วันนึงมี 25 ชั่วโมงได้หรือเปล่า?
สวัสดีค่า วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ
เชื่อว่าหลายคนเนี่ย น่าจะเคยเหมือนวิวใช่ไหมคะ?
ที่งานยุ่งมากๆ จนรู้สึกว่า
"วันนึงเนี่ย มี 24 ชั่วโมงมันไม่พอ!"
"ขอเวลาเพิ่มได้ไหม?" นะคะ
อยากรู้กันไหมคะว่า
วันนึงมี 25 ชั่วโมงได้หรือเปล่า?
แหมะ! มันจะเป็นไปได้ได้ยังไง
วันนึงก็ต้องมี 24 ชั่วโมงสิ!
ขอบอกว่า ได้ค่ะ!
และที่สำคัญ
ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สมมุตินะคะ
แต่ในโลกของเราเนี่ย
มีบางคนค่ะ ที่ได้สัมผัสประสบการณ์
การที่วันนึงมี 25 ชั่วโมงมาแล้วนะคะ
และไม่ใช่แค่คนหรือสองคนนะคะ
ที่เคยสัมผัสประสบการณ์นั้น
แต่ว่าคนประมาณ 40% ของทั้งโลกนะคะ
เคยสัมผัสประสบการณ์นี้มาแล้วค่ะ
ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งที่เรียกว่า
Daylight Saving Time นั่นเองนะคะ
อยากรู้กันไหมว่า Daylgiht Saving Time คืออะไร?
แล้วมันส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตเรา?
ทำไมเราถึงไม่เคยเจอมันเลย?
หรือบางคนอาจจะเคยเจอมันมาแล้วเล็กๆ น้อยๆ
แล้วทำให้ชีวิตของเราเนี่ย ปั่นป่วนนะคะ
แต่ว่าก่อนอื่น
ก่อนจะไปฟังเรื่องราวของ Daylight Saving Time กันเนี่ย
อย่าลืมกดติดตามวิวให้ครบทุกช่องทางนะคะ
เพราะว่าแต่ละช่องทางก็มีเนื้อหาไม่เหมือนกันเลยค่ะ
สำหรับตอนนี้พร้อมจะไปฟัง
เรื่องราวที่ทั้งสนุก แล้วก็ได้สาระกันรึยังคะ?
ถ้าพร้อมกันแล้ว ก็ไปฟังกันเลยค่ะ~
พูดว่า Daylight Saving เนี่ยนะคะ
คนไทยหลายๆ คนน่าจะงงค่ะ
ประมาณว่า "เฮ้ย มันคืออะไรอะ?
เกิดมาไม่เคยได้ยินเลย" นะคะ
แต่ใครที่เคยไปเรียนหรือว่าเคยไปใช้ชีวิต
เคยไปเที่ยวแถวยุโรป แถวออสเตรเลีย แถวอเมริกา
น่าจะคุ้นเคยกันดีค่ะ
Daylight Saving นะคะ คือข้อตกลงค่ะ
ที่คนในบางประเทศ บางกลุ่ม บางรัฐเนี่ยนะคะ
ตกลงร่วมกันค่ะ ว่าเราจะมาปรับเวลากันเถอะ
เพื่อที่ว่าเราจะได้ใช้ชีวิต
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยาวนานขึ้นค่ะ
ฟังดูตรงนี้อาจจะงงนิดนึงนะ
บอกเลยว่าคอนเซ็ปต์เนี้ย
เป็นคอนเซ็ปต์ที่จะงงมากๆ นะคะ
สำหรับคนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้จริงๆ น่ะนะ
ถามว่าปรับนาฬิกาเนี่ย ปรับตอนไหน?
ก็ต้องบอกว่าปรับช่วงฤดูร้อนค่ะ
คือเขาจะตกลงกันว่า
"เอาละ เราจะเริ่มปรับที่วันนี้"
เริ่มแรกเราต้องมารู้ก่อนว่า
เวลาที่ปกติที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้เนี่ยนะคะ
เขานับว่าเป็น Standard time ค่ะ
ก็คือ เป็นเวลาที่เริ่มไปเรื่อยๆๆ ปกติใช่ไหม?
ทีนี้ในช่วงที่มีสิ่งที่เรียกว่า Daylight Saving นะคะ
มันเป็นข้อตกลงค่ะว่า
"เอาละทุกคน เรามาปรับเวลาให้เร็วขึ้นกันดีกว่า"
ซึ่งส่วนมากนะคะ ก็จะปรับเวลา
เป็นระยะเวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงด้วยกันค่ะ
เช่น วันนี้เป็นวันที่ตกลงกันแล้วว่า
"เอาละ เราจะ Daylight Saving กัน"
ตอนนี้ตีสองนะ
1 ชั่วโมงหลังจากนี้ มันจะต้องกลายเป็น
ตีสามใช่ไหมคะ?
แต่ปรากฏว่าวันเนี้ย
เป็นวันที่ตกลงกันไว้ว่าจะ Daylight Saving
พอตีสองปุ๊บ แทนที่จะตีสาม
มันเด้งข้าม ปึ้ง! ไปตีสี่เลย ใช่ไหมคะ?
ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดแค่วันเดียวเนอะ
วันรุ่งขึ้นก็ใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ
เวลาในช่วงระยะเวลานั้นนะคะ
ก็จะเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงจาก Standard time ค่ะ
ทีนี้ทุกคนก็จะถามว่า "อ้าว แล้วอยู่ดีๆ
เวลาหายไป 1 ชั่วโมงอย่างนี้ได้เหรอ?
1 ปี ชั่วโมงก็หายไป 1 ชั่วโมง
2 ปีก็ 2 ชั่วโมง
3 ปี 3 ชั่วโมง
24 ปีนี่หายไป 1 วันเลยนะ
มันจะเวิร์กหรือเปล่า?" นะคะ
ต้องบอกว่า มันไม่ได้แค่ปรับไปอย่างเดียวค่ะ
ช่วงที่หมดฤดูร้อนแล้วเนี่ยนะคะ
ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ช่วงที่จะเข้าฤดูหนาวเนี่ย
เขาก็จะมีการปรับเวลากลับค่ะ
ก็คือ ตอนนี้เวลามันเร็วอยู่ 1 ชั่วโมงใช่ไหม?
อะ เราปรับเวลา ถอยหลังกลับ 1 ชั่วโมงกันเถอะ ปึ้ง!
ทำให้ 1. เวลากลับมาเหมือนเดิม ใช่ไหมคะ?
กลับมาที่ Standard time เหมือนเดิม
และ 2. วันวันนั้นที่ตกลงกันไว้ว่าจะปรับเนี่ย
จะมีเวลาทั้งหมด 25 ชั่วโมงค่ะ
เพราะว่าสมมุติว่า
เราตกลงกันไว้ว่าจะปรับลงตอนตีสาม
พอตีสามไปเรื่อยๆ ปุ๊บ
สามๆๆ มันควรจะสี่ใช่ไหม?
สามๆๆ เด้งกลับมาสามอีกรอบค่ะ
นี่ละค่ะ สาเหตุที่ทำให้วันนึงสามารถมี 25 ชั่วโมงได้
ฟังแบบนี้น่าจะงงกันนะคะ ประมาณว่า
"เอ้า แล้วอยู่ดีๆ ไม่ว่าดีจะไปปรับนาฬิกาเล่นกันทำไม?"
สาเหตุนั้นเนี่ย เราอาจจะไม่ค่อยเก็ตกันค่ะ
สาเหตุมันมาจากสภาพอากาศนั่นเอง
เราลองนึกสภาพทุกวันนี้นะคะ
ช่วงนี้ที่วิวอัดคลิปวิดิโอนี้อยู่เนี่ย
เป็นช่วงเดือนธันวาคมใช่ไหมคะ?
เอาแค่ในประเทศไทยของเรา เราก็จะรู้สึกว่า
"โห ช่วงนี้พระอาทิตย์ตกเร็วจังเลย
สักประมาณ 5 โมงกว่า 6 โมงเนี่ย ฟ้าก็มืดแล้ว" นะคะ
"ส่วนตอนเช้าเนี่ย ประมาณ 6 โมง 7 โมง
ฟ้ายังไม่สว่างเลย นอนสบายมาก
ไม่อยากตื่นไปทำงานเลย"
ประมาณนั้นใช่ไหม?
ต่างจากช่วงตอนเมษายนค่ะ
ซึ่งเป็นฤดูร้อนของเราใช่ไหม?
โอ้โห ปกติตอนกลางวันก็ร้อนจะตายอยู่แล้ว
ทีเนี้ย ไม่ทันจะ 6 โมงดี พระอาทิตย์ขึ้นละ
เริ่มร้อนแล้วนะคะ
เท่านั้นยังไม่พอ ในตอนเย็นเนี่ย
พระอาทิตย์ก็อยู่กับเราไปจนถึง 6 โมง ทุ่มนึง
ก็ยังไม่ยอมตกซะที
นี่ละค่ะ แม้ว่าประเทศเราเนี่ย
จะเป็นประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร
เรายังเจอเหตุกาณ์แบบนี้เลย
แล้วนึกสภาพประเทศที่อยู่ในเขตอบอุ่น เขตหนาวสิคะ
อย่างพวกประเทศในยุโรป
อย่างพวกแคนาดา พวกอเมริกา
ที่อยู่ทางเหนือขึ้นไปเนี่ย
ว่าฤดูกาลของเขาแต่ละฤดูเนี่ย
จะแตกต่างกันขนาดไหน?
นึกสภาพนะคะ ฤดูกาลทางแถบนั้นแบ่งเป็น
Winter, Spring, Summer แล้วก็ Fall ใช่ไหมคะ?
ถ้าใครเคยไปเที่ยว
หรือไปใช้ชีวิตอยู่แถวยุโรปเนี่ยจะเห็นว่า
ในช่วงฤดูร้อนเนี่ยนะคะ
ตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้นเร็วมากนะคะ
ยังไม่ทันเช้าเลย พระอาทิตย์ก็ขึ้นละ
เหมือนสว่างเป็นกลางวันเลย
เท่านั้นยังไม่พอนะคะ ในช่วงเวลากลางคืน
อู้หู สองทุ่ม สามทุ่ม พระอาทิตย์ไม่ยอมตกซะที
หรือว่าบางประเทศในบางช่วงเวลาเนี่ย
พระอาทิตย์ไม่ยอมตก
จนกระทั่งเป็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนเลยทีเดียวนะคะ
แต่กลับกันนะคะ ในช่วงฤดูหนาว
ฟ้าขมุกขมัวทั้งวันเลยค่ะ
พระอาทิตย์แทบไม่โผล่มาเลยนะ
โดยเฉพาะตอนเย็น ตอนกลางคืนเนี่ย
แปปเดียว ฟ้ามืดสนิทแล้วค่ะ
สิ่งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งหมด 2 อย่างด้วยกันค่ะ
เราลองนึกสภาพ
ย้อนกลับไปหลายร้อยปีก่อนนะคะ
ตอนที่กิจกรรมในร่ม เรายังไม่ค่อยมีอะไรมากมาย
นอกจากจุดเทียน แล้วก็นั่งอยู่ในบ้านน่ะนะ
นึกสภาพสมัยก่อนนะคะ
ตอนที่ยังใช้เทียนกันอยู่
หรือว่าไฟฟ้าเพิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ๆ ค่ะ
ตอนนั้นเนี่ย ช่วงฤดูร้อนจะเป็นยังไง?
ตอนช่วงฤดูร้อน ทุกคนก็จะออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้ง
มีความสุข เพราะประเทศเขาหนาว
การเจอแสงอาทิตย์นี่เป็นอะไรที่แบบ
ซึ่งฤดูร้อนค่ะ อากาศดี อากาศแบบ
25 องศา มีต้นไม้เขียวขจี
อู้หู เหมาะมากกับการออกไปเตะบอล
ไปตีกอล์ฟ ไปเล่นเบสบอล ไปทำนู่นทำนี่ ใช่ไหมคะ?
คนอยากใช้ชีวิตกลางแจ้งค่ะ
คนไม่ค่อยอยากกลับเข้าอาคาร
ตัดภาพมาช่วงฤดูหนาว
กลางวันกลางคืนเหมือนกันอะ ฉันอยากอยู่แต่ในตึก
ประมาณนั้นนะคะ
สิ่งนี้ส่งผลกระทบไปยังข้อสองของเราค่ะ
เมื่อเราออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งมากขึ้น
ในช่วงฤดูร้อนเนี่ย
แปลว่าเราประหยัดพลังงานค่ะ
เพราะว่าเราใช้พลังงานธรรมชาติใช่ไหม?
เราออกไปอยู่ข้างนอก ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ
ไม่จำเป็นต้องจุดเทียน เพราะว่าอะไร?
เพราะว่าพระอาทิตย์มันขึ้นอยู่แล้ว
เราก็มีแสงสว่างอยู่แล้ว
ในขณะที่เวลาเราเข้ามาบ้านเนี่ย
เราก็จะต้องเปิดหลอดไฟ จะต้องจุดเทียนอะไรต่างๆ
สิ้นเปลืองพลังงานสุดๆ
เมื่อฤดูหนาว กลางวันกลางคืนก็เหมือนกันแหละ
เราไม่ได้ออกไปไหน
เราก็เปิดไฟทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้วนะคะ
จากเหตุการณ์นี้นะคะ
ทำให้ในช่วงปี 1874 เนี่ย มีคนดังคนนึง
ชื่อว่านาย Benjamin Franklin เนี่ยนะคะ
เขาเกิดไอเดียบรรเจิดขึ้นมา
จริงๆ ก็ไม่เรียกว่าไอเดียหรอก เรียกว่ากวนมากกว่า
ไม่อยากจะเติมว่ากวนอะไรอะนะ
คือประมาณว่ามีคนไปถามอะไรเขาก็ไม่รู้
แล้วอยู่ดีๆ เขาก็กวนขึ้นมา บอกว่า
"นี่นะ รู้ไหม? จริงๆ พวกเราเนี่ย
สามารถประหยัดเทียนกันได้
ถ้าเราบังคับให้ทุกคนเนี่ย
ตื่นเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงในช่วงฤดูร้อน
เพราะว่าอะไร? เพราะว่าถ้าเราอยู่ในอาคาร
เราต้องจุดเทียนใช่ไหม?
แต่ว่าจริงๆ แล้วอะ ปกติเราตื่น 6 โมงเช้า
ในช่วงฤดูร้อนเนี่ยนะคะ ตีห้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วค่ะ
ถ้าสมมุติว่าทุกๆ คนตื่นมาตั้งแต่ตีห้า
ก็จะออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านเร็วขึ้น
ก็ประหยัดเทียนไปทั้งหมด 1 ชั่วโมง
แต่อย่างไรก็ตามค่ะ เขาบอกว่า
อันนี้เป็นการพูดเล่นของ Benjamin Franklin เท่านั้นนะคะ
หลายๆ คนก็เลยไปยกย่องเขาแหละ
ว่าเขาเป็นหนึ่งในบิดาของ Daylight Saving Time อะนะ
แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่นะคะ
คนที่เป็นคนคิดค้น Daylgiht Saving Time จริงๆ เนี่ยนะคะ
เกิดขึ้นในปี 1895 ค่ะ
คนๆ นี้ชื่อว่านาย George Vernon Hudson นะคะ
ซึ่งคุณ Hudson เนี่ยนะคะ
เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ค่ะ
อยู่ดีๆ วันนึงเนี่ย เขาก็คิดขึ้นมา
อารมณ์คล้ายๆ Benjamin Franklin เนี่ยแหละ
ประมาณว่า
"เอ้ จะเป็นยังไงนะ? ถ้าสมมุติว่าอยู่ดีๆ
เราหมุนเวลาให้ทุกคนเนี่ย เร็วขึ้น 2 ชั่วโมงในช่วงฤดูร้อน"
อะ อยู่ดีๆ ก็ไปหมุนเวลาเขาได้ด้วยนะคะ
ประมาณว่าเร่งเวลาให้เร็วขึ้น
นึกสภาพปกติ เราตื่นตอน 6 โมงเช้า
แต่พระอาทิตย์มันขึ้นตั้งแต่ตีสี่แล้ว
ถ้าสมมุติว่าเราไปตื่นตีสี่แทน
ปกติเราไปทำงาน 7 โมงใช่ไหม?
เวลาเร็วขึ้น 2 ชั่วโมงแล้ว
เราก็ไปทำงานตอนประมาณตีห้าแทนเนี่ยนะ
เราก็จะเลิกงานเร็วขึ้น 2 ชั่วโมง
เราก็มีเวลาเนี่ย
ใช้ชีวิตอยู่ในแสงแดดอันสดใสของฤดูร้อนนานขึ้น
ตอนนี้พระอาทิตย์มันก็ขึ้นยาวนานใช่ไหม?
เราก็มีเวลาอยู่นอกบ้านนานขึ้นไง
แล้วพอเข้าบ้าน 6 โมง ซึ่งจริงๆ แล้วคือสองทุ่มแล้วเนี่ย
เราก็มีเวลาอยู่ในบ้านอีกแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ
เราก็ง่วง เราก็เข้านอนแล้ว
อืมๆๆ เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจ
ดังนั้นนะคะ นาย Hudson เนี่ย
ก็เลยจัดการไปนำเสนอให้กับองค์กรนึงค่ะ
ที่ชื่อว่า Wellington Philosophical Society นะคะ
บอกว่า "เฮ้ย ทุกคน เรามาปรับเวลาในช่วงฤดูร้อนกันดีกว่า
ในช่วงเดือนมีนาคมเนี่ยนะ
ให้มันเร็วขึ้น 2 ชั่วโมง ปึ้กๆ
แล้วเราก็ใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆๆ
จนกระทั่งถึงฤดูหนาวเมื่อไรเนี่ย
เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลาแบบเดิมแล้วใช่ไหม?
ถึงเดือนตุลาคมเมื่อไร เราค่อยปรับเวลากลับ
ปึ้กๆ 2 ชั่วโมง
ซึ่งถามว่า
Wellington Philosophical Society เนี่ยสนใจไหม?
ก็รู้สึกว่าสนใจนะ ก็แบบ
"เออ มันก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจนะ
มันทำให้เราประหยัดไฟได้ด้วย
เพราะว่าเราใช้ไฟฟ้าในการเปดิหลอดไฟน้อยลง
ที่สำคัญนะ เราก็เริ่มงานเร็ว แล้วก็เลิกงานเร็ว
เราก็มีเวลา Work-life balance หลังเลิกงานนานขึ้นไง
เพราะว่ากว่าเราจะเลิกงานเนี่ยนะ
ปกติเราก็มีเวลาประมาณสัก 2-3 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ตก
กินข้าวเย็น ทำอะไรกุ๊กๆ กิ๊กๆ ก็นอนแล้ว
แต่ถ้าเราเลิกงานเร็วขึ้น 2 ชั่วโมง
เราก็มีเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงไง
เราก็ไปทำนู่น ทำนี่ ทำนั่น ใต้แสงอาทิตย์อันงดงามได้
น่าสนใจ น่าสนใจ"
แต่อย่างไรก็ตามค่ะ
ไอเดียของการหมุนเวลาเนี่ย
มันอาจจะ Advance เกินไปนิดนึง
ทำให้สุดท้ายแล้วไอเดียนี้ก็ตกไปนะคะ
ตัดภาพมาค่ะ ในปี 1905
ประมาณสิบปีหลังจากนั้นเนี่ยนะคะ
ก็มีคนคนนึงในประเทศอังกฤษค่ะ
ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ Hudson คนแรกเลยเนี่ยนะ
เขาก็คิดไอเดียแบบเดียวกันขึ้นมาค่ะ
คนๆ นั้นก็คือคนที่ชื่อว่า William Willett นั่นเองค่ะ
เขาเนี่ยคิดเหมือนคุณ Hudson ทุกประการเลย
แต่แตกต่างกันนิดนึง
คือคุณ Hudson เนี่ย เขาบอกว่าให้ปรับ 2 ชั่วโมง
ตอนต้นเดือนมีนาคมใช่ไหม?
แล้วก็ปรับกลับอีกครั้งเดียวตอนเดือนตุลาคม
ในขณะที่คุณ William Willett เนี่ย เขาบอกว่า
"ไม่เอาๆ ฉันไม่ได้อยากตื่นเช้าไปทำงาน"
ฉันแค่อยากมีเวลามากขึ้นในวันอาทิตย์เท่านั้นแหละ
เพราะว่ามันเป็นวันหยุดของฉัน
ดังนั้นเราตกลงกันแบบนี้ดีไหม?
ในช่วงฤดูร้อนเนี่ยนะ เป็นระยะเวลา 1 เดือน
ทุกๆ วันอาทิตย์ของเดือนนี้ ทั้งหมด 4 วันเนี่ยนะ
เราจะปรับเวลาให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมงนะ
เราจะได้มีเวลามากขึ้นครึ่งชั่วโมง
แล้วในช่วงฤดูหนาวเนี่ยนะ เราก็เลือกมาเดือนนึง
ทุกๆ วันอาทิตย์เราก็จะปรับเวลาให้ช้าลง 4 ชั่วโมง
เพื่อปรับคืนนะคะ
ซึ่งถามว่าไอเดียนี้มีคนสนใจไหม?
แน่นอนว่ามีค่ะ
คนๆ นั้นเนี่ย บังเอิญว่าอยู่ในรัฐสภาอังกฤษด้วย
ก็เลยมีการเสนอเข้าไปในรัฐสภาอะไรต่างๆ นะคะ
แต่ว่าสุดท้ายค่ะ คนก็แบบ ต่อต้านกันมากมาย
ประมาณว่า "ไม่เอา จะบ้าเหรอ
ใครจะมาปรับเวลาปีนึง 8 ครั้ง
ปวดหัวตายพอดี"
โดยเฉพาะพวก Farmer นะคะ ก็แบบ
"อือหื้ม ปกติฉันก็ตื่นเช้ามารดน้ำผัก
จะให้ฉันตื่นเช้ากว่านี้อีกเหรอ?"
อะไรอย่างนี้นะคะ
ก็มีการเถียงๆๆ ค่ะ จนสุดท้ายเนี่ย
กฎหมายนี้ก็ตกไปนะคะ
อะ กฎหมายตกไปขนาดนี้
แล้วถามว่า Daylight Saving Time เนี่ยเกิดขึ้นได้ยังไง?
ก็ต้องบอกว่า แม้ว่าไอเดียเนี้ย
ชาวอังกฤษจะไม่ซื้อ ชาวนิวซีแลนด์จะไม่ซื้อ
แต่มีหมู่บ้านนึงซื้อค่ะ
หมู่บ้านนั้นเนี่ยนะคะ
เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในแคนาดาค่ะ
ในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1908 นะคะ
มีหมู่บ้านนึงในแคนาดาค่ะ
ชื่อว่า Thunder Bay เนี่ย
เขาตกลงกันว่า "โอเค ไอเดียนี้น่าสนใจ
เรามาทำ Daylight Saving Time กันเถอะ"
คนอื่นว่ายังไงเราไม่สนใจ
แต่ในบริเวณหมู่บ้านเราเนี่ย
เราจะปรับเวลาให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมงในช่วงฤดูร้อน
แล้วในช่วงฤดูหนาว เราก็จะปรับคืน
เราจะได้มีระยะเวลาในการใช้ชีวิตยาวนานขึ้น" นะคะ
หลังจากที่หมู่บ้านนี้เริ่มใช้นะคะ หลังจากนั้นอีกไม่นาน
ไอเดียนี้ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วแคนาดาค่ะ
ก็จะมีหมู่บ้านนั้น หมู่บ้านนี้ หมู่บ้านโน้น
เริ่มทำตามมาเรื่อยๆๆๆ นะคะ
เพราะว่าแคนาดาเนี่ย มันอยู่สูงมาก นึกออกปะ?
ดังนั้นแสงอาทิตย์เนี่ย
ก็เป็นอะไรที่สำคัญกับเขามากจริงๆ
ก็เลยไม่แปลกเลยค่ะ ที่มันจะไปเริ่มที่แคนาดาเนอะ
แต่อย่างไรก็ดีค่ะ มันก็ยังฮิตแค่ในแคนาดาเท่านั้น
ถามว่าใครเป็นคนที่ทำให้
Daylight Saving Time เนี่ย ฮิตไปทั่วโลกนะคะ
ประเทศนั้นก็คือ จักรวรรดิเยอรมันนั่นเอง
ในช่วงปี 1916 นะคะ
จักรวรรดิเยอรมัน แล้วก็ออสเตรีย
ซึ่งเป็นพันธมิตรกันตอนนั้นเนี่ย รู้สึกว่า
"เออ Daylgiht Saving Time มันเป็นอะไรที่น่าสนใจนะ"
ก็เลยเอาไอเดียนี้มาใช้กันจักรวรรดิตัวเองค่ะ
เพราะว่าอะไร? เพราะว่าช่วงนั้นเนี่ยนะคะ
ใกล้จะเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วค่ะ
ไม่ใช่แค่การใช้ชีวิตนอกบ้านเนี่ย เป็นอะไรที่ดีนะคะ
การประหยัดพลังงาน การให้คนใช้ไฟฟ้าน้อยลง
เพื่อเตรียมตัวรับสงครามเนี่ย
ก็เป็นอะไรที่เวิร์กมากๆ ค่ะ
ดังนั้นจักรวรรดิเยอรมันเนี่ย
ก็เลยนำสิ่งนี้มาใช้กับจักรวรรดิของตัวเองนะคะ
แน่นอนว่าจักรวรรดิเยอรมันเนี่ย
เป็นอะไรที่ใหญ่มากๆ
และเป็นการใช้ในระดับประเทศเป็นครั้งแรก
ดังนั้นภายในเวลาไม่นานนะคะ
ฝรั่งเศส อังกฤษ ประเทศอะไรต่างๆ ในยุโรปเนี่ย
ก็เริ่มเห็นว่าไอเดียนี้ดีจริงๆ ด้วย
ก็เลยใช้ตามกันไปทั่วเลยค่ะ
แต่อย่างไรก็ตามนะคะ
Daylight Saving Time เนี่ย ก็ใช้กันมาเรื่อยๆ
จนประทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ค่ะ
หลายๆ ประเทศก็เปลี่ยนกลับกันหมด
ประมาณว่า "ฉันไม่เอาละ
ฉันไม่ใช้ Daylight Saving Time แล้วจ้า"
แล้วทีท่าไหนก็ไม่รู้นะคะ
พอช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนี่ย
น่าจะอยากประหยัดพลังงานขึ้นมาอีกรอบ
ก็เลยกลับมาใช้กันอีกรอบนึง
แล้วก็ใช้กันมา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้เนี่ยละค่ะ
ปัจจุบันเนี่ยนะคะ
มีประเทศประมาณ 70 ประเทศทั่วโลกนะคะ
ที่ใช้สิ่งที่เรียกว่า Daylight Saving Time
คือมีการปรับเวลาในช่วงฤดูร้อนให้เร็วขึ้น
และมีการปรับเวลาในช่วงฤดูหนาวให้กลับมาเป็นปกติ
ผลกระทบจาก Daylight Saving Time นะคะ
ก็เลยจะทำให้มีอยู่สองวันในหนึ่งปีค่ะ
ที่จะมีชั่วโมงแปลกๆ นะคะ
ก็คือวันแรกที่เริ่มใช้ Daylight Saving Time เนี่ย
จะมีแค่ทั้งหมด 23 ชั่วโมงในหนึ่งวันนะคะ
เพราะว่าพอถึงตีสองปุ๊บ ทุกคนก็จะหยิบนาฬิกาขึ้นมา
แล้วก็บิดไปตีสาม ปึ่ง!
ดังนั้นระยะเวลาระหว่างตีสองกับตีสาม
ก็จะหายไปค่ะ
และอีกวันนึงที่จะมีเวลาแปลกๆ นะคะ
ก็คือในช่วงเริ่มฤดูหนาวนั่นเองค่ะ
เป็นวันที่ทุกคนตกลงกันไว้ว่า
"โอเค ตอนนี้นะคะ ให้ทุกคนหยิบนาฬิกาขึ้นมา
ตอนนี้ตีสองใช่ไหม? หมุนกลับไปค่ะทุกคน ปึ่ง!
กลายเป็นตีหนึ่งนะคะ
ทำให้วันนั้นเนี่ย เหมือนจะมีตีหนึ่งสองรอบ
ประมาณนั้นค่ะ
ก็เลยกลายเป็นว่าวันนั้นเนี่ย
มีทั้งหมด 25 ชั่วโมงนั่นเองค่ะ
ดังนั้นนะคะ คลิปวิดิโอนี้ไม่อยากจะบอกอะไรหรอกค่ะ
นอกจากจะบอกว่า
ใครก็ตามที่ไปท่องเที่ยวต่างประเทศนะคะ
อย่าลืมเช็คกันดีๆ ค่ะ ว่าประเทศที่ตัวเองไปเนี่ย
มี Daylight Saving Time หรือเปล่า?
และเขาประกาศในวันไหน?
เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ตกใจนะคะ
แม้ว่าปัจจุบันเนี่ย มือถือจะปรับให้เราอัตโนมัติ
Daylight Saving Time ไม่ค่อยมีผลต่อเราหรอก
แต่ถ้าบังเอิญว่าเราไปประเทศนั้น
ตรงกับวันที่เขาปรับนาฬิกากันพอดี
สมมุติว่าเราจะต้องขึ้นเครื่องบินตอนตีสอง
11 โมง ชิลละ ออกจากบ้าน
"เดี๋ยวเที่ยงคืนนะ ออกเดินทาง
ไปถึงสนามบินสักตีหนึ่ง
นั่งเล่นชิลๆ หนึ่งชั่วโมง ขึ้นเครื่องบินตอนตีสอง
ปรากฏว่า เราชิลอยู่นะคะ
ไปถึงสนามบิน 00:59 น.
มีความสุข กำลังจะไปเช็คอิน
ตีหนึ่งปุ๊บ ทุกคนหยิบนาฬิกาขึ้นมาปรับ ปึ้ก! เป็นตีสอง
อ้าว ตกเครื่องซะอย่างนั้นนะคะ
นี่ละค่ะ สาเหตุที่วิวอยากมาเตือน
ก็คืออยากให้ทุกคนเช็คดีๆ ว่าประเทศที่ตัวเองไป
1. มี Daylight Saving Time ไหม?
2. มันมีในวันที่เท่าไร?
เขาปรับนาฬิกาให้เร็วขึ้นในวันที่เท่าไร?
และปรับให้นาฬิกาช้าลงในวันที่เท่าไร?
ที่สำคัญนะคะ ขอบอกเลยว่าแต่ละประเทศเนี่ย
Daylight Saving Time ไม่เหมือนกันด้วยนะคะ
มีบางประเทศค่ะ ที่เขาไม่ได้ปรับเวลากัน 1 ชั่วโมงนะ
เขาปรับเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็มีเหมือนกัน
อย่างเช่นบางที่ในออสเตรเลียเป็นต้นค่ะ
ดังนั้นเช็คกันดีๆ นะจ้ะทุกคน
หวังว่าคลิปวิดีโอนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
ถ้าใครชื่นชอบให้วิว
เอาเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มาเล่าให้ฟังอีก
ก็อย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว
แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันค่ะ
อยากรู้เรื่องอะไรอีก คอมเมนต์มาด้านล่างนะคะ
ถ้าหาคำตอบได้ จะพยายามหามาตอบทุกคนค่ะ
สำหรับวันนี้ลาไปก่อนนะคะทุกคน บ๊ายบาย~
สวัสดีค่ะ
เอาจริงๆ Daylight Saving Time นี่
เป็นเรื่องที่มึนมากๆ นะคะ
สำหรับคนไทย รวมถึงชาวเอเชีย อย่างพวกเรา
เพราะว่าพวกเราไม่มีไง
แต่อย่างไรก็ตาม คิดง่ายๆ ค่ะ
ช่วงฤดูร้อน เวลาจะหายไป 1 ชั่วโมง
และช่วงฤดูหนาว เวลาจะเพิ่มขึ้นมา 1 ชั่วโมง
เท่านั้นค่ะ
ซึ่งมันก็จะแค่เกิดขึ้นแค่สองวันเท่านั้นแหละ
ที่มันจะสับสนน่ะนะ ส่วนวันอื่นเราก็
ปล่อยให้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนอันแสนฉลาดของเรา
ทำหน้าที่ของมันไป
เพราะทันทีที่เราเหยียบประเทศนั้น แตะอินเตอร์เน็ต ปึ้ง!
มันก็จะปรับเวลาให้อัตโนมัติแล้วค่ะ
แค่ต้องระวังนิดนึง
ช่วงฤดูหนาวไม่ค่อยต้องระวังเท่าไรหรอก
เพราะเวลามันเกินมา 1 ชั่วโมงไง
เราก็แค่รอนานขึ้นชั่วโมงนึง
แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนแล้วละก็
เวลาหายไปชั่วโมงนึงนี่น่ากลัวจริงๆ นะคะ
ระวังกันให้ดีค่ะ
วันนี้ลาไปก่อนนะคะทุกคน บ๊ายบาย~
สวัสดีค่ะ