1 00:00:06,140 --> 00:00:08,780 สวัสดีครับ พบกับผม โทนี่ และรายการ Every Frame A Painting 2 00:00:08,980 --> 00:00:11,389 รายการนี้ออกอากาศมาสักพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นคงถึงเวลาแล้วที่จะ... 3 00:00:11,389 --> 00:00:13,340 [เสียงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ : เวลาที่จะสารภาพบาป? ] 4 00:00:13,440 --> 00:00:15,000 ครับ เวลาสำหรับการสารภาพบาป 5 00:00:15,000 --> 00:00:17,500 ผมขโมยความคิดมาจากหนังเรื่องนี้เยอะที่สุด ในบรรดาหนังที่ผมขโมยมา 6 00:00:17,779 --> 00:00:20,779 [เสียงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ : F for Fake ] [เสียงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ : F for Fake ] [เสียงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ : F for Fake ] 7 00:00:21,779 --> 00:00:24,170 [เสียงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ : ท่านสุภาพพบุรุษและสุภาพสตรี กระผมขอแนะนำ] 8 00:00:24,370 --> 00:00:26,580 [ว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเกี่ยวกับ กลลวง] 9 00:00:27,870 --> 00:00:29,000 [การฉ้อฉล] 10 00:00:29,880 --> 00:00:31,240 [และ คำโกหก] 11 00:00:32,439 --> 00:00:35,010 เอ่อ ขออภัย ผมกำลังทำผิด เริ่มใหม่นะครับ 12 00:00:38,410 --> 00:00:41,710 F for Fake คือหนังความเรียงโดย Orson Welles 13 00:00:41,710 --> 00:00:43,739 ผมยึดถือหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในคัมภีร์ของผม 14 00:00:44,200 --> 00:00:46,300 ทุกอย่างที่ผมรู้เกี่ยวกับการตัดต่อ มาจากหนังเรื่องนี้ทั้งหมด 15 00:00:47,000 --> 00:00:49,300 แต่วันนี้ ผมจะพูดถึงสิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องพื้นฐาน 16 00:00:50,420 --> 00:00:54,900 (STRUCTURE : โครงสร้าง) [Trey Parker ผู้สร้าง 'South Park' : เราค้นพบกฎง่ายๆ ที่ทุกคนอาจจะรู้กันหมดแล้วอ่ะนะ] 17 00:00:54,900 --> 00:00:57,000 [แต่มันก็นานทีเดียวละกว่าพวกผมจะรู้เกี่ยวกับมัน] 18 00:00:57,500 --> 00:00:59,040 เมื่อคุณวางโครงเรื่องของหนังความเรียง 19 00:00:59,040 --> 00:01:01,000 มีสิ่งหนึ่งที่คุณควรจะหลีกเลี่ยง 20 00:01:01,500 --> 00:01:03,400 (วัยรุ่น) : ผมว่าเราสั่งครบแล้วครับ (เครื่องตอบรับจากพนักงาน) : แล้ว? 21 00:01:03,750 --> 00:01:06,200 (วัยรุ่น) : ครบแล้วครับ (เครื่องตอบรับจากพนักงาน) : แล้ว? 22 00:01:06,700 --> 00:01:10,300 (วัยรุ่น) : ไม่มีอะไรแล้ว ผมสั่งครบแล้ว (เครื่องตอบรับจากพนักงาน) : แล้ว? 23 00:01:10,500 --> 00:01:11,500 [เสียงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ(F for Fake) : ถ้าคุณเล่าเรื่อง] 24 00:01:11,500 --> 00:01:12,500 [โดยใช้คำว่า "แล้ว" ] 25 00:01:12,500 --> 00:01:13,400 [ "แล้ว" ] 26 00:01:13,400 --> 00:01:14,300 [และ "แล้ว" ] 27 00:01:14,300 --> 00:01:15,200 [คุณมีปัญหาใหญ่แล้วละ] 28 00:01:15,420 --> 00:01:19,000 นี้เป็นข้อผิดพลาดที่ผมทำบ่อยที่สุด 29 00:01:19,000 --> 00:01:21,400 ตัวอย่างเช่น ลองดูนะครับว่ามันซ้ำซากแค่ไหน 30 00:01:22,000 --> 00:01:23,500 เลือกที่จะเอาเงิน 31 00:01:23,500 --> 00:01:25,000 เลือกที่จะไม่สู้กลับ 32 00:01:25,000 --> 00:01:26,500 เลือกที่จะซ้อนความรู้สึก 33 00:01:26,500 --> 00:01:28,000 เลือกที่จะไม่เชื่อในคนบางคน 34 00:01:28,000 --> 00:01:29,500 เลือกที่จะหลบสิ่งกวนใจ 35 00:01:29,500 --> 00:01:30,300 เลือกที่จะ... 36 00:01:31,700 --> 00:01:35,450 เหล่านี้เป็นรายการที่คุณจะเรียงลำดับอย่างไรก็ได้ มันก็เลยดูน่าเบื่อ 37 00:01:35,750 --> 00:01:39,170 [Trey Parker : สิ่งที่ควรจะเกิดระหว่างเหตุการณ์] 38 00:01:39,170 --> 00:01:42,080 [คือ "จึง" หรือ "แต่"] 39 00:01:42,080 --> 00:01:46,500 [ที่ผมจะบอกคือประมาณว่า นี้เกิดขึ้น] 40 00:01:46,800 --> 00:01:49,500 (ตัวละครที่หนึ่ง : นั้นอะไรนะ ) (Cartman : ขนหมอยนะ ฉันซื้อมาจากเจ้า Scott Tenorman) 41 00:01:49,600 --> 00:01:51,300 [ "จึง"เกิดนี้] 42 00:01:51,400 --> 00:01:54,000 (เสียงการ์ตูนตัวละครที่หนึ่ง : Cartman แกไม่ต้องซื้อขนหมอยหรอก มันขึ้นเองนะ) 43 00:01:54,000 --> 00:01:56,300 (Cartman : นี้กำลังบอกว่าไอ้นี้ไม่มีค่าเลยงั้นหรอ) (ตัวละครที่หนึ่ง : ช่าย) 44 00:01:56,400 --> 00:01:58,000 [ "แต่" นี้เกิดขึ้น ] 45 00:01:58,200 --> 00:01:59,800 (Scott Tenorman : อะ เอาขนหมอยไป) (Cartman : เยี่ยม!!!) 46 00:01:59,800 --> 00:02:01,300 [ "จึง" เกิดนี้ ] 47 00:02:01,330 --> 00:02:02,700 (Cartman : ห่าเอ้ย!!!) 48 00:02:03,700 --> 00:02:05,900 ตลอดหนังเรื่องนี้ Orson Welles ทำอย่างนี้ 49 00:02:05,990 --> 00:02:09,110 แต่เขาไม่ได้เชื่อม"ฉาก" เขาเชื่อม"ความคิด" 50 00:02:09,110 --> 00:02:12,150 [เสียงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ : คุณเป็นนักวาดรูปนี้ ทำไมคุณอยากให้ผู้อื่นทำแต่ของปลอมๆล่ะ? ] 51 00:02:12,850 --> 00:02:17,500 [เสียงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ : เพราะของปลอมก็ดีพอๆกับของจริงนั่นแหละ แล้วตลาดก็มีความต้องการด้วย ] 52 00:02:18,100 --> 00:02:21,860 [เสียงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ : ก็ถ้าเราไม่มีตลาดศิลปะเเล้วคนทำสิ่งปลอมๆนี้ก็ไม่มีที่อยู่นะสิ ] 53 00:02:22,100 --> 00:02:23,500 ถึงภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นหนังความเรียง 54 00:02:23,700 --> 00:02:26,620 แต่ทุกๆวินาทีของหนังเรื่องนี้ก็ใช้หลักเดียวกันกับการ์ตูน South Park 55 00:02:27,200 --> 00:02:30,410 กฎที่สองก็คือต้องมีเรื่องราวมากกว่าหนึ่งดำเนินควบคู่กันไป 56 00:02:30,900 --> 00:02:33,630 [ผมจะขอใช้คำพูดของ HItchcock อีกครั้ง เขาบอกว่า ] 57 00:02:33,630 --> 00:02:37,320 [ "การทำหนังนะก็คือ ในขณะเดียวกัน กลับไปที่" ] 58 00:02:37,320 --> 00:02:39,400 [เขาพูดได้ตรงเผง] 59 00:02:39,400 --> 00:02:41,140 [คุณต้องให้สองเรื่องดำเนินไป] 60 00:02:41,140 --> 00:02:44,060 [ถ้าอันหนึ่งถึงจุดที่สุดแล้ว คุณก็ไปเล่นอีกอันหนึ่ง] 61 00:02:44,060 --> 00:02:45,879 (เจ้าหญิง Leia : หวังว่าคุณจะรู้นะว่าคุณทำอะไรอยู่) 62 00:02:48,879 --> 00:02:52,970 [คุณเอามาใช้ตอนที่คุณต้องการ ถ้ามันไม่น่าสนใจแล้วก็ปล่อยมัน] 63 00:02:52,970 --> 00:02:55,970 [ "ในขณะเดียวกัน กลับไปที่" ] 64 00:02:56,500 --> 00:02:58,100 แล้วในหนังเรียงความวิธีนี้มันทำงานอย่างไร? 65 00:02:58,200 --> 00:03:01,500 ลองคิดว่าคุณมีเรื่องอยู่สองเรื่อง ก็ให้เรื่องหนึ่งเดินเรื่องมา 66 00:03:01,500 --> 00:03:06,019 พอมันถึงจุดที่สุด ก็เปลี่ยนไปเล่นอีกเรื่องหนึ่ง ให้เดินเรื่องขึ้นมา 67 00:03:06,019 --> 00:03:09,470 แล้วพอมันไปถึงจุดที่สุดก็กลับไปเรื่องแรก ง่ายมากใช่มั้ยล่ะ 68 00:03:11,000 --> 00:03:13,190 แต่ F for Fake ไม่ได้มีแค่สองเรื่อง 69 00:03:13,190 --> 00:03:16,340 ในหนังมีเรื่องเกี่ยวกับ Orson Welles, Howard Hughes 70 00:03:16,340 --> 00:03:19,160 ผู้หญิงที่ชื่อ Oja แล้วยังมีขั้นตอนการทำหนังเรื่องนี้อีกน่ะ 71 00:03:19,700 --> 00:03:23,540 และโดยการสร้างเรื่องแต่ละเรื่องอย่างระวังแล้ว Welles ก็สามารถโดดไปโดดมาระหว่างเรื่องหกเรื่องนี้ได้ 72 00:03:23,540 --> 00:03:25,500 โดยคนดูไม่เบื่อซะก่อน 73 00:03:25,700 --> 00:03:28,600 เพราะฉะนั้นเวลาผมทำวิดิโอเรียงความ นี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในหัวผมตลอดเวลา 74 00:03:29,800 --> 00:03:33,300 (เครื่องตอบรับจากพนักงาน) : แล้ว? (วัยรุ่น) : ไม่มีแล้ว! 75 00:03:33,370 --> 00:03:35,470 และเรื่องทั้งหมดนี้ผมก็ได้มาจากาารดูหนังเรื่องนี้เรื่องเดียว 76 00:03:35,470 --> 00:03:38,870 ซึ่งมากกว่าที่ผมเคยเรียนมาซะอีก : มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณได้อะไรมา 77 00:03:38,870 --> 00:03:42,300 มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตัดยังไงและผลลัพธ์มันเป็นยังไง 78 00:03:45,170 --> 00:03:49,170 จำไว้ วิดิโอเรียงความไม่ใช่เรียงความ มันคือหนัง 79 00:03:49,170 --> 00:03:52,870 เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องวางโครงสร้างและวางจังหวะให้เหมือนกับคนทำหนัง 80 00:03:52,870 --> 00:03:53,860 'จึง' และ 'เเต่' 81 00:03:53,860 --> 00:03:55,910 'ในขณะเดียวกัน กลับไปที่' 82 00:03:55,930 --> 00:03:58,500 แต่ถ้าเกิดคุณไม่เชื่อผม อย่างน้อยคุณก็น่าจะเชื่อ Orson Welles 83 00:03:58,800 --> 00:04:01,090 ที่คิดเรื่องนี้ออกมาตั้งแต่สี่สิบปีก่อนได้ไงก็ไม่รู้ 84 00:04:01,400 --> 00:04:04,190 [ ทำไมจะไม่ล่ะ? ผมมันพวกสิบแปดมงกุฎนี่ ] 85 00:04:04,190 --> 00:04:06,400 อย่างไรก็ตาม ผมต้องรวบความเรียงชิ้นนี้แล้วล่ะ 86 00:04:06,900 --> 00:04:08,300 [ตอนนี้ก็ได้เวลาสำหรับการแนะนำตัวแล้ว] 87 00:04:09,000 --> 00:04:13,600 สวัสดีครับ พบกับผม โทนี่ และนี้ก็เป็นการลงเอยของหนึ่งปีกับรายการ Every Frame A Painting 88 00:04:14,700 --> 00:04:15,910 ผมอยากขอบคุณทุกท่านที่มารับชม 89 00:04:15,910 --> 00:04:19,110 และขอให้ทุกท่านมีความสุข 90 00:04:19,110 --> 00:04:20,870 สวัสดีครับ