WEBVTT 00:00:14.455 --> 00:00:16.467 ใครเป็นคนคิดค้นการเขียน 00:00:16.467 --> 00:00:18.882 มนุษย์น่าจะสื่อสารกันด้วยวิธีการพูด 00:00:18.882 --> 00:00:20.935 มาเป็นเวลามากกว่าหมื่นปี 00:00:20.935 --> 00:00:22.892 แต่เราเริ่มบันทึกสิ่งที่เราพูด 00:00:22.892 --> 00:00:24.977 เมื่อประมาณ 5,000 ปีที่ผ่านมา 00:00:24.977 --> 00:00:26.894 ก่อนหน้านั้น เราบันทึกข้่อมูล 00:00:26.894 --> 00:00:28.776 ด้วยภาพ และแผนภาพ 00:00:28.776 --> 00:00:30.309 บนหม้อดิน และฝาผนังถ้ำ 00:00:30.309 --> 00:00:32.230 หรือถักทอเป็นผืนผ้า 00:00:32.230 --> 00:00:36.042 การสร้างสรรค์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่นำเราไปสู่ การสร้างระบบการเขียน 00:00:36.042 --> 00:00:38.027 ระบบที่เราใช้กันในภาษาอังกฤษ 00:00:38.027 --> 00:00:40.304 ที่จริงเริ่มมาจากวัฒนธรรม สุเมเรียน 00:00:40.304 --> 00:00:45.034 ในช่วงระหว่าง 4500 และ 1750 ปีก่อนคริสตกาล 00:00:45.034 --> 00:00:49.037 แถบลุ่มแม่น้ำเมโสโปเตเมียตอนล่าง ประเทศอิรัก และซีเรียในปัจจุบัน 00:00:49.037 --> 00:00:51.499 ชาวสุเมเรียน จดบันทึกข้อตกลงทางธุรกิจ 00:00:51.499 --> 00:00:55.709 ด้วยก้อนดินที่ปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น แพะ ลา และวัว 00:00:55.709 --> 00:00:58.420 จากนั้นพวกเขาก็ค้นพบการสลักแบบสองมิติ 00:00:58.420 --> 00:01:00.163 บนแผ่นดิน ซึ่งยิ่งทำให้การบันทึกสะดวกยิ่งขึ้น 00:01:00.163 --> 00:01:03.619 ยกตัวอย่างเช่น สัญลักษณ์นี้แปลว่า ภูเขา 00:01:03.619 --> 00:01:06.004 อันนี้แปลว่า ศรีษะ 00:01:06.004 --> 00:01:08.433 ถ้าบริเวณปากบนรูปศรีษะถูกเน้น 00:01:08.433 --> 00:01:09.998 นั่นก็จะหมายถึง ปาก 00:01:09.998 --> 00:01:12.621 ปากเมื่อรวมกับสัญลักษณ์น้ำ แปลว่า ดื่มน้ำ 00:01:12.621 --> 00:01:15.955 และสัญลักษณ์ปากเมื่อรวมกับขนมปัง หมายถึง กิน 00:01:15.955 --> 00:01:17.146 ใส่สัญลักษณ์ของวัวเข้าไป 00:01:17.146 --> 00:01:18.517 ก็จะได้ประโยคที่ว่า เรากินวัว 00:01:18.517 --> 00:01:20.843 เอาล่ะ นี่แหละจุดเริ่มต้นของระบบการเขียน 00:01:20.843 --> 00:01:22.310 แต่คำบางคำก็มีความหมาย 00:01:22.310 --> 00:01:24.850 ที่อธิบายด้วยสัญลักษณ์ได้ลำบาก 00:01:24.850 --> 00:01:28.268 คุณจะวาดรูป วัวในหุบเขาได้ยังไง 00:01:28.268 --> 00:01:30.022 จำไว้ว่า ถ้าคุณวาดภาพตามความหมายนั้น 00:01:30.022 --> 00:01:32.812 ก็จะกลายเป็นศิลปะ การวาดภาพ ไม่ใช่การเขียน 00:01:32.812 --> 00:01:34.394 เพื่อทำให้เป็นการเขียน 00:01:34.394 --> 00:01:37.361 เราต้องใช้สัญลักษณ์แทนคำ 00:01:37.361 --> 00:01:39.735 คุณอ่านสิ่งนี้ได้หรือไม่ 00:01:39.735 --> 00:01:43.265 ประโยคอมตะ จาก แฮมเลท โดย วิลเลี่ยม เชกสเปียร์ 00:01:43.265 --> 00:01:46.111 ใช่ "อยู่หรือตาย" (To be or not to be) 00:01:46.111 --> 00:01:48.831 วิธีนี้เป็นวิธีที่ชาวสุเมเรียนใช้แก้ปัญหาเช่นกัน 00:01:48.831 --> 00:01:52.284 วัว บวกกับ น้ำ บวกกับ ภูเขา 00:01:52.284 --> 00:01:54.750 ว่าแต่น้ำมาเกี่ยวอะไรด้วย 00:01:54.750 --> 00:01:56.636 ก็เพราะ คำว่าน้ำในภาษาของชาวสุเมเรียน 00:01:56.636 --> 00:02:00.237 ออกเสียงเหมือนคำอีกคำที่แปลว่า "ใน" 00:02:00.237 --> 00:02:03.324 ดังนั้น "วัวในหุบเขา" จึงใช้สัญลักษณ์นี้ 00:02:03.324 --> 00:02:06.495 นักภาษาศาสตร์ เรียกระบบการเขียนแบบนี้ว่า การเขียนเป็นภาพปริศนา 00:02:06.495 --> 00:02:07.698 ชาวสุเมเรียน รู้แล้วว่า 00:02:07.698 --> 00:02:10.088 จะนำเสนอความหมาย ด้วยสัญลักษณ์ที่เป็นตัวเขียน ได้อย่างไร 00:02:10.088 --> 00:02:11.917 เนื่องจากตัวเขียนนั้น ยังทำหน้าที่เป็นสื่อแทนเสียงอีกด้วย 00:02:11.917 --> 00:02:14.544 ชาวสุเมเรียนจึงขยายคำศัพท์ที่บันทึกเป็นตัวเขียนได้ 00:02:14.544 --> 00:02:16.501 และค่อยๆสร้างสัญลักษณ์แทนเสียงต่างๆ 00:02:16.501 --> 00:02:18.047 ถูกใช้บ่อยครั้งขึ้น 00:02:18.047 --> 00:02:20.216 และสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายก็ถูกใช้น้อยลง 00:02:20.216 --> 00:02:22.183 ระบบการเขียนก็เลยกลายเป็น ระบบที่ถูกปรับ 00:02:22.183 --> 00:02:24.053 ให้เป็นตัวอักษรที่ใช้แทนหน่วยเสียง 00:02:24.053 --> 00:02:26.138 ที่เรารู้จักกันในชื่อเรียกว่า ตัวอักษรคูนิฟอร์ม 00:02:26.138 --> 00:02:28.599 ในอีกหลายๆวัฒนธรรม เช่น ชาวอาคาเดียน และชาวซีเรีย 00:02:28.599 --> 00:02:30.517 ก็รับเอาผลงานการประดิษฐ์ของชาวสุเมเรียน 00:02:30.517 --> 00:02:32.737 และนำมาสร้างเป็นระบบเขียนของพวกเขาเอง 00:02:32.737 --> 00:02:33.854 มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh) 00:02:33.854 --> 00:02:35.132 และ ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี 00:02:35.132 --> 00:02:37.754 ถูกจารึกด้วยอักษรคูนิฟอร์ม ในหลากหลายรูปแบบ 00:02:37.754 --> 00:02:39.131 เมื่อเทคโนโลยีนี้แพร่ออกไป 00:02:39.131 --> 00:02:41.243 สัญลักษณ์เหล่านี้ก็เดินทางไปถึงกรีก 00:02:41.243 --> 00:02:44.846 และกลายเป็นตัวอักษรที่มีผู้ใช้ แพร่หลายมากที่สุดในโลกในปัจจุบัน 00:02:44.846 --> 00:02:46.742 แต่ สุเมเรีย ไม่ใช่แห่งเดียวบนโลก 00:02:46.742 --> 00:02:48.322 ที่การเขียนได้ถูกคิดค้นขึ้น 00:02:48.322 --> 00:02:49.912 ชาวอียิปต์โบราณได้พัฒนาอักษร ฮีโลกริฟฟิก 00:02:49.912 --> 00:02:54.046 และ อักษรไฮราติก ในช่วงเวลาใกล้ๆกัน คือ 3500 ปีก่อนคริสต์กาล 00:02:54.046 --> 00:02:56.726 จากนั้น ระบบการเขียนก็ถูกพัฒนาขึ้นในจีน โดยไม่ได้อ้างอิงจากระบบใดๆ 00:02:56.726 --> 00:02:58.550 ในช่วง 1500 ปีก่อนคริสต์กาล 00:02:58.550 --> 00:03:01.503 จากนัั้น อักษรนี้ก็แพร่ออกไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 00:03:01.503 --> 00:03:04.966 และที่ใกล้กับสมัยปัจจุบันที่สุด ก็คือ วัฒนธรรมมายา ในแถบตอนกลางของอเมริกา 00:03:04.966 --> 00:03:09.324 ซึ่งเริ่มสลักตัวอักษร คาร์ทูเชท ในช่วงปี ค.ศ. 300 00:03:09.324 --> 00:03:12.330 ถ้าอย่างนี้แล้ว เราจะบอกว่าใครล่ะ ที่คิดค้นระบบการเขียน 00:03:12.330 --> 00:03:13.367 ชาวสุเมเรียน 00:03:13.367 --> 00:03:14.110 ชาวอียิปต์ 00:03:14.110 --> 00:03:14.738 ชาวจีน 00:03:14.738 --> 00:03:16.672 หรือ พวกมายา 00:03:16.672 --> 00:03:18.114 ที่สำคัญก็คือ ระบบการเขียนเหล่านั้น 00:03:18.114 --> 00:03:20.200 ยังถูกใช้อยู่ทั่วโลกทุกวันนี้ 00:03:20.200 --> 00:03:23.456 มักจะสืบเสาะไปได้ถึงต้นทางคือ อักษรของชาวสุเมเรียน หรือชาวจีน 00:03:23.456 --> 00:03:25.517 ระบบการเขียนอาจจะถูกคิดค้น 00:03:25.517 --> 00:03:27.255 ในส่วนอื่นๆของโลกด้วย 00:03:27.255 --> 00:03:29.396 จารึกโบราณต่างๆ ที่ถูกทิ้งไว้ในหุบเขาอินดิส 00:03:29.396 --> 00:03:31.947 และในวัฒนธรรม ราปานุย ได้ถูกค้นพบ 00:03:31.947 --> 00:03:33.900 แต่ว่าไม่มีใครสามารถอ่านมันได้ 00:03:33.900 --> 00:03:35.703 อยากลองดูไหมล่ะ?