ชีวิตเป็นเรื่องของโอกาส การสร้างโอกาส ชื่นชมกับโอกาสที่ได้ ส่วนของฉันนั้น คือการฝันถึงโอลิมปิก นั่นคือสิ่งที่นิยามตัวตนฉัน นั่นคือความสุขที่สุดของฉัน ฉันซึ่งเป็นนักสกีวิบาก และสมาชิกทีมสกีแห่งออสเตรเลีย ขณะนั้นกำลังมุ่งหน้าไปสู่สนามแข่งโอลิมปิกฤดูหนาว ฉันอยู่บนรถจักรยานกับเพื่อนร่วมทีม มุ่งหน้าไปตามเส้นทางของเรา สู่เทือกเขาฝั่งตะวันตกของซิดนีย์ (Sydney) เทือกเขาบลูเมาน์เทน (Blue Mountain) ที่สวยตระหง่าน วันนั้นเป็นวันในฤดูใบไม้ร่วงที่สุดยอดไปเลย แสงแดด กลิ่นของยูคาลิปตัส และความฝัน ชีวิตไปได้สวย เราอยู่บนรถจักรยานกันมาราวๆ 5 ชั่วโมงครึ่ง พอมาถึงช่วงที่ฉันชอบที่สุด คือช่วงที่มาถึงเนินเขา เพราะฉันชอบเนินเขามาก เมื่อฉันยกตัวออกจากที่นั่ง และเริ่มที่จะ ขยับแข้งขยับขาที่ล้อมรอบด้วยอากาศที่เย็นของภูเขา ฉันรู้สึกถึงความรุ่มร้อนในอก ฉันมองหน้าขึ้น หาแสงแดดที่ปะทะใบหน้า และทุกอย่างก็ดับมืดลง ฉันอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น ร่างกายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ฉันถูกชนด้วยรถบรรทุกที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ในเวลาเพียง 10 นาทีที่วิ่งชนรถจักรยาน ฉันถูกส่งตัวทางอากาศจากอุบัติเหตุ โดยเฮลิคอปเตอร์กู้ภัย ไปยังศูนย์กระดูกสันหลังที่เมืองซิดนีย์ (Sydney) ฉันได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงและ อยู่ในสภาวะเป็นอันตรายอาจถึงแก่ชีวิต ทั้งคอและหลังฉันหักรวมทั้งหมด 6 จุด ซี่โครงด้านซ้ายแตก 5 ซี่ ขาขวาหัก กระดูกไหปลาร้าแตก/หัก กระดูกเท้าแตกบางจุด ร่างกายซีกขวาฉีกขาดเปิดออก เต็มไปด้วยกรวดหิน ฉันได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ และภายใน ศรีษะถูกเปิดออกเห็นกะโหลกด้านใน ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะภายใน เสียเลือดไปจำนวนมาก ประมาณ 5 ลิตรได้ ซึ่งคนขนาดตัวเท่าฉันเนี่ย ถือว่าเสียเลือดไปแทบจะหมดตัวเลยทีเดียว เมื่อเฮลิคอปเตอร์มาถึง โรงพยาบาลพรินซ์เฮนรี (Prince Henry) ในซิดนีย์ ความดันเลือดฉันอยู่ที่ 40 ถือเป็นวันซวยจริงๆ นะเนี้ย (เสียงหัวเราะ) เป็นเวลากว่า 10 วัน ที่ฉันล่องลอยไปมาระหว่าง 2 ภพ ฉันยังรู้สึกถึงร่างกายของตัวเองอยู่ แต่ก็ รู้สึกว่าได้ออกไปจากร่าง ไปยังที่อื่น มองลงมาจากข้างบน เหมือนกับว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่น ทำไมฉันจะต้องอยากกลับไปอยู่ ในร่างที่บอบช้ำยับเยินขนาดนั้น? แต่เสียงนั้นเรียกฉัน "มานี่ มาอยู่กับฉัน" "ไม่ล่ะ นั่นมันลำบากเกินไป" "มาเถอะ นี่เป็นโอกาสของเรานะ" "ไม่นะ ร่างกายนั้นมันย่อยยับเกินไป ใช้อะไรไม่ได้แล้วล่ะ" "มาเถอะนะ มาอยู่กับฉัน เราต้องทำได้ ถ้าเราอยู่ด้วยกัน" ฉันยืนอยู่ตรงทางแยก (แห่งการตัดสินใจ) ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่กลับมายังร่างกายของฉัน ฉันก็คงได้จากโลกนี้ไปตลอดกาล มันคือการต่อสู้ของชีวิต หลังจากนั้น สิบวัน ฉันตัดสินใจที่จะกลับมายังร่างของฉัน และอาการเลือดออกภายใน หยุดลง สิ่งที่ต้องกังวลต่อมาคือ ฉันจะกลับมาเดินได้อีกหรือไม่ เพราะฉันเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไป พวกเขาพูดกับพ่อแม่ฉันว่า การบาดเจ็บ ที่กระดูกสันหลังส่วนคอ เป็นส่วนที่รักษาได้ แต่การบาดเจ็บที่หลัง เป็นการแตกหักของกระดูกสันหลังอย่างสิ้นเชิง กระดูกสันหลังระดับเอวข้อที่ 1 แตกหักเหมือนกับเหยียบลงบนถั่ว เมื่อเหยียบถั่ว มันจะแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พวกเขาทำการผ่าตัด โดยใส่ฉันไว้ในถุง และผ่าตัดฉัน ผ่าตรงกลางลำตัว มีรอยแผลเป็นให้เห็น รอบลำตัวของฉันเลยทีเดียว พวกเขาหยิบกระดูกที่แตกทั้งหมดเท่าที่จะมากได้ ที่ฝังอยู่ในเส้นประสาทไขสันหลัง พวกเขาใช้กระดูกซี่โครงที่หักของฉัน 2 ส่วน สร้างหลังของฉันใหม่ กระดูกสันหลังระดับเอวข้อที่ 1 ถูกสร้างใหม่ โดยใช้กระดูกซี่โครงที่หัก เชื่อมเข้ากับกระดูกสันหลังส่วนอกระดับที่ 12 และระดับเอวข้อที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกัน จากนั้นใช้เวลาทั้งชั่วโมงในการเย็บแผล ฉันรู้สึกตัวขึ้นในห้องผู้ป่วยหนัก (IC) และหมอค่อนข้างตื่นเต้น เพราะการผ่าตัดประสบความสำเร็จ เนื่องจาก ฉันสามารถขยับปลายนิ้วโป้งเท้าได้เล็กน้อย ฉันคิดว่า สุดยอด ฉันจะไปโอลิมปิค! (เสียงหัวเราะ) ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย เหมือนกับว่า มันเกิดกับคนอื่น ไม่ใช่ฉันแน่ๆ แต่หมอมาหาฉันและพูดว่า "แจนนีน การผ่าตัดประสบความสำเร็จนะ พวกเรา ดึงกระดูกที่เข้าไปในเส้นประสาทไขสันหลัง ออกมามากเท่าที่จะทำได้ แต่มันมีส่วนที่เสียหายถาวร ระบบประสาทส่วนกลาง ยังมีเส้นประสาทรับรู้ แต่ไม่มีทางรักษาส่วนที่เสียหายได้ คุณจะมีลักษณะที่เราเรียกว่าอัมพาตครึ่งล่างบางส่วน จะมีอาการบาดเจ็บร่วมด้วย จะไม่มีความรู้สึกตั้งแต่เอวลงไป คุณจะดีขึ้นกลับมาได้อย่างมากที่สุด 10-20% คุณจะมีอาการบาดเจ็บภายในไปตลอดชีวิตที่เหลือ จะต้องใช้สายสวนตลอดชีวิต และถ้าคุณจะกลับมาเดินอีกครั้ง คุณจะต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน" และเมื่อหมอพูดต่อว่า "แจนนีน คุณจะต้องคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตคุณใหม่นะ เพราะคุณจะไม่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่าง ที่เคยทำได้มาก่อน" ฉันพยายามจะจับสิ่งต่างๆ ที่หมอกำลังบอก ฉันเป็นนักกรีฑา นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้ นั่นคือสิ่งที่ฉันทำ แล้วถ้าฉันไม่สามารถทำได้แล้ว จะให้ฉันทำอะไรล่ะ? คำถามที่ฉันถามตัวเองก็คือ ถ้าฉันไม่สามารถทำมันได้แล้ว แล้วฉันจะเป็นใครเนี่ย? พวกเขาย้ายฉันจากส่วนผู้ป่วยหนัก ไปยังส่วนผู้ป่วยบาดเจ็บทางกระดูกสันหลัง ฉันนอนบนเตียงที่แข็งและบาง ขาทั้งสองไม่มีการเคลื่อนไหว ต้องใส่ถุงน่องรัดไว้ เพื่อป้องกันเลือดอุดตัน แขนข้างหนึ่งเข้าเฝือก อีกข้างผูกห้อยไว้ มีที่รั้งคอและถุงทรายรั้งไว้คนละด้านของศีรษะ ฉันเห็นโลกของฉันผ่านกระจก ที่ถูกแขวนไว้เหนือหัวของฉัน ฉันอยู่ในห้องผู้ป่วยกับผู้ป่วยอีกห้าคน สิ่งมหัศจรรย์ก็คือ พวกเราทั้งหมดนอนบนเตียง เป็นอัมพาตในแผนกคนไข้กระดูกสันหลัง เราไม่รู้จักลักษณะหน้าตาของกันและกัน มหัศจรรย์ใช่ไหม จะมีสักกี่ครั้งในชีวิต ที่เราจะมีมิตรภาพที่ไม่มีการตัดสินกันและกัน เป็นมิตรภาพ บนรากฐานแห่งจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ และไม่มีการพูดคุยแค่เพียงผิวเผิน เหมือนกับว่าเรารู้สึก ถึงความคิดภายในของกันและกัน ความกลัว และความหวังของชีวิตที่จะมี หลังจากออกจากแผนกผู้ป่วยกระดูกสันหลังนี้ ฉันจำได้ว่า มีคืนหนึ่ง หนึ่งในพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง ชื่อ โจนาธาน เข้ามา พร้อมกับหลอดพลาสติกหลายหลอด เขาวางหลอดกองไว้ด้านบนของพวกเราแต่ละคน และพูดว่า "เริ่มต่อหลอดเข้าด้วยกันได้" อืม ก็ในเมื่อไม่มีอะไรจะทำอยู่ในแล้ว แผนกผู้ป่วยกระดูกสันหลังเนี่ย เราก็เลยต่อหลอดซะเลย และเมื่อเราทำเสร็จ เขาก็เดินไปรอบๆ อย่างเงียบๆ และค่อยๆ ต่อหลอดของแต่ละคนเข้าด้วยกัน จนกระทั่งมันกลายเป็นวงกลมรอบทั้งห้อง แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า "เอาล่ะ ทุกคน ถือหลอดของตัวเองไว้นะ" พวกเราทำอย่างที่เขาบอก และเขาก็พูดต่อว่า "พวกเราได้เชื่อมเข้าด้วยกันแล้วนะ" เหมือนกับเราหายใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่เราถือหลอดอยู่นั้น เรารู้ว่า เราไม่ได้เดินเพียงลำพัง และแม้ว่าจะนอนอัมพาตในแผนกผู้ป่วยกระดูกสันหลังนี้ ก็มีหลายๆ ครั้งที่เรารู้สึกถึงกันอย่างลึกซึ้งและเต็มเปี่ยม ของความจริงใจ และสายใยที่เชื่อมใจเราไว้ ที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน พวกเราแต่ละคน รู้ว่า เมื่อออกจากแผนกผู้ป่วยกระดูกสันหลังแล้ว เราจะไม่เหมือนเดิม หกเดือนหลังจากนั้น ก็ถึงเวลาที่จะกลับบ้าน ฉันจำได้ว่า พ่อเข็นเก้าอี้มีล้อสำหรับคนพิการให้ฉัน ที่เข้าเฝือกทั้งตัว รู้สึกถึงแสงแดดที่ปะทะใบหน้าครั้งแรก ฉันสูดหายใจและคิดว่า ฉันได้สิทธิ ได้โอกาสนี้ได้อย่างไรเนี่ย ? ฉันรู้สึกถึงความปลื้มปิติอย่างเต็มเปี่ยม กับชีวิตของฉัน และเมื่อออกจากโรงพยาบาล หัวหน้าพยาบาล พูดกับฉันว่า "แจนนีน ฉันอยากให้คุณเตรียมพร้อม เพราะเมื่อไปถึงบ้าน บางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นนะ ฉันถามว่า "อะไร ?" เธอตอบว่า "คุณจะเจอภาวะซึมเศร้านะ" ฉันตอบว่า "ไม่หรอก ไม่ใช่กับฉัน แจนนินมนุษย์หุ่นยนต์" ซึ่งมันเป็นชื่อเล่นของฉันเอง เธอตอบว่า "คุณจะเจอ เพราะมันเกิดกับทุกคนนะ ในศูนย์ผู้ป่วยกระดูกสันหลัง มันเป็นเรื่องปกติ คุณจะอยู่บนเก้าอี้มีล้อสำหรับผู้ป่วย มันเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่เมื่อคุณถึงบ้านและได้รับรู้ว่า ชีวิตมันเปลี่ยนไปนะ" และเมื่อฉันถึงบ้าน บางสิ่งได้เกิดขึ้น ฉันเข้าใจว่า แซมพูดถูกทีเดียว ฉันเจอภาวะซึมเศร้า ฉันอยู่บนเก้าอี้มีล้อ และไร้ความรู้สึกตั้งแต่เอวลงไป มีขวดสวนปัสสวะห้อยอยู่ด้วย ฉันเดินไม่ได้ ตอนอยู่ในโรงพยาบาล น้ำหนักลดลงไปมาก ตอนนี้ฉันหนัก 80 ปอนด์ และฉันอยากจะยอมแพ้ สิ่งที่จะอยากจะทำก็คือ ใส่รองเท้าวิ่งและวิ่งออกไปนอกประตู ฉันอยากได้ชีวิตที่เคยเป็นของฉันคือ ฉันอยากได้ร่างกายของฉันกลับมาคืน ฉันจำได้ว่าแม่นั่งที่ปลายเตียง และพูดว่า "ฉันว่าชีวิตน่าจะกลับมาดีอีกครั้งนะ" ฉันคิดว่า "จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อฉันสูญเสียทุกสิ่ง นั่นคือ ทุกสิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมด มันหายไปแล้ว" คำถามที่ฉันถามก็คือ "ทำไมต้องเป็นฉัน? ทำไมต้องเป็นฉัน?" ตอนนั้นเอง ฉันจำเพื่อนของฉันได้ เพื่อนที่อยู่ในแผนกผู้ป่วยกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาเรีย มาเรียได้รับอุบัติเหตุทางรถ และเมื่อเธอตื่นขึ้นมา ในวันเกิดครบ 16 ปี ก็พบว่า เธอเป็นอัมพาตทั้งตัว และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย ตั้งแต่คอลงไป กล่องเสียงก็ได้รับความเสียหาย ทำให้เธอพูดไม่ได้ พวกเขาบอกฉันว่า "เราจะย้ายคุณไปอยู่ข้างๆ เธอนะ เพราะเราคิดว่า มันดีกับเธอ" ฉันกังวล ฉันไม่รู้ว่า ฉันจะทำตัวยังไงกับเธอ เมื่อไปอยู่ข้างๆ เธอ ฉันรู้ว่า มันค่อนข้างท้าทาย แต่มันเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ เพราะมาเรียยิ้มเสมอ เธอมีความสุขเสมอ แม้แต่ตอนที่เธอเริ่มจะพูดอีกครั้ง แม้ว่าจะยากที่จะเข้าใจ และเธอก็ไม่เคยบ่น แม้แต่ครั้งเดียว ฉันสงสัยว่า เธอมาถึงจุดที่ยอมรับขนาดนั้นได้อย่างไร ฉันตระหนักว่า นี่ไม่ใช่ชีวิตของฉัน แต่มันเป็นชีวิตของมันเอง ฉันตระหนักว่า ไม่ใช่แค่ฉันที่เจ็บปวด มันเป็นความเจ็บปวดของทุกคน และตอนนั้นเอง ฉันก็รู้เหมือนเมื่อก่อนว่า ฉันมีทางเลือกนะ ฉันสามารถสู้ได้ หรือฉันเลือกที่จะปล่อยมันไป ยอมรับไม่เฉพาะร่างกายของฉัน แต่ยอมรับสิ่งที่จะเป็นผลตามมาในชีวิตของฉันด้วย เมื่อฉันหยุดที่จะถามว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน ?" ฉันก็เริ่มที่จะถามว่า "แล้วทำไมจะไม่ใช่ฉันล่ะ?" และเมื่อฉันคิดถึงตัวเอง บางทีจุดที่ลึกและต่ำที่สุด อาจจะเป็นจุดที่เริ่มต้นที่ดีที่สุดก็ได้นะ ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเอง จะเป็นคนสร้างสรรค์มาก่อนในชีวิต ฉันเป็นนักกรีฑา ร่างกายฉันเป็นหุ่นยนต์ แต่ตอนนี้ ฉันกำลังจะเริ่มโครงการ ที่สุดแสนจะสร้างสรรค์ ที่พวกเราทุกคนเคยทำมาก่อน นั่นก็คือ การสร้างชีวิตใหม่อีกครั้ง และเมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉันไม่มีแผนหรือแนวความคิดอะไรเลย ในสิ่งกำลังจะทำ ในความไม่แน่นอนนั้น มาพร้อมกับความรู้สึกอิสระ ไม่รู้สึกผูกมัดอยู่กับเส้นทางต่างๆ รู้สึกถึงความอิสระที่จะเปิดชีวิต สู่ความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัด และการหยั่งรู้เช่นนั้น ก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉัน ขณะที่นั่งอยู่ในบ้าน บนเก้าอี้มีล้อสำหรับคนพิการ และร่างกายที่เข้าเผือก มีเครื่องบินลำหนึ่งบินผ่าน ฉันมองขึ้นไป และคิดว่า "นั่นไง!" ถ้าฉันเดินไม่ได้ล่ะก็ ฉันก็อาจจะบินได้นะ ฉันพูดกับแม่ว่า "แม่ ฉันอยากจะเรียนการบิน" เธอตอบฉันว่า "เจ๋งมากเลย ลูกรัก" (เสียงหัวเราะ) ฉันบอกแม่ "ขอสมุดหน้าเหลืองหน่อยสิแม่" เธอส่งสมุดหน้าเหลืองให้ฉัน ฉันโทรไปที่โรงเรียนสอนการบิน ฉันทำการจองโดยบอกว่า ต้องการจองการออกไปบิน พวกเขาถามว่า "คุณต้องการบินเมื่อไร?" ฉันตอบว่า "อืม ฉันต้องให้เพื่อนมารับฉันไปส่งที่นั่นก่อน เพราะฉันขับรถไม่ได้ แบบว่าเดินไม่ได้เหมือนกัน มันจะเป็นปัญหาอะไรไหม?" ฉันจองและอาทิตย์ต่อมา คริส เพื่อนของฉัน และแม่ของฉัน ก็ขับรถไปส่งฉันที่สนามบิน ทั่วทั้งร่างกาย 80 ปอนด์ เต็มไปด้วยเฝือก ในถุงคู่อยู่รอบๆ ตัว (เสียงหัวเราะ) ฉันบอกได้เลยว่า มันไม่ได้ดูเหมือนผู้สมัครในอุดมคติเท่าไหร่เลย ที่จะสามารถผ่านจนได้บัตรนักบิน (เสียงหัวเราะ) ฉันยืนเกาะเคาท์เตอร์เพราะไม่สามารถยืนเองได้ และพูดว่า "สวัสดีค่ะ ฉันอยากจะเรียนการบินค่ะ" และพวกเขามองมาที่ฉันแล้ววิ่งออกไปเหมือนจะจับไม้สั้นไม้ยาว "คุณรับเธอไปสิ" "ไม่ คุณนั่นแหละ" ในที่สุด หนุ่มคนนี้ก็ออกมา "สวัสดี ผม แอนดรู ผมจะพาคุณไปบิน" ฉันตอบไป "เยี่ยม!" จากนั้นพวกเขาก็พาฉันไป ไปยังถนนรันเวย์ และฉันก็เห็นเครื่องบินสีแดง ขาว นำ้เงิน มันสวยงามมาก พวกเขายกฉันเข้าไปนั่งในส่วนที่นั่งนักบิน ซึ่งจะต้องเลื่อนฉันขึ้นไปทางปีก เพื่อส่งตัวฉันไปยังส่วนที่นั่งนักบิน เมื่อพวกเขาให้ฉันนั่งลงแล้ว มันมีปุ่มและอุปกรณ์เต็มไปหมด ฉันเหมือนกับว่า "ว้าว พวกคุณรู้การใช้งานปุ่ม และอุปกรณ์พวกนี้ทั้งหมดได้อย่างไรเนี้ย" แอนดรูว์ ผู้สอนที่นั่งส่วนหน้า เริ่มนำเครื่องขึ้น เขาเอ่ยว่า "อยากจะทำเหมือนแท็กซี่ไหม?" คือคุณจะใช้เท้าคุณควบคุมคันเร่ง และเบรค เพื่อควบคุมเครื่องบินบนพื้นดิน ฉันตอบว่า "ไม่ ขาฉันใช้งานไม่ได้" เขาตอบว่า "โอ้" ฉันจึงบอกต่อว่า "แต่ฉันใช้มือฉันได้นะ" เขาตอบตกลง ดังนั้นเมื่อเขาขึ้นบนรันเวย์ เขาเริ่มใช้พาวเวอร์ แล้วพวกเราก็บินขึ้นจากรันเวย์ และเมื่อล้อยกเก็บ และเราบินแล้ว ฉันก็สัมผัสได้ถึงความสุดยอดของอิสรภาพ แล้วแอนดรูว์ก็พูดกับฉัน ในขณะที่เรากำลังบนอยู่พื้นที่ฝึกหัด "คุณเห็นภูเขานั่นไหม?" ฉันตอบ "อืม" เขาก็บอกต่อว่า "อืม คุณจะต้องควบคุมเครื่องและบินไปยังภูเขาลูกนั้นนะ" ในขณะที่ฉันมองไปยังภูเขาลูกนั้น และตระหนักว่า เขากำลังชี้ไปยัง บลูเมาท์เทน ที่ที่การเดินทางเริ่มต้นขึ้น เมื่อฉันเริ่มควบคุม ฉันกำลังบิน ไกลห่างออกไปจากศูนย์แผนกกระดูกสันหลังนั่น และฉันรู้ทันทีว่า ฉันจะต้องเป็นนักบิน แต่ไม่รู้หรอกนะว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ แต่ฉันมากังวลในภายหลัง เพราะฉันมีความฝัน ฉันจึงกลับบ้านและหยิบบันทึกประจำวันออกมาวางแผน ฉันฝึกเดินมากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ และฉันเริ่มจากจุดที่ต้องใช้คนสองคนช่วยพยุงฉัน จนเหลือเพียงแค่หนึ่งคนพยุงฉัน และมาถึงจุดที่ฉันเดินไปรอบๆ เฟอร์นิเจอร์เองได้ โดยที่ไม่ห่างกันมากนัก และจุดที่ก้าวหน้าสุดๆ คือจุดที่ฉันสามารถเดินไปรอบๆ บ้านโดยที่ใช้มือแตะผนังไปเรื่อยๆ แบบนี้ และแม่ฉันพูดว่า คงต้องเดินตามฉันไปตลอด เพื่อลบรอยมือบนผนัง (เสียงหัวเราะ) แต่อย่างน้อย เธอก็จะรู้เสมอว่าฉันมาจากทางไหน ดังนั้นเมื่อหมอเริ่มผ่าตัดฉันต่อไปอีก และทำให้ร่างกายฉันกลับเข้าด้วยกันอีกครั้ง ฉันก็ศึกษาตามทฤษฎีของฉันอีกครั้ง และในที่สุด อย่างมหัศจรรย์มากๆ ฉันผ่านการสอบทางการแพทย์ของนักบิน และมันคือไฟเขียวของฉันสู่การบิน ฉันใช้เวลาแทบจะตลอดเวลาที่โรงเรียนการบิน เพื่อที่จะออกนอกพื้นที่แห่งความสะดวกสบายของฉัน เหล่าวัยรุ่นชายที่ต้องการที่จะเป็นนักบินแควนตัส (Qantas) คุณรู้ใช่ไหม ว่ามีเฝือกรอบตัวฉัน มีเหล็กดามรอบๆ ตัว มีถุงยาและถุงสวนและการเดินกระโผกกระเผลก และพวกเขาเคยมองที่ฉันและคิดว่า "โอ้ว เธอล้อเล่นอยู่หรือเปล่าเนี่ย เธอไม่มีทางที่จะทำอย่างนี้ได้แน่นอน" และบางครั้ง ฉันก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่มันไม่สำคัญหรอก เพราะบางสิ่งภายในที่ลุกไหม้นั้น มันได้หักล้างอาการบาดเจ็บของฉันราบคาบแล้ว และเป้าหมายเล็กๆ นั้น ทำให้ฉันเดินทางต่อไป และในที่สุด ฉันก็ได้สอบผ่านนักบินเอกชนเรียบร้อยแล้ว และฉันได้เรียนการขับเครื่องบินนำร่อง ฉันบินพาเพื่อนไปรอบๆ ออสเตรเลีย และฉันเรียนการบินด้วยเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์ และฉันได้ระดับ 2 เครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว และฉันได้เรียนรู้การบินในสภาพภูมิอากาศที่เลวร้าย และได้ใบอนุญาตการขับแบบนั้นแล้ว และฉันได้ใบอนุญาตขับขี่นักบินพาณิชเรียบร้อยแล้ว และต่อมา ฉันก็ได้ใบอนุญาตเป็นครูฝึกสอน และต่อมา ฉันก็พบตัวฉันเองกลับมาทีโรงเรียนเดิม ที่ที่ฉันเริ่มบินครั้งแรก เพื่อที่จะสอนคนอื่นๆ ที่จะบิน เพียงแค่ 18 เดือน หลังจากที่ฉันออกจากศูนย์ดูแลผู้ป่วยกระดูกสันหลัง (((เสียงปรบมือ))) และต่อมา ฉันก็คิดว่า "ทำไมจะหยุดที่ตรงนั้นล่ะ? ทำไมไม่ลองเรียนการบินผาดโผนล่ะ?" และฉันก็เรียนเรียบร้อยแล้ว กับการบินผาดโผน และได้เป็นครูสอนการบินผาดโผน แม่กับพ่อของฉันนะเหรอ? ไม่เคยขึ้นบินเลยด้วยซำ้ แต่ฉันรู้สิ่งหนึ่งแน่นอนว่า ถึงร่างกายฉันจะมีขีดจำกัด แต่ ไม่มีอะไรจะมาหยุดจิตวิญญาณฉันได้ นักปรัชญา เล่า จื๊อ (Lao Tzu) เคยกล่าวไว้ว่า "เมื่อคุณปลดปล่อยสิ่งที่คุณเป็น คุณจะกลายเป็นสิ่งที่คุณอาจจะเป็นได้" ตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่า หากฉันไม่ปล่อยวางตัวตนแบบเดิมที่ฉันยึดติด ฉันคงจะไม่สามารถสร้างตัวตนใหม่ที่สมบูรณ์กว่าเดิมได้ และหากฉันไม่ได้ปลดปล่อยชีวิตแบบเก่าๆเดิมๆที่เคยมี ฉันคงไม่ได้เปิดใจต้อนรับชีวิตใหม่ที่ได้กำลังรอฉันอยู่ ฉันรู้แล้วว่าจุดแข็งของฉันที่แท้จริง ไม่เคยได้มาจากร่างกายของฉัน และแม้กระทั่งความสามารถทางกายภาพของฉัน จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงก็ตาม สิ่งที่ฉันเป็น ไม่เคยเปลี่ยนไป แสงของนักบินภายในตัวฉันยังคงส่องแสง เหมือนกับแสงสว่างภายในแต่ในละคน ของพวกเรา ฉันรู้ว่า นั่นไม่ใช่ร่างกายฉัน และรู้ว่า คุณก็ไม่ใช่ร่างกายของคุณ และเมื่อมันไม่สำคัญอีกต่อไปว่าคุณจะรูปร่างยังไง คุณมาจากที่ไหน และทำงานอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือ เราจะกระพือไฟแห่งความเป็นมนุษย์ โดยการใช้ชีวิตของเราด้วยการแสดงออก ที่สร้างสรรค์ที่แสนบรรเจิด ของการเป็น'เรา'อย่างแท้จริง เพราะเราถูกเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ด้วยหลอดหลายล้านหลอดเหล่านั้น (ที่เล่าไว้ตอนแรก) และถึงเวลาแล้ว ที่เราจะหลอดมาต่อกัน ยึดมั่นไว้ด้วยกัน และถ้าเราจะเคลื่อนไปข้างหน้าสู่ความสุขร่วมกัน ถึงเวลาที่เราจะสลัดจุดสนใจทางกายภาพ และมาโอบกอดความดีงามของหัวใจ ดังนั้น โปรดยกหลอดของคุณขึ้นมา ถ้าคุณจะร่วมวงกับฉัน ขอบคุณ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณ