่ภาพรวม ของโรงเรียนรัฐที่เป็นอิสระ โรงเรียนเหล่านี้เปิดโอกาส ให้เด็กที่บ้านรายได้น้อย เพราะหากเด็กที่บ้านฐานะดี เกิดปัญหาในการเรียน ผู้ปกครองก็จะพาเข้า โรงเรียนเอกชน หรือย้ายบ้านไป ขณะที่ครอบครัวรายได้น้อย ไม่มีทางเลือกนี้ สำหรับ KIPP เด็กที่ฐานะทางบ้านไม่ดี กว่าร้อยละ 80 มีอาหารกลางวันฟรีหรือราคาต่ำ ขณะที่อัตราการได้เข้าเรียนต่อ ในระดับอุดมศึกษาน่าทึ่งมาก คริส: รีด เมื่อสองสามปีก่อน คุณสัญญาว่าจะบริจาค ทรัพย์สินเกินครึ่งของคุณ ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ อยากรู้ว่าคุณบริจาคเพื่อการศึกษา ไปแล้วแค่ไหน ในช่วงสองสามปีมานี้ รีด: หลายร้อยล้านเหรียญ ผมไม่แน่ใจว่ากี่ร้อยล้านเหรียญ แต่เราก็ยังทำต่อไปเรื่อย ๆ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ) ไม่นานมานี้ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ผมลองเข้าวงการการเมืองแบบเต็มตัว ทำงานกับ จอห์น ดูเออร์ แต่แม้ผมจะรักการทำงานกับจอห์น เส้นทางการเมืองของผมไม่รุ่งนัก ผมรักธุรกิจ ผมรักการแข่งขัน ผมรักที่จะไล่ตามดีสนีย์และเอชบีโอ (เสียงหัวเราะ) นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมเดินหน้า ผมทำเพื่อจะเพิ่มมูลค่าให้เน็ตฟลิกซ์ ซึ่งสุดท้ายจะทำให้ผมบริจาค เพื่อโรงเรียนได้มากขึ้น ดังนั้นในตอนนี้ ผมคิดว่ามันเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ คริส: รีด คุณเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม คุณได้เปลี่ยนชีวิตของพวกเราทุกคน และชีวิตของเด็กอีกหลายคน ขอบคุณมากที่ให้เกียรติมาที่ TED ครับ (เสียงปรบมือ)