สวัสดีค่ะ นมัสเต ผ้าป่าน สิริมา ค่ะ ก็ยินดีต้อนรับนะคะ เข้าสู่ Self Quarantour นะคะ จากพวกเรา Ground Control ก็เจอกันแบบนี้นะคะ ทุกวันพฤหัส 1 ทุ่มครึ่ง แต่ว่าวันนี้มีความพิเศษมาก ๆ เลยนะคะ เพราะว่าเราไม่ได้ Live ผ่านช่องทาง ของ Facebook ของ Ground Control หรือว่า Point of View อย่างเดียว แต่ว่าจริง ๆ แล้วจะ Live ผ่าน Youtube ของช่อง Point of View ด้วย ก็ขอสวัสดีทักทายแฟนคลับของน้องวิวทุกคนนะคะ แล้วก็อย่าเพิ่งตกใจที่เจอหน้าป่าน เดี๋ยวป่านอธิบายสั้น ๆ แล้วเดี๋ยวป่านจะส่งต่อให้กับวิวได้ขึ้นมาคุยกับทุกคน เร็ว ๆ นี้เลยค่ะ ก็อย่างที่รู้กันนะคะว่า ครั้งนี้เป็น EP.6 แล้ว แล้วก็ถ้าเกิดว่าใครติดตามทาง Ground Control จะเห็นว่าไทม์ไลน์เราเต็มไปด้วยเรื่องราว หรือว่าบรรยากาศของความตะวันออกนะคะ ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ EP.1-5 เนี่ย เราอยู่ฝั่งตะวันตกกันมาตลอดเลย ทั้งไปสเปน ทั้งไปมิวเซียมที่ฝรั่งเศส ไปแวร์ซายส์ ไปวาติกัน นะคะ ตอนนี้ค่ะ กลับมาอยู่ใกล้บ้านกันบ้างนะคะ เพราะว่าจริง ๆ แล้ว เรียกว่า ความสวยงามของความตะวันออก เรื่องของอารยธรรม วัฒนธรรม ประเพณี จริง ๆ ของอินเดียในวันนี้ที่เราจะไปเนี่ย มีอิทธิพลกับประเทศไทยของเรามาก รวมถึงมีอิทธิพลต่อ... จริง ๆ ในภูมิภาคนี้ทั้งหมดเลยนะคะ แต่ว่าเราไม่ค่อยได้รู้จักเลย วันนี้ก็เลยได้โอกาสดี ที่ได้น้องวิวมาเป็นไกด์ให้กับพวกเรานะคะ จริง ๆ จะบอกว่าป่านเนี่ยก็เคยไปอินเดียมาสองรอบแล้ว ครั้งแรกนี่ไปที่ตอนเหนือ ที่ลาดักนะคะ ซึ่งก็เรียกว่าไป... ไปอินเดียก็น่าจะไม่ค่อยได้ เพราะว่าไม่ค่อยได้บรรยากาศ ของอินเดียเท่าไหร่ เพราะมันมีความแบบ... มันมีความเหมือนเป็นเมืองท่องเที่ยวมาก ๆ ได้บรรยากาศของการไปดาวอังคารมากกว่านะคะ เพราะว่า บรรยากาศมันมหัศจรรย์มาก ๆ อันนั้นคือตอนเหนือของอินเดียเนอะ แต่ว่าอีกครั้งนึงเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็มีโอกาสไปอินเดียอีกครั้งนึงนะคะ ซึ่งก็ไปที่นิวเดลีเลย แล้วก็เดินทางขึ้นเหนือนิดนึง แล้วก็ไปเมืองที่เราจะไปกันในวันนี้ด้วย นั่นก็คือ อัครา นั่นเองนะคะ แต่ว่าความรู้น้อยมากค่ะ วันนี้ก็เลยเดี๋ยวจะให้วิวมาพาทัวร์อีกทีนึงว่า ที่ป่านไปมาเนี่ย จริง ๆ แล้วอะ เรื่องราวที่เกิดขึ้นน่ะเป็นยังไงบ้างนะคะ ก็ ยังไงเดี๋ยวป่านจะชวนวิวขึ้นมาเลย เพื่อจะได้ให้แฟน ๆ ของน้องวิวไม่งงไปมากกว่านี้นะคะ ก็ยินดีต้อนรับน้องวิวมาเลยค่ะ วิว: สวัสดีค่ะ สวัสดีทุกคนนะคะ ทั้งที่เพจ ป่าน: สวัสดีค่ะ วิว: Ground Control แล้วก็ที่ช่องทางต่าง ๆ ของ Point of View ด้วยค่ะ ป่าน: ได้ งั้นให้น้องวิวทักทายแฟนคลับก่อนดีกว่า เพราะเข้าใจว่าทุกคนน่าจะงงแน่เลยที่เห็นหน้าป่าน วิว: ค่ะ ก็ สวัสดีทุกคนนะคะจากเพจ Point of View แล้วก็จาก YouTube Point of View กลับมาพบกับวิวเช่นเคยค่ะ แต่ว่าวันนี้อาจจะเป็น EP. พิเศษนิดนึง ส่วนหลาย ๆ ท่านในเพจ Ground Control นะคะ ก็ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ วันนี้วิวก็มาเป็นไกด์ของทุกคนในวันนี้ค่ะ เพื่อที่จะพาเที่ยวเมืองอัครานั่นเองนะคะ ป่าน: ค่ะ วิวขา งั้นเริ่มต้นเลยค่ะว่า ทำไม... คือจริง ๆ แล้วอะ ตั้งแต่ EP.1 จนถึง EP.5 ที่ผ่านมาเลยของ Ground Control ที่เราไปเที่ยวกันมากับ Self Quarantour เนอะ เราก็จะอยู่ฝั่งโซนตะวันตกกันมาตลอด แต่พอเป็นวิวปุ๊บ เฮ้ย เป็นตะวันออกเฉยเลย แล้วก็เป็นอินเดียด้วย ทำไมเราถึงเลือกที่จะมาอินเดียอะคะ วิว: ส่วนตัววิวเนี่ยค่ะ ต้องบอกว่าจริง ๆ วิวไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอินเดียหรืออะไรนะ อาจจะแตกต่างจาก EP. ก่อน ๆ นิดนึง ที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ แต่ว่าวิวเนี่ยเป็นคนที่สนุกกับการหาความรู้ใหม่ ๆ ค่ะ เพราะว่าเวลารู้อะไรนู่นนี่นั่นมาก็จะแบบตื่นเต้น แล้วก็ชอบเล่าให้คนอื่นฟัง ดังนั้น ทุกครั้งเวลาวิวไปเที่ยวไหนเนี่ย วิวก็จะมีความชอบหาข้อมูลล่วงหน้า ว่าแบบว่า เอ้ย สิ่งที่ฉันจะไปเจอเนี่ยมันเป็นยังไง มันเป็นอะไรยังไง แล้วก็ชอบเอามาเล่าให้เพื่อน ๆ ที่ไปเที่ยวด้วยกันฟัง ดังนั้น concept ของ Self Quarantour ก็ค่อนข้างจะเป็น concept เหมือนกับที่วิวไปเที่ยวปกติอยู่แล้ว แต่ถามว่าทำไมถึงเลือกอินเดีย ทำไมถึงมาทางตะวันออก ก็เพราะว่า ปกติวิวเป็นคนค่อนข้างจะสนใจอารยธรรมตะวันออกค่ะ คือจริง ๆ ก็สนใจอารยธรรมทั่วโลกแหละ แต่โฟกัสไปที่ตะวันออกเป็นพิเศษ เพราะว่า อารยธรรมใหญ่ ๆ ของตะวันออกเนี่ยนะ มันก็มีจีนกับอินเดียใช่ไหมคะ ซึ่งทั้งสองอันนี้ก็ส่งผลต่อไทยของเราทั้งคู่เลย ดังนั้น ก็เลยจะค่อนข้างไปสนใจสองประเทศนี้เป็นพิเศษ แล้วทีนี้ตอนที่พี่ผ้าป่านติดต่อมา ตอนที่เพจ Ground Control ติดต่อมาเนอะ ป่าน: ค่ะ วิว: ก็ลังเลกันมากว่าจะจีนหรือจะอินเดีย ป่าน: ไปที่ไหนดี วิว: จะจีนหรืออินเดียดี ใช่ สุดท้าย หวยก็มาตกที่อินเดีย เพราะว่า วิวเพิ่งจะกลับไปดูหนังเรื่องนึงมาค่ะ หลังจากที่ไม่ได้ดูมานานแล้ว นั่นก็คือหนังเรื่อง Jodha Akbar นั่นเอง ซึ่งเป็นหนัง Bollywood และพระเอกหล่อมากนะคะ ดังนั้น เราก็เลยเลือกหัวข้อนี้ด้วยความแบบ พระเอกหล่อ แค่นี้เลย ป่าน: เดี๋ยว ๆ พิธีกรภาคสนามของเราคริสซี่เนี่ย ต้องยิงเข้ามาแล้วแหละว่า หนังเรื่องนี้เนี่ยคือไปตามดูได้ที่ไหน เพราะว่าวิวบอกแต่แรกเลยว่าพระเอกหล่อมาก เดี๋ยวจะไปหาดูบ้าง วิว: บอกเลย ค่ะ ป่าน: แต่ว่าวันนี้วิวไม่ได้มาคนเดียวนะคะ เพราะว่า คือวิวเนี่ยจะไปเป็นไกด์ แล้วก็จะนำทัวร์พวกเราไปดูอัครา อินเดีย ว่ามีอะไรบ้างนะคะ แต่ว่าเราก็มีคณะลูกทัวร์ด้วย ที่จะมาทัวร์ไปกับพวกเราในวันนี้นะคะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวป่านขอต้อนรับ ลูกทัวร์ของเราอีกสองท่านเลยค่ะ โจ้/กัน: สวัสดีครับ ป่าน: สวัสดีค่า ป่าน/วิว: สวัสดีค่ะ ป่าน: พี่โจ้บองโก้นะคะ และก็กันนะคะ เดี๋ยวป่านให้แนะนำตัวสั้น ๆ หน่อยดีกว่าว่า ชื่ออะไร ทำอะไรอยู่บ้าง แล้วโดนใครหลอกมาถึงมาเที่ยวอินเดียกับพวกเราคะ โจ้: ฮ่า ๆ โอเค เริ่มที่พี่ก่อนเนอะ ชื่อโจ้บองโก้ครับ นทธัญ แสงไชย ตอนนี้ก็ทำ podcast อยู่กับ Salmon Podcast ครับผม ป่าน: โอเคค่ะ โดนหลอกมา... โจ้: โดนป่านและก็วิวหลอกมา โดนป่านและวิวหลอกมา ป่าน: โดนทั้งสองคนหลอกมา เฮ้ย สนุก ๆ ๆ วันนี้สนุกแน่นอน ค่ะ กันค่ะ กัน: ครับ หวัดดีครับ กันครับ เป็นคนเขียนบทอยู่ที่ GDH ครับ ก็ โดนพี่คริสซี่ครับ พี่คริสซี่ Ground Control นะฮะ ก็... โจ้: หลอกมา กัน: ไม่ได้หลอกหรอก จริง ๆ ก็เป็นเชิงแบบ เออ เห็นเขาเริ่มทำ Ground Control แล้วก็รู้สึกว่า น่าสนใจ แล้วก็ จริง ๆ อยากมา เพราะว่า โห โควิด ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย แล้วก็รู้สึก... รู้สึกว่าอินเดียก็เป็นประเทศที่เคยเป็นหนึ่งในที่หมาย ที่รู้สึกว่าอยากไป อะไรอย่างนี้ครับ พอมีหัวข้อนี้มาก็เลยรู้สึก อือ อยากไปเที่ยว ป่าน: แล้วกันเคยไปอินเดียไหมคะ กัน: ไม่เคย ยังไม่เคย คือ ตอนแรกเนี่ย จำได้ว่าดู ดูหนัง แต่ดูเรื่อง pk แล้วก็รู้สึกแบบ โห มัน... คือเรามีภาพอินเดียในแบบที่เราเคยรู้สึกก่อนหน้านี้ แล้วตอนเราดู pk เราก็ยัง... อ๋อ เราดู Slumdog Millionaire มาก่อน แล้วเราก็เห็นภาพอินเดียเป็นแบบนึง แล้วก็พอเราดู pk ไอ้ภาพเดิมของอินเดียน่ะก็ยังมีอยู่ในตัวเรา แต่เรารู้สึกอยากไปมากขึ้น อะไรอย่างนี้ฮะ ก็เลยมีช่วงนึงเลยที่รู้สึกแบบ โห อินดี้ ไว้ผมยาวเลยนะ อยากเป็นแบบ อยากไปรวบผมถ่ายรูป เป็นโยคีอยู่ในอินเดียอะไรอย่างนี้ เออ แต่ว่าสุดท้ายก็ยังไม่มีโอกาสได้ไป ครับ ป่าน: หืม แต่วันนี้จะมีโอกาสได้ทดลองไปกันก่อน แล้วก็ได้ไปแบบว่าเข้มข้นด้วย คือ ได้รู้ประวัติศาสตร์อินเดียผ่านเรื่องเล่าของน้องวิวด้วยนะคะ แล้วพี่โจ้เคยไปอินเดียมาบ้างป้ะเอ่ย โจ้: เคยไปมารอบนึงครับ เป็นคนละเวย์กับทางนี้เลย คราวที่ไปเนี่ย เป็นทริปสังเวชนียสถาน ป่าน: อ๋อ โจ้: อ้า ก็จะไปเนี่ย ไปพุทธคยา สารนาถ ลุมพินี ที่เนปาล แล้วก็มาจบที่กุสินารา แล้วก็ได้ไปเมืองพาราณสี อะไรอย่างนี้ เทือก ๆ นั้น แต่ก็ไปครบ แต่ว่าไปไม่ได้หลายวันมากนักครับ ป่าน: อือ แสดงว่ายังขาดอัคราอยู่ โจ้: ใช่ อัครายังไม่เคยไป ป่าน: วันนี้ได้ไป วันนี้ได้ไปเที่ยวด้วยกัน ให้วิวเล่าดีกว่าว่า ทริปอินเดียของวิวเป็นยังไงบ้าง ที่ผ่านมา วิว: หมายถึงทริปในวันนี้หรือว่าทริปที่ผ่าน ๆ มาคะ ป่าน: ทริปที่ผ่าน ๆ มา เพราะวิวเคยไปอินเดียมาแล้วนี่ ใช่ป้ะ วิว: ใช่ วิวเคยไปอินเดียมาทั้งหมดสองรอบค่ะ แต่ว่าเหมือนไปมารอบเดียว รอบที่ผ่านมาที่เพิ่งไปมาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเนี่ย ก็ไปตามรอยพุทธศาสนา แต่ว่าอาจจะเป็นคนละ route กับพี่โจ้ วิวจะไปพวกถ้ำอชันตา เอลโลลา อะไรประมาณนี้ แล้วก็ไปทางมุมไบ ก็จะเป็นพวกอารยธรรมฮินดูนิด ๆ แล้วก็เน้นไปที่พุทธเป็นหลักค่ะ แต่ว่า แล้วก็อีกทริปนึงที่วิวเคยไป วิวไปแค่ประชุม แล้วก็น่าเสียดายมาก ไปห่างจากทัชมาฮาลแค่แบบ 30 นาที แต่วิวไม่ได้เข้าไปที่ทัชมาฮาลค่ะ ด้วยความที่ ตารางการทำงานมันไม่ได้ ก็เลยรู้สึกเสียใจมาถึงทุกวันนี้ ก็จะ นี่ล่ะค่ะ เสียใจ ป่าน: แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะว่าวันนี้นะคะ เราก็จะได้ไปด้วยถูกไหม ป่าน: เราจะได้ไปทัชมาฮาลด้วย วิว: ใช่ ป่าน: เราก็ไปแบบมีเรื่องเล่าที่จะเล่าให้กับทุกคนฟังนะคะ ซึ่งถ้าเกิดว่าตอนนี้ใครดูอยู่ ไม่ว่าอยู่ในทางช่องทางไหนนะคะ ไม่ว่าจะเพจของน้องวิว Point of View นะคะ หรือว่าจะเป็นเพจของ Ground Control ก็อยากจะขอให้ช่วยกดไลก์ แล้วก็กดแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้ดูร่วมกันนะคะ เพราะตอนนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คิดถึงการไปเที่ยว ยังไม่ได้ไปเที่ยวกันเลย ก็เที่ยวไปกับพวกเราก่อนกับ Self Quarantour นะคะ วันนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เดี๋ยวป่านจะส่งต่อให้กับน้องวิว แล้วเราจะเดินทางผ่าน Google Art & Culture นะคะ แล้วเราก็จะวาร์ปไปที่อินเดียกันอย่างรวดเร็ว แบบที่ไม่ต้องเสี่ยงโควิด นั่งเครื่องบินกันอีกต่อไปนะคะ งั้นเดี๋ยวป่านยกให้วิวเลยค่ะ ลุยเลยค้าบ โอเคค่ะ วิว: โอเค สวัสดีค่ะทุกคน เราเริ่มกันเลย จะสวัสดีอีกรอบทำไมนะคะ วันนี้ตื่นเต้นนิดนึง ไม่เคย Live แบบว่า ขนาดนี้นะ ก็วันนี้เราจะไปเที่ยวกันที่เมืองอัครานะคะ เป็นเมืองที่ค่อนข้างสำคัญในอินเดียนิดนึง เพราะว่าเป็นเมืองที่มี UNESCO World Heritage นะคะ อยู่ถึง 3 แห่งด้วยกันในเมืองเดียวเลย เรียกได้ว่า อัดแน่นจริง ๆ นะ แต่ละที่เนี่ยก็ค่อนข้างจะยิ่งใหญ่อลังการ รวมถึงหนึ่งในนั้นเนี่ยก็คือ ทัชมาฮาล ที่ทุกคนน่าจะรู้จักในฐานะภาพจำของอินเดีย แล้วก็ถือว่าเป็นหนึ่งใน 7 Wonders เนอะ เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ เราต้องไปสักครั้งก่อนตาย ดังนั้น วันนี้เราก็จะไปดูสิ่งนี้พร้อม ๆ กันค่ะ แต่ว่า ทีนี้ต้องบอกก่อนว่าเมืองอัคราที่เราจะไปเนี่ย มันจะไปเน้นเป็นพิเศษด้านพวกอารยธรรมอิสลาม หรือว่าพวกศิลปะอิสลามเนอะ จากที่เมื่อกี้เราพูด ๆ กันมาทั้งทริปของพี่โจ้ ทั้งทริปของวิวเนี่ย ก็จะเป็น ค่อนข้างจะไปทาง เขาเรียกว่าอะไรอะ แขก วิว: คือเวลาเราพูดถึงแขกอะ โจ้: พุทธ พราหมณ์ วิว: อา เวลาเราพูดถึงแขก คนปกติที่ไม่ได้คุ้นเคยกับแขกขนาดนั้น ก็จะนึกว่าแขกคือแขก แต่จะไม่ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วแขกเนี่ย เป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างจะหลากหลาย มันจะมีทั้งแขกที่เป็นฮินดู แขกที่เป็นอิสลาม แขกที่เป็นพุทธต่าง ๆ แต่ว่าวันนี้เราจะไปเน้นที่อิสลามเป็นหลักนะคะ อะ อาจจะไม่ได้ปูพื้นเยอะมาก เพราะว่ามันมีเรื่องที่เราต้องปูเยอะแยะมากมายไปกว่านี้เนอะ เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่าอัคราของเราเนี่ย อยู่ที่ไหน อะไรยังไง เมืองที่เราจะไปเนี่ยนะคะ อยู่ที่บริเวณที่ราบภาคเหนือค่ะ อยู่ใต้เมืองนิวเดลีซึ่งเป็นเมืองหลวงเนี่ยนิดเดียวเอง แล้วก็ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมุนานะคะ ซึ่งอันนี้เป็นเกร็ดเล็ก ๆ สนุก ๆ แอบฝากไว้นิดนึงว่า ชาวอินเดียเนี่ยเป็นประเทศที่เค้าจะชอบ แต่งตั้งให้ทุกอย่างในโลกนี้เป็นเทพ อะไรก็ได้ที่มีแบบว่าอยู่ในพื้นพิภพนี้ เขาจะแบบ อันนี้คือเทพแห่งต้นไม้ อันนี้คือเทพแห่งแม่น้ำ นู่นนี่นั่น แล้วมันไม่ใช่แค่เทพแบบว่าอันนี้คือเทพแห่งแม่น้ำนะ แต่ว่าแม่น้ำแต่ละสายก็จะโดนบุคลาธิษฐาน หรือว่า personification ขึ้นมาเป็นคนคนนึงเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นที่เรารู้จักกันดี แม่น้ำคงคา ก็จะเป็น คงคาเทพี ใช่ไหมคะ ส่วนแม่น้ำยมุนาซึ่งเมืองอัคราตั้งอยู่เนี่ย ก็เป็นเทพีเหมือนกัน แต่ว่าเป็นเทพีชื่อว่า ยมุนาเทพี ค่ะ ความน่ารักของมันก็คือ แม่น้ำคงคาเนี่ย เป็นแม่น้ำที่ไหลเร็วแล้วก็แรง แต่ว่าแม่น้ำยมุนาเนี่ยจะเป็นแม่น้ำที่แบบไหลเอื่อย ๆ ค่อย ๆ เรียกได้ว่าเป็นแบบ แม่น้ำสโลว์ไลฟ์อะ ดังนั้นนะคะ แม่น้ำคงคาเนี่ย คงคาเทพีเนี่ยก็เลยจะเป็นเทพีที่ขี่ตัวที่เรียกว่ามกร มกรเป็นสัตว์ในเทพนิยายแต่ว่าอารมณ์คล้าย ๆ เดาง่าย ๆ มองให้มันเหมือนจระเข้อะค่ะ มันจะว่ายน้ำเร็ว ดังนั้น แม่น้ำคงคาก็ไหลเร็ว ในขณะที่แม่น้ำยมุนาของเราเนี่ย ไหลช้า เอื่อย ๆ สโลว์ไลฟ์ ใช่ไหม สวยงาม เป็น background ของทัชมาฮาล ยมุนาเทพี ก็เลยขี่สิ่งที่... ยมุนาเทพีก็เลยขี่เต่าค่ะ ป่าน: ขี่เต่า วิว: ยมุนาเทพีขี่เต่า ป่าน: มีความช้า ไหลเอื่อย ๆ วิว: ใช่ อันนี้ก็เป็น เกร็ดเล็ก ๆ ส่วนใครที่ยังนึกไม่ออกว่าแม่น้ำยมุนาสำคัญขนาดไหน ยมุนานี่เป็นหนึ่งใน 5 แม่น้ำสำคัญของอินเดีย ที่เป็นที่มาของสำนวน ชักแม่น้ำทั้งห้า ค่ะ วิว: เวลาเราพูดว่า... กัน: เหรอฮะ อ๋อ มันมาจากอินเดียเหรอครับ วิว: ใช่ค่ะ เวลาเราพูดถึงชักแม่น้ำ... ป่าน: มัน มันมาจากอินเดียเนอะ วิว: มันมาจากเรื่องพระเวสสันดรนะคะ ดังนั้นเรื่องพระเวสสันดรมันเกิดขึ้นในอินเดีย มันก็จะมีแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู แล้วก็มหิ ซึ่งอัคราเนี่ยก็ตั้งอยู่หนึ่งในแม่น้ำเหล่านั้น ก็คือแม่น้ำยมุนานั่นเอง แล้วก็เป็นเมืองที่แบบ รุ่งเรืองมากด้านศิลปะมุสลิมนะคะ อะ จบไปก้อนที่หนึ่ง ที่เหมือนเป็นการปูความรู้คร่าว ๆ ก่อน ว่า อัคราอยู่ที่ไหน อะไรยังไง แต่ว่า ด้วยความอินเดียนะ อันนี้แอบออกตัวก่อนว่าเราจะปูพื้นฐานกันค่อนข้างเยอะ เพราะว่าเราพูดถึงยุโรปเนี่ย เราจะพอนึกภาพออกว่า ยุคกลางอยู่ตรงไหน ยุคปฏิวัติวัฒนธรรมอยู่ตรงไหน แต่พอเราพูดถึงอินเดีย ทุกคนคือ วิว: อินเดีย ป่าน: งง ใช่ / กัน: blank ป่าน: คือจะบอกว่า แบบว่าความที่เราอะ ที่เราเปิดไปคือเรารู้สึกว่า เราอยู่ใกล้เขามาก เราอยู่ใกล้กว่าชาวตะวันตกอีกอะ แต่ว่า เราความรู้น้อยมาก การ reference ในหัวมันค่อนข้างน้อยมากเหมือนกันเนอะ กัน: อา ใช่ ป่าน: วันนี้น่าจะต้องให้วิวช่วยปูพื้นฐานหน่อย วิว: อะ เราจะมา walk through ประวัติศาสตร์อินเดีย 5,000 ปี อย่างรวดเร็วนะคะ ภายใน... 3 นาทีละกันอะ วิว: นะคะ ก็คือ... โจ้: [inaudible] 3 นาทีรึเปล่า วิว: ใช่ค่ะ เราจะพูดอย่างรวดเร็วนะคะ ป่าน: จับเวลา วิว: จับเวลาค่ะ อินเดียเนี่ยนะคะ มันเริ่มมาตั้งแต่ยุคโบราณใช่ไหม เป็นอารยธรรมแรก ๆ ของโลก ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นช่วงที่...เป็นแขกขาวแขกดำอะไรช่างมันไปค่ะ เอาเป็นว่าสุดท้ายแล้ว อินเดียเนี่ยเป็นประเทศของพวกชาวอารยัน ก็คือพวกแขกขาวนั่นเองนะคะ ทีนี้ ในช่วงระยะเวลาของอารยันซึ่งยาวนานมากเนี่ย ก็จะเป็นช่วงเวลาที่เป็นการแข่งอำนาจกันไปมา ๆ ระหว่าง แขกที่เป็นคนฮินดู กับแขกที่เป็นพุทธ ถ้าช่วงไหนกษัตริย์นับถือพุทธ ช่วงนั้นพุทธก็จะยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน ช่วงไหนที่กษัตริย์เป็นฮินดู ฮินดูก็จะยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน มันก็ต่อสู้ ๆ กันแบบนี้มาเรื่อย ๆ ค่ะ วนไปมา ๆ ตั้งแต่ยุคมหากาพย์ ยุคเมารยะ ยุคคุปตะ นะคะ จนกระทั่ง ถึงช่วงยุคกลางของอินเดียค่ะ อย่างรวดเร็ว มาจนถึงช่วงเวลาที่เราจะพูดถึงนะคะ ก็คือช่วงที่มีชาวต่างชาติเนี่ยเข้ามารุกรานอินเดีย ซึ่งชาวต่างชาติกลุ่มนี้ ก็คือชาวมุสลิมนั่นเอง แล้วก็ไม่ได้มากลุ่มเดียวนะคะ แต่ว่ามาหลายกลุ่มเหมือนกันเนอะ ต้องบอกว่า... แล้วพอหลังจากนี้ก็จะเป็นยุคของการล่าอาณานิคมละ ก็จะเป็นอังกฤษเข้ามา วิว: แล้วก็กลายเป็นยุคปัจจุบันน่ะนะ โจ้: อังกฤษ วิว: แต่เรา... ก็คือค่อนข้างจะใหม่ ยุคอิสลามนี่ค่อนข้างจะใหม่เลย ที่เรากำลังจะพูดถึงกันเนี่ย ซึ่งในยุคนี้ต้องบอกว่าพออิสลามเข้ามาในอินเดียเนี่ย ก็บูมมาก คือมาใหม่แต่ว่ามาแรงมาก ๆ ค่ะ เพราะว่า... คือจักรวรรดิอิสลามเนี่ย เขาเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่สุด ๆ เลย เมื่อประมาณศตวรรษที่ 7 ใช่ไหม เกิดแถว ๆ ซาอุดิอาระเบียใช่ไหมคะ เสร็จแล้วก็แผ่ออกมาแบบ แผ่บึ้มเลย เพราะว่าอิสลามเนี่ย เขาไม่ได้มาในรูปแบบศาสนาอย่างเดียว แต่ว่าเวลาที่เขาเผยแผ่ไปเนี่ย เขามาทั้งศาสนาแล้วก็การใช้ชีวิตใช่ป้ะ คือ คือเวลาเราใช้... สมมติเราบอกว่าเรานับถือศาสนาพุทธ เราก็ ศาสนาเราเป็นพุทธ แต่ว่าเวลาเราไปใช้ชีวิต ไปค้าขาย ไปทำอะไร เราก็ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา เราก็ทำตามหลักเศรษฐศาสตร์ ทำตามอะไรไป วิว: ในขณะที่อิสลาม... โจ้: เหมือนศาสนาไม่ได้อยู่ในชีวิตเราขนาดนั้น โจ้: ไม่เหมือนอิสลามที่แบบ มันจะมีเรื่องการเงิน วิว: ใช่ โจ้: เรื่องนั่นนี่ ที่มันมาเกี่ยวด้วยใช่ไหม วิว: ใช่ คือทางโลกกับทางธรรม เราแยกจากกันอะ เราจะชอบพูดว่า เราต้องแยกทางโลกกับทางธรรมออกจากกัน ในขณะที่อิสลามไม่ใช่ คุณไปฝากเงิน คุณก็ต้องไปฝากเงินธนาคารอิสลาม เพราะว่ามันมีกฎเรื่องดอกเบี้ยอยู่ในคัมภีร์ศาสนา เห็นป้ะ การเงินกับศาสนามันไม่ควรจะเกี่ยวกันเลย วิว: แต่ว่าของอิสลามมันเกี่ยว ป่าน: มันอยู่ด้วยกัน วิว: รวมไปถึงการใช้ชีวิต ความเชื่อ การแต่งงาน เพราะฉะนั้น ใครที่เป็นอิสลามคุณต้องไปแบบ สุดลิ่มทิ่มประตูอะ ป่าน: หรือทั้งหมดต้องเป็นหมดเลย วิว: คุณจะไม่เหมือนชาวพุทธที่แบบว่า อ๋อ เป็นพุทธ แต่ไม่เข้าวัด ไม่ได้ อิสลามก็คือ ฉันเป็นอิสลาม ฉันไปละหมาด ฉันไป...ตลอดเวลา ทุกอย่างจะดูอิสลาม ดังนั้น พออิสลามเกิดขึ้นเนี่ย ก็เลยแผ่กระจายตัวค่อนข้างเร็วค่ะ ทีนี้ มันก็มีการแผ่กระจายไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ขยายกว้างมาก เรียกได้ว่า ช่วงนั้นน่ะ จักรวรรดิอิสลามขยายตัวไกล ถึงขนาดที่มันขยายจากบริเวณซาอุดิอาระเบีย ไปจนถึงบริเวณสเปนเลย ดังนั้น จากเอเชียเนี่ยค่ะ ไปถึงสเปน ซึ่งเป็นตอนสุดของยุโรปอะ มันค่อนข้างจะไกลเนอะ ถ้าเราไปดูสเปนปัจจุบันเราก็จะเห็นอารยธรรมอิสลามซ่อนอยู่ แล้วก็ส่วนทางตะวันตก เอ้ย ส่วนทางตะวันออกเนี่ย มันก็ไปถึงจีน เราจะไปเห็นราชวงศ์ของจีน ราชวงศ์หยวนใช่ไหมที่เป็นชาวมองโกล นั่นก็คือพวกอิสลามนั่นเอง เรียกได้ว่า ใหญ่พอควรเลยนะคะ ป่าน: ออกสองทางอย่างนี้เลยเนอะ ใช่ป้ะ ป่าน: มีความขยายออกไป วิว: ใช่ ออกทุกทาง ซึ่งราชวงศ์หยวนก็จะเป็นพวกยุคเจงกิสข่าน อะไรพวกนี้เนอะ ซึ่งเดี๋ยวเราจะพูดถึงทีหลังค่ะ ทีนี้ ปัญหาของอินเดียก็คือ คนที่เข้ามาในอินเดียเนี่ยค่อนข้างจะแปลก ตอนที่เขาขยายไปที่อื่นเนี่ย เขาขยายไปในรูปแบบของการใช้ชีวิต เผยแผ่ศาสนา แต่กลุ่มคนที่แผ่กระจายอิสลามเข้ามาในอินเดียเนี่ย มันคือ นักรบ ไม่ได้หมายถึง มูลมานัส อย่าแซวเขา อย่าแซวเพื่อน ป่าน: ไม่ ตอนแรกในใจอะ ก็คือตอบขึ้นมาว่า "มูลมานัส" แต่ว่า เธอเล่นก่อนไงวิว กัน: ตบเอง ๆ เล่นเอง ป่าน: ...นักรบจริง ๆ เลยใช่ป้ะ เป็นนักรบจริง ๆ วิว: นักรบ แบบ warrior อะค่ะ เป็นนักรบ ก็คือ มาผ่านการทหาร ดังนั้น พอเวลาเข้ามามันก็จะรุนแรงนิดนึง มีความแบบว่า เข้ามาแล้วก็ เฮ้ย ฉันไม่โอเค ศาสนาฉันเนี่ย บอกว่าไม่ให้มีรูปเคารพ ไม่ให้มีการไหว้พระเจ้าองค์อื่น ฉันต้องนับถือพระเจ้าองค์เดียว เข้ามาถึงเจอฮินดูไหว้พระเจ้าอยู่ 33 ล้านพระองค์ มันก็ไม่ใช่ เขาก็จะมีความแบบว่า เผาทำลายศาสนาอื่นนิดนึง ซึ่งไม่ผิดนะ ไม่ได้เรียกว่าไม่ผิด เขาเรียกว่าอะไร เป็นเรื่องปกติของการเผยแผ่ศาสนายุคนั้น ความเชื่อ ทุกคนพยายามเผยแผ่ความเชื่อตัวเอง ทุกคนเป็น ไม่ได้มีแค่อิสลาม แต่ว่าวันนี้เราพูดถึงอิสลาม เขาก็มีการแบบ เผาทำลายศาสนาอื่นมากมาย ก็เลยทำให้ศาสนาอื่นของอินเดียเนี่ย ลดอำนาจลงฮวบเลย อย่างแรกที่โดนหนักที่สุดก็คือ อย่างแรกที่โดนหนักที่สุดเลยนะคะ ก็คือศาสนาพุทธนั่นเอง เพราะว่าคนที่นับถือพุทธในอินเดีย ไม่ได้เยอะ ดังนั้นเราก็จะเห็นว่าพออิสลามเข้ามา ศาสนาพุทธหายไปเลยจ้า หายสนิท บาย ๆ แม้ว่าศาสนาพุทธจะเป็นต้นกำเนิดอยู่ที่อินเดีย แต่ว่าเวลาเราไปเที่ยวอินเดียเนี่ย เราจะแทบไม่เห็นศาสนาพุทธเลย นอกจากร่องรอยประวัติศาสตร์เก่า ๆ กับวัดไทยที่พยายามจะไปตั้งตอนนี้ เนอะ แล้วก็อีกอย่างนึงที่โดนหนัก ๆ ก็คือ พวกอิสลาม... เอ้ย อีกอย่างที่โดนหนัก ๆ ก็คือพวกฮินดู พวกเชน พวกซิกข์ ต่าง ๆ นะคะ ก็จะโดนสิ่งหนึ่งเข้าไป ก็คือภาษีศาสนานั่นเอง เขาพยายามจะควบคุมให้คนน่ะ เข้ามานับถืออิสลามมากที่สุด ประมาณว่า เฮ้ย เธอไม่นับถืออิสลามเหรอ ได้ นับถือศาสนาตัวเองเลย แต่ว่าทุกครั้งที่เธอเข้าไปเทวาลัย ไปไหว้พระเจ้าของเธอเนี่ยนะ จ่ายภาษีเพิ่มมา วิว: ดังนั้น... กัน: เอ๊ แต่... แต่แปลว่าตอนแรกที่บอกว่า เขาเข้าไปอย่างบูมมากเลยอะ หมายถึงว่าพอมุสลิมเข้าไปในอินเดีย แล้วมันบูมมากเนี่ย แปลว่า ก็คือเข้าไปด้วยสงคราม กัน: อย่างนั้นเลยใช่ไหมครับ วิว: ใช่ค่ะ วิว: มันบูมเพราะว่าสงครามนี่แหละ คือเข้าไปแล้วก็เอามีดจ่อคอ แล้วก็บอกว่า เปลี่ยนศาสนาซะ ไม่งั้นเรามีเรื่อง ซึ่งผลเนี่ย มันทำให้เกิดสองอย่างขึ้นมาค่ะ สาเหตุที่มันบูมเนี่ยนะ กลุ่มคนแรก เรารู้ใช่ไหมว่าอินเดียมีวรรณะ อินเดียมีวรรณะแบบว่า ต่าง ๆ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร มีวรรณะสูง วรรณะต่ำ พอศาสนาอิสลามเข้าไป ผู้ปกครองกลายเป็นอิสลามเนี่ย มันเกิดขึ้นสองอย่าง อย่างแรกก็คือ พวกวรรณะต่ำก่อน วรรณะที่ต่ำ ๆ ที่โดนกดขี่มาตลอดชีวิต ก็รู้สึกว่า เฮ้ย ศาสนานี้มันเจ๋งมากเลยทุกคน ศาสนานี้มันไม่มีวรรณะ ทุกคนเท่ากัน ทุกคนเท่ากันหมดเลย ดังนั้นเราเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามดีกว่า ก็เลยเปลี่ยน เพื่อที่ว่าฉันจะได้หลุดจากวรรณะต่ำ เพราะว่า ถ้าเป็นฮินดู คุณเกิดมาเป็นวรรณะศูทร คุณก็ต้องเป็นศูทร คุณเกิดมาเป็นจัณฑาล คุณเป็นจัณฑาลตลอดไป ลูกหลานคุณก็เป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีทางเปลี่ยนได้ เปลี่ยนศาสนาง่ายกว่า นะคะ เสร็จปุ๊บ เสร็จปุ๊บ เอ่อ... ถ้าเป็นวรรณะสูงเนี่ย ค่ะ ถ้าเป็นวรรณะสูงเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นวรรณะสูง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คุณ คุณอยากเข้าใกล้ชิดผู้ปกครอง คุณเป็นคนที่แบบ เป็นวรรณะสูง ฉันอยู่กับกษัตริย์มาทั้งชีวิต ทำไมอยู่ดี ๆ กษัตริย์ถึงแบบว่า เฮ้ย กษัตริย์ เขาเรียกว่าอะไรอะ ทำไมอยู่ดี ๆ กษัตริย์เปลี่ยนเป็นอิสลาม แล้วฉันจะไปสนิทกับกษัตริย์ยังไง เปลี่ยนศาสนาดีกว่า ฉันจะได้ไปเข้าใกล้ศูนย์กลางการปกครองอีกรอบนึง อะไรอย่างนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีอีกอย่างนึงก็คือ คนที่เป็นชนชั้นสูง มีความงกเล็ก ๆ ก็คือ ถ้าสมมติว่าฉันยังเป็นศาสนาฮินดูอยู่ ฉันก็จะต้องเสียภาษีศาสนา ฉันก็เปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิมสิ ฉันจะได้ไม่ต้องเสียด้วย ดังนั้น ทั้งวรรณะสูงและวรรณะต่ำก็เลยมองเห็นว่า เออ ฉันเปลี่ยนเป็นมุสลิมก็ดี ไม่เห็นมีอะไรเสียเลย ก็เลยเปลี่ยน ฟึ่บ เลยจ้า ป่าน: ก็ทำให้... ก็ทำให้เหมือนกับ เอ่อ ก็มีคนมุสลิมเยอะมากขึ้น จริง ๆ คือเยอะขนาดไหนอะวิว หมายถึงว่า พอถูกเปลี่ยนไปสักพักนึงแล้ว ถ้าเกิดเทียบกับประชากรทั้งหมดอะ วิว: ก็ถ้าสมมติว่าในตอนที่ ที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอะ วิวไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ แต่มันเยอะมาก แต่ว่าในจุดที่เปิดประเทศ ในตอนที่ ก่อนแยกประเทศอะค่ะ เรารู้ใช่ไหมว่า อินเดียกับปากีสถานมีการแยกประเทศกัน แล้วชาวมุสลิมจากอินเดียทั้งหมดก็ย้าย... ไม่ใช่ทั้งหมดอะ แต่ส่วนใหญ่ก็ย้ายไปอยู่ปากีสถานเนอะ ตอนที่ได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ ตอนนั้นเนี่ยนะคะ มีชาวมุสลิม อยู่ในอินเดียทั้งหมด 1 ใน 4 เลยค่ะ จากเดิมที่เป็นฮินดูแบบเยอะมากเนี่ย กลายเป็น 1 ใน 4 ซึ่ง 1 ใน 4 ของอินเดียสมัยนั้นก็คือพันล้านอะ ป่าน: พันล้าน! วิว: ก็คือจากพันล้าน 1 ใน 4 ก็คือ 250 ล้าน โจ้: โอ้โห วิว: มันก็เรียกว่าบูมมากเลยนะ ป่าน: เยอะมาก ป่าน: หูย เยอะมากจริง วิว: ใช่ / โจ้: หูย เยอะมาก พันล้าน ป่าน: แต่อันนี้ทำให้ได้เห็นภาพรวมเลยเนอะว่า โอเค มันเป็น... แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องของศาสนาที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องของวิถีชีวิตด้วย ถูกป้ะคะ วิว: ใช่เลยค่ะ ป่าน: คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ซึ่ง... เดี๋ยวอันนี้คือเป็นปูพื้นฐานทางเรื่องของศาสนา เพราะว่าจริง ๆ แล้ววันนี้ที่วิวจะพาเราไป เดินเที่ยวที่อัคราอินเดียก็คือ จะเกาะเส้นของประวัติศาสตร์ ที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของศาสนาด้วย เดี๋ยวจะพาวาร์ปไปที่อินเดียกันเลยดีกว่า ดีไหม กัน: ดีเลยครับ / วิว: ค่ะ ได้ เราวาร์ปไปที่อินเดียกันเลยดีกว่า ป่าน: ค่ะ งั้นเดี๋ยวเราวาร์ปไปที่อินเดียกันเลยดีกว่าค่ะ จะได้เห็นหน้าตาจากข้างบนว่า มองจากข้างบนถ้าเกิดเราอยู่บนเครื่องบิน เรามองลงไปเนี่ย จะเห็นอะไรบ้าง เมื่อเราไปที่อัครานะคะ ป่าน: งั้นเดี๋ยวจะให้ทีม switch ขึ้นมาเลย วิว: ค่ะ ป่าน: โอเค อันนี้คือน่าจะเป็น เส้นแม่น้ำ แต่ไม่กล้าพูดเอง เพราะว่าเขาบอกว่ามีแม่น้ำตั้ง 5 สายที่สำคัญ ป่านเลยไม่รู้ว่า อันนี้คือสายอะไรกันแน่ อันนี้คือแม่น้ำยมุนาป้ะคะ วิว วิว: ใช่ค่ะ อันนี้คือแม่น้ำยมุนานะคะ เพราะว่าตอนนี้เรากำลังมองจากด้านบนของเมืองอัครา ที่เรากำลังจะมาเที่ยวอยู่ ทีนี้ถามว่าอัคราเนี่ยอยู่ส่วนไหนของประวัติศาสตร์อินเดีย ที่เมื่อกี้เราวาดภาพใหญ่มาทั้งหมดแล้วนะคะ เมืองอัคราเนี่ย เป็นเมืองที่มาบูมในยุคของอิสลามค่ะ แต่ว่าจริง ๆ มันไม่ได้เกิดในสมัยอิสลามเลย มันเกิดมาตั้งแต่ยุคมหากาพย์ ซึ่งเป็นยุคที่แบบว่าช่วงมหาภารตะ อะไรช่วงนั้น ก็คือช่วงที่ชาวฮินดูเนี่ยเป็นใหญ่ จริง ๆ แล้วชื่อของเมืองเนี่ยนะคะ ไม่ใช่เมืองอัครา แต่ว่าชื่อเต็ม ๆ อะ มันชื่อว่า อัครวนา (Agravana) อัคร แปลว่า ก่อน ส่วน วนา เนี่ย แปลว่า ป่า ดังนั้นมันเป็นเมืองที่อยู่ด้านหน้าป่า ถามว่าด้านหน้าป่าอะไร จริง ๆ มันเป็นเมืองหน้าด่านค่ะ ของเมืองนึง ซึ่งเป็นเมืองของราชวงศ์สุรเสนะ หรือเราจะรู้จักกันดีในชื่อราชวงศ์ยาทพของพระกฤษณะนั่นเอง พระกฤษณะนี่หลาย ๆ คนจะคุ้นกับ... ในฐานะคนที่อยู่กับพระอรชุนอะ แบบ "อรชุนอย่า" วิว: ในมหาภารตะ คนนั้นน่ะล่ะค่ะ โจ้: มหาภารตะ วิว: แปลว่าจริง ๆ เมืองนี้ ไม่ใช่เมืองเกิดใหม่ มีมานานแล้ว แต่ว่าเป็นเมืองเล็ก ๆ จิ๋ว ๆ เป็นเมืองหน้าด่าน ไม่สำคัญอะไรเลย มาสำคัญจริง ๆ ในปี 1504 ค่ะ เมื่อตอนนั้นน่ะสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มีกษัตริย์มุสลิมองค์นึงนะคะ ในยุคของสุลต่านแห่งเดลี ตอนนั้นคือมุสลิมเนี่ยเข้ามาก้อนแรก มายึดเมืองเดลีก่อน แล้วก็มีหลายราชวงศ์ด้วยกัน เขาจะเรียกว่าสุลต่านแห่งเดลี ทีนี้มีกษัตริย์องค์นึงในเดลีเนี่ย ชื่อว่า Sikandar Lodī หรือว่า สิกันทร โลดี เนี่ย ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจากเดลีมาอยู่ที่เมืองอัครา แล้วก็ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองที่สำคัญขึ้นมานั่นเองค่ะ แต่ว่าจริง ๆ แล้วอะ มันก็ยังไม่ได้แบบ บูมขนาดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นในเมืองอัคราปัจจุบันเนี่ย มันมาบูมจริง ๆ ในสมัยของพระเจ้าอักบาร์มหาราช หรือว่า King Akbar The Great แห่งราชวงศ์โมกุลนั่นเอง ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ต่อมาจากกษัตริย์โลดีนี่แหละ กษัตริย์คนที่ย้ายเมืองหลวงมานะคะ ซึ่งอักบาร์คนนี้นี่เองก็คือ พระเอกเรื่อง Jodha and Akbar ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เรากำลังคุยทั้งหมดนี้กันในวันนี้ กัน: ที่มาอินเดีย โจ้: ที่วิวบอกว่าหล่อมาก ป่าน: นี่ ๆ มีรูปด้วย วิว: นั่นไง ดูภาพ ดูภาพด้วย ป่าน: เฮ้ย หล่อจริงอะ คือมีความคมเข้ม โจ้: เฮ้ย ภาพสวยจัง ป่าน: เออ ดี ๆ เดี๋ยวจะไปตาม วิว: ภาพ เป็นหนังที่ภาพสวยมาก Bollywood เรื่องนี้ ป่าน: เดี๋ยวจะไปติดตามนะคะเรื่องนี้ โจ้: เขาร้องเพลงไหมเรื่องนี้ วิว: ร้องเพลง ๆ แต่ว่ามันจะไม่ใช่ร้องเพลงแบบ... กัน: ร้องอยู่แล้ว วิว: ร้อง อินเดียมีเหรอไม่ร้อง ร้องทุกเรื่อง ป่าน: ทั้งร้องทั้งเต้น ต้องมีซีนนั้นแน่นอน ป่าน: อ่า อันนี้ถ้าใครเกิดอยากดูนะคะ วิว: ต้องมี ป่าน: เดี๋ยวจะทิ้งลิงก์ไว้ให้ในคอมเมนต์กันนะคะ วิว: ค่ะ ทีนี้ ถามว่าเขาเป็นใคร ผู้ชายสุดหล่อคนนี้ เราไม่ได้หมายถึงดารา แต่หมายถึงบทบาทที่เขาแสดงนะคะ อักบาร์คนนี้เป็นกษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์โมกุล ซึ่งร่วมสมัย... ถ้าใครนึกไม่ออกว่า เอ๊ะ เก่าขนาดไหน ใหม่ขนาดไหน มีอายุมากขนาดไหนนะคะ ก็อยู่ช่วงเดียวกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิของไทย ซึ่งหลายคนก็ยังนึกไม่ออกอีกว่า วิว: สมเด็จพระมหาจักรพรรดิคือใคร กัน: อยุธยา วิว: สมเด็จพระมหาจักรพรรดิคือพระสวามีของ... โจ้-กัน: อยุธยา วิว: ใช่ ของพระศรีสุริโยทัย ป่าน: สุริโยทัย ป่าน: อันนี้จะคุ้น วิว: เล่นโดยพี่ตั้ว ศรัญญู นั่นเองนะคะ วิว: นั่นล่ะค่ะ องค์นั้นเลยนะ ซึ่งต้นตระกูลของอักบาร์คนนี้ ต้นตระกูลของ Akbar the Great เนี่ยนะคะ น่าสนใจมาก เพราะว่าฝ่ายพ่อเนี่ยเป็นมุสลิม ที่เป็นชาวเติร์ก ปกครองเอเชียกลาง ดูธรรมดาไม่มีอะไร ก็ยิ่งใหญ่แหละ แต่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาด... ไม่ใช่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เขาเรียกว่าอะไร ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ที่น่าสนใจกว่าคือฝ่ายแม่ ฝ่ายแม่ของต้นตระกูลเขาเนี่ย สืบเชื้อสายมาจากเจงกิสข่านค่ะ ดังนั้น เขาก็แบบ มาจาก... มาจากเขาเรียกว่าอะไร ที่ราบมองโกเลีย อะไรแถบ ๆ นั้นนะคะ มา ดังนั้น เขาก็เลยตั้งชื่อราชวงศ์ตัวเองเนี่ยว่า ราชวงศ์โมกุล เนี่ยแหละ เพื่อเป็น... วิว: นึกถึงโมกุล มองโกล โจ้: มองโกลนั่นเอง วิว: นั่นแหละ มองโกเลีย คำเดียวกันค่ะ ดังนั้น ราชวงศ์เนี้ย ถือว่าเป็นชาวต่างชาติ 100% ไม่มีความเป็นอินเดียเลย แต่เข้ามายึด แบบยึดเอาดื้อ ๆ เลยนะคะ ทีนี้ ถามว่าต้นตระกูลเขามีความสำคัญอย่างไร ต้นตระกูลเขานี่ชื่อน่ารักมากค่ะ ชื่อว่า กษัตริย์บาบูร์ เป็นพระองค์แรกของราชวงศ์โมกุล น่ารักไหมชื่อ ส่วนตัววิวมองแล้วแบบ... ป่าน: จำง่ายด้วย ๆ วิว: กษัตริย์... ถึงขั้นจำได้เพราะว่าชื่อน่ารักมาก กษัตริย์บาบูร์เนี่ยนะคะเป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์โมกุลค่ะ ปรากฏว่า เขาก็เข้ามาจากช่องแคบ บริเวณอัฟกานิสถานเนี่ยนะคะ เข้ามาแล้วก็มาตีเมืองอัครานี้ได้สำเร็จ ยึดขึ้นมาเป็นเมืองหลวงของเขา แต่ว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วค่ะ หลังจากที่บาบูร์ปกครองเมืองอัคราอยู่ 5 ปี เขาก็ตายจากไป ปล่อยให้ลูกคนที่สอง ปล่อยให้ลูกของเขาเนี่ยขึ้นมาปกครองเป็นคนที่สอง กษัตริย์องค์ที่สองเนี่ย ชื่อว่า หูมายุน ซึ่งเขาเนี่ยไม่ได้แข็งแรง เข้มแข็งเท่าพ่อค่ะ ดังนั้น เขาก็มีการเสียเมืองบ้างอะไรบ้าง รบไปรบมา กษัตริย์หูมายุนเนี่ยเป็นกษัตริย์ที่เรียกว่าน่าสงสารมาก ๆ เพราะว่าขึ้นชื่อในประวัติศาสตร์เลยว่าเป็นคนที่เร่ร่อน เป็นกษัตริย์เร่ร่อน กษัตริย์ไร้บัลลังก์ คือ โดนตีไป แล้วก็ต้องหนีตาย ว่ายข้ามแม่น้ำ อะไรต่าง ๆ เล่ากันถึงขนาดที่ว่าตอนที่พระมเหสีของเขาเนี่ย ตั้งท้องพระเจ้าอักบาร์เนี่ยนะคะ นี่คือพ่อของอักบาร์เนอะ ตอนที่พระมเหสีตั้งท้องเนี่ย ได้ 8 เดือน เขากำลังหนีข้าศึกอยู่ค่ะ แล้วก็หนีแบบชนิดเรียกได้ว่าเป็นกษัตริย์นะ แต่ไม่เหลืออะไรเลย ขนาดที่ว่า ขณะที่กำลังขี่ม้าหนีกันไปเนี่ย ม้าของพระมเหสีที่ท้อง 8 เดือนเนี่ย ล้ม แล้วก็ตาย เพราะว่าหนีแบบโหดมาก ไม่มีม้าให้มเหสีเปลี่ยน คือ ขนาดนั้น ลำบากขนาดนั้นเลย จนตัวเองเนี่ยต้องสละม้าตัวเองให้เมียขี่ ส่วนตัวเองเนี่ยไปขี่อูฐแทน แล้วก็ด้วยความที่สมัยนั้นน่ะ ศิลปะอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ก็คือ การเขียนบันทึกเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง ดังนั้น หูมายุนเนี่ยบันทึกไว้เลยว่า ช่วงนี้คือช่วงเวลาที่ชีวิตฉันยากลำบากและตกต่ำที่สุดแล้ว ฉันจะไม่ตกต่ำกว่านี้อีกแล้วนะคะ ดังนั้น เขาก็เลยเหมือนกับว่าต้องไปแบบ หนีไปอยู่แถวอัฟกานิสถานเลย แล้วก็ Agbar ก็เลยไปคลอดอยู่แถวนั้น ไปเกิดแถวอัฟกานิสถาน ไม่ได้เกิดในอินเดีย แล้วก็พอเกิดมาเนี่ยก็ปรากฏว่า ไม่ใช่พ่อแม่เลี้ยงด้วย เพราะว่าพ่อแม่ก็วุ่นวายอยู่กับการรบ การพยายามจะแย่งพื้นที่ของตัวเองกลับมา อะไรต่าง ๆ ก็เลยมี 2 ข่าวลือด้วยกันค่ะ ข่าวลือแรกบอกว่าอักบาร์เนี่ย คนที่เลี้ยงก็คือชาวฮินดูที่อยู่บริเวณนั้น กับอีกข่าวลือนึงก็คือคนที่เลี้ยงคือญาติ ๆ อะนะ แต่เอาเป็นว่ามันก็เป็นช่วงเวลาที่คนหลายคนเนี่ยรุมกันเลี้ยงเขา ทำให้เขาค่อนข้างจะมีความเปิดกว้างนิดนึง แบบว่า เอ้ย ฉันเชื่อนู่น เชื่อนี่ เชื่อนั่น ไม่ได้แบบว่าเหมือนมีความคำสอนใดคำสอนนึงฝังหัวนะคะ ที่น่าสนใจก็คือ สุดท้ายเนี่ย หูมายุนเนี่ยก็ไปทำการตกลงอะไรต่าง ๆ กับกษัตริย์เปอร์เซียแถวนั้นน่ะนะ ตกลงแลกนู่นแลกนี่ บางคนก็บอกว่า ถึงขั้นยอมเปลี่ยนนิกายตัวเอง จากที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนีย์เนี่ย กลายเป็นนิกายชีอะฮ์ เพื่อที่จะขอยืมทหาร ขอยืมอะไรต่าง ๆ แล้วก็กลับมาตีเมืองอัคราได้สำเร็จในที่สุด หลังจากใช้เวลายาวนานถึง 14 ปี นะคะ ที่เร่ร่อน โจ้: 14 ปี วิว: 14 ปีที่เร่ร่อนนี้ หลังจากนั้นค่ะ ปรากฏว่า ต้องบอกว่า หูมายุนนี่เป็นคนที่ศรัทธาศาสนาสูงมาก อิสลามเขาจะมี พิธีนึงที่เขาต้องทำทุกวันใช่ไหมคะ ก็คือการละหมาด ซึ่งก่อนละหมาดเนี่ย ถ้าเราเคยไปพวกมัสยิด เราจะได้ยินเสียงขานอะซาน ก็คือ เสียงที่เขาปล่อยดังออกมาจากมัสยิดอะ ทุกครั้งที่ชาวอิสลาม ชาวมุสลิมได้ยินเสียงเนี่ย เขาก็จะต้องไปที่มัสยิด แล้วก็ไปละหมาดกันใช่ไหม ทีนี้ หูมายุน เป็นคนที่ศรัทธาศาสนาอิสลามสูงมากค่ะ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงขานอะซาน หูมายุนจะคุกเข่าทันที ปึ้ง แบบ วิว: เฮ้ย ฉันพร้อมละหมาดแล้วจ้า ป่าน: อัตโนมัติ วิว: ใช่ วันนึงค่ะ หลังจากที่เขายึดเมืองคืนมาได้ แค่ 6 เดือนเท่านั้นนะคะ เขาก็เป็นคนรักการอ่านค่ะ เขาไปห้องสมุดของเขาเอง แล้วเขาก็หยิบหนังสือขึ้นมาตั้งใหญ่มาก กำลังค้นอยู่ แล้วก็เป็นห้องสมุดที่ค่อนข้างทันสมัย เพราะว่ามีบันไดปีนด้วย ปีนบันไดอ่านหนังสืออยู่อะ กำลังแบบว่าค้นคว้าอย่างเต็มที่ ปรากฏว่าได้ยินเสียงขานอะซาน ดังมา วิว: ลืมตัว เฮ้ย เสียงขานอะซานมา กัน: คุกเข่า วิว: ฉันคุกเข่า ปึ้ง กัน: เรียบร้อย ตัวเองปีนบันไดลิงอยู่ เรียบร้อยค่ะ ตกลงไปตาย วิว: หลังจากที่ฝ่าฟันทุกอย่างมา 6 เดือน ป่าน-โจ้: เฮ้ย ป่าน: เดี๋ยว ต่อสู้มา 14-15 ปี แล้วเพิ่งจะแบบว่า แฮปปี้อยู่ 6 เดือน ได้อยู่กับครอบครัว กัน: ฟินแล้ว ๆ ป่าน: แล้วก็คือ ป่าน: ตกบันไดอ่อ เฮ้ย วิว: ตกบันไดตาย วิว: น่าสงสารมาก คือแบบ โอ๊ย หูมายุน นะคะ ป่าน: โอ๊ย ชีวิตอะ วิว: แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดขึ้นก็คือ ทำให้อักบาร์เนี่ย ได้ขึ้นมาปกครองบ้านเมือง ในช่วงที่ตัวเองอายุ 14 ปีนั่นเองค่ะ แล้วก็นี่ก็คือสาเหตุแหละ ที่ทำให้ในยุคของกษัตริย์บาบูร์ แล้วก็ในยุคของพ่อนั่นก็คือหูมายุนเนี่ย ไม่ได้มีศิลปะอะไรที่มันโดดเด่นขนาดนั้นน่ะ เพราะว่าช่วงเวลาของเขาอะ มัน วิว: สู้รบตลอดเวลา กัน: สงคราม แล้วก็มีสั้นมาก ๆ ประมาณนั้นค่ะ และนี่ก็คือ เรื่องราวความเป็นมาของอักบาร์ของเรา ว่าบุคคลสำคัญที่เราจะพูดถึงตลอดเวลาในวันนี้ เป็นใครมาจากไหนเนอะ กัน: แล้วหลังจากนั้น... ป่าน: ที่ฟังนี่ก็... ป่าน: ขา / วิว: ค่ะ กัน: แล้วหลังจากนั้นเปลี่ยนนิกายไหมฮะ กัน: หมายถึงว่าหูมายุนที่บอกว่าไปยืมกำลังรบมา วิว: คือมันเหมือนมันมี เท่าที่วิวค้นมานะคะ มันมีหนังสือแค่เล่มเดียวเขียนบอกว่าเปลี่ยน ยอมเปลี่ยนศาสนาเลย ยอมเปลี่ยนเป็นแบบนิกายชีอะฮ์ แต่ว่าวิวก็ยังไม่ได้เจอหลักฐานอื่น ๆ อีก ก็เลยยังไม่ชัวร์ ไม่กล้าฟันธงว่าสรุปเปลี่ยนไม่เปลี่ยน คือ บางเล่มก็เขียนว่า จริง ๆ แล้วไอตอนที่ไปยืมกำลังมาเนี่ย ก็ไปแต่งงานกับลูกกษัตริย์เปอร์เซีย ซึ่งก็เป็นแม่ของอักบาร์ อะไรอย่างนี้ มันก็มีแบบว่าบันทึกไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่อะค่ะ เพราะว่ามันนาน ค่อนข้างจะนานเนอะ แล้วมันก็เป็นช่วงสงคราม กัน: แต่ในเชิงประวัติศาสตร์ อินเดียไม่เคย ไม่เคยถูกรวมเป็นอาณาจักรเปอร์เซียใช่ไหมฮะ หมายถึงว่าใน ในเชิงความรู้ทั่วไปอะ วิว: วิวมองว่ามันไม่ได้รวมนะ เพราะว่าอินเดียมันยังมีความเป็นแบบ รัฐยิบ ๆ ย่อย ๆ อยู่ แบบว่ารัฐราชปุตอยู่ตรงนี้ ก็คือพวกแบบ ระหว่างนี้มันไม่ใช่ว่าพอเข้ามาแล้วฮินดูหายฟึ้บ มันก็คือศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่อิสลาม แต่ว่าพวกรัฐฮินดูเล็ก ๆ มันก็ยังมีอยู่ ก็ยังมีสู้รบอยู่ ตลอดชีวิตของทั้งปู่แล้วก็ทั้งพ่อของอักบาร์ ก็ยังสู้รบกับพวกนี้อยู่ รวมถึงในยุคของอักบาร์ที่เราบอกว่าเป็นยุคที่สงบ ก็ไม่ได้แปลว่าสงบ เขาก็ยังรบกับพวกฮินดู พยายามขยายอำนาจอยู่ คือมันยังไม่มี concept ของคำว่า นี่คือประเทศอินเดีย ประเทศอินเดียมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษยึด แล้วอังกฤษรวบทุกอย่าง เข้ามาเป็นก้อนเดียว กัน: โอเค วิว: แต่ว่าระหว่างนั้นคือ กัน: ก็เป็นรัฐย่อย ๆ... วิว: แบบ อันนี้คือ... วิว: ใช่ เราเป็นแคว้นมคธนะ เราเป็นแคว้นนี่ เราเป็นแคว้นนั่น อะไรอย่างนี้ มาตลอดอารยธรรมของอินเดียค่ะ ค่ะพี่โจ้ โจ้: แปลว่าตอนที่เป็นเมืองอัครา มันก็ไม่ได้เป็นอินเดียที่มีอาณาเขตเท่ากับทุกวันนี้ มันก็คือปกครองอยู่แค่ช่วงแถว ๆ นั้นแหละ แถว ๆ แม่น้ำยมุนาตรงนั้นใช่ไหม วิว: ใช่ ซึ่งเราถึงชมว่าอักบาร์เนี่ย เป็นคนที่ เป็น Akbar the Great อะ เพราะว่าอักบาร์สามารถขยายออกมาจากเมืองอัครา สามารถปกครองไปจนถึงแถวอัฟกานิสถานได้เลยทีเดียว ก็คือขยายแผ่ออกไป แต่ว่ามันจะไม่ลงมาถึงเอเชียใต้ หรืออะไรอย่างนี้ มันก็แค่แบบ แผ่ ๆ ๆ ออกไปรอบ ๆ ตัวเองค่ะ ป่าน: ซึ่งเดี๋ยวเราจะได้มารู้กันว่า ความอักบาร์มหาราช หรือว่า Akbar the Great เนี่ย คือเพราะว่าเขาสร้างอะไรบ้าง ซึ่งเดี๋ยววันนี้ เราจะพาไปดูทั้งหมดเลย ที่เขาไปตีเมือง เขาได้เมืองมา แล้วเขาสร้างอะไรขึ้นมา ที่จะทำให้เราได้ไปเที่ยวกันในวันนี้นะคะ ซึ่งเดี๋ยวเราพาไปเที่ยวกันดีกว่า เพราะว่าตอนนี้เรามาถึงกษัตริย์องค์ที่ 3 แล้ว ป่าน: แห่งราชวงศ์โมกุลนะคะ วิว: ใช่ ป่าน: ก็คืออักบาร์มหาราชนั่นเอง จริง ๆ แล้วเกริ่น ๆ ถึงอักบาร์มหาราชนิดนึง แล้วเดี๋ยวเรากระโจนเข้าไปที่ ที่เที่ยวกันเลยดีกว่า นี่คือเราร้อนใจมาก คือเราอยากเข้าเที่ยวแล้ว อะไรอย่างนี้ กัน: ยังไม่ถึงที่เที่ยวเลย วิว: ใช่ วิวเม้านานมาก วิว: คือแบบ ใช่ ยังไม่ถึงที่เที่ยวเลย ปูพื้นฐานนานมากนะคะ คืออักบาร์เนี่ยต้องบอกว่า เขาเป็น The Great ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาขยายแบบ ขยายอาณาจักรได้ไกลอะนะ แต่ว่า เขาอะยึดใจคนได้ด้วย ด้วยนโยบายต่าง ๆ ของเขาที่ค่อนข้างจะทันสมัยมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกการเก็บภาษีศาสนา ไอ้ที่เราพูดกันมาตลอดว่าอิสลามเนี่ยพยายามจะแบบว่า เก็บภาษีศาสนา ทุกคนจะต้องมานับถือศาสนาอิสลามนะ อักบาร์บอกว่า ไม่ต้อง สมัยฉัน ฟรีจ้า ใครอยากนับถืออะไรก็นับถือไปเถอะ ฉันโอเค ดังนั้น คนก็เลยรักอักบาร์มาก ๆ รวมไปถึงเขาก็มี คือ วิวว่าส่วนนึงก็เพราะว่าส่วนตัวเขาอะ เขาเป็นติ่งกวีฮินดูคนนึงชื่อว่า Mirabai เขาชอบมาก คือมันมีกวีชาวฮินดูคนนึงเนี่ย ที่แบบว่าเหมือนขับกลอน อะไรต่าง ๆ อยู่ในเทวาลัยฮินดู เขา...ตามตำนานเนี่ย เขาเล่ากันว่าอักบาร์เนี่ยชอบมาก ถึงขนาดที่ว่าตัวเองเป็นมุสลิม ไม่ควรจะไปเข้าเทวสถานของที่อื่นเลย แต่ว่าอักบาร์ปลอมตัวเข้าไป แอบฟัง Mirabai ร่ายกลอนบ่อย ๆ นะคะ วิว: มีความเป็นติ่งระดับนึง ป่าน: ต้องเบอร์นั้น ๆ วิว: แล้วก็ อีกนโยบายนึงที่น่าสนใจของอักบาร์ที่วิวเจอนะ คือ อิสลามเนี่ยมันสามารถแต่งงานกับเด็กได้ถูกไหมคะ แบบ อายุ 11-12 ก็แต่งงานกันแล้วอะ ในสมัยแต่ก่อน อักบาร์บอกว่ามันไม่ healthy เลย อักบาร์ก็เลย แบน อักบาร์ออกกฎหมายแบนบอกว่าห้ามแต่งงานกับเด็ก ถ้าอายุ... ถ้าเด็กผู้หญิงอายุไม่ถึง 14 ห้ามแต่งงาน ถ้าเด็กผู้ชายอายุไม่ถึง 16 ห้ามแต่งงาน รวมไปถึงมีการแบนว่าห้ามแต่งงานกับญาติตัวเองด้วย วิว: ทันสมัยไหม / ทันสมัยมากเนอะ ป่าน: ทันสมัยมาก ป่าน: โอ๋แต่ว่าเขาก็เหมือนกับเซ็ตมาตรฐานบางอย่างขึ้นมาเลย ทั้งยกเลิกตัวภาษีด้วย แล้วก็เรื่องการแต่งงานเราว่าก็น่าสนใจนะ เพราะว่าเป็นแนวคิดที่แบบค่อนข้างก้าวหน้า แล้วก็แตกต่างจากรุ่นที่ผ่าน ๆ มาเนอะ วิว: ใช่ แล้วก็ ประมาณนี้ค่ะ เราก็จะรู้เรื่องราว... จริง ๆ เรารู้เรื่องราวของอักบาร์เนี่ยค่อนข้างเยอะ เพราะว่าอักบาร์มีการบันทึกประวัติชีวิตของตัวเอง โดยการให้ที่ปรึกษาของตัวเองที่มีทั้งหมด 9 คน เราจะเรียกว่า นวรัตน์บุคคล เนี่ย เป็นคนบันทึกให้นะคะ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้จะไปเจาะลึกตรงนั้น ดังนั้น ข้าม เราเข้าอัครากันดีกว่าค่ะ วิว: ในที่สุด ย่อแล้ว นี่เหมือน... ป่าน: โอเค เย้ วิว: นั่งเครื่องบิน take off มานานแล้วนะคะ ป่าน: เหมือนใช้เวลาบนเครื่องบินอะ แล้วก็แบบว่าเล่าให้เพื่อนฟังก่อนว่า แก ๆ จะ landing อินเดีย แกต้องรู้สิ่งนี้ก่อนนะ เป็นพื้นฐานเพื่อที่แกจะได้อินไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งตอนนี้เราว่า พร้อมแล้วประมาณนึง ได้รู้ทั้งการเปลี่ยนผ่านของศาสนานะคะ แล้วก็ได้รู้จักเรื่องของราชวงศ์โมกุลด้วย กษัตริย์แต่ละองค์เป็นยังไงบ้าง จนมาถึงอักบาร์ The Great นะคะ หรือว่าอักบาร์มหาราช ที่จะเป็น เรียกว่าเป็น key person ของเราในวันนี้ ว่าเขาไปสร้างอะไรบ้าง ลูกหลานเขาคือใครยังไง แล้วทัชมาฮาลมาเกี่ยวอะไรกับตรงนี้ เดี๋ยวเราจะพากันไปดูผ่าน ประวัติศาสตร์ที่ไล่เรียงกันไปเรื่อย ๆ นะคะ ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปที่สถานที่แรกกันนะคะ นั่นก็คือ...ให้น้องวิวพูด วิว: Fathepur Sikri ค่ะ วิว: เป็นเมืองสำคัญเมืองนึง ในสมัยอักบาร์ เย้ ป่าน: เย้ วิว: อ้า นี่นะคะ ตอนนี้เราก็จะวาร์ปจากตัวเมืองอัคราเนี่ย ไปที่สถานที่ที่เรียกว่า Fatehpur Sikri นะคะ ในสมัยเนี้ย เรายังถือว่า Fatehpur Sikri อยู่ในเขตของอัครา แต่ว่าในสมัยก่อนเนี่ยมันถือว่าเป็นอีกเมืองนึงเลยนะคะ แล้วก็เป็นเมืองหลวงใหม่ที่อักบาร์เนี่ย สร้างขึ้นมาหลังจากที่เขาชนะศึกสงคราม กับแคว้นที่ชื่อว่าแคว้นคุชราตนะคะ คือเมืองนี้ต้องบอกว่า สร้างขึ้นฉลองชัยอะ ที่เห็นทั้งหมดนี้นะคะ ในแผนผังสีเหลี่ยม ๆ เนี้ย เขาสร้างขึ้นฉลองชัยชนะเนอะ ชื่อเมืองเนี่ยแปลว่า City of Victory เลยทีเดียว คือ Fateh เนี่ยแปลว่าชัยชนะ pur ก็คือ ปุระ แปลว่า เมือง ส่วน Sikri เนี่ย แปลว่า หินทรายแดง คือเมืองนี้มันเป็นหมู่บ้านเดิมชื่อว่า... ไม่ใช่หมู่เบื้อง หมู่บ้าน ชื่อว่า หมู่บ้าน Sikri นะคะ ก็คือหมู่บ้านหินทรายแดง ว่าอย่างนั้นเถอะ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็น เมืองแห่งชัยชนะที่ Sikri ค่ะ ซึ่ง จาก bird's-eye view ตอนนี้ เราจะเห็นภาพของเมืองนะคะ ซึ่งจริง ๆ แล้วมีกำแพงยาวถึง 6 กิโลเมตรนะ สามด้านด้วยกัน ส่วนด้านบนเนี่ย แต่ก่อนเนี่ย จะเป็นทะเลสาบปลอมค่ะ ที่สร้างขึ้นมา แต่ว่าปัจจุบันนี้แห้งเหือดไปหมดแล้วนะคะ ก็ไม่เหลือแล้ว ป่าน: วิว วิวเรียกว่าทะเลสาบปลอม คือหมายความว่ายังไงอะ คือมันเคยเป็นเหมือนโดนถม ใช่ป้ะ วิว: เป็นทะเลสาบขุด ว่าอย่างนั้นเถอะ ป่าน: อ๋อ มนุษย์สร้าง ๆ โจ้: เป็นบ่อน้ำขึ้นมา วิว: ใช่ เป็นเหมือนทะเลสาบที่แบบว่า ปรับสภาพพื้นดินอะไรขึ้นมาต่าง ๆ นะคะ แต่ว่ามันหายไปแล้ว เพราะว่าเมือง Fatehpur Sikri เนี่ย เป็นเมืองที่ค่อนข้างจะไม่อุดมสมบูรณ์ เรียกได้ว่าแห้งแล้งเลยละกัน เดี๋ยวเราจะไปเห็นผลมันทีหลัง ว่าความแห้งแล้งมันส่งผลให้อะไรเกิดขึ้นเนอะ ทีนี้ ในเมืองนี้ต้องบอกว่า ตอนนี้เราอาจจะยังไม่เห็น แต่พอเดี๋ยวเราซูมเข้าไป เราจะเห็นว่า เมืองนี้เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะว่าเขาต้องการจะบอกทุกคนว่า เฮ้ย ฉันเพิ่งชนะศึกใหญ่มาจ้า ดังนั้น ฉันฉลองด้วยการอวดรวย วิธีอวดรวยก็คือ สร้างบ้านตัวเองให้ใหญ่ที่สุด คือในสมัยปัจจุบันเนี้ย ถ้าเราอยากอวดรวย เราทำอะไรได้บ้าง เราก็แบบ เราสามารถเอาสมุดบัญชีเราโพสต์ลงเฟซบุ๊ก หรือว่าโชว์นาฬิกาทุกคนก็จะเห็น ซื้อของชิ้นเล็ก ๆ ได้ แต่ว่า ถ้าเป็นสมัยนั้นน่ะ มันไม่มีทางเลยที่เราจะอวดรวยได้ แบบว่าผ่านการ เฮ้ย เธอมาดูคลังสมบัติฉันสิ อะไรอย่างนี้ มันก็โชว์ได้ทีละคน ดังนั้น วิธีที่โชว์ได้ใหญ่ที่สุด ก็คือ สร้างบ้านของตัวเองให้ยิ่งใหญ่อลังการนั่นเองนะคะ เดี๋ยวเราจะเห็นว่ามันจะยิ่งใหญ่มาก แล้วเขาต้องการจะโชว์สิ่งนี้ ซึ่งวัสดุหลักที่เราจะเห็นเนี่ย เราจะเห็นทุกอย่างสีเหมือนกันไปหมดเลย เพราะว่ามันสร้างจากหินทรายแดงที่ชื่อว่า Sikri ที่วิวบอกเมื่อกี้นี้แหละ เพราะว่ามันหาได้ง่ายค่ะ แล้วก็มีการสร้างแบบเปอร์เซียผสมกับอินเดีย เพราะว่าอักบาร์พยายามจะบอกว่า ต้นตระกูลฉันเป็นเปอร์เซียจ้า ต้นตระกูลฉันมีความยิ่งใหญ่ เกี่ยวพันกับเปอร์เซีย รวมไปถึงเอาอินเดียมาผสมเพราะว่าฉันเพิ่งชนะอินเดียมา เหมือนไปเก็บ souvenir ด้วยการ เก็บศิลปะเขามายัดใส่บ้านตัวเอง เหมือนแบบว่าเราไปเที่ยวปารีส แล้วเอาหอไอเฟลมาแปะตู้เย็น ทำนองนั้นเลยค่ะ ป่าน: หืม ซึ่งตอนนี้เราก็ได้เห็น บรรยากาศของเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ ก่อนที่จะได้ รู้รายละเอียดว่า ไอ้หินทรายแดงตรงนี้ลวดลายตรงนี้คือยังไง แต่ว่าจริง ๆ น่าจะเดี๋ยวขอกลับไปที่ bird's-eye view กันอีกสักนิดนึง เพื่อให้น้องวิวคลี่คลายให้หน่อยว่า เอ๊ะ ไอ้สี่เหลี่ยม ๆ พวกนี้มันคืออะไรกันแน่ ป่าน: เพราะมันดูเป็นเหมือนบล็อก ๆ ไปหมดเลย วิว: อ้า ต้องบอกว่า... วิว: ต้องบอกว่าสี่เหลี่ยม ๆ พวกนี้คือ... เมืองเนี่ยมันสร้างขึ้นมาโดยแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ค่ะ เราไม่ได้พูดถึงที่อยู่ของชาวบ้านเนอะ เพราะที่อยู่ของชาวบ้านก็จะอยู่อีกด้านนอกไป แต่ว่าเฉพาะส่วนที่อักบาร์อยู่เนี่ย มันจะแบ่งเป็น 3 โซน โซนแรกคือสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ ด้านล่าง ที่เห็นเป็นลานโล่งชัดเจนนั่นนะคะ อันนั้นคือโซนศาสนา จะเป็นโซนที่เป็นศาสนสถานต่าง ๆ ส่วนอีกโซนนึงค่ะ มาด้านขวานิดนึง มาด้านขวานิดนึงค่า อ้า เราจะเห็น สนามสีเขียว ๆ ใหญ่ ๆ อันนั้นคือโซนว่าราชการนะคะ จะเป็น... โซนที่อักบาร์ออกว่าราชการ พูดคุยกับเหล่าเสนาบดีต่าง ๆ ของเขา แล้วก็ส่วนที่อยู่ ที่เหลือที่อยู่ด้านหลังของโซนราชการเนี่ย ที่อยู่ตรงกลางระหว่างศาสนากับโซนว่าราชการนะคะ ก็คือสิ่งที่หลาย ๆ คนน่าจะสนใจ นั่นก็คือ ฮาเร็มของอักบาร์นั่นเองนะ ก็จะเต็มไปด้วย กัน: โห ฮาเร็มด้วยเหรอ วิว: ที่อยู่ของเหล่าสาว ๆ วิว: ใช่ ด้วยความที่เป็นสมัยนั้น มหาราชา ไม่ใช่มหาราชาสิ เอ่อ สุลต่าน ต้องมีฮาเร็มนะคะ ก็ฮาเร็มของสาว ๆ ทั้งหลายก็จะอยู่ตรงนี้ แต่ว่าก่อนที่เราจะไปถึงฮาเร็ม เราไปที่โซนศาสนากันก่อนดีกว่า ก่อนที่เราจะหลงเข้าไปในฮาเร็ม ป่าน: ทำไมดูสนใจฮาเร็มกันแบบตาลุกวาว เราไปศาสนากันนิดนึงนะคะ ป่าน: เพราะว่าตรงนั้นน่าสนใจมาก กัน: ได้ ๆ ป่าน: สนใจความใหญ่ของมัน เพราะว่าถ้าเทียบกับโซนว่าราชการและโซนตรงฮาเร็มแล้ว อันนี้คือรู้สึกว่ามันค่อนข้างใหญ่มาก ๆ แล้วก็อะไรไม่รู้จุดสีขาวตรงกลางตรงนั้น วิว: ค่ะ ต้องบอกว่า ทั้งก้อนนี้คือมัสยิดค่ะ ซึ่งมันเป็นมัสยิดที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ ที่เราเห็น ขนาดเราเห็นจาก bird's-eye view เทียบกับจุดขาว ๆ ด้านล่างนั่นคือบ้านคนนะคะ ดังนั้นนี่คือหนึ่งในมัสยิดที่เขาบอกว่า หนึ่งในมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียเลยทีเดียว แล้วก็ มีคำกล่าวแต่ยังไม่ได้รับการยืนยันน่ะนะ คนแถวนั้นเขาบอกว่า นี่คือมัสยิดที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก รองจากที่เมกกะ ก็คือที่เขาต้องไปแสวงบุญกัน อันนี้คืออันดับสองนะคะ ดังนั้น ความยิ่งใหญ่มาเต็มแน่นอน ซึ่งจากแผนผังเนี่ย ถ้าซูม ถ้าเข้าไปดูเนี่ย ก็จะเห็นว่า แผนผังนี้ เขาพยายามจะสร้าง ล้อเลียนกับบ้านของศาสดามูฮัมหมัด คือมัสยิดทั้งหลายส่วนใหญ่จะพยายามสร้างล้อนี่แหละ ก็คือมีความเป็นสี่เหลี่ยม แล้วก็จะหันหลังให้เมืองเมกกะ ถ้าเราสังเกตจากภาพตอนนี้ เราจะเห็นจุดสีขาวสามจุดด้านซ้ายใช่ไหมคะ นั่นคือโดมของอาคารหลัก ดังนั้น อาคารหลักจะต้องหันหลังให้กับทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศของเมืองเมกกะ เพราะฉะนั้นเวลาละหมาดเนี่ย เราหันเข้าอาคาร ก็เหมือนเราหันไปทางเมกกะนั่นเองนะคะ ป่าน: อันนี้คือทั่วโลกถ้าเกิดสร้าง คือเป็นแบบนี้หมดเลย ถูกไหมวิว วิว: ใช่ มันจะต้องหันไปเหมือนกัน ก็คือถ้าเป็นเมกกะอยู่ฝั่งตะวันตกใช่ไหม ทุกเมืองก็จะต้องหันไปทางนี้ ส่วนถ้าเกิดมัสยิดเนี่ยอยู่อีกฟากนึงก็จะต้องหันกลับกัน เพื่อที่จะแบบเหมือนทุกคนจะต้องหันเข้าหาเมกกะ เพื่อทำการละหมาดเข้าไปหาเมกกะนั่นเอง นะคะ แล้วก็ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ มันจะมี หอคอยสี่มุมค่ะ ซึ่งอันนี้อาจจะศิลปะเก่าไปนิดนึง อาจจะไม่ค่อยเห็นชัด แต่ว่ามัสยิดปกติจะมี เดี๋ยวเราจะเห็น มันจะมีหอที่เรียกว่า หอคอยขานอะซานน่ะนะ ก็จะอยู่ 4 มุมของสี่เหลี่ยมนี้ แล้วก็อีกอย่างนึงที่จะมี 4 ด้านเหมือนกัน ก็คือประตูนั่นเอง ที่อยู่ระหว่างด้านของสี่เหลี่ยมค่ะ ก็จะมี 4 ประตู ซึ่งประตูเนี่ยไม่จำเป็นต้องออกได้ทุกด้าน ก็เอาแค่แบบเหมือนมีไว้ประดับสวย ๆ ก็ได้นะคะ อย่างของที่เราเห็นอยู่ตรงนี้ ก็ด้านขวาจริง ๆ ควรจะเป็นประตูหลัก เพราะว่าอยู่ตรงข้ามกับอาคารหลัก แล้วก็ด้านล่างจะเป็นประตูแบบเล็ก ๆ นะคะ แต่ว่าความพิเศษของที่นี่ก็คือ ตอนแรกด้านขวาเป็นประตูหลัก เพื่อที่ว่าจะให้สาว ๆ หรือว่าตัวอักบาร์เอง วิว: เดินทางมาจากที่อยู่ใช่ไหม แล้วเดินเข้าไปทางนี้ ป่าน: ฮาเร็ม ๆ วิว: แต่ ใช่ แต่ปรากฏว่าถึงวันนึงเนี่ย อักบาร์เกิดรู้สึกว่า เฮ้ย ฉันอยากเฉลิมฉลองชัยชนะ ที่ฉันไปรบมา อะไรต่าง ๆ ก็เลยตัดสินใจ เปลี่ยนประตู ประตูนึงเนี่ย เป็นประตูชัย ก็คือประตูฉลองชัยชนะ แต่ว่าจะไปถล่มประตูที่ตัวเองใช้ก็ไม่ใช่เรื่อง เขาก็เลยใช้ทางทิศใต้เป็นประตูนั้นค่ะ ทางเข้าหลักก็เลยกลายเป็นทิศใต้ ให้ประชาชนทั่วไปเข้า ส่วน ทางเข้าของราชวงศ์ก็เลยจะไม่ยิ่งใหญ่เท่า ซึ่งวันนี้เราจะไปดูที่ประตูหลักของมัสยิดกัน เพราะว่าประตูนี้เป็นประตูที่สำคัญมาก ๆ ค่ะ งั้นเดี๋ยวเราวาร์ปไปเลย ประตูที่วิวบอกก็คืออยู่ด้านล่างเนอะ ป่าน: ตรงนี้เลยที่กำลังจะ วิว: ใช่ ป่าน: เดินเข้าไปกัน จะบอกว่าป่านไปมาแล้ว แล้วก็เพิ่งมาขนลุกย้อนหลังอะ หลังจากวิวบอกว่ามัสยิดที่ป่านไปมา ก็คือใหญ่เป็นอันดับสอง จากนครเมกกะ แล้วก็ไปยืนหน้าประตูนี้มาเลย แต่สารภาพตามตรงว่าตอนที่ไปยืน ก็รู้สึกว่าสวยดีแต่ไม่รู้ detail เลยค่ะ เดี๋ยวจะให้น้องวิวเล่าให้ฟังว่า มีอะไรที่น่าสนใจของประตูชัยตรงนี้บ้าง อันนี้ชื่อว่าอะไรอะคะ ประตูชัยอันนี้นะคะชื่อว่าบูลันด์ ดาร์วาซาค่ะ ซึ่งเป็นประตูชัยที่สูงที่สุดในโลก คือสูง 170 ฟุตแล้วก็กว้าง 115 ฟุต เอาจริง ๆ นี่ถือว่าเป็นประตูที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วแหละ ตามที่เขาบันทึกกันเอาไว้อะนะคะ คือ... สาเหตุที่มันต้องใหญ่ขนาดนี้เพราะว่า อักบาร์ตั้งใจให้มันยิ่งใหญ่มาก เพื่อฉลองชัยอย่างที่บอก คืออวดรวยอะ อวดว่าแบบ ฉันชนะมา ดังนั้นฉันจะเอา คนเท่าไหร่ เอาอะไรเท่าไหร่มาสร้างให้มันยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ได้ นี่คือการโอ้อวดของเขา ด้วยการสร้างประตูที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมา ซึ่งอันนี้มันเป็นศิลปะแบบเปอร์เซีย ซึ่ง... ถือว่าเป็นหนึ่งในศิลปะที่สวยที่สุดของอินเดียนี่แหละ แล้วก็ประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย ยกตัวอย่างง่าย ๆ นะคะ อย่างนึงที่คนบอกก็คือ ตัวประตูเนี่ยมันจะโค้งเป็นรูปเหมือนเกือกม้า ซึ่งสัญลักษณ์เกือกม้าเป็นสัญลักษณ์ที่ ทำให้เหมือนแบบโชคดีอะไรอย่างนี้ อันนี้ก็ ไม่ค่อยเด่นชัดเท่าไหร่ แต่ว่า สิ่งนึงที่น่าสังเกตนะ ที่เราควรจะมาคุยกันเรื่องประตูนี้ก็คือ หนึ่ง มุมของมันค่ะ ช่วยขยายภาพออกมานิดนึงได้ไหมคะ zoom out นิดนึง zoom out แล้วเห็นด้านบนเนอะ ใช่ คือประตูมันน่ะมันไม่ใช่เป็นสี่เหลี่ยมเป๊ะ ๆ แต่ว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือ ปกติอะ ประตูมันควรจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างนี้ใช่ไหม แต่ว่า มันเกิดการลบมุมเกิดขึ้น ก็คือเขาตัดมุมอะออก เพื่อที่จะให้เห็นว่ามันเป็นการ... เนี่ย เห็นไหมคะ มันจะไม่ใช่สี่เหลี่ยมเป๊ะ ๆ ด้านข้างมันจะเฉียง ๆ เพราะว่าเขาเห็นว่าเพิ่ม detail นิดนึงก็คือ ตัดมุม เป็นการลบมุมแบบโมกุล ซึ่งเดี๋ยวเราจะเห็นเรื่อย ๆ ว่า เขามองว่าแบบนี้สวยดี ถ้าเกิดเป็นบ้านสี่เหลี่ยมเป๊ะ ๆ มันจะแบบธรรมดาไป ลบมุมนิดนึงก็จะดูมี detail นะคะ ส่วนอีกอย่างนึงที่น่าสนใจก็คือด้านบนของประตูค่ะ ด้านบนของประตูก็จะมีเหมือนโดมเล็ก ๆ ประดับอยู่ซึ่ง โดมอันนี้เขาเรียกว่าฉัตรี ซึ่งเดี๋ยวเราจะเห็นในศิลปะของโมกุลมากมาย มันได้รับอิทธิพลมาจากฮินดูแหละ แต่ว่าเราจะไม่ไปเจาะลึกตรงนั้น เพราะว่าเดี๋ยวไกล เดี๋ยวจะต้องไปแบบ ศิลปะอีกประมาณ 30 เมืองข้างหน้านะคะ อันนี้คือโดมด้านบนที่พูดถึงว่าเรียกว่าฉัตรีใช่ไหมคะ ใช่ค่ะ ก็เดี๋ยวเราจะเห็นไปเรื่อย ๆ ฉัตรีอยู่ทุกที่นะคะ แล้วก็อีกอย่างนึงที่เราจะเห็นก็คือ การใช้สีนั่นเอง อย่างที่วิวบอก Fathepur Sikri เป็นเมืองที่อยู่กับ หินทรายแดงดังนั้น สีนี้ก็คือสีของหินทรายแดงนั่นเองแต่ว่า ลายที่สลับ ๆ อยู่ก็จะเกิดจากการเอาหินอ่อนเนี่ย ฝังเข้าไปเป็นลวดลายค่ะ ไม่ธรรมดา ไม่ใช่การเพนต์ ใช่ ไม่ใช่การเพนต์ ถ้าเราซูมเข้าไปเราจะเห็นว่ามันเป็นการแบบ ฝังหินอ่อนลงไปเนี่ย อันนี้ก็คือการที่เราขุดหินทรายเนี่ย ขุดๆๆๆๆ ลงไปให้เป็นร่อง แล้วก็ไปตัดหินอ่อนให้เป็นชิ้นเท่ากัน แล้วก็อัดมันลงไป โอ้โห โหดมาก วิว: ซึ่งทั้งประตู ป่าน: โหดมากแม่ ใช่ ซึ่งทั้งประตูนี้ไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่มีลาย ดังนั้นใช้แรงงานมหาศาลแน่นอนนะคะ เห็นไหมมันมีลายทุกที่เลย ป่าน: แต่มันก็มีความแกรนด์เนอะ โจ้: ถึกมากเลยอะ ใช่ ถึกมาก แล้วลายเป็นแบบลายเรขาคณิตอะไรต่าง ๆ ต้องบอกว่าจะไม่ค่อยมีลายคนเนอะ เพราะว่าอิสลามจะ บอกว่าไม่สร้างรูปคน เพราะว่าคนนี่คือพระเจ้าสร้างได้อย่างเดียว ก็จะเน้นไปที่สัตว์แล้วก็ ดอกไม้ ใบไม้ เรขาคณิตนะคะ แต่มีอย่างนึงที่อยากให้ทุกคนได้เห็นค่ะ ก็คือ แถบด้านข้างนั่นเอง เห็นแถบที่ยาว ๆ ลงมาสองข้างไหม เนี่ย หลายคนมองตรงนี้อาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย มันเป็นลายสวย ๆ เป็นลายเรขาคณิตต่าง ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ค่ะ ถ้าเราซูมเข้าไปให้เห็นรายละเอียด เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นตัวอักษรของเขา มันเป็นภาษาแบบ ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์อัลกุรอานอะไรอย่างนี้ สังเกตดี ๆ เห็นไหมคะว่ามันเป็นตัวอักษร นี่คือเทคนิคที่เรียกว่า Calligraphic Panel ก็คือ การฝังตัวอักษรเนี่ยลงไปด้วยหิน แล้วถามว่ามันเขียนเรื่องอะไร อันนี้น่าสนใจมาก คือสำหรับ สำหรับพวกเราที่เป็นคนยุคหลังเนี่ย คือคนตอนนั้นเขาก็ฝังเฉย ๆ แหละ แต่พวกเราอะ น่าสนใจเพราะว่า เขาพูดถึงนบีองค์นึงที่ชื่อว่านบีอีซา ป่าน: นบีอีซา วิว: ฟังปุ๊บนี่ก็อาจจะ โจ้: พระเยซู ซึ่งก็คือ พระเยซู ใช่ Jesus เป็นชื่อภาษาอิสลามของ เป็นชื่อที่อิสลามเรียกพระเยซู ก็คือนบีอีซานั่นเองนะคะ ตรงนี้เขาพูดถึงว่าแบบ อีซาผู้บุตรแห่งมัรยัมกล่าวไว้ดังนี้ หลายคนจะไม่เข้าใจว่า พระเยซูมาทำอะไรในคัมภีร์ศาสนาอิสลาม อันนี้เป็นคัมภีร์ เป็นจารึกซูเราะฮ์จากคัมภีร์อัลกุรอานเนอะ เพราะว่า ต้องบอกว่าศาสนาอิสลามอะ ก็วิวัฒนาการมาจากศาสนาคริสต์ใช่ไหมคะ ถ้าเราไปดูตามวิวัฒนาการศาสนามันก็คือตั้งแต่ ยิว ยิวคือคัมภีร์ The Old Testament เสร็จปุ๊บก็มี พระเยซูขึ้นมา พระเยซูก็ เผยแผ่ศาสนาคริสต์ ก็ถือว่า The Old Testament เป็นส่วนนึงของศาสนาคริสต์ แล้วก็มี New Testament เป็นเล่มที่สอง ถูกไหม ทีนี้พออิสลามเกิดขึ้น อิสลามไม่ได้เกิดมาจากแบบว่าความว่างเปล่า อิสลามก็เกิดมาจากอย่างนี้นี่แหละ แล้วก็ถือว่า พระเยซูกับโมเสสเนี่ยก็เป็นนบีองค์เก่า ๆ ของศาสนาเขาเช่นกัน ก็คือผู้ที่ได้ยินได้ฟังมาจากพระเจ้า แต่ว่า เหมือนนบีมูฮัมหมัดเนี่ยก็คือคนล่าสุด ที่ได้ยินได้ฟังมาจากพระเจ้า ประมาณนั้นค่ะ ก็คือเหมือนกับ พอบอกแบบนี้เห็นภาพชัดเจนเหมือนกันว่า เหมือนกับคนที่ผ่าน ๆ มาก็เลยเรียกว่าเป็นนบี เหมือนเป็นนบีที่ทำให้เกิดเหมือนกับข้อมูลชุดหนึ่งขึ้น แล้วเขาก็ผสมมาเรื่อย ๆ บวกกันเรื่อย ๆ จนกลายเป็นคัมภีร์อัลกุรอานตอนนี้ ป่านเข้าใจถูกไหมคะวิว ใช่ค่ะ ประมาณนั้น คือมันไม่ใช่เหมือนผสมหรอก มันอารมณ์เหมือนกับว่า เออ ฉันได้ยินได้ฟังมาจากพระเจ้าแบบนี้ พระเจ้ามาบอกฉันว่าเธอควรจะเพิ่มเติมอย่างนั้นอย่างนี้ ประมาณนี้มากกว่า อันนี้ถ้าให้วิวเทียบง่าย ๆ คือเหมือนการอัพเดตแพตช์ ประมาณว่าพระเจ้าบอกโมเสสไว้แบบนี้ แล้วคนก็ใช้ชีวิตต่อไปอีกพันปี พระเจ้า... สำหรับความเชื่อเขานะ พระเจ้าเริ่มรู้สึกว่าเฮ้ย เธอเริ่มตีความความเชื่อฉันผิดละ ให้ Angel ไปกระซิบพระเยซูหน่อยดีกว่า ก็ลงไปกระซิบพระเยซู บอกว่า เฮ้ย สอนแบบนี้ ที่มันถูกจริง ๆ คือแบบนี้ แล้วก็ผ่านไปอีกพันปี ก็ให้ไปกระซิบนบีมูฮัมหมัดหน่อยว่า เฮ้ย จริง ๆ มันต้องเป็นแบบนี้ ประมาณนั้น อ๋อ โอเค เห็นภาพชัดเจน แต่มันมาอยู่บนประตูได้ยังไง วิว: คะ กัน: ทำไมเขาถึงเลือก Jesus ทำไมถึง...ทำไมถึง... ทำไมถึงเลือกเล่าของนบีอีซา ไม่ใช่นบีมูฮัมหมัด อ๋อ ต้องบอกว่าจริง ๆ มันมีนบีหลายองค์อยู่รอบ กัน: อ๋อ คือมันมี Calligraphy อย่างนี้อยู่ทุกที่ค่ะ แต่วิวแค่มองว่า แผ่นนี้มันน่าสนใจดีเพราะว่าหลายคนจะไม่รู้ว่า นบีอีซาเป็นหนึ่งในนบีของศาสนาอิสลาม ก็เลยเลือกพูดถึงแผ่นนี้ให้ดูว่า เฮ้ย มันเขียนถึงพระเยซูนะทุกคน ทำนองนี้ แต่ว่าเขาก็จะจารึกไปเรื่อย จารึกคำสอน จารึกอะไรอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ซึ่ง... แต่ละที่ก็จะไม่เหมือนกันค่ะ ทีนี้ในที่สุดเราก็ได้เข้าไป... เราพูดถึงประตูกันไปแล้ว เดี๋ยวเราจะเข้าไปในมัสยิดกันแล้วนะคะว่า ในมัสยิดหน้าตาเป็นยังไง นี่เพิ่งถึงประตูเองนะเนี่ย ประตูแรกด้วยนะ มีอีกหลายประตู แต่จะบอกว่าถ้าเกิดสมมติว่า เราอยู่ เราไปเที่ยวจริง ๆ นะคะ กับที่นี่ ความอลังการของมันก็คือตรงวิว ตรงวิวข้างนอกด้วย คือด้านที่เราหันหน้าไปก็คือตัวประตูเนอะ แต่ว่าด้านหลังเมื่อกี้ค่ะ มันจะเป็นวิวที่แบบกว้างมาก ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ จะเป็นบันไดที่ค่อนข้างชันสุด ๆ เลย ลงไปข้างล่าง แล้วระหว่างขั้นบันไดก็จะมีขี้แพะอยู่นะคะ แล้วก็มีแพะนอนอยู่ ตามบันไดอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันมีความชันจนแบบ มีความน่ากลัวเหมือนกันอะไรอย่างนี้เนอะแต่ว่าก็ ถ้าไม่โดนแพะ มาขัดขวาง เราก็จะลงไปได้อย่างปลอดภัยนะคะ อะโอเค ตอนนี้เข้ามาสู่ข้างในมัสยิดแล้วนะคะ โดยที่ผ่านวาร์ปประตูเข้ามา ป่าน: โอเค วิว: เราเดินวาร์ปผ่านประตูเข้ามา เราก็เจอกับลานโล่งกว้างมาก ๆ นะคะ ก็คือลานอเนกประสงค์นั่นเอง ซึ่งเป็นเหมือนลานที่เอาไว้ทำนู่นทำนี่ของศาสนาตาม เขาเรียกว่าไร ตามมัสยิดทั่วไปก็จะมีลานแบบนี้ เอาไว้สามารถใช้ได้นะคะ แต่ว่าเราจะต้องหันกลับไปตรงกลางลานค่ะตอนนี้ ถ้าเรา... ถ้าเราตรงดิ่งไปที่กลางลานนะคะ ไปตามอาคารสีขาวนั่นเลย วาร์ปไปอย่างรวดเร็ว เราเดินข้ามลานแดดร้อนผ่าวไป อย่างไม่เหนื่อยอะไรเลยนะคะ เราก็จะเจอกับสิ่งหนึ่งที่ เราอย่าเพิ่งไปสนใจอาคารสีขาวนั้นค่ะ เดี๋ยวเราจะพูดถึง เราหันซ้ายนิดนึงนะคะ หันซ้ายนิดนึง เราจะเจอกับบ่อน้ำนะคะ เราเข้าไปดูบ่อน้ำกันดีกว่า บ่อน้ำนี้ก็คือจะเป็นเหมือนบ่อน้ำทั่วไปค่ะ ที่อยู่ตรงกลางมัสยิดทั่วไปเพื่อที่ว่า จะให้คนมาทำความสะอาดร่างกาย อาบนงอาบน้ำก่อนที่จะละหมาดนะคะ ซึ่งหลังจากละหมาดเสร็จ ซึ่งหลังจากทำความสะอาดร่างกายเสร็จ เราก็... จะตรงดิ่งไปที่อาคารที่สำคัญที่สุดของ มัสยิดนี้แล้ว นั่นก็คือ ตัวมัสยิดจามานั่นเอง ต้องบอกว่ามัสยิดทั้งหมดนี้ คือมัสยิดจามา แต่ว่าตัวอาคารหลักตรงนี้นะ ถามว่ามัสยิดจามา ทำไมหลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อรึเปล่า ถ้าใครเคยไปเที่ยวนิวเดลีนะคะ อ้าว ตรงนั้นก็มีมัสยิดจามา ตรงนี้ก็มีมัสยิดจามา มัสยิดจามาคืออะไร ต้องบอกว่าคำว่ามัสยิดจามาเนี่ยแปลว่ามัสยิดวันศุกร์ค่ะ ซึ่งคำว่า... ซึ่งวันศุกร์เนี่ยถือว่าเป็นวันสำคัญของศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์เข้าโบสถ์วันอาทิตย์ใช่ไหม ศาสนายิวเข้าโบสถ์วันเสาร์ ศาสนาอิสลามเขาจะเข้ามัสยิดกันวันศุกร์ ดังนั้นปกติทั่วไปทุกวัน เขาจะต้องไปละหมาดที่มัสยิดของตัวเอง ที่แบบใกล้บ้านอะไรอย่างนี้ใช่ไหม แต่ว่า วันไหนก็ตามที่เป็นวันศุกร์เนี่ย ชาวอิสลามเขาจะไปรวมตัวกันที่ มัสยิดที่ใหญ่ของเมืองหรือเป็นมัสยิดสำคัญ ดังนั้นมัสยิดไหนก็ตามที่ได้ชื่อว่า มัสยิดจามาหรือมัสยิดวันศุกร์เนี่ย ก็เลยไปมัสยิดสำคัญของเมืองนั้น ๆ นั่นเอง ดังนั้นมัสยิดแห่งนี้ก็เลยถือว่าเป็น หนึ่งในมัสยิดที่สำคัญมาก ๆ นะคะ ซึ่งการตกแต่งภายในเนี่ยก็ไม่มีอะไรมาก ก็จะเน้นเป็นศิลปะวาดปูนเปียกบนฝาผนัง แต่ว่า เราเข้าไปดูด้านในไม่ได้ เพราะว่า เราโดน Google ปิดส่วนนี้เอาไว้นะคะ ดังนั้น วิว: เราตัดภาพไปอย่างรวดเร็ว ป่าน: ไม่เป็นไร เราดูจากด้านนอก ป่าน: เราดูจากด้านนอกได้เพราะว่า ป่านจะสารภาพว่าตอนที่ป่านไปเที่ยวที่นี่อะวิว ป่านก็ดูประตูข้างหน้า แต่ป่านไม่ได้เดินเข้าไปข้างในเหมือนกัน เพราะว่ามีสิ่งที่ดึงดูดตาเรามากกว่า ก็คือตรงสีขาว ๆ เมื่อกี้ ที่เราคิดว่าทุกคนมาจะตรงดิ่งไปที่นี่แหละ เราก็เป็นหนึ่งในนั้น เดี๋ยวจะพาทุกคนไปที่ตรง... เป็นมัสยิดเหมือนกันเนอะใช่ไหม เป็นสุสานหรือเป็นมัสยิด ป่าน: หรือว่าเป็นอะไร วิว: เป็นสุสานค่ะ ป่าน: อ่า โอเค งั้นเดี๋ยวเราไปดู วิว: คือสิ่งนี้... สิ่งนี้ตั้งอยู่ในมัสยิด แต่ว่าไม่ใช่มัสยิด มันคือสุสานของคนคนนึง นั่นก็คือ ท่านซาลิม ชิสตี้นั่นเอง ท่านซาลิม ชิสตี้นี่เป็นนักบวชนิกายซูฟีนะ ก็คือเป็นนิกายนึงของอิสลามที่ เขาจะเน้นเรื่องการทำสมาธิอะไรต่าง ๆ ถ้าใครเคยเห็นตามหนังเนี่ย ก็จะเป็นลัทธิที่คนอะ ใส่เหมือนแบบ ผู้ชายนะ ใส่เสื้อที่เป็นกระโปรงบาน ๆ แล้วก็ยืนชูมือขึ้นบนฟ้า แล้วก็ยืนหมุน หมุนตัวเองไปเรื่อย ๆ เพื่อทำสมาธิ อันนี้ก็คือนิกายซูฟีนะคะ ซึ่งซาลิม ชิสตี้นี่ถือว่าเป็นนักบวชสำคัญมาก ๆ เป็นเหมือนประมุขประธานอะไรของนิกายนี้เลยทีเดียว แล้วเขาก็เป็นคนที่สำคัญมาก ๆ ถึงขนาดที่ ได้มีสุสานมาตั้งอยู่กลางมัสยิดจามาที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ถามว่าเขาเป็นคนสำคัญขนาดไหน ก็ต้องบอกว่าสำคัญถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีเขาเนี่ย ก็จะไม่มีเมือง Fatehpur Sikri ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเลย เพราะว่า... เขาเป็นนักบวชธรรมดาทั่วไป ที่อาศัยอยู่บริเวณหมู่บ้าน Sikri ก่อนที่เมือง Fatehpur Sikri จะเกิดขึ้น แต่เขาอะมีชื่อเสียงในฐานะคนที่คนไปขอลูกกัน คือถ้าใครไม่มีลูกเนี่ยต้องไปขอกับท่านซาลิม ชิสตี้ ทีนี้ฟังดูทุกคนก็แบบเอ๊ ศาสนาอิสลามขอพรได้ด้วยเหรอ ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเหมือนกรณีพิเศษนิดนึง คือเขาเชื่อ คือเขาไม่ได้เชื่อกันว่า ท่านซาลิม ชิสตี้เป็นคนศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรนะ เพราะว่ามันผิดหลักศาสนา แต่ว่าเขาเหมือนกับว่าเขาเป็นนักบวชศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดังนั้นก็เลยได้รับ พรพิเศษจากพระเจ้าว่าแบบ เออ ฉันให้พรให้คนนี้สามารถให้พรได้อะ ซึ่งก็เป็นเหมือนกับว่าการ tricky เล็ก ๆ สมัยนั้น แต่เราจะไม่ไป discuss กันประเด็นนี้เนอะ เอาเป็นว่า เราสามารถขอพร ขอลูกจากซาลิม ชิสตี้ได้ละกัน ทีนี้ ปัญหาก็คือมีคนคนนึงที่ไม่มีลูก นั่นก็คืออักบาร์นั่นเอง อักบาร์นี่... มีเมียเยอะมากค่ะ เป็นคนที่มีเมียอย่างเป็นทางการเนี่ย ตามบันทึกประวัติศาสตร์บอกไว้ว่ามีเมีย 300 คน โห แล้วก็อันนี้คือเมียอย่างเป็นทางการ และมีสนมที่ไม่ได้ขึ้นมาเป็น... สนมที่ไม่ได้ขึ้นมาเลเวลเมียเนี่ย 5,000 คน โอ้โห ดังนั้นเขาก็บอกว่า อักบาร์มีเมียและสนมเยอะขนาดนี้แต่ไม่มีลูก อันนี้แอบเมาท์อักบาร์นิดนึง นอกเรื่องนิดนึงนะคะ เขาบอกว่า มีเรื่องเมาท์กันว่าอักบาร์เนี่ยใช้ชีวิตอยู่กับเมียและสนม เมีย 300 และสนม 5,000 จนกระทั่งถึงวันนึงในชีวิตตอนที่ตัวเองแก่เนี่ย ในบันทึกอะเขียนเอาไว้ว่า อักบาร์บ่น บ่นว่าแบบ จากการที่ฉันใช้ชีวิตมาทั้งชีวิตนะ ฉันเรียนรู้แล้วว่า คนเราอะ จริง ๆ แล้ว น่าเสียใจเนอะที่เรามีเมียเยอะ เราควรจะมีเมียแค่คนเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว แล้วถ้าสมมติว่า เมียคนแรกไม่มีลูก เราค่อยมีเมียอีกคนเพื่อมีลูกก็พอแล้วแหละ ไม่ควรจะมี 5,000 คนเลยนะคะ นี่ก็คือสิ่งที่อักบาร์เรียนรู้จากการมีเมีย 5,000 คน ป่าน: ขอฉันทำปากคว่ำใส่แล้วพูดว่า แหมมม นี่คือในหัวคืออยากเห็นฮาเร็มเลยอะ สำหรับแบบ 5,000 คนกับเมีย 300 คนนี่ ต้องซอยห้องแบบไหนอะ เอาจริง ๆ จะอยู่ได้เยอะขนาดนี้ ป่าน: ฮึ้ย เยอะมาก วิว: ชอบคอมเมนต์ ป่าน: ว่า วิว: ชอบคอมเมนต์ที่เด้งขึ้นมาถามว่า แล้วขอสามีต้องไปขอที่ไหน วิว: อันนี้น่าจะต้องไปฮ่องกงอะไรอย่างนี้รึเปล่า ป่าน: เดี๋ยวหาทริปให้ เดี๋ยวหาทริปแบบว่าตามล่าหาคู่ให้ ตอนนี้คือสำหรับใครที่อยากมีลูกแล้วไม่มีลูกนะ จริง ๆ ต้องไปที่นี่ ป่านรู้สึกป่านพลาดเลยอะ คือไม่ได้อยากมีลูกเองแต่ว่า พี่สาวป่านอยากมีลูก ก็เลยโอ้โห พลาด รู้สึกไม่งั้นจะไปขอให้พี่สาวเลย เพราะว่าปกติแม่จะไปตามขอทุกที่มาให้ แม่ไปตามขอให้พี่สาวที่... ที่อิตาลี ที่ฝรั่งเศสอะไรอย่างนี้มาแล้วได้จริง ๆ อันนี้น่าลองเหมือนกันว่าจะได้รึเปล่า กัน: เอ๊ะแต่ว่า ในตัวสุสานเนี่ย เขาเป็นที่สำหรับให้ไปขอลูกอยู่ไหมฮะ หรือว่าเขาแค่สร้างเพื่อแบบ tribute ให้... ให้กับท่านผู้นี้ วิว: เขาสร้าง tribute ให้กับท่านผู้นี้ แต่ปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนไปขอลูกอยู่ค่ะ เดี๋ยวเราจะพาเข้าไปข้างใน ไปดูเลยว่า การขอลูกของเขาเนี่ย เขาทำยังไง แต่ว่าตอนนี้ถามก่อนว่า แล้วอักบาร์ได้ลูกไหม จากการที่ไปบูชาท่านซาลิม ชิสตี้ ต้องบอกว่า ได้ เพราะว่าแต่ก่อนอะ อักบาร์ที่มีเมียเยอะขนาดนี้ ก็เคยมีลูกแล้ว คู่นึงเป็นแฝดแล้วก็ตายไวมาก ตายแค่เดือนเดียว ทีนี้ซาลิม ชิสตี้ก็มีการทำนายกับอักบาร์บอกว่า เฮ้ย เดี๋ยวเธอจะมีลูก แล้วก็ถ้าท้องเมื่อไหร่นะเมียอะ เพื่อกันไม่ให้ลูกตายเนี่ย เอาเมียที่ท้องมาฝาก มาให้มานั่งสมาธิ มาทำสมาธิอยู่กับฉัน จนกว่าจะคลอด แล้วลูกเธอจะรอด ซึ่งอักบาร์ก็ทำตาม พอทำตามเนี่ย ก็รอดจริงแล้วลูกคนนั้นก็เป็นลูกชายด้วยนะคะ แล้วก็อักบาร์ก็เลย เฉลิมฉลองให้กับท่านซาลิม ชิสตี้โดยการ ตั้งชื่อลูกคนแรกของตัวเองเนี่ยว่า ซาลิม ก็คือเจ้าชายซาลิม ซึ่ง... เดี๋ยวจะขึ้นมาเป็น กษัตริย์ปกครองราชวงศ์โมกุลองค์ถัดไปที่ชื่อว่าชะฮันคีร์ ซึ่งจะเป็นพ่อของชาห์ชะฮัน คนที่สร้างทัชมาฮาลนะคะ นอกจากนี้ เขาก็ไม่ได้เฉลิมฉลองอย่างเดียวด้วยการตั้งชื่อลูก เขาฉลองอีกอย่างนึงโดยการ ทำให้หมู่บ้าน Sikri เล็ก ๆ ของท่านซาลิม ชิสตี้เนี่ย กลายเป็นเมือง Fatehpur Sikri เลย ก็คือฉันสร้างเมืองนี้ทั้งเมืองเพื่อ เฉลิมฉลองที่เธอแบบทำให้ฉันได้มีลูก ป่าน: เล่นใหญ่มากแม่ คือเล่นใหญ่จริง ๆ วิว: จริง คือเป็นเกียรติอะ แบบว่า บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยว่า ฉันสร้างเป็นเกียรติแก่เธอนะจ๊ะ แต่ก็มีเรื่องเมาท์อีกบอกว่า สุดท้ายอะ ซาลิมเคยงอนอักบาร์ บอกว่า เธอ เธอมาทำให้เมืองสุขสงบของฉัน กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ทำไม ฉันจะนั่งสมาธิอยู่ในหมู่บ้าน ฉันเป็นนักบวช ฉันไม่ได้อยากได้ฮาเร็มของเธอ มาอยู่หน้าบ้านฉันอะไรอย่างนี้ แต่ว่าก็เป็นแค่เรื่องเมาท์นะคะ ก็เลยไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงประการใด อย่างไรก็ตามถือว่า อย่างไรก็ตามเรากลับไปที่ภาพของสุสาน ก็ต้องบอกว่าเป็นคนที่ ศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ เพราะว่าต่อให้เป็นคนธรรมดา แต่นี่ก็ถือว่าเป็นสุสานคนธรรมดาที่เล่นใหญ่สุด ๆ คือเป็นคนที่ไม่ใช่เจ้าอะ แต่ว่าสุสานอลังการงานสร้าง วิว: เพราะว่า ป่าน: ที่ที่ว่าเห็น... วิว: เป็นสุสาน ป่าน: ขอโทษจ้ะ วิว: ค่ะ ๆ ป่าน: เอาเลยค่ะ เอาเลยค่ะ วิว: เพราะว่าสุสานนี้สร้างจากหินอ่อนทั้งหลัง คือที่ผ่านมาทั้งเมืองสร้างจากหินทรายใช่ไหม ซึ่งหินทรายแดงมันเป็นอะไรที่มีอยู่แถวนี้ แต่หินอ่อนแถวนี้ไม่มีเลย ถ้าจะเอามาต้องไป ขนมาจากราชาสถาน ซึ่งอยู่ไกลออกไป เรียกได้ว่าเหมือนกับเราสร้างบ้านปัจจุบัน แล้วไปเอาหินอ่อนอิตาลีมาทำทั้งหลังอะ คือไม่ใช่แค่ปูพื้นแต่ว่า ทุกส่วนของสิ่งนี้เป็นหินอ่อนหมดเลยนะคะ ทีนี้ สิ่งที่น่าสนใจที่เราจะดูอันนี้ก็คือ หนึ่งเลยคือ แอบดูไอ้ยึกยือ ๆ ตรงคันทวยก่อนค่ะ ตรงที่เป็นส่วนรับเพดาน เราจะเห็นว่ามันหน้าตาดูไม่อิสลามเลย คือที่ผ่านมาถ้าเราดูตรงอื่น ๆ อิสลามมันจะมีความแบบว่า เหลี่ยม ๆ มุม ๆ ใช่ไหม นี่คือส่วนนึงที่แสดงให้เห็นว่าอักบาร์เป็นคนที่ เอาฮินดูกับอิสลามมาปะปนกัน เพราะว่าคันทวยนี้ดูหน้าตาแบบ ดูยังไงก็ฮินดูอะ ดูยังไงก็แบบว่า เป็นแขกพราหมณ์อะไรอย่างนี้ ป่าน: ซึ่งหน้าตามันดูคล้าย ๆ พญานาคป้ะ ป่าน: ใช่ป้ะ วิว: ใช่ มันหน้าตาเหมือนพญานาค แต่เขาอาจจะไม่พญานาค 100% เพราะมันก็เป็น พญานาคถือว่าเป็นสัตว์วิเศษในฮินดู มันอาจจะแบบผิดหลักศาสนา แต่มันคือคันทวยที่แปลงมาจากคันทวยพญานาคนี่แหละ ซึ่งถ้าเราจะคุ้น ๆ มันก็ไปเหมือนพวกแบบตัวรับ หลังคาวัดไทยมันก็หน้าตาแบบนี้ ก็จะเห็นว่าไม่อิสลามเลยนะคะ กับอีกอย่างนึงที่สวยมาก ๆ แล้วอยากให้ทุกคนดูก็คือ ตรงหน้าต่าง ตอนนี้เราอาจจะเห็นแค่ว่า อ๋อ มันเป็นแผ่นหินอ่อน แกะสลักรูปนูนต่ำอะไรอย่างนี้ใช่ไหม เพราะว่าเรามองจากข้างนอกเข้าไปอะ มันมองไม่เห็น แต่จริง ๆ แล้วค่ะ ถ้าไปมองข้างใน เราจะเห็นว่ามันเหมือนมุ้งลวดอะ คือมองข้างใน เราเห็นทุกอย่างออกมาข้างนอก ใช่ มันคือหินอ่อนฉลุ ซึ่งมันเป็นหินอ่อนแผ่นเดียว ทั้งหมดนี้คือหินอ่อน 1 แผ่น ซึ่งฉลุจนบาง จนเราสามารถมองทะลุได้แบบนี้ แล้วถ้าซูมเข้าไปเล็ก ๆ จะเห็นว่าลายละเอียดมาก ลายแบบ เขาเรียกว่าอะไร ลายละเอียดวิจิตรสุด ๆ เขาบอกว่านี่คือแผงชาลี (Jali) หนึ่งในแผงชาลีที่สวยที่สุดใน ประเทศอินเดียนะคะ วิว: ซึ่งแบบว่า กัน: เป๊ะมาก วิว: เป๊ะเว่อร์ ๆ แล้วแบบเป็นหินอ่อนอะ สลักผิดแล้วมันบางมาก มันเส้นเล็กจึ๊งเดียว ถ้าแบบ สกัดผิดจุดเดียว แตกปึ๊ก คือจบ เพราะว่ามันต่อไม่ได้ ดังนั้น พี่ผ้าป่านเห็นของจริงมาแล้วรู้สึกยังไงบ้างคะ ป่าน: ใช่ ๆ คือเมื่อกี้จะแชร์ว่าแบบ อันนี้ เราประทับใจสิ่งนี้ที่สุดเลย แต่ตอนที่ไปอะ ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าแผงชาลีนะ แต่ว่าตอนนี้รู้และ แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่า ตอนที่เห็นจากด้านนอกอะ เราชอบมาก แล้วพอเข้ามาข้างในก็รู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ได้ภาพเดียวกับการเห็นจากหินอ่อนด้านนอกเลย แล้วก็ตอนที่เข้าไปในศาสนสถาน ตรงนี้ค่ะ จริง ๆ อะก็จะมีเหมือนกับแบบ เหมือนกับน่าจะเป็นสตาฟของเขาอะ บอกเราว่าแบบ เนี่ย ลองเอากล้องไปส่องตรงรูสิ มันจะเหมือนกับเป็นเหมือนเฟรมที่มันเป็น เหมือนกับเจาะ ๆ ลงมาแล้วก็จะเห็น เอ่อ อาคารที่อยู่ด้านนอกอะไรอย่างนี้ ซึ่งเดี๋ยวมีรูปให้ดู เออ อันนี้เรา snap มา เขาก็จะบอกว่า เนี่ย ๆ มุมนี้มันจะเห็นตรงประตูแบบนี้นะ อะไรอย่างนี้ แล้วเขาก็จะยืนชี้ให้ดูหลาย ๆ มุม ซึ่งอันนี้ป่านเอากล้องไปทาบอยู่ตรง ตรงแผงชาลี ตรงหินอ่อนเลยค่ะ มันก็จะ create เฟรมตรงนี้ขึ้นมาตามลักษณะที่เขาแกะหิน แล้วคือเรารู้สึกว่า แล้วมันเป็นอย่างนี้ทุกรู จริง ๆ แล้วทั้งแผง แล้วไม่ใช่มีแค่ด้านเดียวคือ ทุกด้านเป็นแผงชาลีแบบนี้หมดเลย เลยมีความตะลึงมากว่าอันนี้คือแผ่นหินอ่อน 1 แผ่นใหญ่ ๆ คือถ้าเกิดสกัดตรงไหนแตกปุ๊บ คุณเริ่มใหม่อะเอาจริง ป่าน: ความอลังการ โจ้: แปลกใจว่าเขาให้ tourist เข้าใกล้ขนาดนั้นเลยเหรอ แบบคือมันกลัวแตกมากเลยนะ ป่าน: โอโห พี่โจ้ เอาจริง ๆ คืออันนี้มันเป็นสำหรับให้เหมือนกับ ไม่ใช่สร้างให้สำหรับ tourist เข้านะคะ แต่ว่าเสรีเลยค่ะคือคนเข้าไปได้ แต่มีข้อกำหนดอย่างเดียวเลยค่ะก็คือ ต้องมีอะไรคลุมผม คือทั้งผู้ชายผู้หญิงจะต้องมีแบบ เหมือนมีผ้าคลุมผมก็ได้ หรือจะใส่หมวกก็ได้หรือ ถ้าไม่มีอะไรไป เขาจะมีตะกร้าค่ะ เหมือนตะกร้าใส่ผักอะพี่ เป็นสีสะท้อนแสงอะ ให้เอามาครอบหัว เหมือนเวลาชาวต่างชาติมาวัดพระแก้วแล้วต้องแบบ เหมือนมีผ้าถุงอยู่ข้างหน้า ประมาณเดียวกัน เขาก็จะเตรียมตะกร้า อะ ยูไม่มีเหรอ เอาตะกร้าไปครอบหัว อะไรอย่างนี้ ก็จะมีตะกร้าครอบอยู่ข้างบน เข้าข้างใน แต่ว่าเสรีค่ะ เข้าไปได้แล้วก็ จะเหมือนมีคนทำพิธีให้ด้วย น่าจะเป็นพิธีที่น้องวิวบอกว่าเป็นการขอลูก ตอนที่ป่านไปอะ ป่านไม่รู้ว่าเพื่อการขอลูก ป่านก็ให้เขาไปเคาะ ๆ หัวปกติ เออ แต่แบบว่าไม่ได้ทำพิธีกรรมครบนะ ฉันยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงเวลา ให้วิวเล่าดีกว่าว่าทำยังไง ที่บอกว่าเป็นการขอลูก วิว: ที่เมื่อกี้พี่โจ้ concern ว่า ให้เข้าใกล้ขนาดนี้เลยเหรอ น่ากลัว จะบอกว่าตอนขอลูก สำหรับคนที่รักศิลปะเนี่ย ช็อกกว่านั้นอีกค่ะ เพราะว่าวิธีการขอลูก ภาพดังต่อไปนี้ มันจะมีแผงชาลี 1 แผง ซึ่งรูปยังไม่มานะฮะ มันจะแผงชาลี 1 แผงที่ เขาให้เอาด้ายสีแดงไปผูกกับไอ้ที่เมื่อกี้แกะสลักเนี่ย ที่แกะกันยากมาก ๆ เนี่ย เพื่อที่ว่าจะเป็นการขอลูก คือเหมือนผูกไว้ว่าเออ ขอผูกให้มีลูกนะจ๊ะ อะไรอย่างนี้ วิว: แต่ยังไงก็... ป่าน: วิว แล้วเธอเชื่อไหม... ป่าน: เธอเชื่อไหมว่าอันนี้คือเรา snap มา แล้วเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำไปเพื่ออะไร ก็เลยได้มีภาพจากข้างในว่าเขาผูก ๆ เพราะเราก็ยืนดูแล้วเราก็... เอ๊ เขาทำอะไรอะ แต่ถ้าเกิดสังเกตเห็นในรูปอะค่ะ จะเห็นว่าแบบมีแบงก์ไทยอยู่ข้างล่างด้วย อยู่ข้างล่างภาพอะ เพราะว่าเหมือนกับเขาจะเหมือนกับให้บริจาค คนไทยวางเงินไว้เยอะมาก โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าพวกเขารู้กันรึเปล่าว่า เหมือนกับน่าจะเป็นเรื่องทำพิธีขอลูกอะไรแบบนี้ค่ะ ก็จะเห็นแบงก์อยู่ วิว: ที่เราแอบเห็นข้าง ๆ นิดนึงว่ามันมี ลวดลายดอกไม้อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวเราจะเห็นต่อไปในที่อื่น ๆ มากมาย ก็เป็นอีกที่นึงนะคะ ป่าน: อันนี้ตะกร้า ตะกร้าที่ป่านบอก ตะกร้าที่อยู่บนผมที่ป่านบอก เขาก็ใส่จริง ๆ วิว: ความน่าเศร้าของสิ่งนี้ วิว: อะ ดังนั้น... ป่าน: เหมือนจะไม่ได้เตรียมหมวกมา ป่าน: ค่ะ วิว: ไหน ๆ เวลาล่วงเลยมานานแล้ว เราวาร์ปออกจากศาสนสถานดีกว่า ไปดูสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ เราจะเดินอย่างรวดเร็วออกจากโซนศาสนสถานนะคะ แล้วก็วาร์ปข้ามทุกสิ่งอย่างไปที่ โซนว่าราชการของอักบาร์กันเถอะ ซึ่งจริง ๆ แล้วน่าจะใช้เวลาเดินพอสมควรเลย เพราะว่าถือว่าอ้อมเมือง 6 กิโลเมตรไปนะคะ แต่ว่าเราจะปื้ดไปอย่างรวดเร็ว วิว: ไปที่โซนว่าราชการเลยจ้า ป่าน: ของจริงร้อนมาก ป่าน: โอเคค้าบ ของจริงจะร้อนนิดนึงนะคะ แต่ว่าก็ระหว่างทางเดินก็จะสวยดีเนอะ อันนี้เป็นโซนว่าราชการ ซึ่งเป็นโซนที่สองเนอะวิว วิว: ใช่ค่ะ เป็นโซนที่สอง ซึ่งมันจะอยู่ติดกับฮาเร็ม แทบจะแยกกันไม่ออก ดังนั้นวิวจะพูดรวบไปเลยเป็นโซนเดียวกันนะคะ เราเดินเข้ามาในโซนว่าราชการ ตามฝูง tourist ต่าง ๆ มาเนี่ย เราก็จะเจอกับอาคารหลังแรกนะคะ ซึ่งอยู่ด้าน... ซึ่งอยู่ด้านหน้าซ้าย ๆ ของเราตอนนี้เลย อยู่ติดกับกำแพงนะคะ อาจจะดูไม่ค่อยออก ตรงนั้นเลยค่ะ ตรงที่เมาส์จิ้มอยู่นะคะ อันนี้คือ Diwan I Aam นะคะ เป็น... เหมือนอาคารที่อยู่ระหว่างทางเดินเชื่อมนะ สำหรับไว้เสด็จออกว่าราชการอย่างเป็นทางการ เวลาที่มีใครระดับแบบว่าประเทศมาเยี่ยมชมเนี่ย เนี่ยค่ะ ถ้าเราดูจากภาพบน เราก็จะเห็นว่าตรงจุด... ตรงระหว่างกำแพงน่ะแหละนะคะ ก็เวลาที่ใครมาเยี่ยมมาอะไรก็จะเข้าไปคุยกันในอาคารนี้ ซึ่งเดี๋ยวเราจะไม่ได้เข้าไปเพราะว่ามันไม่ได้ น่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น แต่บอกเลยว่า ยุคอักบาร์เนี่ยเป็นยุคที่ ค่อนข้างจะเปิดกว้างมาก ๆ อย่างที่วิวบอก ยกตัวอย่าง ไม่ใช่แค่... เรื่องที่เขาเปิดกว้างทางศาสนาแบบนี้แต่ว่า ที่ปรึกษาต่าง ๆ ของเขา เสนาบดีต่าง ๆ ของเขาอะ เรียกว่าหลากเชื้อชาติมาก ๆ คือมีแบบ แทบจะทุกเชื้อชาติอะ มารวมตัวกัน เขามี... กลุ่มที่ปรึกษากลุ่มนึงที่โด่งดังค่อนข้างมาก ที่ชื่อจะมาคู่กับอักบาร์บ่อย ๆ เลยชื่อว่า นวรัตน์บุคคล แต่ว่าเราจะไม่ไปพูดถึงกลุ่มนั้น เราจะไปพูดถึงที่ปรึกษาคนนึงที่น่าสนใจมาก ชื่อว่าเสนาบดีพีรพล เป็นเสนาบดีแบบเป็นกุนซือคู่ใจของอักบาร์เลยนะคะ ซึ่งคนนี้ต้องบอกว่าเป็นอิคคิวซังแห่งอินเดีย เพราะว่ามีนิทานของตัวเอง 1 เซตเลย ที่เป็นนิทานแบบรวมการแสดงสมองเขาว่าแบบว่า สมองเขาเฉียบแหลมยังไง ยกตัวอย่างเช่นพวกแบบว่า การตัดสินคดีความต่าง ๆ ก็จะอารมณ์คล้าย ๆ กับพวกที่เราเคยเห็น ที่เราได้ยินในอดีต ที่มันมีการตัดสินกัน โดยใช้ไหวพริบของผู้พิพากษานั่นแหละ เช่นแบบว่า เฮ้ย ไหนคนนี้กับคนนี้ ใครพูดโกหก ถามไปถามมาแล้วก็หลอกล่อให้พูดความจริงออกมา ประมาณนั้นค่ะ ซึ่งเราจะไม่ไปลงรายละเอียดตรงนี้เนอะ ขออนุญาตข้ามดีกว่าเพราะว่า เดี๋ยวมันจะยาวเกินไป ถ้าเดี๋ยวมีโอกาส วันหลังเดี๋ยวมาเล่าเป็นเรื่องเลยดีกว่านะคะ ข้ามไปที่ในอาคารดีกว่าว่า หลังจากที่เราเดินทะลุโซนนอก อันนี้คือโซนนอกที่สุดเลยที่ คนมาเยี่ยมเข้าไปปุ๊บแล้วจะเจอกับอาคารหลังแรก อันนี้เราเข้ามาในโซนส่วนตัวของอักบาร์ละ ซึ่งก็ยังมีพวกเสนาบดีต่าง ๆ มาเดินได้แหละแต่ว่า จะค่อนข้างเป็นที่อยู่ส่วนตัวนิดนึง อาคารหลังแรกที่อยู่ข้างหน้าทุกคนตอนนี้นะคะก็คือ Diwan I Khas ค่ะ เป็นท้องพระโรงใช้ว่าราชการแบบ ค่อนข้างจะส่วนตัว เป็นแบบที่เข้าเฝ้าส่วนบุคคลนะคะ ซึ่งอาคารเนี่ยจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมสองชั้นแล้วก็ ข้างในจะเป็นศิลปะที่ผสมผสานหลายศาสนามาก ดูตรงนี้อาจจะไม่ชัด เราวาร์ปเข้าไปข้างในดีกว่าว่า เราเห็นอะไรน่าสนใจอยู่อันนี้ เป็นเสาที่อลังการมากนะคะ เป็นเสาที่ทำเหมือนแบบว่า ไม่อิสลามเลย เพราะว่าถ้าซูมเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นว่าเหมือนพญานาคอะ รับเสานี้ไว้ มันเป็นพญานาคล้อมรอบหมดเลยอะ แต่ว่าอาจจะไม่ใช่แบบ ไม่กล้าบอกตรง ๆ ว่าเป็นพญานาค จะบอกแค่ว่าเป็นเหมือนคันทวย อะไรอย่างนี้นะคะ ซึ่งด้านบนน่ะก็เป็นที่ตั้งของบัลลังก์ที่อักบาร์จะนั่งอยู่ เขาจะนั่งอยู่บนเสานั้นแล้วก็มองลงมา แล้วก็มักจะเชื้อเชิญให้ พวกกูรูของศาสนาต่าง ๆ อะเข้ามาเฝ้าที่นี่ แล้วก็มาถกเถียงปัญหาศาสนากันเพราะว่า อักบาร์ค่อนข้างจะเปิดกว้างเนอะ ศาสนา เขาบอกว่าเปิดกว้างถึงขนาดที่ว่า อักบาร์เคยมีความพยายามที่จะ รวบรวมศาสนาต่าง ๆ เป็นศาสนาเดียว ชื่อว่าศาสนา ดีน-ไอ-อีลาฮี นะคะ ซึ่งเป็นศาสนาที่แบบ อะ ฉันจะรวมเอาจุดเด่นของฮินดู จุดเด่นของอิสลาม จุดเด่นของทุกอย่างแล้วยัดรวมกัน ทุกคนจะได้เลิกตีกัน แต่ว่าก็น่าเสียดายมาก ๆ ที่ไม่สำเร็จนะคะ อย่างไรก็ตาม เราจะออกจากพระที่นั่งนี้ไปอย่างรวดเร็ว เพราะว่าเรายังมีอีกหลายที่ต้องไป ไปดูที่อาคารน่าสนใจหลังนึงค่ะ นั่นก็คือ อาคารจิ๋ว ๆ ที่ไม่ได้อยู่ฝั่งนี้นะคะ ป่าน: น่าจะอยู่ทางขวามือค่ะ ป่าน: นั่น โดมข้าง ๆ วิว: นี่ ๆ ข้างหน้า วิว: ซ้าย ๆ ค่ะ ซ้ายนิดนึง ป่าน: ตรงกลม ๆ วิว: เห็นโดมตรงหน้าเรานั้นนะคะ เราจะเข้าไปดูตึกเล็ก ๆ ตึกนี้นะคะ มันคือหอดูดาวค่ะ ที่มีเอาไว้ให้โหรหลวงเนี่ย นั่งแล้วก็ดูดาวสังเกตปรากฏการณ์ทางท้องฟ้านะคะ ก็เป็นเหมือนที่นั่งจิ๋ว ๆ ที่น่าสนใจก็คือ ที่รับหลังคา จะเห็นว่ามันมีลักษณะที่ดูแบบ อันนี้ชัดกว่านาคอีก เพราะว่ามันดู ไม่... ดูไม่อิสลามเลย ดูฮินดูมาก ๆ มันเรียกว่า มกรโตรณะ ซึ่งมกรโตรณะ มกรก็คือ สิ่งมีชีวิตสิ่งนึงใน เป็นสัตว์วิเศษของฮินดูอะ ที่เมื่อกี้วิวบอกว่าพระแม่คงคาขี่อะค่ะ ซึ่ง... ก็จะเป็นมกรแล้วก็พ่น เหมือนพ่นอะไรบางอย่างออกมานะคะ ตรงเมื่อกี้ อันนี้ก็คือตัวอย่างรูปมกรโตรณะ ซึ่งถ้าเราอยากดูเนี่ย มันก็ส่งผลมาถึงศิลปะที่ไทยเหมือนกัน เราก็จะสามารถเห็นมกรได้ตามที่ต่าง ๆ ของไทย ยกตัวอย่างเช่นที่เทวาลัย อักษรฯ จุฬาฯ ก็มีเหมือนกัน และวิวหาภาพเทวาลัยแบบชัด ๆ ไม่ได้ วิวก็เลยพลีชีพด้วยการเอารูปตัวเองสมัยเรียนอยู่ มันเป็นรูปเดียวที่วิวหาเจออะทุกคน เดี๋ยวไม่ใช่ซูมวิวสิ ซูมมกร มีการพลีชีพนิดนึง คืออยากให้เห็นมกรโตรณะด้านบนนะคะ คือพยายามคุ้ยแล้ว ไม่เจอรูปไหนที่ไม่มีหน้าตัวเองเลย เนี่ย ก็จะเห็นว่ามันมีมกรโตรณะเหมือนกันอยู่ดังนั้น ที่อยากให้เห็นก็คือ ที่อยู่ของอักบาร์มันมีความรวมกันทุกแบบว่า ข้ามชาติ ข้ามศาสตร์มากนะคะ ข้ามศาสนากัน และแล้วเราก็จะออกจากโซนว่าราชการอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีใครสนใจราชการหรอก ทุกคนอยากดู... ฮาเร็ม ฮาเร็มของพระเจ้าอักบาร์นั่นเอง หันไปด้านซ้ายนะคะ เราจะเห็นอาคารสูง ๆ ตรงหน้านั้น อาคารสูง ๆ 5 ชั้นนั้นนะคะคือพระที่นั่งที่เรียกว่า พระที่นั่งปัญจมะฮัล ปัญจมะ ก็คือปัญจะแปลว่า 5 แปลว่าอาคาร 5 ชั้นนะคะ ซึ่งมีอีกชื่อนึงว่า อะไรสักอย่าง วิวอ่านไม่ออกเพราะภาษามันยากจริง ๆ เนอะ มันแปลว่าหอคอยรับลม ก็คือเป็นหอที่เอาไว้รับลมนั่นเอง จะเป็นหอที่อยู่ระหว่าง ฝ่ายในกับฝ่ายนอก ฝ่ายนอกก็คือฝ่ายที่ผู้ชายเข้าได้ กับ ฝ่ายในที่เป็นฮาเร็มของพระเจ้าอักบาร์เองนะคะ ทีนี้ หออันนี้ก็เป็นแบบ เขาสันนิษฐานว่าให้เป็นที่อยู่ของอักบาร์ แบบอักบาร์จะมานั่งรับลมอยู่บนชั้นบนสุด แล้วก็แบบนั่งมองทุกอย่าง ส่วนชั้นล่าง ๆ เนี่ยก็เป็นที่รับลมของเหล่าสนมทั้งหลาย ที่จะแบบโดนกักขังอยู่ในฮาเร็มแล้วก็ มานั่งตรงนี้จะได้มองทิวทัศน์ที่อื่นเห็น แบบว่าแก้เบื่อว่าอย่างนั้นเถอะ เขาบอกว่ามันยิ่งใหญ่มาก ๆ เพราะว่ามีเสาถึง 84 ต้นด้วยกันนะคะ ก็เสาเยอะมาก แต่ละเสาก็จะมีการสลักเสลาลายที่น่าสนใจ แต่อีกส่วนนึงที่น่าสนใจค่ะ ก็คือหน้าพระที่นั่งปัญจมะฮัลเนี่ย ก็จะมีบ่อน้ำอยู่ 1 บ่อ เราจะไม่ทะลุไปด้านในนะคะ เพราะว่าเราจะหลงทาง เราต้องกลับออกมาก่อน ทุกคนหลงทางตรงนี้อะ เราจะไม่ทะลุ ป่าน: ป่านจะบอกว่า วิวที่นี่ไม่ใช่แค่เดิน virtual แล้วจะหลงนะ ของจริงเราก็หลง แล้วเวลาแบบแยกย้ายกันเดินกับเพื่อนอะ แล้วโทรหาว่าฉันอยู่ตรงไหน อธิบายไม่ถูก เพราะทุกอย่างเป็นตึกอิฐแดงหมดเลย หินทรายแดงสิ วิว: ใช่ ป่าน: เป็นหินทรายแดงหมดเลย ป่าน: อธิบายไม่ถูกว่าฉันอยู่ตรงไหนเพราะทุกที่เหมือนกัน ความสนุกของที่นี่มันเลยเมื่อรู้ว่า ที่ไหนเอาไว้สำหรับทำอะไร มันถึงจะเริ่มเห็นลักษณะการใช้ชีวิตเขามากขึ้นอย่างนี้เนอะ วิว: ใช่ ตอนนี้เราต้องหันหลังกลับค่ะ หันไปด้านขวา วิว: 90 องศา ป่าน: ไปด้านขวา ป่าน: 90 องศา โอเค วิว: แล้วตรงไปเลย ป่าน: แอ่งน้ำตรงนั้น วิว: เรากำลังจะพูดถึงแอ่งน้ำตรงนี้ที่น่าสนใจมาก ๆ เพราะว่ามันเป็นบ่อน้ำ ที่อยู่กลาง เขาเรียกว่าอะไร อยู่กลางสถานที่อยู่ของพระเจ้าอักบาร์ เราเห็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางบ่อน้ำนั่นไหมคะ ที่มันเป็นแท่นอะไรบางอย่างยกขึ้นมา อันนี้น่าสนใจมาก มันไม่ใช่ที่ที่พระเจ้าอักบาร์ มาเดินให้อาหารปลาหรืออะไรหรอก แต่ว่ามันคือสถานที่ตั้งของวงดนตรี ซึ่งเขาเอาไว้ตั้งวงดนตรีในยามค่ำคืนแล้วก็ เหมือนแบบแทนที่จะซื้อลำโพงมาตั้ง ก็เอาวงดนตรีมาตั้งตรงนี้ แล้วก็เปิดเพลงขับกล่อมทั้งวังในยามค่ำคืน ระหว่างที่ทุกคนนอน มีความฮิปสเตอร์ต้องเปิดเพลงนอนนะคะ วิว: หรือว่าบางทีก็... ป่าน: คือตอนแรกก็... ป่าน: เอาเลยค่ะ โทษที วิว: บางทีก็เก๋กว่านั้นอีกก็คือ ไม่เป็นไรค่ะ หรือบางทีก็แก้กว่านั้นอีกก็คือ มีการประกวดร้องเพลงกันในเวทีลอยน้ำนี้ ป่าน: เมื่อกี้ที่พูดขึ้นมาคือกำลังจะบอกว่า ตอนวิวเปิดอันนี้ให้ดูอะ ความคิดแรกคือ เฮ้ย ต่อยมวย ต่อยมวย คือทำไมถึงคิดถึงต่อยมวยไม่รู้ มันคนละยุค วิว: ไม่ใช่ต่อยมวย กัน: มันเป็นเวที ป่าน: มันเป็นเวทีมวยกลางน้ำ ป่าน: เป็นเวทีไว้ร้องเพลง วิว: ใช่ แล้วความเก๋ วิว: ความเก๋คืออะไรรู้ไหมคะ คืออันนี้มันไว้เปิดเพลงใช่ไหม แล้วถ้าเราหันไปด้านขวาของเวทีนิดเดียวเอง เราก็จะเจอกับ ที่ห้องนอนของอักบาร์เองเลยนะคะ ตึกนี้คือตึกห้องนอนของอักบาร์ คือพี่แกสร้าง... ซื้อลำโพงมาติดหน้าห้องนอนอะว่าอย่างนั้นเถอะ เพื่อที่จะฟังเพลงนะคะ เดี๋ยวเราเข้าไปดูในห้องนอนของอักบาร์กันดีกว่า เราคิดว่าคนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ห้องนอนจะหรูหราขนาดไหน เราเคยเห็นห้องนอนในแวร์ซายส์ในอะไรมาแล้ว ในสัปดาห์ก่อน ๆ เราเห็นห้องนอนพระเจ้าหลุยส์ที่แบบ เฮ้ย มีอะไรฉันยัดเข้าไปในห้องนอนตัวเองหมดเลย แต่นี่คือห้องนอนของอักบาร์ซึ่งเล็กมากและแคบมาก ถ้ามองไปด้านซ้าย ที่ยกพื้นขึ้นมา นั่นคือเตียงของอักบาร์ คือเตียงใหญ่แต่แคบ ไม่มีอะไรเลยนะคะ เพราะว่าพี่แกเนี่ย ตัดบ้านของตัวเองออกเกือบหมด เพื่อที่จะยัดสิ่งนึงเข้าไปในบ้าน นั่นก็คือ ห้องสมุดนั่นเอง แม้ว่า พี่แกจะเสียพ่อไปในห้องสมุดแต่ว่าพี่แกก็ยัง ชอบ ชอบหนังสืออยู่ดีนะคะ และความพีคกว่านั้นก็คือ มีห้องสมุดในห้องนอน ห้องสมุดใหญ่มาก สะสมหนังสือไว้เยอะมาก แต่... อักบาร์อ่านหนังสือไม่ออกค่ะ กัน: อ้าว โจ้: อ้าว ป่าน: อ้าว กัน: แล้วทำไงอะ วิว: อ่านหนังสือไม่ออก วิว: เพราะว่า คือจริง ๆ กษัตริย์โมกุลอ่านหนังสือออกทุกพระองค์ ยกเว้นอักบาร์องค์เดียว สาเหตุที่อ่านไม่ออกเพราะว่าเป็น โรคดิสเล็กเซีย (Dyslexia) ก็คือเห็นตัวหนังสือแล้วมันแบบ สลับ สลับกันไปหมด อ่านไม่ออก ตั้งแต่เด็กพยายามแล้ว พยายามยังไงก็อ่านไม่ออก โจ้: เรียบเรียงคำไม่ได้อะไรอย่างนี้ใช่ไหม วิว: ใช่ ก็คือไม่ได้ ไม่สามารถ อ่านไม่ออก แต่อักบาร์เป็นคนที่ชอบความรู้มาก ชอบหาความรู้ใส่ตัว ดังนั้นอักบาร์ก็เลยมีความฮิปสเตอร์กว่านั้นอีก อักบาร์ฟังหนังสือเสียงทุกคืนค่ะ อักบาร์จะให้คนมานั่งแล้วก็อ่านหนังสือให้ฟังทุกคืน กัน: เป็น reader อย่างนี้เหรอ โจ้: ฟัง podcast วิว: ของอะไรคะ podcast ที่ไหนคะ โจ้: Salmon Podcast วิว: นั่นไง ป่าน: อนุญาตให้ขายได้ วิว: มีความโยงให้ ป่าน: อ๋อ คือ podcast ที่มาก่อนกาลอะ ก็คือให้คนจริง ๆ อ่านให้ฟัง ให้ผลัดกันอ่านเนอะ วิว: ใช่ คืออักบาร์อ่านไม่ออกก็ใช้วิธีนี้นะคะ อะ เราออกจากห้องนอนอักบาร์ดีกว่า เดินทะลุไปที่ โซนที่อยู่ของสาว ๆ ทั้งหลาย สาว ๆ เขาอยู่ยังไงนะคะ เดินจากห้องนอนอักบาร์มาเนี่ย ทะลุออกไปเราจะเจอสิ่งแรกก็คือ ก็คือหาทางไม่ถูกใช่ไหมคะตอนนี้ ทะลุกำแพงนั่นไปเลยค่ะ ป่าน: นี่กำแพงตรงหน้าค่ะ วิว: ทะลุกำแพงข้างหน้า วิว: อ่า ทะลุมันไปเลยค่ะ วิว: อะ เราทะลุมาไหนแล้วเนี่ย ป่าน: ทะลุเข้ามาแล้ว ป่าน: ทะลุเข้ามาแล้ว วิว: อ๋อ ทะลุเข้ามาแล้ว วิว: สิ่งแรกที่เราจะเจอนะคะก็คือ คือ...คือ...อันนี้น่าจะเป็น... บ้าน เป็นตำหนักของแม่อักบาร์ ซึ่งเราจะไม่ได้เข้าไปดูข้างใน เพราะว่าก็ มีแม่ของเขาอยู่ข้างในด้วยแล้วก็ แถวนั้นก็จะมีครัวอยู่ ครัวคืออาคารด้านขวานี่นะคะ ซึ่งน่ารักมาก ๆ อย่างนึงก็คือ ที่บริเวณครัวเนี่ยมีลายที่น่ารักสุด ๆ เลย อยากซูมให้เห็นเนอะ ให้เห็นเฉย ๆ ว่ามันน่ารัก คือเขาก็มีความแกะสลักอยู่ทุกที่อะ อย่างบนครัวอย่างนี้ แทนที่จะเอาผ้ามาห้อยเป็นชายพู่ เขาก็แกะสลักเป็นรูปพู่ห้อยต่าง ๆ น่ารัก ละเอียดยิบไปในทุกที่ นะคะ ป่าน: มีความ detail วิว: ใช่ วิว: ใช่ แต่เราจะไม่สนใจแม่และครัว เราจะไปสนใจที่อยู่ของเมีย ๆ อักบาร์กันดีกว่า ด้านหน้านี่แหละค่ะก็คือ พระตำหนักของพระนางมาเรียม อุซ ซามานี หรือว่าเรียกว่าพระตำหนัก Jodha Bai นั่นเอง ซึ่ง... Jodha Bai เนี่ย ถามว่าโจดาสำคัญยังไง โจดาก็คือนางเอกของเรื่อง Jodha Akbar ที่เราพูดถึงกันตั้งแต่แรกนั่นแหละ เพราะว่าถือว่าเป็นพระมเหสีที่อักบาร์รักที่สุด ความพิเศษของโจดาก็คือ นางเป็นฮินดู คือ... พี่ของนางหรือญาติของนางเนี่ยยกให้กับอักบาร์เพื่อที่ว่า จะได้เชื่อมสัมพันธ์กันประมาณว่า เอาน้องฉันไปแต่งงานนะ แล้วอย่ามายึดเมืองฉันเลย เป็นการแต่งงานทางการ แต่ว่าอักบาร์เนี่ยรักมาก แล้วโจดาเนี่ยเป็นฮินดูที่นับถือพระกฤษณะค่ะ แล้วก็ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นน่ะ ในหนังเราจะเห็นฉากที่ โจดาเนี่ยโดนเกลียดโดย เหล่าคนในราชสำนักของอักบาร์ ในสมัยที่อักบาร์ยังเหมือนคุมอำนาจไม่ได้ขนาดนั้นอะ ก็จะโดนเกลียดเพราะว่า เฮ้ย อิสลาม คือ อิสลามยุคก่อนอักบาร์ทุกคนอะมันจะต้อง นับถืออิสลามถูกไหมคะ อันนี้มาเป็นเมียของกษัตริย์ แล้วก็ยังนับถือฮินดูอีก แล้วที่สำคัญ อักบาร์ดันรักมาก รักถึงขนาดที่ยอมให้โจดาเนี่ย สร้างเทวาลัยฮินดูบูชาพระกฤษณะขึ้นมา กลางวังของตัวเอง ก็คือวังของอิสลาม แต่ตรงกลางเป็นเทวาลัยฮินดู อันนี้ถ้านับในเชิงอำนาจก็คือหยามกันถึงขีดสุด แต่ว่า แต่ว่าอักบาร์ยอม นะคะ ดังนั้นมันก็จะมีฉากที่แบบ ทะเลาะกับแม่ของอักบาร์อะไรต่าง ๆ แม่ไม่ชอบ แม่ผัวไม่ปลื้ม อะไรอย่างนี้นะ แต่ว่าสุดท้ายแล้วนี่ก็คือคนที่อักบาร์รักที่สุดค่ะ อย่างไรก็ตามเราไปดูที่ ตัวพระตำหนัก Jodha Bai กันเถอะว่า ถึงตามตำนานจะบอกว่านี่เป็นที่อยู่ของโจดา แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันน่าจะเป็น ขอดูข้างนอกก่อนค่ะ อย่าเพิ่งเข้าไปข้างใน แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันน่าจะเป็น ฮาเร็มที่อยู่ร่วมกันหลาย ๆ คนมากกว่า เราดูจากลักษณะศิลปะ ถ้าเราดูข้างนอกอะ เราจะไม่เห็นเลยว่ามันสวยงามยังไง เราดูข้างนอกจะเห็นว่ามันมีแค่ประตูตรงนี้ที่ดูสวยงาม แต่ถ้าเราเดินไปรอบ ๆ ลองเดินไปด้านข้างสักนิดนึงได้ไหมคะ 1-2 คลิก เราจะเห็นว่า เฮ้ย อะไร ที่ผ่านมา แต่ละตำหนักเราก็บอกว่ามันสลักเสลาสวยงาม มีรายละเอียดเยอะแยะมากมาย ทำไมที่อยู่ของเมียถึงเรียบขนาดนี้ ใช่ไหม ไม่มีอะไรเลย ดูแบบ เป็นกำแพงเรียบ แต่ว่า ถ้าเข้าไปดูข้างใน เราจะเข้าใจความจริง เดี๋ยวเราเข้าไปดูข้างในกันเถอะ ถ้าเราเข้าไปดูด้านในนะคะ ผ่านความเรียบนั่นไป เดินทะลุประตูปุ๊บ ซึ่งมีประตูเดียวด้วย เข้าไปถึง เราก็จะพบกับ พบกับ ผนังที่เดินผิดด้าน เดินทะลุไปเลยค่ะ เราจะพบกับ ลานกว้างที่มีการตกแต่งอย่างสวยงาม เพราะว่านี่คือฮาเร็ม ฮาเร็มคือสถานที่อยู่ของผู้หญิงซึ่งไม่ได้ออกมาข้างนอก ไม่รู้จะตกแต่งไปทำไมข้างนอก ตกแต่งไปเธอก็ไม่เห็น ดังนั้นเขาก็เลยเอาฝีมือทั้งหมดเนี่ย มายัดเข้าไว้ข้างใน แล้วก็ถ้าเรา มองผ่านลานนี้ไป ลานนี้คือลานที่เหล่าสนมกำนัล กี่พันคนจะมาใช้ชีวิตร่วมกันน่ะนะคะ ไปดูที่อาคารต่าง ๆ จะเห็นว่า มันแบบสลักเสลาวิจิตรมาก แล้วก็มีลายที่อ่อนช้อยเพราะว่าเป็นที่อยู่ของผู้หญิง เราลองเข้าไปดูสักอาคารไหม ด้านหน้าก็ได้ค่ะ ลองเข้าไปดูสักอาคารจะเห็นว่า ลายละเอียดมากนะคะ แล้วข้างในก็จะแบ่งเป็นสัดส่วน เป็นห้อง ๆ เหมือนกับว่าแต่ละคนก็มีห้องของตัวเอง ประมาณนั้นเลย นี่ก็คือ เป็นแบบ ฮาเร็มของพระเจ้าอักบาร์ที่เต็มไปด้วยสาว ๆ มากมายค่ะ ซึ่งจริง ๆ อะจะบอกว่า Fatehpur Sikri อะ ยังมีอีกหลายอย่างเลยที่ให้เราเดินดู ยังมีอีกเป็นสิบอาคารเลยแต่ว่า ถ้าเราเดินดู Fatehpur Sikri ซึ่งเป็น World Heritage เนี่ย ไปจนจบทุกอาคาร วันนี้เราจะไม่ต้องไปไหน แล้วเราจะไม่เข้าใกล้ทัชมาฮาลเลย ดังนั้นเราควรจะพอแค่นี้แล้วก็ แล้วก็เปิดวาร์ปไปที่อื่นดีกว่า พี่ผ้าป่านมีอะไรจะเสนอไหมคะ จะเสริมไหมก่อนที่เราจะจากมันไป ป่าน: จริง ๆ เราก็ครบถ้วนเพราะว่า ตอนที่ป่านไปเดินอะ ป่านก็รู้สึกเหมือนที่ป่านแชร์ไปว่า เหมือนรู้สึกว่าทุกที่มันใกล้เคียงกันหมดเลยค่ะ แต่ว่าพอเราได้เห็นว่าแต่ละพื้นที่มันมีการใช้งานแตกต่างกัน แล้วก็มีการแบ่งเขตแบ่งโซนที่ชัดเจน เหมือนได้รู้ detail มากขึ้นน่ะ มันทำให้เหมือนกัน เราได้มองเห็นวิถีชีวิต หรือว่าการใช้ชีวิตของคนในยุคนั้นจริง ๆ ว่า มันมีการทำอะไร กิจกรรมอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วก็เขาวางผังแต่ละอย่างแบบไหน อะไรอย่างนี้ค่ะ ก็แนะนำสำหรับคนที่อยากจะไปเที่ยวที่นี่นะคะ ก็แดดร้อนมากค่ะ ถ้าเกิดเป็นไปได้ก็ มีใส่หมวกก็น่าจะดีนะคะ เพราะว่ามันจะอยู่กลางแจ้งหมดเลย ถ้าเกิดว่าเห็นภาพ นอกจากว่าจะเข้าไปอยู่ในตัวอาคาร ซึ่งแต่ละอาคารมันก็จะมีความมืดประมาณนึงค่ะ แนะนำ แต่ว่าถ่ายรูปสนุก มีนกพิราบนะคะ แล้วก็มีแดด แล้วก็มีสิ่งสวยงามให้ดูแบบเป็น เขาเรียกว่าเป็นแบบเหมือนกับ สถานที่ที่แบบถ่ายรูปได้ทุกมุมเลย สำหรับคนที่อยากจะไปถ่ายรูปที่นี่นะคะ กัน: เอ๊ะ ถามนิดนึงครับ วิว: ขอเสริมนิดนึงค่ะ วิว: อะ ค่ะ กัน: อากาศมันเป็นยังไง วิว: ขอโทษค่ะ กัน: อากาศ หมายถึงว่าอากาศที่พี่ผ้าป่านไปอะครับ คือมันแดดร้อนแต่ว่ามันร้อนเหมือนบ้านเราไหม หรือว่ามันไม่เหมือน ป่าน: ตอนป่านไปอะ มันเป็นร๊อนร้อนนะคะ มันเป็นร้อนยิ่งกว่าบ้านเรา คือแดดที่นู่นมันเป็นแดดเผาอะ ป่านว่าของไทยบางที่ หมายถึงว่า บางที่ก็อาจจะเป็นร้อนเผาเหมือนกันอะไรอย่างนี้ ของเขาคือ ตอนป่านไปคือร้อนเลยต่ะ แต่ว่าพอป่านเหมือน เหมือนทริปตอนปลายปีที่ผ่านมา คือป่านอะ มีขึ้นไปข้างบนภูเขาด้วยในทริปเดียวกัน ก็คือที่ Fatehpur Sikri ก็คือจะมีความร้อนแดด แต่ว่าพอขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ อีกนิดนึง ก็คือหนาวแบบต้องใส่คอเต่า ก็คือแต่ละพื้นที่ของเขามันมีความต่างกันค่อนข้างเยอะ แล้วก็มีอยู่บนภูเขาด้วยอะไรอย่างนี้ แล้วก็ขึ้นอยู่กับฤดูด้วย ก็จะแตกต่างกับไทยประมาณนี้ค่ะ เมื่อกี้น้องวิวบอกว่าจะเสริมอะไรเอ่ย วิว: ขอเสริมนิดนึงว่า ลืมบอกไปว่าทั้งหมดนี้ที่เราเห็นยิ่งใหญ่มาก ๆ คิดว่าเขาใช้เวลาสร้างนานแค่ไหน ดูเป็นเมืองทั้งเมือง มีอาคารใหญ่เบิ้ม มัสยิดใหญ่อันดับสองของโลกอย่างนี้ ไม่ได้ใหญ่อันดับสอง ยิ่งใหญ่อันดับสองของโลก วิว: ใช้เวลาสร้างแค่... โจ้: เดา ป่าน: เดาเลยเดา โจ้: 2 ปี ป่าน: บ้าเหรอพี่ วิว: สลักหิน สลักแค่แผงชาลีก็หมดเวลาแล้วค่ะ โจ้: เออว่ะ ไม่ได้ เออ 10 ปี 10 ปี กัน: 10 ปี 10 ปี ป่าน: 10 ปีแล้วคนที่ Live กันอยู่ เอ๊ย คนที่เป็นลูกทัวร์ที่อยู่ในแชต ตอบกันได้นะคะว่า คิดว่ากี่ปี ป่าน: 2 ปีนี่คือโหดมากพี่ ยังไม่ทันเตรียมหินทรายแดงเลย โจ้: ไม่ได้ ๆ ป่าน: เสร็จแล้วเหรอ โจ้: 10 ปี 10 ปี วิว: แถมให้นิดนึงละกัน เขา... ใช้เวลาสร้างประมาณ 15 ปีด้วยกันค่ะ ก็ เอาจริง ๆ ถือว่าเร็วนะ สำหรับเมืองสเกลขนาดนี้ แล้วเทคโนโลยีที่ไม่มี วันก่อนที่เราคุยกัน เราคุยกันว่า สร้างเร็วกว่าอะไรบางอย่างที่สร้างในแถว ๆ เราอีกนะ กัน: อะไรบางอย่างมันคืออะไร ป่าน: ตรงมไหสวรรย์ยังสร้างไม่เสร็จเลยพี่ ป่าน: 15 ปีเขาสร้างเมืองทั้งเมืองนึงเนี่ย ป่าน: แต่คนตอบ 17 ปี ใกล้เคียงอยู่นะ ป่าน: 15 ปีมีคนตอบถูก โจ้: มีคนตอบถูกด้วย วิว: ใช่ ๆ คือถามว่าทำไมถึง ป่าน: เยอะมากนะ มันใหญ่ มันกว้างมากนะ กว้างจริง ๆ วิว: มันกว้างมาก ๆ ค่ะ มันใหญ่ ป่าน: เดินได้ทั้งวัน วิว: มันใหญ่กว่าวัดพระแก้วอีกอะเอาง่าย ๆ วิว: แล้วก็ ป่าน: ใหญ่มาก วิว: ถามว่าทำไมมันถึงเร็วขนาดนี้ วิว: สาเหตุที่มันเร็วขนาดนี้เพราะว่า อักบาร์คุมเอง เขาบอกว่าอักบาร์ลงมาคุมการก่อสร้างเองบ้างคือแบบ ไม่ได้อยู่ตลอด แต่ก็มีความแบบว่า แกสร้างเร็ว ๆ สิแล้วก็มีความวางแผนเองอะไรต่าง ๆ ว่าฉันจะเอาบ้านฉันตรงนี้ อันนี้ตั้งตรงนั้น อันนั้นตั้งตรงนี้ อะไรทำนองนี้ค่ะ แต่ความน่าเศร้าที่สุดก็คือ หลังจากที่ลงทุนสร้างทุกสิ่งอย่างนี้มา สร้างยิ่งใหญ่มาก สวยมาก อักบาร์ใช้เมืองนี้อยู่แค่ประมาณ 15 ปีเท่านั้นแล้วก็ ทิ้งเมืองนี้ไป ย้ายเมืองหลวง ไปอยู่ที่อัฟกานิสถานก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่อัครา ถามว่าทำไม เพราะว่าที่วิวบอกไปตั้งแต่ต้นเลย คือเมืองนี้เป็นเมืองที่แห้งแล้ง มันไม่ได้โดน... ผังเมืองมันไม่ได้เกิดขึ้นมา เพื่อที่จะมีเมืองใหญ่ขนาดนี้มาอยู่ตรงนี้ มันไม่มีน้ำนะคะ ดังนั้น สุดท้ายก็เลยจำเป็นจะต้องย้ายออกไป ประกอบกับว่า พวกเมืองราชบุตร ที่เราคุยกันไปว่าอักบาร์มีการรบตลอดเวลา พวกเมืองที่ทะเลาะกับอักบาร์ มันอยู่ใกล้เมืองนี้เกินไป ดังนั้นพอช่วงที่มันมี conflict กันก็เลยรู้สึกว่า เอาเมืองหลวงมาไว้ใกล้ศัตรูขนาดนี้ไม่เวิร์กมั้ง ย้ายกลับดีกว่านะคะ ดังนั้นเราก็เลยจะต้อง จากเมืองนี้ไปแล้วกลับ อัคราของเราแล้ว ป่าน: เมื่อกี้ก็คือ Fatehpur Sikri นะคะ แล้วก็เดี๋ยวเราจะกลับเข้าไปที่อัคราซึ่งจริง ๆ เป็นหัวใจหลักของวันนี้ของเรา แต่ที่เราพาไปที่นี่เพราะว่า เป็นหนึ่งใน World Heritage เหมือนกันเนอะ แล้วก็ ณ ยุคปัจจุบันก็คือถูกรวมเข้าอยู่ใน อยู่ในเมืองเดียวกับอัคราด้วยนะคะ ซึ่งที่ที่สองที่เราจะพากันไป วันนี้เราจะมีทั้งหมด 3 ที่นะคะ ตอนนี้เรากำลังไปที่ที่สองแล้ว ที่ที่สองก็คือ... วิว: ที่ที่สองก็คือ วิว: Baby Taj นั่นเองนะคะ กัน: Baby Taj วิว: ค่ะ วิว: นั่นไง พี่ผ้าป่านทำมืออะไรมา เบบี้ทัช~ ไม่ใช่ ป่าน: ฉันอุตส่าห์ไม่ส่งเสียงอะ อุตส่าห์ไม่ส่งเสียง วิวก็ยังจะแบบว่าเห็นท่าที่เราทำ มันอดไม่ได้ที่จะร้องเพลงนี้ จะบอกว่า เราไปที่นีมาแล้ว แล้วก็ไปร้องเพลงนี้มาแล้วจริง ๆ เล่าให้ฟังหน่อยค่ะ ทำไมถึงมีความสำคัญที่จะพามา วิว: อา ที่นี่คือ Baby Taj นะคะ ซึ่งเป็นชื่อเล่นของมัน จริง ๆ มันไม่ได้ชื่อ Baby Taj หรอก มันชื่อว่าสุสานของท่าน I'timād-ud-Daulah แต่ว่าด้วยความยาวขนาดนี้ ทุกคนก็เลยเรียกมันว่า Baby Taj ซึ่งที่นี่เป็น หนึ่งในแรงบันดาลใจของการสร้างทัชมาฮาล เพราะว่าหลังจากผ่านยุคของ Fatehpur Sikri นี่ไปแล้ว เราก็... เขาเรียกว่าอะไร ขอนับญาตินิดนึงก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะคะ ต้องบอกว่าหลังจบยุค Fatehpur Sikri อะไรต่าง ๆ อักบาร์ก็ตายค่ะ ปล่อยให้เจ้าชายซาลิม หรือว่า ชะฮันคีร์ขึ้นมาปกครองบ้านเมืองแทนแล้วก็ สร้างอะไรต่าง ๆ ในยุคของตัวเองต่อไป ซึ่ง Baby Taj เนี่ยก็เป็นสิ่งนึงที่สร้างขึ้น ในยุคของชะฮันคีร์นะคะ เราข้ามยุคอักบาร์มาแล้วเนอะ ไปที่ยุคของลูกอักบาร์ละ ทีนี้ถามว่านี่คือสุสานของใคร แล้วทำไมมันถึงกลายมาเป็นสุสานที่สวยงามขนาดนี้ จนกลายมาเป็น แรงบันดาลใจของทัชมาฮาลก็คือ คุณ I'timād-ud-Daulah เนี่ยเป็นเหมือนกับ ตระกูลบุนนาคแห่งอินเดียค่ะ คือเราพอจะรู้กันเนอะว่าตระกูลบุนนาคคือคนที่มี อิทธิพลมาก ๆ กับกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นแบบที่ปรึกษาแห่งรัฐ เป็นตระกูลที่ผลิต พระราชินีอะไรต่าง ๆ เช่นเดียวกันเลย ตระกูลของ I'timād-ud-Daulah เนี่ย ท่าน I'timād-ud-Daulah เป็นเหมือน ที่ปรึกษาของอักบาร์มาก่อน แล้วก็ มีลูกสาว ก็ยกลูกสาวให้กับเจ้าชายซาลิม มาแต่งงาน ดังนั้นพอเจ้าชายซาลิมขึ้นปกครองบ้านเมือง คนที่... เป็นพระราชินีของเจ้าชายซาลิมก็เลย เป็นลูกของ I'timād-ud-Daulah ดังนั้นคนนี้ก็คือเหมือนกับเป็น พ่อตาของกษัตริย์ว่าอย่างนั้นเถอะ นะคะ ซึ่ง... ตระกูลนี้ต่อไปก็จะผลิตลูกสาวขึ้นมา รุ่นต่อรุ่น ต่อรุ่น ต่อรุ่น แล้วก็ส่งมาแต่งงานกับ ส่งมาแต่งงานเป็นจักรพรรดินีของราชวงศ์โมกุลต่อไปเรื่อย ๆ ก็ถ้าใครดูเกี่ยวกับ ถ้าใครดูซีรีส์จีนบ่อย ๆ อะ พวกที่แบบว่าแย่งอำนาจกันในสนมวังหลังหรือว่า ที่ปรึกษา มหาเสนาบดีส่งลูกไปแต่งงานกับกษัตริย์ เพื่อให้ลูกเป็นญาติกับราชวงศ์ แล้วเหมือนตระกูลนี้จะรักษาอำนาจไปเรื่อย ๆ บ้านของ I'timād-ud-Daulah ก็เป็นแบบนี้เลยค่ะ ก็เป็นตระกูลสำคัญตระกูลนึง ดังนั้นเมื่อเขาตายเนี่ย แน่นอนว่าลูกสาว ตอนนี้เป็นพระราชินีแล้ว เป็นแบบว่าจักรพรรดินีแล้ว ก็ต้องอยากสร้างสุสานให้พ่อตัวเองเนี่ย ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้ ดังนั้นเขาก็เลยสร้างสุสานขึ้นมา โดยเป็นสุสานหินอ่อนทั้งหลัง ที่เดี๋ยวเราจะเห็นต่อไปนะคะ แล้วก็สุสานนี้ มีลักษณะการวางผังคล้าย ๆ กับทัชมาฮาล จะเห็นว่ามันมีการวางอย่างนี้ ให้เห็นเป็นเส้นเข้าไป เป็นอะไรที่แบบว่า สมมาตรมาก ๆ นะคะ แล้วก็นำสายตาเช่นเดียวกันเลย เดี๋ยวเราเดินทะลุตรงนี้เข้าไปเลยค่ะ เราไม่พูดถึงประตูเนอะ เพราะว่าประตูไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เราวาร์ปผ่านประตูเข้าไปจนเห็นตัวสุสาน จะเห็นว่ามีความทัชมาฮาลเล็ก ๆ อยู่ใช่ไหม ซึ่งเขาว่ากันว่าสิ่งนี้มันมีฉายาอีกฉายานึง ฉายา Baby Taj นี่คือเอาไว้ให้จำง่าย ๆ แต่ฉายาจริง ๆ ของมันเนี่ยก็คือ กล่องอัญมณีแห่งอัครา เพราะว่า เป็นที่ที่รวบรวมความหรูหราไฮโซต่าง ๆ เอาไว้ในตึกนี้ตึกเดียวเลยนะคะ บอกเลยว่าอันนี้ยิ่งใหญ่กว่าสุสานของอักบาร์เองอีก เดี๋ยวเราแอบไปดูภาพสุสานของอักบาร์นิดนึง ขอดูภาพสุสานอักบาร์เล็กน้อย ว่าสุสานอักบาร์หน้าตาเป็นยังไง คือ...ธรรมดามากนะคะ แล้วก็ถ้าไปดูของจริงจะเห็นว่า ตัวสุสานเป็นหินทรายแดง แล้วก็ฝังหินอ่อนนิดหน่อย แล้วก็มีหินอ่อนอยู่ตรงยอดเล็กน้อย แต่ว่าสุสาน I'timād-ud-Daulah นี่หินอ่อนทั้งหลัง เรียกว่าหรูหรากว่าตัวกษัตริย์อีกนะคะ อะ เรากลับ เราไม่พูดถึงสุสานอักบาร์เยอะเนอะ เรากลับไปที่สุสานของท่าน I'timād-ud-Daulah หรือว่า Baby Taj ต่อดีกว่า ซึ่ง Baby Taj นี่ สำคัญยังไง บอกเลยว่า ถ้าซูมเข้าไปเราจะเห็นแผงชาลีอีกละ หน้าตาคล้าย ๆ แผงชาลีที่ สุสานของท่านซาลิม ชิสตี้เลย แต่ว่าอาจจะไม่หรูหราเท่า เพราะว่าอันนั้นคือสวยที่สุดไปแล้วนะคะ แต่มันมีสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เทคโนโลยีการลงสีลงไปในหินอ่อนนั่นเอง ตอนซาลิม ชิสตี้เนี่ยเราจะเห็นว่า มันค่อนข้างเป็นสีขาวล้วนใช่ไหม มันจะไม่ค่อยมีสีอะไร แต่ถ้าเราซูมเข้าไป อันนี้เราจะเห็นว่าไม่ใช่สีขาวล้วน มันมีความลงสีลงไปเป็นลวดลายดอกไม้ เป็นรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งวิธีการลงสีอะ ก็คือการเอา หินตัดเป็นรูปแล้วก็ฝังลงไป แล้วก็ทำให้มันเนียน แบบที่วิวบอกนี่แหละ แล้วลายของที่นี่จะเป็นลายที่อลังการมาก ประกอบไปด้วย หินโทนสีน้ำตาล สีเหลือง แล้วก็ อาจจะมีสีอื่นเล็กน้อยตามแบบลายค่ะ อยากให้ทุกคน appreciate กับความละเอียด เพราะว่าทุกอันเนี่ยมันไม่ใช่การวาด มันคือการ ตัดหินแต่ละชิ้นให้เป็นลายแล้วก็ฝังลงไปนะคะ สวยงามจริง ๆ อ่อนช้อย อะ ไม่มีอะไร จบแล้วค่ะ เราซูมมันออกมา แล้วก็อยากให้เห็นอีกสิ่งนึงเล็กน้อยที่ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นตัวอย่างของทัชมาฮาล นั่นก็คือ... เมื่อกี้เห็นรายละเอียดเนอะ เห็นหอคอย 4 ทิศนี้ไหมคะ หอคอย 4 ทิศนี้ก็คือ มันมีการเอาหอขานอาซาน ที่เป็นสิ่งที่ควรจะอยู่ในมัสยิด เอามาแปะไว้กับสุสานซึ่ง ตอนนี้เขาเริ่มมองว่าการมีหอคอย 4 หอมาอยู่ตรงนี้ มันคือความสวย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ มันไม่ function เลยเพราะว่า แต่ก่อนมันอยู่ในมัสยิดเพื่อเอาไว้เรียกคนมาละหมาด แต่พอเอามาไว้ที่สุสานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอามาเรียกอะไร แต่ว่าก็ใส่ไว้สวย ๆ เฉย ๆ ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปเห็นมันในทัชมาฮาลนะคะ และแล้วในที่สุดเราก็จะวาร์ปอย่างรวดเร็วออกจาก Baby Taj ไปที่ ทัชมาฮาลค่ะ หลังจากที่เราผ่านทุกสิ่งอย่างมาอย่างยาวนาน เราก็จะข้ามฝั่งแม่น้ำยมุนามาที่อีกฝั่งนึง นั่นก็คือ สถานที่ที่เราตั้งใจจะมาในวันนี้นะคะ ก็คือทัชมาฮาลนั่นเอง ให้ทุกคนแอบเห็น bird's-eye view ก่อนว่า ดูสิ มันคือสถานที่ที่สมมาตรมาก ทุกอย่างมันแบบ ตีเป็นช่องสี่เหลี่ยมสวยงาม ไม่มีความ... grid เป๊ะมากอะ เรียกได้ว่าเหมือนมีโดรนตอนที่สร้าง แต่สมัยนั้นไม่มีโดรน ไม่รู้ว่าสร้างได้ยังไงถึงเป๊ะขนาดนี้นะคะ ป่าน: ตี grid จริงแต่ว่าเขาแบบ... เหมือนแม้กระทั่งในยุคนั้นเอง เขาก็ยังแบบว่า แคร์เรื่อง grid เป็นส่วนใหญ่เลย จริง ๆ ถ้าเกิดว่าย้อนกลับไปที่ Baby Taj เมื่อกี้อะค่ะ มันก็จะมีความสมมาตร อย่างตัว Baby Taj เองจะอยู่ตรงกลาง แต่ที่เราไม่ได้เห็นรอบ ๆ เนี่ย มันก็คือ 4 ด้านเนี่ยจะมีเหมือนเป็นอาคาร ขึ้นมาเหมือนกันแล้วก็มีการจัดสวน คือ...เราเลยรู้สึกว่าแต่ละที่ของเขามีความเหมือนกับตี grid อ้า อันนั้นคือที่เราเห็นจากข้างบนเป็น Baby Taj ก็จะเห็นว่ามันแบ่งเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกัน แต่ว่าตัวสุสานจะอยู่ตรงกลาง อะ เดี๋ยวเราบินย้อนกลับไปที่ทัชมาฮาลค่ะ เราก็จะเห็นว่ามีการตี grid เหมือนกันแต่ว่า วางตัวสุสานเนี่ยแตกต่างกัน วิว: ใช่ เพราะว่าแต่เดิมอะ ถ้าสมมติว่าเราตี grid แบบนี้ จริง ๆ อาคารที่สำคัญที่สุดมันควรจะอยู่ตรงกลาง ตรงกลางระหว่าง grid 4 ก้อน แต่ทัชมาฮาลเป็นที่พิเศษที่ เขาตั้งใจเอาตัวทัชมาฮาลดันไปไว้ข้างหลังเลย เพื่อที่ว่ามันจะได้ effect นึง คือเวลาเดินเข้าไป เราจะเห็นทัชมาฮาลอยู่ไกลที่สุด แล้วเราจะเห็นทัชมาฮาลอลังการที่สุดนะคะ โดยที่เขาเอาน้ำพุมาไว้จุดกึ่งกลางแทน เดี๋ยวเราจะเห็นตอนที่เราเข้าไปเดินชมกันค่ะ ทีนี้ถามว่าทัชมาฮาลสำคัญยังไง อย่างที่วิวพูดไปแล้วเนอะว่า ทัชมาฮาลเนี่ยเป็นอนุสรณ์ความรักที่เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกนะคะ ซึ่ง ถ้ามองง่าย ๆ เราซูมเข้าไปดู เรามาเริ่มเดินกันเลยดีกว่านะคะ ถ้าเราเริ่มเดินไปเนี่ย เราจะเห็นว่าตั้งแต่ประตูหน้า ก็อลังการแล้ว ตั้งแต่ประตูหน้าก็อลังการละ แค่นี้ก็ยังดูอลังละ พอซูมเข้าไปจะเห็นว่ามันเป็นหินทรายแดงแล้วก็ หน้าตาคล้าย ๆ บูลันด์ ดาร์วาซาเลย เหมือนกับที่เราเห็นประตูชัยอันแรกอะ หน้าตาแบบ ก็อบกันมาเลยว่าอย่างนั้นเถอะ นะคะ เพราะว่าได้รับอิทธิพลมา เราเดินเข้าไปข้างในกันดีกว่า เดินผ่านกรอบประตูเข้าไป ซึ่งจะเป็นจุดที่ จุดนึงที่เราคุยกันวันก่อนว่า เฮ้ย มันสำคัญมากนะที่ อาคารของอิสลามหลาย ๆ ที่ในยุคนั้นอะ มันจะมีประตูชัยแบบนี้ มันจะมีประตูแบบนี้กั้นอยู่เพื่อที่ว่า เขาจะให้ effect ที่แบบ เราเดินเข้าไปแล้วเราไม่เห็นอาคารทันที แล้วเราจำเป็นจะต้องมองแบบ มองผ่านมุมนี้เท่านั้น เราไม่สามารถมองทัชมาฮาลเอียง ๆ หรือว่ามองอะไรได้ ภาพแรกที่เห็นจะต้องเป็นทัชมาฮาลอยู่ตรงกลาง แล้วก็เห็นภาพลึกเข้าไปนะคะ ทีนี้ต้องบอกว่าทัชมาฮาลเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์มาก ๆ เพราะว่า สามารถเที่ยวได้ทุกเวลาของวันเลย คือเขาสร้างขึ้นมาด้วยหินอ่อนสีขาว แล้วก็จะได้ effect นึงที่น่าสนใจก็คือ ถ้าทัชมาฮาล เราไปเที่ยวตอนเช้า หลังจากที่ม่านหมอกต่าง ๆ ค่อย ๆ จางไปเนี่ย แสงยามเช้าตกกระทบทัชมาฮาล ภาพที่เราจะเห็นคือทัชมาฮาลสีชมพู เพราะว่าโดนแสงแดดตอนเช้า แต่ถ้าเราไปเที่ยวตอนเที่ยงเหมือนในภาพนี้ เราจะเห็นทัชมาฮาลเป็นสีขาว ตามสีของหินอ่อนจริง ๆ และถ้าสมมติว่า เราไปเที่ยวทัชมาฮาลตอนกลางคืน ก็จะได้ effect อีกแบบนึงคือทัชมาฮาลจะสะท้อนแสงจันทร์ แล้วทัชมาฮาลก็จะเป็นสีเหลือง ดังนั้นคุณไปทุกเวลา คือทัชมาฮาลต้องไป 3 ครั้งต่อวันอะ ถึงจะได้ครบทุกอย่าง ป่าน: เข้าออก เข้าออก ได้นะคะ แนะนำให้ทำแบบนั้น ป่าน: เราชอบที่วิวพูดมากเลยว่าแบบว่า เหมือนกรอบของประตูที่มันเฟรมการดูหรือว่าการมองของเรา เพราะว่าตอนที่... อันนี้แชร์ประสบการณ์นะคะ หลาย ๆ คนที่กำลังดู Live อยู่เชื่อว่า เคยมีประสบการณ์ไปแล้วล่ะ เพราะว่าทัชมาฮาลเป็น 1 ในที่ที่แบบว่า ทุกคนแบบว่าควรจะไปดูก่อน แบบว่าเป็น 1 ใน checklist ว่าอย่างนั้นเถอะ เราก็ได้ไป checklist มาเหมือนกันแล้วก็ได้ไปดูที่นี่ ตอนที่จังหวะที่เดินเข้าไป ก็มีความเหมือนที่วิวบอกเลยว่า เขาเฟรมประตูให้เหมือนกำหนด มุมมองหรือว่าสายตาของคนที่เดิน ให้เห็นเท่าที่เขาอยากให้เราเห็นค่ะ คือว่า มันอลังการมากที่เหมือนกับเฟรมของประตูใหญ่ ๆ แล้วมีแบบข้างในมันจะเป็นโดมมืด ๆ ก่อน คือหลังจากที่เราเข้าประตูใหญ่เมื่อกี้มาใช่ไหมคะ มันจะเป็นโถงใหญ่ ๆ มาก ๆ ที่มืด แล้วสิ่งที่เราเห็นอย่างเดียวคือแสงส่องสว่าง ที่มาจากเฟรมโค้งอะค่ะ แล้วเป็นแสงที่แบบ เหมือนแสงขาวที่ส่องแบบ ส่องมาหาเรา แล้วพอสายตาเรามองออกไปปุ๊บ สิ่งแรกที่เราเห็นคือจุดรวมสายตา มันคือทัชมาฮาล เพราะว่ามันมีเส้นนำสายตาก็คือตัวน้ำ ที่แบบไล่สายตาเราไปให้ถึงจุดนั้น แล้วป่านรู้สึกว่าแบบมันคือเวลาที่เราไปถึงสถานที่อะ เราไม่ได้ขนลุกกันเล่น ๆ อะ มันเหมือนเขาสร้างมาเพื่อให้เรารู้สึกแบบนี้จริง ๆ เออ ก็เลยอยากแชร์ คิดว่าหลายคนก็น่าจะรู้สึกแบบนั้น ถ้าไปแบบที่ไม่ได้เข้าไปพร้อมกับก้อน tourist ก็จะได้ feeling นี้ แต่ว่าถ้าเข้าไปบางครั้ง เหมือนบางจังหวะจะเจอคนเยอะมาก ๆ ก็ ก็อาจจะไม่ได้ประสบการณ์นั้นอะไรอย่างนี้ ซึ่งถามว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนคนนึงสร้าง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมา ก็ต้องบอกว่าเราน่าจะคุ้นเคยกันดีกับทัชมาฮาลในฐานะ อนุสรณ์แห่งความรัก แต่ถามว่าใครรักใครแล้วรักมากขนาดไหน ก็ต้องบอกว่าสิ่งนี้ทั้งหมดค่ะ สร้างขึ้นมาโดย กษัตริย์องค์นึงในราชวงศ์โมกุลที่ชื่อว่าพระเจ้าชาห์ชะฮัน พระเจ้าชาห์ชะฮันนี่คือหลานของอักบาร์ คือลูกของชะฮันคีร์ใช่ไหม ทีนี้เขามีเมียอยู่คนนึงชื่อว่า พระนางมุมตัซ มาฮาล ซึ่งพระนางมุมตัซ มาฮาลเนี่ยแปลว่าเหมือนกับ อัญมณีแห่งพระราชวัง อะไรประมาณนี้ เรียกได้ว่าเป็นที่รักมาก ๆ นะคะ ถามว่ารักขนาดไหน รักขนาดที่ว่าทั้งคู่เนี่ยแต่งงานกัน ตั้งแต่เขายังเป็นเจ้าชายอยู่ แต่งกันตอนผู้หญิงอายุ 14 เขาเองอายุ 15 แล้วหลังจากแต่งงานกันมาเนี่ยทั้งคู่ไม่เคยแยกจากกันเลย เรียกได้ว่าไปไหนไปด้วย อยู่ในสายตาตลอดเวลา ต่อให้ชาห์ชะฮันไปรบ พระนางมุมตัซ มาฮาลก็จะเป็นคนที่ตามไปด้วย ดังนั้น คือไม่เคยแยกจากกัน แล้วก็ถ้าอยากพิสูจน์ว่ารักขนาดไหน ให้ดูจากจำนวนลูกที่มี 2 คนนี้มีลูกด้วยกันทั้งหมด 14 คนด้วยกันค่ะ เยอะมาก แต่งงานตอนอายุ 14 มีลูกทั้งหมด 14 คน แล้วก็ตายตอนที่คลอดลูกคนที่ 14 เพราะว่าผู้หญิงอายุ 40 แล้ว เดาว่าถ้าเกิดสมมติว่าไม่คลอดลูกตาย อาจจะมีต่อไปได้อีกจนกว่าจะร่างกายไม่ไหวนะคะ ก็เรียกได้ว่ารักกันมาก ๆ แล้วพอพระนางมุมตัซ มาฮาลเนี่ยตาย เรียกได้ว่าพระเจ้าชาห์ชะฮันใจสลายค่ะ ใจสลายแบบ ไม่เหลืออะไรแล้วอะ คู่ชีวิตของฉันไปแล้ว คนที่ฉันเห็นแล้วอยู่ด้วยกันทุกวัน ดังนั้นในบันทึกเขาบอกว่าพระเจ้าชาห์ชะฮันเนี่ย ร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด ก็คือแบบออกมาเป็นเลือดแล้วก็ คืนนั้นน่ะ ร้อง ๆ ๆ ๆ ตื่นมาจากคนที่เป็นหนุ่ม เป็นผมดำเนี่ย ตื่นเช้ามาคือหัวขาวทั้งหัวเลย เรียกได้ว่าหมดสภาพ เสียใจมาก ๆ แล้วก็เลยคิดว่าไม่เป็นอันทำอะไรทั้งสิ้น อยากทำอย่างเดียวคือ ฉันจะสร้างอะไรขึ้นมาเพื่ออุทิศให้กับเมียสุดที่รักของฉัน ก็เลยเป็นที่มาของการสร้างทัชมาฮาลเป็นอนุสรณ์ความรัก ที่ยิ่งใหญ่แล้วก็อลังการที่สุด แล้วก็ ทุ่มงบลงไปมากที่สุดเท่าที่พระเจ้าชาห์ชะฮันจะให้ได้ค่ะ โดย... เขาใช้เงินไปทั้งหมดนะคะ ในการสร้างทัชมาฮาลเนี่ย เขาบอกว่าใช้ไป 32 โกฏิรูปี หรือถ้าคิดเป็นเงินแบบปัจจุบันก็คือ 100ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ กัน: 3,000 ล้าน วิว: มหาศาล วิว: ใช่ 3,000 ล้านบาท ใช้เวลาสร้างไปทั้งหมด 17-22 ปี ประมาณนี้นะคะ ก็ยังเร็วอะนะ เมื่อเทียบกับว่าสร้างทั้งหมดนี้ ยิ่งใหญ่มาก แล้วก็ใช้คนสร้างทั้งหมด ใช้แรงงานฝีมือทั้งหมด 22,000 คน ซึ่งคนที่มาสร้างเนี่ยก็ไม่ใช่คนอินเดียล้วน ๆ นะ แต่ว่า import สุดยอดช่างฝีมือมาจากทุกที่ที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นจากอิหร่าน จากตุรกี ที่มาเป็นสถาปนิก หรือว่าเอาพวกช่างฝีมือชาวอินเดีย ชาวเปอร์เซีย ชาวอินเดียกลาง รวมไปถึงเอาช่างฝีมือชาวอิตาเลียนมาร่วมด้วยเพราะว่า นี่คือหินอ่อน อิตาเลียนก็เชี่ยวชาญด้านหินอ่อนเป็นพิเศษอยู่แล้วนะคะ ซึ่งหินอ่อนทั้งหมดเนี่ย เขาก็ขนมาจากเมืองที่ชื่อว่า มาครานาของราชาสถาน ที่เขาว่ากันว่าเป็นแหล่งหินอ่อนที่ดีที่สุดในโลก ดังนั้นฉันเอาที่สุดของที่สุดมารวมกันไว้ที่นี่นะคะ แล้วก็ถือว่าเป็นอาคารหินอ่อนทั้งหลัง หลังที่ 3 ของราชวงศ์โมกุลต่อจาก สุสานของท่านซาลิม ชิสตี้ที่เราไปดูกันมาที่แรกแล้วก็ ต่อจาก Baby Taj ที่เมื่อกี้เราไปดูมานะคะ ซึ่งหลังจากทัชมาฮาลเนี่ย จริง ๆ ก็ยังมีอาคารหินอ่อนอีกนะ ชื่อว่า Bibi Ka Maqbara เราจะเรียกชื่อเล่นว่า Mini Taj แต่ว่ามันจะอยู่อีกเมืองนึง คืออยู่ในเมืองออรังกาบัด ซึ่งอันนี้ ออรังเซบ ซึ่งเป็นลูกของชาห์ชะฮันเนี่ย ก็เป็นคนสร้างขึ้นมานะ แต่ว่า เราจะไม่ได้ไปโฟกัสอะไรมากมาย ซึ่ง มันก็เป็น 1 ในที่ที่วิวเพิ่งไปมาก่อนโควิดเกิดขึ้น ดังนั้นเดี๋ยวในอนาคตอันใกล้ เมื่อไหร่ก็ตามที่วิวหายขี้เกียจ วิวจะเอา footage ที่ดองไว้ขึ้นมาตัด แล้วก็มาแชร์ให้ดูในจุดชม เอ๊ยไม่ใช่ ในช่อง Point of View นะคะ ป่าน: อ๋อ ได้เลยค่ะ Ground Control อาจจะขอเอามาด้วย เพราะว่าอยากรู้เรื่องราวภาคต่อ มันเหมือนกับมันต่อเนื่องกันเนอะกับสิ่งที่วิวเล่าสำหรับวันนี้ แล้วก็สิ่งที่วิวเพิ่งไปมา ใช่ปะคะ วิว: ใช่ คือ... เนี่ยค่ะ อันนี้คือฝีมือของออรังเซบ ซึ่งเป็นลูกของชาห์ชะฮัน แล้วเขาก็ เป็นคนที่ทนไม่ได้เลยที่แบบ เฮ้ย ทำไมพ่อถึง ทุ่มเงินขนาดนี้ไปกับการสร้างทัชมาฮาลให้แม่ จนถึงขั้นที่ว่าออรังเซบซึ่งเป็นลูกคนที่ 6 เนี่ย ก็เป็นลูกของมุมตัซ มาฮาลกัลชาห์ชะฮันเนี่ยนะคะ รับไม่ได้แล้วก็ตัดสินใจ ยึดอำนาจพ่อ บอกว่าพ่อเลิกบริหารเถอะ ถ้าพ่อจะไม่ทำงานทำการขนาดนี้ เดี๋ยวผมบริหารเอง ดังนั้นนะคะ ออรังเซบก็เลยยึดอำนาจขึ้นมา แล้วก็จับพ่อไปขังไว้ เขาบอกว่าตอนนั้นน่ะ พระเจ้าชาห์ชะฮันคือหมดอาลัยตายอยากถึงขนาดที่ว่า เออ จะยึดก็ยึดเถอะ ขออย่างเดียว ระหว่างที่ลูกจับพ่อไปขังไว้อะ ขอให้พ่อได้อยู่ในห้องขังที่มองเห็นทัชมาฮาล ดังนั้นเขาก็เลยเอาพ่อไปขังไว้ที่ วิว: Fort อันนึงที่ใน... วิว: อะไรนะคะ ป่าน: ฮัลโหล วิว: Akbar Fort ใช่ไหม วิว: ฮัลโหล ป่าน: ใช่ Agra Fort ค่ะ วิว: ใช่ ก็เลยเอาไปขังไว้ที่ Agra Fort ซึ่งจะเป็น UNESCO World Heritage อีกที่นึงที่เราไม่ได้ไปนะคะ ทีนี้พี่ผ้าป่านในฐานะที่ไปห้องห้องนั้นมาแล้ว รู้สึกยังไงบ้างคะ ป่าน: คือป่านอะไป Agra Fort มาด้วย แล้วก็จริง ๆ แล้ว... มีคนพิมพ์คอมเมนต์มาที่ Ground Control ด้วย ว่าอยากให้พาไปที่นี่ จริง ๆ มันเป็นสถานที่ที่ใหญ่มาก ๆ คือถ้าเกิดไปเที่ยวเนี่ย แทบจะเรียกได้ว่าต้องไปทั้งวันเลย แล้วก็มีเนื้อหาให้พูดค่อนข้างเยอะ แต่สิ่งที่น้องวิวบอกก็คือว่า จริง ๆ ตัวพื้นที่มันไม่ได้ใหญ่ค่ะ มันเป็นห้องห้องเดียวจริง ๆ ค่ะวิว แต่ว่า มันมองเห็นทัชมาฮาลจริง ๆ นะ แล้วก็ถ้าเกิดสมมติว่ามีไกด์ที่เขาจะแบบ เหมือนกับบอกเราได้ เขาก็จะบอกว่า ลองมองจากมุมตรงนี้ จากห้องนอนของ ของพระเจ้าชาห์ชะฮันใช่ปะคะ ก็จะมองไปแล้วก็เห็นตัวทัชมาฮาลจากระยะไกล แต่ถ้าเกิดว่าเดินออกมาจากห้องนอนปุ๊บ แล้วมองผ่านเฟรมเฟรมนึง มันจะเห็นแบบเหมือนใหญ่มากขึ้น เหมือนมันเป็นมุมหลอกสายตา แต่ว่าก็เป็นเหมือนกับวิธีการออกแบบของเขา ที่ทำให้เห็นทัชมาฮาลในระยะเดียวกันนะ แต่ว่าในขนาดที่ต่างกันไป อันนี้ก็เป็นอันที่แบบถ้าใครไป Agra Fort ก็ ลองไปดูได้นะคะ เป็นสถานที่อีกสถานที่นึงที่ ถ้าไปในเมืองนี้แล้วอยากให้ไปมาก ๆ เลยค่ะ วิว: แล้วความเศร้าอีกอย่างนึงของพระเจ้าชาห์ชะฮันก็คือ เขาบอกว่าตอนที่โดนขังอยู่ตรงนั้นน่ะ สุดท้ายพระเจ้าชาห์ชะฮันตาย ก็คือตายไป แต่ว่าก่อนตายเนี่ยนะคะ ในจังหวะที่พระเจ้าชาห์ชะฮันลุกไม่ขึ้นแล้ว ก็มีการขอกระจก เอากระจกมาถือไว้ในมือ เพราะว่าเขาไม่สามารถลุกขึ้นมา เกาะหน้าต่างดูทัชมาฮาลได้แล้ว เขาถึงขั้นนอนแล้วก็เอากระจกส่องเพื่อให้ตัวเอง เห็นทัชมาฮาลได้จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เขาบอกว่าถึงขนาดที่ว่าวันที่ตาย กระจกยังอยู่ในมืออยู่เลย ดังนั้นนี่ก็คือที่สุดของที่สุดของคนรักเมียแห่งโลกใบนี้นะคะ วิว: ทีนี้เรามาดูที่ วิว: อะไรนะคะ ป่าน: บอกว่าข้าพเจ้าให้โล่เลยค่ะเอาจริง ๆ วิว: เออ ที่สุดจริง ๆ นะคะ ดังนั้นเรามาดูทัชมาฮาลดีกว่า เราออกไปดูมุมกว้างก่อนเนอะ เรามาลองเดินเข้าทัชมาฮาลพร้อม ๆ กัน จากด้านนอกนะคะว่าเราจะเห็นอะไรยังไง เราก็ค่อย ๆ กระดึ๊บ ๆ กลับไปใช่ไหม วิว: แนะนำว่าให้... ป่าน: ซึ่งเมื่อกี้ที่เราเห็นนะคะก็คือเป็นด้านหลัง เป็นด้านหลังของทัชมาฮาลเนอะ ที่ติดกับแม่น้ำนะคะ เดี๋ยวเราจะหมุนมาด้านหน้า เพราะว่าทางเข้าอยู่ที่ด้านหน้า อะ เดี๋ยวกลับหลังมา วิว: ใช่ วิว: อ้า จะเห็นว่าทัชมาฮาลจะหน้าตาคล้าย ๆ กับ เมื่อกี้ที่เราเห็นใน Baby Taj เลยใช่ไหม มันจะมีหอขานอาซาน 4 หอที่เอามาสร้างไว้ที่มุม 2 มุม ที่แบบ 4 มุมของทัชมาฮาลเหมือนกัน อันนี้ก็มีเรื่องเมาท์เหมือนกันว่า พระเจ้าชาห์ชะฮันเนี่ยคิดเยอะถึงขนาดที่ว่า อยากให้ทัชมาฮาลอยู่ไปชั่วกัลปาวสาน ชีวิตนี้จะต้องไม่มีอะไรมาทำลายสิ่งนี้ได้แม้แต่ตัวมันเอง ดังนั้นหอขานอาซาน 4 หอนี้ พระเจ้าชาห์ชะฮันก็เลยให้คนสร้างเอนนิดนึง เพื่อที่แบบเหมือนหอเอนปิซา แต่ไม่ใช่เอนเข้านะ ให้เอนออก เผื่อว่าวันนึงเกินแผ่นดินไหว หรือเกิดแบบว่าอาคารพังหรืออะไรก็ตาม หอขานอาซานเนี่ยมันจะได้พังไปด้านนอก มันจะได้ไม่พังใส่ตัวทัชมาฮาลเอง ก็เรียกได้ว่าคิดไว้ทุกอย่าง เท่านั้นยังไม่พอค่ะ คือเราเดินจากข้างนอกเข้ามา เราจะไม่เห็น แต่ถ้าเราเดินเข้ามาใกล้ ๆ เราจะเห็นตึกสีแดง ๆ 2 ตึก ที่อยู่ประกอบข้างทัชมาฮาล ซึ่งถ้าคนที่ไม่ได้ไป จะแทบไม่รู้เลยว่ามีตึก 2 ตึกนี้อยู่ เพราะว่าเหมือนเขาสร้างซ่อนไว้ ไม่ได้อยากให้เห็น แล้วก็ใช้อาคาร... ขอโทษค่ะ แล้วก็ใช้หินทรายแดงเพื่อที่ว่า จะได้ไม่โดดเด่นแย่งทัชมาฮาลไป เห็นไหมคะ ถ้าเรามองจากมุมนี้ เราจะไม่เห็นตึกนั้นเลย ถามว่าตึกนั้นคืออะไร ตึกนั้นคือ ตึกนั้นคือ วิว: เอ่อ...เดี๋ยวนะ นึกชื่อไม่ออกค่ะนาน ๆ ป่าน: มัสยิด วิว: เออ มัสยิด ติดอยู่ที่ปาก วิว: ตึกนั้นคือมัสยิดนะคะ ซึ่งเขาเอามาสร้างไว้เพื่อที่จะได้ทำให้ สถานะของทัชมาฮาลกลายเป็นศาสนสถาน เพราะเขาคิดว่าใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ราชวงศ์ของฉันก็ไปยึดอำนาจราชวงศ์อื่นมา มันอาจจะมีราชวงศ์อื่นในอนาคตมายึดอำนาจฉันไปก็ได้ ถ้าสมมติว่ายึดอำนาจไป เดี๋ยวเขาจะทุบทัชมาฮาลของฉันทิ้ง ดังนั้นเอามัสยิดมาตั้งไว้ดีกว่า คนจะได้ไม่กล้าทุบสถานที่นี้ เพราะว่า ถือว่าเป็นศาสนสถานแล้ว แล้วความเก๋ของมันคือปกติมัสยิดอะ มันไม่ควรจะมี 2 อันติดกัน มันควรจะอยู่ที่เดียว 1 ที่ใช่ไหมคะ แต่เขากลัวว่ามันจะไม่สมมาตร ดังนั้นเขาก็เลยสร้างมัสยิดปลอมเอาไว้อีกข้างนึง ก็คือมีมัสยิดจริงอยู่ฝั่งนึง แล้วก็อีกฝั่งนึงเป็นมัสยิดปลอม เป็นเหมือนแบบว่าที่พักของแขก เป็นอาคารรับรอง แต่ว่ามีไว้ทำไมไม่รู้ แต่ต้องสร้างไว้ เพื่อให้ทุกอย่างสมมาตรกัน ให้ทุกอย่างสวยนะคะ วิว: ต้องบอกว่า... ป่าน: เราเข้าไปดูไหม ป่าน: เราเข้าไปดูข้างใน ข้างบนกันไหมคะวิว เพราะว่าจริง ๆ มันสามารถเดินเข้าไปดูได้เลย แล้วก็มีบริเวณข้าง ๆ รอบ ๆ ด้วย วิว: ก่อนที่เราจะเข้าไปข้างใน ขอแอบพูดถึง ด้านหน้าก่อนเล็กน้อยว่า จริง ๆ แล้วอะ ทั้งหมดนี้ ถามว่าพระเจ้าชาห์ชะฮันสร้างมันขึ้นมา โดยมี concept ว่าอะไร ทั้งหมดนี้มันมี concept ก็คือ สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสวรรค์ให้กับ ให้พระนางมุมตัซ มาฮาลอยู่หลังจากความตายประมาณว่า นี่คือสวรรค์ที่ฉันสร้างให้เธอ นี่คือสวรรค์บนดินนะ ถามว่าเรารู้ได้จากอะไร ถ้าเราดูรอบ ๆ กรอบประตูตรงนี้ค่ะ เราซูมเข้าไปเราจะเห็นเหมือนกับที่บูลันด์ ดาร์วาซาเลย คือมันเป็น Calligraphy มันเป็นอักษร อีกแล้วนะคะ เนี่ย ที่ฝังเป็นหินสีดำ ซึ่งตรงนี้เขาบอกว่ามันมีข้อความที่เขียนไว้ว่า ยินดีต้อนรับสู่สวรรค์ของฉัน ก็คือ เขาตั้งใจจะบอกว่า นี่แหละ ฉันยกสวรรค์บนดินทั้งหมดมาให้เธอแล้วจ้า เราเห็นได้จากอีกอย่างก็คือด้านหน้าที่เป็นสวนกว้าง ๆ แล้วก็มีน้ำนะคะ อันนี้เป็นภาพของสวรรค์ของอิสลาม ที่เขาบอกว่าต้องมีน้ำไหลผ่าน ดังนั้นทุกอย่างมันจะเป็นสัญลักษณ์แสดงถึง สวรรค์ไปหมดเลย ทุกอย่างก็คือสวรรค์ รวมถึงทำให้สวยงามที่สุด เพื่อแบบเขาเรียกว่าอะไร ปรับ ปรับภาพ ปรับทุกอย่างให้งดงามที่สุดนะคะ แล้วทีนี้ถามว่าลวดลายทัชมาฮาลพิเศษยังไง ถ้าเราเห็นตรงนี้ เราจะเห็นว่าลวดลายของดอกไม้เนี่ย สวยงามไปหมด ด้านนอกว่าสวยแล้ว ก็ยังใช้เทคนิคเดียวกับที่ Baby Taj เนอะ แต่ด้านในสวยกว่าเยอะค่ะ เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้านในกันดีกว่า ในที่สุดเราก็ถึงด้านในทัชมาฮาลแล้ว หลังจาก ผ่านเวลามาอย่างเนิ่นนานนะคะ ป่าน: เดี๋ยวเดินทะลุเข้าไปกันเลย จริง ๆ ประตูก็ใหญ่มากเหมือนกันเนอะ หมายถึงว่าตัวทางเข้า วิว: ใหญ่ ป่าน: ก็มีความใหญ่มาก วิว: ทุกอย่างยิ่งใหญ่ วิว: แล้วทุกอย่างก็ละเอียด ป่าน: อลังการมาก วิว: เรามองทัชมาฮาลไกล ๆ แล้ว อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นก้อนหินสีขาวอะ แต่ถ้าเราซูมเข้าไป เราจะเห็นว่าไม่เรียบเลยทุกจุด มันมีลาย มีการฝังหินสี มีการฝังทุกอย่าง ละเอียดยิบ ทุกอณูที่เป็นไปได้ ซึ่งพอเราเดินเข้าไปข้างใน ได้ไหม ป่าน: เดี๋ยวต้องลองก่อน เพราะเดินเข้าไปยากนิดนึง วิว: เราเดินเข้าไปข้างในประตู วิว: ค่ะ ป่าน: เดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวขอลอง อะ เราเล่าก่อน วิว: เดี๋ยวเล่าก่อนละกัน ระหว่างที่เดิน วิว: ระหว่างที่เดินเข้าไปจะเล่าให้ฟังว่า สิ่งที่เราจะเห็นข้างในจะต่างจากข้างนอกนิดนึงเพราะว่า ข้างนอกเทคนิคมันเหมือน Baby Taj แหละก็คือ การเอาหินสีต่าง ๆ มาสลับกันแล้วก็มาใส่ลงไปในหินอ่อน แต่เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ได้รับอิทธิพลมาจากยุโรป เพราะว่าช่วงนั้นน่ะฝรั่งเข้ามาติดต่อกับอินเดียละ ก็จะมีชาวยุโรปมาทางทะเล มาค้าขายอะไรต่าง ๆ เทคนิคนี้ชื่อว่าเทคนิค Pietra Dura ซึ่งเป็นเทคนิคของอิตาลี ที่ได้รับความนิยมในช่วงศตวรรษที่ 15 แล้วอินเดียก็เอามาใช้ โดยการตัดหินเป็นโมเสกวางในช่องลายหิน แล้วก็ ปัจจุบันเทคนิคนี้กลายเป็นเทคนิคประจำเมืองอัครา คือ ก็กลายเป็นช่างฝีมือที่เป็นลูกหลานของคนที่ทำทัชมาฮาลก็ ใช้ชีวิตกันต่อมาแล้วก็ สืบทอดเทคนิคนี้กันมาเรื่อย ๆ ค่ะ แต่ความพิเศษของทัชมาฮาลก็คือ ด้านนอกเนี่ยเป็นหินสี เป็นโมเสก แต่ถ้าเราเข้าไปข้างในเนี่ย เราจะเห็นว่ามันไม่ใช่หินละ มันเป็นอัญมณี มันคือการเอาอัญมณีราคาแพงมาฝังเข้าไปในหินอ่อน ซึ่งถามว่า... ถามว่าพวกอัญมณีพวกนี้มาจากไหน อัญมณีพวกนี้นะคะมาจากที่ต่าง ๆ ที่เรียกได้ว่าที่สุดของที่สุดของที่สุดเลย import เข้ามา เช่น โมรา เอามาจากรัฐปัญจาบ เพชรตาแมวเอามาจากแบกแดด ลาพิส ลาซูลี ซึ่งเป็นแร่ทอง ๆ วิบ ๆ เนี่ย เอามาจากอัฟกานิสถาน แซฟไฟร์ขนมาจากศรีลังกา เทอควอยซ์มาจากทิเบต หยกกับคริสตัลเอามาจากจีน ปะการังกับหอยมุกเอามาจากมหาสมุทรอินเดีย แล้วนึกภาพว่าในสมัยนั้นไม่มีเครื่องบิน cargo ไม่มีรถ ไม่มีอะไรเลย ถามว่าขนมายังไง ลำบากมาก ขนมาด้วยช้างประมาณ 1,000 เชือกค่ะ จังหวะนั้นก็ขนกันโหดมากเพื่อเอามาตกแต่งทัชมาฮาลนะคะ เรียกว่างดงามจริง ๆ ทีนี้เราเข้าไปดูด้านในได้รึยังเอ่ย ป่าน: เหมือนจะเข้าไม่ได้เลย เพราะว่าคือ เดี๋ยวต้องลองกดดูอีกที เพราะว่าบางครั้งซอฟต์ก็จะเหมือนอนุญาตให้เราเข้าไป บางครั้งเขาก็จะไม่อนุญาตให้เราเข้าไปนะคะ แต่ว่าเรามีเตรียมภาพไว้แล้วทางด้านใน จริง ๆ ตอนที่ป่านเข้าไปด้านในมาก็คือ เหมือนอย่างที่วิวบอกเลยค่ะว่า สิ่งที่โดดเด่นมาก ๆ ที่สตาฟเขาจะชี้ให้ทุกคนดูนะคะ ก็จะเป็นเรื่องของอัญมณี แล้วก็นี่คือจุดศูนย์กลางเลย เมื่อเราเข้าไปจริง ๆ มันจะค่อนข้างมืดค่ะวิว ป่าน: แต่ว่าพอเข้าไป หัวใจมันคือตรงนี้เลย วิว: ใช่ ป่าน: ให้วิวเล่าเรื่องหลุมศพให้ฟังหน่อยดีกว่า วิว: ตรงนี้นะคะก็คือโลงศพของพระเจ้าชาห์ชะฮัน ซึ่งหลังจากที่สิ้นพระชนม์เนี่ย ก็โดนเอามาฝังไว้คู่กับพระนางมุมตัซ มาฮาลเนอะ แต่ว่าที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าเนี่ย ไม่ใช่หลุมศพจริงค่ะ คือหลุมศพอันนี้เป็นหลุมศพหลอกที่เอาไว้สวย ๆ ให้คนมาเห็นนะคะ อยู่ใน... อยู่ใน เขาเรียกว่าอะไร ฉากแปดเหลี่ยม ซึ่งหลุมศพจริง ๆ จะอยู่ด้านล่างลงไปอีก ใต้พื้น แล้วก็เป็นส่วนตัว ไม่เปิดให้เข้าชมนะคะ ถามว่าทำไม เพราะว่าคติความเชื่อของอิสลามเนี่ย เขาจะให้... ฝังภายใน 24 ชั่วโมงแล้วก็ต้องอยู่กับดิน คือมันไม่ได้สามารถยกขึ้นมาได้อะไรได้ เกิดจากดิน ต้องกลับสู่ดิน ดังนั้นเขาก็ต้องอยู่ข้างล่างไปค่ะ แต่ว่าด้านบนเนี่ย เราจะเห็นว่ามีหลุมศพ 2 หลุมซึ่ง เราจะเห็นจุดแตกต่างได้นิดหน่อยตรงที่ว่า ถ้าเป็นหลุมศพผู้ชายเนี่ยก็จะ มีเหมือนที่วางพู่กันวางอยู่ด้านบนหลุมศพ ส่วนถ้าเป็นของผู้หญิงก็จะเรียบ ๆ เพราะเขาถือว่า ผู้ชายเขียนหนังสือ แล้วก็ผู้หญิงไม่ใช่ค่ะ ซึ่งเอาจริง ๆ ทั้งหมดนี้ก็คือ ทัชมาฮาลที่เราพามาเที่ยวนี่แหละ แล้วก็จะมีข่าวลืออีกนิดหน่อยซึ่งก็เหมือนกับ ข่าวลือของสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ทุกที่ในโลกใบนี้ที่เกิดขึ้น คือก็จะมีข่าวลือกันว่า หลังจากสร้างเสร็จนะก็มีการตัดมือของช่างฝีมือทั้งหมด ที่มาทำทัชมาฮาลทิ้งเพื่อที่ว่า เราจะได้ไม่สามารถสร้างทัชมาฮาลที่สองขึ้นมาได้นะคะ แต่ว่าก็เป็นแค่ข่าวลือแล้วก็ เขาเชื่อกันว่าน่าจะเป็นการเซ็นสัญญามากกว่าว่าแบบ เซ็นสัญญาว่าเธออย่ามา สร้างอะไรที่มันยิ่งใหญ่ทัดเทียมทัชมาฮาลนะจ๊ะ ประมาณนั้น ข่าวลืออีกอันนึงนะคะที่ คนจะได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ มีข่าวลือว่า จะมีการสร้างทัชมาฮาลสีดำอยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำเพราะว่า ให้พระเจ้าชาห์ชะฮันอยู่คู่กับพระนางมุมตัซ มาฮาล แต่ว่า นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ๆ เขาก็เชื่อกันว่า ไม่น่าจะมีจริงหรอกเพราะว่า พระเจ้าชาห์ชะฮันไม่น่าจะอยากโดนฝัง แยกกับพระนางอันเป็นที่รัก น่าจะอยากโดนฝังไว้ในที่เดียวกัน คู่กันแบบนี้มากกว่าค่ะ ดังนั้นนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ บรรพบุรุษของทัชมาฮาลค่อย ๆ ไล่มาทีละยุคว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนเราถึงคิดจะสร้างอะไร ยิ่งใหญ่ระดับทัชมาฮาลขึ้นมา มันไม่ใช่ว่า เขาแค่รักเมียมาก ๆ แล้วก็จินตนาการขึ้นมาจาก กระดาษเปล่าว่าแบบ เฮ้ย ฉันจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบทัชมาฮาลนะ มันมีการวิวัฒนาการแบบนี้ มันมีการที่เห็นว่าบรรพบุรุษของฉันสร้างสิ่งหรูหราแบบนี้ ฉันหรูขึ้นมาได้อีก 1 เลเวลนะ เฮ้ย คนนั้นสร้างแบบนี้ ฉันสูงขึ้นมาได้อีก 1 เลเวล ซึ่งจริง ๆ แรงบันดาลใจมันไม่ได้มีแค่ในเมืองอัครา มันจะมีที่เมืองอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์โมกุลอีก เช่นในเดลีหรือว่าอะไรต่าง ๆ แต่ว่าวันนี้เราเน้นเที่ยวไปที่อัครา เราก็เลยอาจจะพูดถึงแค่ในอัคราเป็นหลักค่ะ ป่าน: เย่ วิว: อย่างยาวนาน ป่าน: โอ้โห ก็คือได้... จริง ๆ คือตั้งแต่... เราไปมาเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ว่าอันนี้เหมือนพาเราย้อนกลับไปในแบบว่า ทริปที่เราไปมาแล้วก็เข้าใจมันมากขึ้นมาก ๆ เลย เหมือนที่วิวบอก คือมันไม่ใช่อยู่ดี ๆ วันนึงเราก็รู้ว่าเราต้องไปเช็กอินที่นี่ เพราะว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ต้องไปแต่ว่า มันเกิดขึ้นจากไหนไม่รู้ แต่พอเรารู้ที่มาที่ไป รวมถึงประวัติศาสตร์และการเดินทาง การ develop เรื่องของสถาปัตยกรรม หรือว่าการใช้พวกแบบอัญมณี หรือมาจากหินสีหรือมาจากที่ต่าง ๆ มันเหมือนมันทำให้รู้สึกแบบ ถึงคุณค่าของสิ่งที่เราดูเพิ่มมากขึ้นด้วย เนอะ เดี๋ยวต่อไปค่ะ เดี๋ยวป่านจะ ให้ทางลูกทัวร์ของเรา feedback ละกันเนอะ หรือว่าเป็นช่วง discussion กันว่าแบบว่า มีอะไรที่อยากสอบถามเพิ่มเติม หรือว่ามีอะไรที่อยากแชร์ไหม หลังจากที่เราได้ไปท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์อินเดียในเมืองอัครามาค่ะ พี่โจ้ก่อนก็ได้ค่ะ โจ้: ครับ โอเค คือ... รู้สึกอยากไปทัชมาฮาลขึ้นมากเลยอะ ปกติแล้ว ไม่ได้สนใจทัชมาฮาลขนาดนั้น เออ คือรู้สึกว่ามันสวยแหละแต่ว่ามันเป็นรูปที่เราเห็นแบบ เห็นอยู่ตลอดเวลา เราเองจะคุ้นชินกับ ศิลปะอินเดียในเชิงฮินดูหรือเชิงพุทธอะไรอย่างนี้มากกว่า แต่ว่าพอมาทัวร์กับวิววันนี้รู้สึกว่าเฮ้ย มันมี... มันมีที่เที่ยวหลายอย่างนะที่ โหย มันเป็นงานฝีมือที่น่าจะไปดูของจริงมากเลยอะ แผงชาลีนี่คือแบบ โห ทำไปได้ยังไงอะ น่าไปดูของจริงมากว่าสุดท้ายแล้ว product จริงมันเป็นยังไง ไปเห็นด้วยตาอะไรอย่างนี้ น่าสนใจมากแล้วก็ มีทัชมาฮาล 3 สี ที่พี่ต้องไป 3 รอบปะเนี่ย ถึงจะได้ 3 สี วิว: พี่อาจจะต้องไปนอน 3 วันแล้วเข้าไป 3 รอบ โจ้: เออ น่าไปดูมาก น่าสนใจมากเลยครับ ป่าน: ต้องรีบไปก่อน ต้องรีบไป พี่โจ้ต้องรีบไปก่อนมันหมอง เหมือนน้องวิวเล่าใช่ปะว่า เหมือนช่วงที่มี pollution เยอะ ๆ มันมีความหมองได้ด้วยอะ วิว: ใช่ ทัชมาฮาลมันหมองไปช่วงนึง มันแบบ มันดำไปช่วงนึงจนกระทั่งเมืองอัคราต้องออกกฎ เพื่อที่จะรักษาทัชมาฮาลนี้เอาไว้ โดยการแบบห้ามรถยนต์เข้าในรัศมีเท่านั้นเท่านี้ ต้องขับรถช้า ๆ ห้ามขับเร็วนะ แล้วก็ต้องมี spa day สำหรับทัชมาฮาล วิว: อันนี้ลืมแบบลืมเล่าไปเลย มันมี spa day ด้วยนะ โจ้: ไปทำความสะอาด วิว: ใช่ ที่แบบให้ผู้หญิงชาวอินเดียเอา โจ้: อ๋อเหรอ ส่วนผสมพิเศษไปแปะ ๆ แล้วก็ขัดทัชมาฮาลกัน ประมาณนั้นน่ะ เพราะถ้าเขาไม่ส่องสว่างแบบเป็นหินอ่อน มันก็คงน่าเสียดายเนอะ แต่ว่าอย่างที่เรารู้กัน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็มีเรื่องที่มี pollution หรือว่า PM2.5 ที่อินเดียมันค่อนข้างเยอะมาก แล้วก็โดยเฉพาะที่เมืองอัคราเลย เราจะเห็นภาพที่มันแบบ ฝุ่นเยอะมากจริง ๆ แล้วพอมันเป็นหินอ่อนก็น่าจะ absorb ไปเยอะเหมือนกัน แล้วกันล่ะคะ มีอะไรอยากแชร์บ้าง กับคนที่เคยอยากไปอินเดียมา กัน: เห็นด้วยกับพี่โจ้เลยฮะ คือแบบธรรมดา... ทัชมาฮาลก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แบบ โห จุดหมายปลายทางที่แบบอยากไปเยือนขนาดนั้นแต่พอ พอฟังน้องวิวเล่าว่าแบบ เขา... กว่าจะต้องเดินเข้าไป ต้องผ่านซุ้มประตู แล้วก็จะเห็น เฟรมแรกของทัชมาฮาลว่าเหมือนกับเขาคิดมาแบบ เขาคิดมาเยอะอะ แล้วก็ พอเราทัวร์ตามเมื่อกี้แล้วเราคิดภาพตาม เราก็คิดว่าแบบถ้าเรา... ลงเครื่องจากอินเดียแล้วเราอยากเห็นทัชมาฮาล แต่เราจะยังไม่ได้เห็นมันเลย แล้วเรามาแล้วเราจะ เข้าอันนั้นไปแค่ทางเดียวเนอะ แล้วแบบผ่านทางผ่านเฟรมมาแล้วเห็นภาพ ภาพที่ได้เห็นตรงนั้นมันน่าจะแบบ epic มาก แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าผมไปนี่ ผมคงอยู่ทั้งวันเหมือนกันนะ หมายถึงว่า คงอยากเห็น 3 สีจริง ๆ อะ คือถ้ารู้สึกว่า เป็นจุดที่มันแบบ โห มันอินกับสถานที่นี้แล้วเนอะ มันเหมือนมันน่าจะอยากเห็นเหมือนกันว่า ทุกรูปแบบที่เขาจะเป็นได้มันจะเป็นยังไง แล้วก็เรื่องที่เล่าเรื่องแบบ การเลือกอัญมณีจากตรงนั้นตรงนี้มาใส่มันก็ โหมัน... detail มันเยอะกว่าที่เราคิดว่ามันเป็นแค่สถานที่ที่แบบ ใหญ่โต หมายถึงว่าเป็นสุสานที่ยิ่งใหญ่อะไรอย่างนี้ มันมี detail ที่แบบน่าทึ่งครับ ป่าน: ตอนที่ป่านไปดูอะ ตอนที่เข้าไปข้างใน ความภูมิใจของสตาฟอะค่ะ นอกจากจะเล่าเรื่องหินสีอะ คือเขาไม่ได้ภูมิใจเรื่องหินสีขนาดที่พวกเรารู้สึก แต่สิ่งที่เขาภูมิใจมากคือความสมมาตรของมัน คือเหมือนเขาพรีเซนต์กับป่านเรื่องนี้มากว่าแบบ you ดูสิ ถ้าเกิด you มองจากในสุสานออกไปอะ สิ่งที่ คือเขาก็ถือว่าเหมือนเป็นสวรรค์ ของทั้ง 2 องค์อะเนอะ ก็คือ ถ้าเกิดว่า 2 คนนี้มองออกจากสวรรค์ของตัวเอง มองไปที่สวน มองไปเห็นประตูอะ ทุกอย่างมันจะสวยงามมาก คือมองไปเห็นเส้นของน้ำ ข้างหลังเป็นแม่น้ำใหญ่ เห็นสวนที่สวยงามที่แบบ เคยเป็นสวนของอังกฤษอะไรอย่างนี้ เขาก็บอกว่าความสมมาตรคือที่สุด แล้วเขาก็บอกว่า นึกดูสิ ในยุคนั้นมันไม่มีเครื่องมือวัดนะ พวกเราต้องแบบเป็นแรงงานคนในการคำนวณทุกอย่าง แล้วมันมีความใหญ่มากแต่แบบ เขาบอกว่ารับประกันความเป๊ะมาก ๆ ค่ะ รวมถึงตัวโถงโดมข้างในก็ ตอนที่เข้าไป เขาจะให้ลองส่งเสียงเป็นคำว่าอะไรก็ได้ เหมือนมันมีวิทยาศาสตร์ ของการใช้พื้นที่ เพื่อทำให้เสียงมันก้องอยู่อะค่ะ จริง ๆ อันนี้เป็นอีกมุมนึงที่น่าสนใจเหมือนกัน ที่น่าจะหยิบขึ้นมาเล่าเนอะ แต่มันจะเห็นชัดในตัว Agra Fort มากกว่า วิธีการเหมือนกับวิทยาการอะ วิทยาการของเขา ของคนอินเดียค่ะ คือเขาใช้เรื่องการออกแบบพื้นที่กับเรื่องวิทยาศาสตร์ เช่นแบบ อย่างที่ป่านบอกไปว่าเป็นเรื่องโถง แล้วพอพูดไปจะมีเสียงสะท้อน ไม่ใช่เสียงก้องด้วย แต่เป็นเสียงสะท้อนที่ทำให้เสียงเราดังขึ้น จากการออกเสียงเพียงนิดเดียว หรือว่าเรื่องของช่องทางลม เหมือนวิวเป็นคนเล่าให้เราฟังเรื่องเสียงผ่านกำแพงด้วย วิว: ใช่ คือเหมือนกับว่าราชวงศ์โมกุลเขาค่อนข้าง เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์อะค่ะ ด้านการส่งเสียง คือตรงทัชมาฮาลกับตรง Agra Fort วิวอาจจะไม่เห็น เพราะวิวไม่เคยไปแต่ว่า ตรงป้อมที่อีกเมืองที่วิวเคยไปเนี่ย ซึ่งเป็นของโมกุลเหมือนกันน่ะ มันมีเทคโนโลยีถึงขนาดที่ว่า ปัจจุบันนี้ถ้าสมมติว่าเราจะคุยกับคนที่หน้าบ้าน เราต้องใช้ intercom ใช่ไหม แต่อันนี้ป้อมมันใหญ่มาก ใหญ่แบบใหญ่กว่าสนามศุภอะ แต่ถ้าสมมติว่าอยากส่งเสียงเตือนภัย หรืออยากเรียกคนใช้จากหน้าบ้าน เขาสามารถตบมืออย่างนี้ แล้วเสียงมันจะสะท้อนไปในกำแพงค่ะ แล้วมันจะไปได้ยินที่ฝั่งนู้นเลย ซึ่งไปลองมาแล้วมันก็ทำได้จริง ๆ ก็แบบน่าสนใจมาก ๆ แล้วก็ มันเห็นได้จากแทบทุกอาคารของโมกุลเลยแล้วก็ เหมือนกับว่าสมกับที่อินเดียเป็นเจ้าพ่อคณิตศาสตร์โลก เขาก็เป็น 1 ในคนที่คิดค้น คณิตศาสตร์หรือการคำนวณต่าง ๆ หลายอัน ก็สมแล้วที่เขามีวิทยาการเหล่านี้มาใช้นะคะ ป่าน: ใช่ จริง ๆ ตอนที่ป่านไป Agra Fort เขาจะให้แบบ เนี่ย ลองพูดเข้ากำแพงฝั่งนี้สิ แล้วคนที่ฟังอยู่กำแพงอีกฝั่งนึงจะได้ยิน ซึ่งไม่ใช่เป็นการกั้นผนังอย่างนี้ แล้วพูดใส่แล้วอีกฝั่งนึงได้ยินนะคะ คือพูดใส่ฝั่งนี้แล้วข้างหลังป่านที่อยู่แบบ อีกกำแพงไกล ๆ อะ ได้ยิน แล้วป่านก็ถามเขาว่าแล้วมันเดินทางเสียงยังไง คือเขาบอกว่ามันมีการวาง อยู่ข้างในกำแพงอีกทีนึง ที่มันจะวางเหมือนเป็นปล่อง ในการที่ให้เสียงสามารถผ่านไปได้ แล้วก็รวมถึงวิทยาการที่ทำให้แบบเหมือนมันร้อนค่ะ เขาก็จะมีการเหมือนกับเดินท่อน้ำอยู่ข้างในผนัง เพื่อทำให้พื้นผิวมันเย็น หรือเรื่องของลม ที่แต่ก่อนไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม อินเดียมันเป็นแบบเหมือนเมืองที่ร้อน เขาก็จะมีเรื่องการสร้างช่องลมที่ทำให้ลมเข้าแต่ลมไม่ออก แล้วป่านรู้สึกว่าพวกนี้น่าสนใจมากเหมือนกันที่ เราได้เห็นวิทยาการต่าง ๆ ของคนสมัยก่อน ที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องการออกแบบ เมื่อกี้เห็นมีคนถามขึ้นมา คุณ Salinee ค่ะ ถามว่าแบบ ท่านชาห์ชะฮันมีสถาปนิกไหมคะวิว มีค่ะ มีสถาปนิกแล้วไม่ได้เป็นสถาปนิกที่ใช้ของอินเดียด้วยนะ ชาห์ชะฮัน import นะคะมาจาก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมาจากเปอร์เซีย คือทุกคนที่พูดผ่านมาเนี่ย ตั้งแต่ Fatehpur Sikri หรือว่าอะไรต่าง ๆ มีการ import สถาปนิกทั้งนั้นเลยแต่ว่า แต่ละคน import มาจากคนละเมือง วิวอาจจะจำสลับกันนิดนึงแต่ถ้าจำไม่ผิดเนี่ย ของชาห์ชะฮัน import มา วิว: ถ้าจำไม่ผิดมาจากเปอร์เซีย ป่าน: เป็นความ import ไปอีก ป่าน: มีใครมีคำถามอีกไหม อ๋อ นี่ คุณ Salinee คนเดิมเลยค่ะ แชร์มาบอกว่า เทคนิคการส่งเสียงผ่านกำแพงเป็นนวัตกรรมอิสลามเลยค่ะ ที่อิหร่านก็มี สนุกมาก แสดงว่ามีหลายที่ให้เราทดลองดู ว่าแต่ละอาคารเขาออกแบบแบบไหนเนอะ แล้วก็มีคุณ แต่กลัวออกเสียงผิดมากเลย คุณอ๋องป้ะคะ บอกว่าอินเดียเดือนที่มีมลพิษสูงสุดคือพฤศจิกา เป็นเทศกาลชื่อว่า เดวาลี ค่ะ วันที่ 14 คือทุกคนจะจุดเทียนทั้งวันแล้วก็ทั้งคืนเลย เป็นเวลาหลายวัน อากาศก็จะมีควันดำ มีมลพิษมากสุด ก็คือแนะนำทุกคนว่ามันจะถ่ายรูปไม่สวย เพราะว่าหมอกจะเป็นสีเทาปนเหลือง ถ้าเป็นภูมิแพ้อย่าไปนะคะ เห็นด้วย จริงค่ะ เพราะว่าช่วงที่อินเดียมลพิษเยอะจริง ๆ วิว: ยกมือค่ะ ไปหามาให้แล้วเมื่อกี้ จำได้ว่าจดไว้แต่ว่าเมื่อกี้ไม่ได้ดู สถาปนิกที่เป็นคนสร้างทัชมาฮาลนะคะ ชื่อว่า Ahmad Lahouri import มาจากอิหร่านกับตุรกีค่ะ เป็นคนแถวอิหร่านกับตุรกี แถวนั้นซึ่งเป็นเจ้าพ่อสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว ตุรกีก็ที่เราเห็นพวกสถาปัตยกรรมแถวนั้น มัสยิดยิ่งใหญ่อลังการหมดทุกที่นะคะ ป่าน: ยังมีคำถามมาเรื่อย ๆ จริง ๆ ใน Live แล้วก็ช่อง Live แต่ละคน ก็ยังเหมือนส่งคำถามกันเข้ามาอยู่นะคะ เดี๋ยวป่านจะอ่านคำถามสุดท้ายละกันก่อนที่ จะให้วิวฝากอะไรหน่อยก่อนไปนะคะ มีคนถามว่า คุณ Sathikarnthipa เหรอคะ ป่านอ่านออกเสียงไม่ถูกเลย ขอโทษถ้าป่านอ่านผิดนะคะ ถามว่าเมื่อกี้ตรงที่เป็นทัชมาฮาลอะค่ะ มัสยิดฝั่งไหนเป็นของจริง ฝั่งไหนเป็นของปลอมเหรอคะ จริง ๆ ของปลอมที่พูดถึงก็คือ เขาเอาไว้รับแขกเนอะ แต่ว่าอันไหนที่เขาใช้กันจริง ๆ คะ ป่าน: อันไหนที่เขาใช้จริงคะวิว วิว: ถ้าจำไม่ผิดนะคะ ถ้าวิวจำไม่ผิดนะ อันนี้ไม่แน่นะคะ ถ้าจำไม่ผิดคือฝั่งซ้าย เพราะว่า เหมือนเห็นภาพว่าคนไปละหมาดกันที่ฝั่งซ้าย แต่ว่า วิวอาจจะจำสับสนกันก็ได้เพราะว่า สารภาพเลยว่ามันสมมาตรมากจนเวลาเขาถ่ายมาว่า นี่คือมัสยิดจ้า มันเหมือนกันเลย ดูไม่ออก นะคะ ยกเว้นจะไปดูข้างใน ซึ่งความเป็นศาสนสถาน เขาไม่ให้ดูข้างใน ก็เลยไม่เห็น อันนี้สารภาพตรง ๆ เลย ป่าน: ใครไปก็คือ จริง ๆ มันเดินดูจากด้านนอกได้เลยค่ะ แล้วมันก็อยู่ในบริเวณเดียวกัน คือเมื่อเดินจากด้านล่างที่เป็นสวนขึ้นไป มันจะมีบันไดให้ขึ้น 2 ฝั่งแต่จริง ๆ มันทะลุกันเนอะ ก็คือตรงกลางเป็นทัชมาฮาล แต่ว่า ถ้าอยากดูเนี่ยสามารถเดินดูได้ทั้ง 2 ฝั่ง แต่ว่าเหมือนที่น้องวิวบอกเลยคือเข้าไปดูข้างในไม่ได้ ก็อาจจะได้เห็นจากด้านนอกว่าด้านไหนเขาทำพิธี แล้วก็ไม่ต้องเข้าไป วิว: เพราะว่าตอนนี้ปัจจุบันอะ ขอโทษนะคะ ตอนนี้ปัจจุบัน มัสยิดเขายังใช้งานอยู่ มันยังเป็นมัสยิดที่ยัง active อยู่ ยังใช้งานเหมือนสมัยก่อนเป๊ะเลย ป่าน: อื้อ อันนี้เป็นคำถาม เมื่อกี้ป่านว่าคำถามสุดท้ายแต่อีกคำถามนึงน่าสนใจมาก คุณ Supakrit ค่ะบอกว่า ช่วงที่อังกฤษเข้ามามีอิทธิพลในอินเดีย แล้วสถานการณ์ของทัชมาฮาลเป็นยังไงบ้างอะวิว วิว: โอ บอกเลยว่าสถานการณ์เหวี่ยงมากค่ะ ตั้งแต่มีข่าวลือว่าจะมีการทุบทัชมาฮาล แล้วก็เอาหินอ่อนไปขาย ก็มี แล้วก็มีข่าวลือว่ามีการแงะอัญมณีทัชมาฮาลไปขาย ก็มี แต่อย่างนึงที่เราเห็นชัด ๆ แน่ ๆ เลยก็คือสวนด้านหน้าค่ะ สวนด้านหน้าทัชมาฮาลที่เราเห็นทั้งหมดเมื่อกี้ แอบเปิดภาพได้ไหมคะ ที่เราเห็นทั้งหมดเมื่อกี้เราจะเห็นว่า สวนมันหน้าตาวิกตอเรียมาก ๆ เลย สวนมันหน้าตาเหมือนสวนอังกฤษเป๊ะเลย เพราะว่านี่คือสวนที่ชาวอังกฤษสร้าง มันไม่ใช่สวนที่เป็นออริจินัลของทัชมาฮาล นี่คือสวนที่เขาปรับปรุงแล้วว่าอังกฤษชอบแบบนี้ เป็นสไตล์วิกตอเรีย แต่ว่า จริง ๆ แล้วค่ะ เหมือนราชวงศ์โมกุลเขามี concept ความสวยงามในหัวของเขาแบบนึง เขาจะมองว่าแบบ เฮ้ย พื้นที่ที่อินเดียมันไม่สวยเลย ฉันอยากปรับ ตั้งแต่สมัยคิงบาบูร์ละ เขาก็จะปรับในรูปแบบของเขา ซึ่งสวนแบบออริจินัลในทัชมาฮาลเนี่ย มันจะเป็นสวนดอกกุหลาบกับสวนแดฟโฟดิล ก็คือจะเน้นดอกไม้มากกว่านี้ มันจะไม่ได้เขียว ๆ แบบนี้ ทุกวันนี้ถ้าเรามองไปมันจะเป็นแบบวิกตอเรีย จะเขียวเป็นหลัก แต่ว่าไม่ สำหรับพระนางมุมตัซ มาฮาลจริง ๆ แล้ว เขาสร้างสวนกุหลาบ เป็นส่วนดอกไม้เพื่อเธอ ประมาณนั้นค่ะ อันนี้ก็คือ.... ป่าน: 9,999 ดอกมาก วิว: อาจจะเกิน อันนี้อาจจะ 90,000 99,900 อารมณ์นั้น ป่าน: ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นสวนหมดแล้วนะคะ ซึ่งเป็นที่หลบแดดได้ดีนะคะ แต่ว่าที่นี่ ก็คือว่าแนะนำสำหรับคนที่จะไปเที่ยวแล้วกันเนอะ ระหว่างทางก็จะ ด้วยความที่เราเป็นคนต่างชาติกันนะคะ ก็จะมีคนมามุงถ่ายรูปพวกเราเยอะมากนะคะ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ไปก็จะรู้สึกเหมือน เราจะได้เป็นเหมือนซูเปอร์สตาร์ในวันนั้น ๆ นะคะเพราะว่า ไม่ว่าจะไปที่ไหนของอินเดีย ถ้าเกิดสมมติเขาเห็นเราเป็นชาวต่างชาติ เขาจะเข้ามาขอ selfie มาขอถ่ายรูปด้วย ก็ที่นี่จะเยอะมากเป็นพิเศษเพราะว่าเหมือน เขาคาดการณ์อยู่แล้วว่าจะเจออะเนอะ วิว: จะบอกว่ามาแบบรวดเร็ว แล้วมาตลอดเวลาด้วยค่ะ คือไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ เขาจะสะกิดเราแล้วบอกว่า madame, madame selfie please. เขาจะเรียกเราว่ามาดามเนอะ ป่าน: ใช่ ๆ madame, selfie, selfie อุ้ย อันนี้เป็นความรู้ที่น่าสนใจ ขอบคุณที่แชร์ค่ะ คุณนกบอกว่า รูปแบบสถาปัตยกรรม islamic art จะเน้นลักษณะสมมาตร แล้วก็ยุคนั้นเนี่ยยังไม่เป็นอินเดียด้วยนะคะ ตอนเรียน fine art ที่อินเดีย อาจารย์แขกถึงขั้นให้ถอดรหัสการสร้างกันเลยทีเดียว อยากเห็นรหัสการสร้างนั้นเลยว่าคำนวณกันขนาดไหนมันถึง เป๊ะแล้วก็สวยงามได้ขนาดนี้นะคะ วิว: ใช่ การรับน้ำหนักโดมนี่ก็เทคโนโลยีโหดอยู่นะคะ ป่าน: น่าจะโหดอยู่ น่าจะโหดอยู่ วิวจ๋า แล้วตอนนั้นที่ทัชมาฮาลสำเร็จแล้ว สร้างเสร็จแล้ว ถ้าเกิดเทียบกับไทยนี่มันประมาณช่วงไหนอะคะ ป่าน: ถ้าไล่ไทม์ไลน์นี่จะ... วิว: เดี๋ยวนะ วิว: ถ้าไล่ไทม์ไลน์ วิวว่าน่าจะช่วง... ปลายอยุธยามั้งคะ วิวไม่ค่อยแน่ใจ อันนี้ต้องเดี๋ยวเช็กปีนิดเดียว ปีทัชมาฮาล วิวว่าน่าจะปลายอยุธยานะ เพราะว่าจากพระมหาจักรพรรดิ ไทยก็... พระมหาจักรพรรดิตรงกับ ปู่ใช่ไหม เอ๊ย ตรงกับ น่าจะตรงกับช่วงไม่พระนารายณ์ก็... อะไรทำนองใกล้ ๆ นั้นน่ะค่ะ กลาง ๆ ปลาย ๆ อยุธยา ป่าน: เดี๋ยวหาคำตอบได้แบบว่าเป๊ะ ๆ แล้วเดี๋ยวจะเข้าไปแปะในคอมเมนต์ให้นะคะ แต่ว่าเดี๋ยวตอนนี้คิดว่า ประมาณนี้ที่เราพาไปทัวร์กันมา สำหรับ Self Quarantour นะคะในวันนี้ เดี๋ยวให้น้องวิวฝากสุดท้ายดีกว่าว่า เป็นยังไงบ้าง ได้พาไปทัวร์ที่อินเดียมา แล้วอยากฝากอะไร ทำไมถึงอยากชวนให้คนไปเที่ยวที่อัครากันคะ วิว: ส่วนตัวเนี่ยสารภาพเลยว่ายังไม่เคยไป แล้วตอนแรกก็ไม่คิดจะไปด้วย ทั้ง ๆ ที่อย่างที่บอกตอนต้นก็คือ ตัวเองไปเฉียดทัชมาฮาลไปแล้ว แต่ว่าไม่ได้เหยียบเข้าไป ดังนั้นพอมาทำทัวร์อันนี้ เสียดายจนถึงวินาทีนี้ว่าตอนนั้นอีกแค่ครึ่งชั่วโมง ทำไมไม่เข้าไป ก็คือ ได้มาทำอันนี้ก็เลยกลายเป็นอยากไปไปเลย อินกับศิลปะของ islamic art ไปเลยนะคะ ดังนั้น คือมันทำให้วิวรู้ว่า จริง ๆ เบื้องหลังของอะไรต่าง ๆ มันก็มีเรื่องราวอะไรของมันอยู่เบื้องหลังเข้าไปอีกอะ คือปกติจะเป็นคนอินกับฮินดู ไม่ค่อยอินกับอิสลามแต่ว่า มันทำให้วิวมองว่าจริง ๆ ในเรื่องที่เราไม่เคยจะอินเนี่ย มันก็ทำให้เราเปิดใจแล้วเห็นว่ามันก็มี เรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่เหมือนกันดังนั้น ขอให้เราเปิดใจอะค่ะแล้วก็ สถานที่ที่มันอาจจะดู cliché มันอาจจะดูว่าแบบ เฮ้ย ไม่มีอะไร ใคร ๆ ก็ไปกัน จริง ๆ แล้วถ้าเราไปศึกษาเรื่องราวของมันเนี่ย มันอาจจะทำให้เราเห็นอีกมุมนึงเลยก็ได้ ประมาณนี้ ดังนั้นไปเที่ยวอัครากันเถอะจ้ะ ไปเที่ยวทัชมาฮาลกันค่ะ ป่าน: สวยงามค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลย ตบมือให้กับวิวแล้วก็ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ที่วิวเล่าทั้งหมด แล้วก็เป็นไกด์พาพวกเราเข้าไปทัวร์นะคะ อย่างที่วิวบอกเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหนนะคะ จะเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์หรือว่าการพาไปดูศิลปะ ใจความของที่พวกเราพยายาม พวกเรา Ground Control พยายามที่จะพาไป ผ่าน Self Quarantour คืออยากให้ทุกคนได้ซึมซับเรื่องของประวัติศาสตร์ ได้รู้บริบทของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ ได้เห็นในมุมมองที่แตกต่าง ผ่านไกด์ที่หลากหลายนะคะ ที่มาเล่าให้ทุกคนฟังถึงแง่มุมทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ด้วย แล้วก็ทางด้านศิลปะ เพื่อให้เห็นการเชื่อมโยงทั้งหมดเข้าด้วยกันนะคะ ก็อยากแนะนำให้ไป ป่านเป็นคนนึงที่เคยไปอินเดีย ไปอัครามาแล้วก็ อยากบอกเลยค่ะว่า อย่าพลาดเลย เป็นสิ่งนึงที่ครั้งหนึ่งลองไป แล้วตอนนี้ได้รู้แล้วว่าเนื้อหามันเป็นยังไง เพิ่มเติมได้แน่นอนกับบริบททั้งเรื่องการเมือง แล้วก็การใช้ชีวิตของพวกเขา เติมเต็มมาก ๆ สำหรับวันนี้นะคะ ต้องขอขอบคุณวิวมาก ๆ เลยที่มาเป็นไกด์ให้กับพวกเรา ขอบคุณกัน ขอบคุณพี่โจ้ด้วยนะคะที่มาเป็นลูกทัวร์ แล้วก็ขอบคุณลูกทัวร์ที่ดูอยู่ในทุก ๆ ช่องทางนะคะ ทั้งเพจ Ground Control ทั้งเพจ Point of View แล้วก็ทางแชนเนล Youtube ของ Point of View นะคะ แล้วก็ทุก ๆ แชนเนลของน้องวิวเลยนะคะ กลับมาพบกับพวกเรา Ground Control ได้ใหม่นะคะ ทาง Self Quarantour ทุกวันพฤหัส 1 ทุ่มครึ่งนะคะ สำหรับ EP. หน้า EP. ที่ 7 นะคะ เราก็จะกลับไปทางตะวันตกกันอีกครั้งนึงนะคะ กับ Frida Kahlo ค่ะ กับพี่แพทนะคะที่จะมาเป็นไกด์ให้กับพวกเรา ก็เวลาเดิม แล้วก็ติดตามกันได้ทางเพจ Ground Control นะคะ สำหรับวันนี้ก็ เดี๋ยวป่านก็จะขอลาไปก่อน เพราะว่าตอนนี้ก็ประมาณ 4 ทุ่ม เวลากำลังดีนะคะ เข้านอนก็หลับฝันดี นมัสเตทุกคนค่ะ สวัสดีค่ะ / ครับ บ๊ายบาย